วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 11, 2568

ความรู้สึก "ทำให้จบ" มาจากไหน และการใช้กำลังทางทหารจะนำไปสู่การปิดเกมหรือไม่ สุดท้าย ต้องไปจบที่การเจรจามิใช่หรือ ?


"ให้คำมั่นสัญญากับกองทัพแล้วว่าดำเนินการตามแผนการที่ได้คิดการกันไว้ได้อย่างเต็มที่ รัฐบาลให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ" นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าว

ความรู้สึก "ทำให้จบ" มาจากไหน และการใช้กำลังทางทหารจะนำไปสู่การปิดเกมหรือไม่

พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มใหญ่ที่ถูกเรียกขานว่า "สว.สีน้ำเงิน" ให้สัมภาษณ์กับสื่อในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ว่ารัฐบาลตอบโต้เด็ดขาด สมเหตุสมผล เป็นไปตามขั้นตอน และเชื่อว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามบานปลาย เพราะ "เราไม่ต้องการให้สถานการณ์ขยายอยู่แล้ว ในเมื่อฝั่งกัมพูชาเปิดมา ไทยก็ทำให้จบโดยเร็ว เพราะหากเวลาเนิ่นนานไป ประชาชนจะเดือดร้อน"

ด้านนายสิริพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังบอกว่าไทยมีแสนยานุภาพมากกว่ากัมพูชา ดังนั้นในการตอบโต้แต่ละครั้ง กัมพูชาย่อมเจ็บกว่า

"เรื่องนี้เป็นเรื่องคาราคาซัง เป็นเรื่องที่คนไทยถามหลายครั้งว่าเมื่อไรจะจบสักที และรัฐบาลคิดว่าคราวนี้มันต้องจบ" เขากล่าว

นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษา กมธ.การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า "ความรู้สึกปิดจบ" เกิดขึ้นจากความรู้สึกเชื่อมั่นว่าศักยภาพทางทหารของไทยสามารถทำลายความสามารถทางทหารของกัมพูชาได้ ซึ่งเขาเห็นว่าความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในวงจำกัด แต่เป็นความรู้สึกร่วมที่คนทั่วไปก็เห็นพ้องต้องกัน

"มันเป็นความรู้สึกว่าเราเหนือกว่า" เขากล่าว และอธิบายต่อว่าความรู้สึกปิดจบนั้นไม่ได้บังเอิญเกิดขึ้นมาอย่างลอย ๆ แต่เกิดจาก 2 ปัจจัยด้วยกัน นั่นคือความรู้สึกสะสมในกองทัพ และความรู้สึกร่วมของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ

"ความรู้สึกนี้ออกมาจากทหารชั้นผู้น้อยก่อน แรงจูงใจคือเมื่อทหารชั้นผู้น้อยสูญเสียในสมรภูมิ ความรู้สึกส่วนตัวของพวกเขาคือจะต้องเอาคืนให้ได้ แล้วแรงกดดันนี้ขึ้นไปข้างบน คนที่เป็นผู้บังคับบัญชาไม่มีทางจะบอกว่าไม่เอา เราไม่สู้ นี่ไม่ใช่วิธีการของแม่ทัพ ไม่มีแม่ทัพคนไหนพูดแบบนี้ เพราะมันจะไม่ได้รับความเคารพจากทหารที่เป็นผู้ปฏิบัติ คำว่าทำให้มันจบ ๆ ไป เป็นคำที่ออกมาจากทหารชั้นผู้น้อยก่อน แล้วค่อยขยายมายังสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็น affiliate (พันธมิตร) กับกองทัพ แล้วก็แพร่เข้ามาในความคิดของหมู่ประชาชน"

"ทีนี้พวกเจ้านายต้องคิดมากกว่าการเอาคืนใช่ไหม ต้องคิดว่าเรามีความชอบธรรมหรือเปล่า รัฐบาลก็ต้องคิดในมุมนี้เหมือนกัน แต่พอนาน ๆ เข้า logic (เหตุผล) แบบนี้มันเริ่มไม่ได้ผล แรงกดดันจากข้างล่างมันเยอะ ส่วนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทำมาหากินไม่ได้ก็รู้สึกอึดอัด ด่ารัฐบาลว่าไม่ทำอะไรเสียที จะทำอะไรก็รีบทำ อย่ามัวแต่โม้ มัวแต่ส่งกระดาษประท้วง ๆ ไม่เห็นทำให้มันจบสักที เพื่อจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ"

นายสุภลักษณ์กล่าวต่อว่าสำหรับกองทัพ ตัวชี้วัด "ความรู้สึกปิดจบ" คือ ปราสาทตาควาย หนึ่งในจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่ทางกองทัพบกพูดมาตลอดว่าต้องการยึดคืนมา แม้ทราบดีว่าเป็นพื้นที่ที่อยู่ในข้อพิพาทเขตแดนระหว่างสองประเทศ

"ปราสาทตาควายเป็น indicator หมายถึงไทยอยากจะยึด แต่ยึดไม่ได้ ไม่จบ และมีความสูญเสียเยอะมาก" ที่ปรึกษา กมธ.การทหารฯ กล่าว


ปราสาทตาควาย

ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า กลุ่มปราสาทหินอยู่ในพื้นที่พิพาทเขตแดนที่ชะงักงันมาหลายปี เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่สามารถปักปันเขตแดนร่วมกันได้

ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการร่วมกันว่าให้ดูแลพื้นที่ร่วมกัน มีทหารของทั้งสองฝ่ายลาดตระเวนร่วมกัน และอนุญาตให้นักท่องเที่ยว รวมถึงประชาชนทั้งสองฝ่ายขึ้นไปเยี่ยมชมปราสาทได้ โดยไม่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ แต่ในวันนี้พื้นที่กลุ่มปราสาทหินกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจาก "ถูกโหมกระพือด้วยกระแสชาตินิยม

เธอกล่าวต่อว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครทราบชัดเจนว่าอะไรคือตัวจุดชนวนที่ทำให้ความตึงเครียดเล็กน้อยบริเวณชายแดน และปะทุเป็นความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างสองประเทศขึ้นมาได้

"มันเกิดจากกรณีความขัดแย้งระหว่างฮุน เซน กับ ทักษิณ [ชินวัตร] หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีการปล่อยเทปการสนทนาที่แสดงว่ามันมีความขัดแย้งบางอย่างของสองครอบครัว ซึ่งเราไม่รู้ ทางฝ่ายฮุน เซน ก็มีท่าทีแทรกแซงกิจการภายในของไทยเยอะ แล้วก็ยั่วยุหลายอย่าง ทำให้กระแสชาตินิยมมันโหมกระพือ มากเข้าก็กลายเป็นว่าไอ้ที่เคยดูแลร่วมกัน ก็ต้องตัดสินให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ"

เธอเชื่อว่าหากไทยยังเดินหน้าใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อยึดพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ ทางกัมพูชาจะนำเรื่องความขัดแย้งนี้เข้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council - UNSC) และนั่นจะเข้าทางกัมพูชาที่ต้องการให้นานาชาติเข้ามาเกี่ยวข้องในความขัดแย้งครั้งนี้มากขึ้น

นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าววันนี้ว่าตนเองมีความกังวลต่อรายงานการปะทะด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างกัมพูชาและไทย

เขาเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความอดกลั้น หลีกเลี่ยงการยกระดับสถานการณ์ กลับมาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และใช้ทุกกลไกการเจรจาเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนต่อข้อพิพาทด้วยวิธีการสันติ

"สหประชาชาติพร้อมสนับสนุนทุกความพยายามที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาในภูมิภาค" เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุ

"มันก็ต้องกลับไปตัดสินกันด้วยกลไกทางกฎหมาย แต่คราวนี้ไทยเองก็ไม่ยอมที่จะกลับไปยัง ICJ (ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก) มันก็ไม่รู้จะหาทางออกเรื่องนี้ยังไง แล้วคุณอนุทินก็ตัดสินใจฉีก joint declaration อย่างรวดเร็วมาก ๆ" ศ.ดร.พวงทอง กล่าว

เธอเน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยและกองทัพไม่ควรอ้างว่าประชาชนหมดความอดทนอดกลั้นแล้วต้องปิดจบด้วยปฏิบัติการทางทหาร เนื่องจากเป็นการอ้างประชาชนอย่างไม่มีความรับผิดชอบ

"คุณต้องมองว่าการตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ มันกระทบกับประเทศไทยในระยะใกล้และระยะยาว ไม่ใช่ทำตามกระแสความรู้สึกประชาชน ความรู้สึกของประชาชนขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลและกองทัพที่จะแถลงเรื่องนี้อย่างไรด้วย ถ้าคุณมีอำนาจ แต่พูดจาในลักษณะยุยงทำให้ประชาชนโกรธ แล้วก็กลับมาอ้างประชาชนเพื่อที่ใช้กำลังในการตัดสินใจ มันเป็นความไม่รับผิดชอบ"

ศ.ดร.พวงทองแนะว่า ผู้มีอำนาจควรทำความเข้าใจและแสดงเหตุผลให้ประชาชนเข้าใจว่าปัญหาข้อพิพาทเขตแดนเป็นผลมาจากความเห็นที่ไม่ตรงกันในประเด็นกฎหมายและเอกสารที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่สามารถคลี่คลายปมด้วยระยะเวลาสั้น ๆ ได้

"ที่ผ่านมาใช้วิธีปลุกระดมความรู้สึกว่าต้องยึดดินแดนคืนให้ได้ บางท่านก็รู้ว่ามันทำไม่ได้ แล้วก็มาอ้างประชาชน ผลที่เกิดขึ้นคือ เดี๋ยวก็หมดอายุกันไป รัฐบาล... หากเลือกตั้งก็หมดไป ทหารก็เกษียณกันไป ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไร ทั้งต่อชีวิตที่สูญเสียและพิการ หรือค่าใช้จ่ายทางด้านทหาร" อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว

นักวิชาการด้านความมั่นคงชี้ สุดท้ายต้องไปจบที่การเจรจาอยู่ดี

ชาวบ้านกำลังเดินดูพื้นที่นาหลังจรวด BM-21 ตก ที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์

ศ.ดร.พวงทอง กล่าวต่อว่า ท่าทีของรัฐบาลกับกองทัพที่บอกว่าจะไม่เจรจาและจะทำลายอีกฝ่ายจนกว่าจะหมดสภาพทางการทหารนั้น ยิ่งทำให้การปะทะลุกลามบานปลายมากขึ้น และที่น่ากังวลไปกว่านั้น คือคำพูดนี้อาจถูกนานาชาติตีความได้ว่า "ไทยมีท่าทีรุกรานกัมพูชา"

"ท่าทีของคุณอนุทินให้ความสำคัญกับเรื่องในประเทศมากเกินไป เป็นไปตามกระแสชาตินิยมมากจนไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทย" เธอกล่าว

แม้ในวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ชี้แจงว่าปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเป้าหมายทางทหารในพื้นที่ปฏิบัติการของกัมพูชาด้วยเครื่องบิน F-16 ถูกวางแผนและดำเนินการภายใต้หลักปฏิบัติด้านความมั่นคง รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากข้อมูลทางยุทธการพบว่ามีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนัก การจัดกำลังรบ และเตรียมการสนับสนุนด้านการยิงของกัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน

แต่อาจารย์จากจุฬาฯ มองว่านี่เป็นการตัดสินใจใช้อาวุธหนักเร็วเกินไป และเสี่ยงทำให้ไทยสูญเสียความชอบธรรม

"หากเราดูรายงานข่าวสื่อต่างประเทศ ก็จะบอกว่าไทยใช้ F-16 โจมตีกัมพูชา ซึ่งมันมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ว่าไม่มีรายงานว่ากัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีเรา แม้เขายิงจรวดข้ามมาตกฝั่งเรา เขาก็ยังอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันตนเอง"

"รายงานข่าวที่ออกมาหลังจากนี้จะกลายเป็นว่าประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางด้านการทหารมากกว่ากำลังโจมตีกัมพูชา" ศ.ดร.พวงทอง แสดงความกังวล และบอกว่าเมื่อเกิดการตอบโต้ไม่ได้สัดส่วนกัน ฝ่ายที่ใช้กำลังเกินสัดส่วนย่อมถูกมองว่าไม่มีความชอบธรรม

ขณะเดียวกัน ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าเมื่อการปะทะเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว รัฐบาลไทยอาจจะจำเป็นต้องแถลงกับนานาประเทศและประชาคมโลกอย่างละเอียดอีกครั้งว่า ปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้เป้าหมายคืออะไร การทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาจำเป็นแค่ไหน การใช้กำลังของไทยได้สัดส่วนหรือไม่

"ในจังหวะนี้ ประเทศไทยกลับมาได้เปรียบในแง่ความชอบธรรมในเวทีโลกเป็นอย่างมาก ทั้งในกรอบอนุสัญญาออตตาว่าเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และในเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ข้ามชาติ หากรัฐบาลไทยอธิบายปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้กับโลกไม่ได้ ความได้เปรียบที่มีอยู่ขณะนี้อาจจะค่อยๆ หายไป และไปเข้าเกมกัมพูชาอีกครั้ง" อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มธ. ระบุ


ชาวบ้านกำลังเดินดูพื้นที่นาหลังจรวด BM-21 ตก ที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์

ศ.ดร.พวงทอง กล่าวต่อว่า ท่าทีของรัฐบาลกับกองทัพที่บอกว่าจะไม่เจรจาและจะทำลายอีกฝ่ายจนกว่าจะหมดสภาพทางการทหารนั้น ยิ่งทำให้การปะทะลุกลามบานปลายมากขึ้น และที่น่ากังวลไปกว่านั้น คือคำพูดนี้อาจถูกนานาชาติตีความได้ว่า "ไทยมีท่าทีรุกรานกัมพูชา"

"ท่าทีของคุณอนุทินให้ความสำคัญกับเรื่องในประเทศมากเกินไป เป็นไปตามกระแสชาตินิยมมากจนไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทย" เธอกล่าว

แม้ในวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ชี้แจงว่าปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเป้าหมายทางทหารในพื้นที่ปฏิบัติการของกัมพูชาด้วยเครื่องบิน F-16 ถูกวางแผนและดำเนินการภายใต้หลักปฏิบัติด้านความมั่นคง รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากข้อมูลทางยุทธการพบว่ามีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนัก การจัดกำลังรบ และเตรียมการสนับสนุนด้านการยิงของกัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน

แต่อาจารย์จากจุฬาฯ มองว่านี่เป็นการตัดสินใจใช้อาวุธหนักเร็วเกินไป และเสี่ยงทำให้ไทยสูญเสียความชอบธรรม

"หากเราดูรายงานข่าวสื่อต่างประเทศ ก็จะบอกว่าไทยใช้ F-16 โจมตีกัมพูชา ซึ่งมันมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ว่าไม่มีรายงานว่ากัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีเรา แม้เขายิงจรวดข้ามมาตกฝั่งเรา เขาก็ยังอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันตนเอง"

"รายงานข่าวที่ออกมาหลังจากนี้จะกลายเป็นว่าประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางด้านการทหารมากกว่ากำลังโจมตีกัมพูชา" ศ.ดร.พวงทอง แสดงความกังวล และบอกว่าเมื่อเกิดการตอบโต้ไม่ได้สัดส่วนกัน ฝ่ายที่ใช้กำลังเกินสัดส่วนย่อมถูกมองว่าไม่มีความชอบธรรม

ขณะเดียวกัน ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าเมื่อการปะทะเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว รัฐบาลไทยอาจจะจำเป็นต้องแถลงกับนานาประเทศและประชาคมโลกอย่างละเอียดอีกครั้งว่า ปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้เป้าหมายคืออะไร การทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาจำเป็นแค่ไหน การใช้กำลังของไทยได้สัดส่วนหรือไม่

"ในจังหวะนี้ ประเทศไทยกลับมาได้เปรียบในแง่ความชอบธรรมในเวทีโลกเป็นอย่างมาก ทั้งในกรอบอนุสัญญาออตตาว่าเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และในเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ข้ามชาติ หากรัฐบาลไทยอธิบายปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้กับโลกไม่ได้ ความได้เปรียบที่มีอยู่ขณะนี้อาจจะค่อยๆ หายไป และไปเข้าเกมกัมพูชาอีกครั้ง" อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มธ. ระบุ

ที่มา บีบีซีไทย
https://www.bbc.com/thai/articles/c20gzld1yzgo
การใช้กำลังทหาร "ปิดจบ" เหตุปะทะกัมพูชาโดยเร็วเป็นไปได้จริงแค่ไหน และจะนำไปสู่การปิดเกมได้จริงหรือ