วันพุธ, ธันวาคม 31, 2568

เพราะสังคมไทยเชื่อว่าตนมีลักษณะพิเศษแบบราชาชาตินิยม นิติศาสตร์ไทยจึงเป็นนิติศาสตร์ที่ให้อภิสิทธิ์แก่รัฐมีอำนาจมากเหลือล้นเกินกว่าปกติ เพื่อรักษาความมั่นคง เพื่อรักษาอภิสิทธิ์ของบุคคลกลุ่มคนและสถาบันสำคัญของรัฐ



‘ราชาชาตินิยม’ ในฐานะอุดมการณ์ประวัติศาสตร์ของไทย

14.12.2025
มติชนสุดสัปดาห์

โดย ธงชัย วินิจจะกูล
อ่านบทความทั้งหมดของธงชัย วินิจจะกูล คลิกที่นี่

[ปรับปรุงจากส่วนหนึ่งของการนำเสนอในเวทีวิชาการศิลป์เสวนา หัวข้อ “ทบทวนมโนทัศน์ ‘ราชาชาตินิยม’: ที่มา ที่กลายเป็น และที่ซ่อนเร้น” คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2568 https://www.youtube.com/watch?v=sYMsURl9E7Q]

ผมเสนอแนวคิดเรื่อง “ราชาชาตินิยม” ครั้งแรกเมื่อปี 2544 ในงานวิชาการเพื่อเป็นเกียรติแก่อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เกษียณอายุ

ในครั้งนั้น ผมเสนอแนวความคิดนี้ในความหมายแคบที่เฉพาะเจาะจงถึงประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือแนวคิดทางประวัติศาสตร์กระแสหลักของไทย แต่ก็เสนอด้วยว่าแนวคิดนี้เป็น “อุดมการณ์ประวัติศาสตร์” ของไทยด้วย

นับจากนั้นถึงวันนี้ 24 กว่าปีผ่านไป…

มีการใช้คำนี้ในหลายความหมาย กว้างไปกว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือแนวคิดทางประวัติศาสตร์มากมายนัก

กระทั่งล่าสุด เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ท่ามกลางกระแสคลั่งชาติที่ท่วมท้นที่เป็นชาตินิยมแบบเชิดชูทหาร ก็มีคนกล่าวว่า สังคมไทยพ้นยุคราชาชาตินิยมไปแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะมองในแง่ไหนผมก็ไม่เห็นด้วย

คำกล่าวเช่นนั้นคงจะมาจากความเข้าใจต่อ “ราชาชาตินิยม” ในแบบของผู้พูดเอง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาคิดอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เป็นคนละเรื่องกับ “ราชาชาตินิยม” ในความคิดของผม

แม้ว่าใครๆ ก็สามารถจะมีส่วนให้ความหมายกับคำหรือวลีสารพัดที่ถูกเสนอในที่สาธารณะได้ทั้งนั้น ผมไม่สามารถผูกขาดความหมายไว้ตามที่ผมคิดได้ ต่อให้อยากผูกความหมายให้นิ่งคงที่ก็ไม่มีทางทำได้

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าน่าจะได้เวลาทบทวนสักหน่อยว่าผมคิดอย่างไรต่อมโนทัศน์ (concept) “ราชาชาตินิยม” ที่เสนอออกไปเมื่อ 24 ปีก่อน

ในปี 2521 อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เสนอเรื่อง “ประวัติศาสตร์สกุลดำรงราชานุภาพ” ไว้ สาระสำคัญหลายจุดในแง่ที่เป็นประวัติศาสตร์นิพนธ์ก็ทำนองเดียวกับที่ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยมที่ผมเสนอ เช่น ประวัติศาสตร์ที่เน้นกษัตริย์เป็นศูนย์กลางหรือเป็น “ประธาน” (Subject) ของประวัติศาสตร์

แต่ผมเห็นว่าแนวคิดราชาชาตินิยม ไม่ใช่แค่สกุลประวัติศาสตร์นิพนธ์ แต่เป็นอุดมการณ์ประวัติศาสตร์ หรือจะเรียกว่าเป็น “อุดมการณ์แห่งชาติ” ที่อิงกับความรู้ประวัติศาสตร์ที่ครอบงำสังคมไทยก็ได้

อุดมการณ์นี้ครอบคลุมงานเขียนของคนอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งในช่วงระยะเดียวกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ และในภายหลัง ทั้งผู้ที่สืบทอดผลิตซ้ำประวัติศาสตร์ทำนองเดียวกับพระองค์ท่าน และผู้ที่ริเริ่มสร้างสรรค์ในความคิดประวัติศาสตร์ของตนเอง แต่ภายใต้กรอบอุดมการณ์เดียวกัน ถึงขนาดที่มีผลกำหนดความเข้าใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอีกด้วย (ดู ชัยพงษ์ สำเนียง https://prachatai.com/journal/2020/02/86456)

ที่สำคัญกว่างานทางประวัติศาสตร์ก็คือ อุดมการณ์ราชาชาตินิยมมีความสำคัญต่อชีวิตทางสังคมการเมืองไทยมหาศาลในหลายแง่หลากมิติ เช่น มีการศึกษาแล้วว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อวัฒนธรรมอำนาจนิยมและอารมณ์ในวัฒนธรรมไทย เป็นต้น (ดู มหาบุรุษแห่งชุมชนศีลธรรม โดยธัญณ์ณภัทร์ เจริญพานิช, สำนักพิมพ์สมมติ 2566 หรือบทความนี้ของเขาที่ https://www.sm-thaipublishi.com/content/13551/royal-nationalism 19 มีนาคม 2566)

ในที่นี้ผมขอเสนอเน้นเพียง 3 ประการ ซึ่งกลายเป็นฐานคติ (premise) ของความรู้ แนวความคิด และของสถาบันทางสังคมการเมืองจำนวนมากของไทย

ประการแรก เราเชื่อกันว่าราชาชาตินิยมเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องแต่เพียงแบบเดียวของสังคมไทยมาเป็นเวลานาน ด้านหนึ่ง เป็นเพราะเป็นความรู้ประวัติศาสตร์แบบเดียวที่ประชาชนไทยคุ้นเคยนับแต่เริ่มต้นมีความรู้ประวัติศาสตร์แบบสมัยใหม่ อีกทั้งรัฐไทยก็กรอกสมองต่อเนื่องมาหลายรุ่น สังคมไทยก็ช่วยกันผลิตซ้ำตอกย้ำกันเข้าไป

อีกด้านหนึ่ง เป็นอิทธิพลของความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์แบบสมัยใหม่ (modernist) ซึ่งเชื่อว่าประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องจริงแท้มีเพียงสำนวนเดียว เราศึกษาค้นคว้าเพื่อเรียนรู้จิ๊กซอว์ (jigsaw) ทีละชิ้นๆ จนกว่าจะเติมภาพรวมของประวัติศาสตร์ให้เต็มทุกชิ้นให้จงได้ ทุกวันนี้นักประวัติศาสตร์เลิกเชื่อเพ้อฝันเช่นนั้นกันแทบหมดแล้ว

ในขณะที่ความคิดแบบสมัยใหม่ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากและนักประวัติศาสตร์ประมาณ 30 ปีที่ผ่านมาเลิกความคิดดังกล่าวไปแล้วเพราะตระหนักดีว่าไม่มีภาพรวมที่รอการต่อเติมให้เต็มด้วยจิ๊กซอว์ชิ้นต่างๆ แต่การศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเพราะเกิดคำถามใหม่ๆ ไม่รู้จบต่างหาก

คำถามเหล่านั้นประมวลกันเข้าก็ไม่มีวันกลายเป็นจิ๊กซอว์ภาพเดียวกัน



ประการที่สอง ความเชื่อในประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมถูกทำให้เป็นลักษณะพิเศษของประเทศไทยของชาติไทยที่ไม่เหมือนใครในโลก และเป็นลักษณะพิเศษซึ่งน่ายกย่องเชิดชูบูชาต้องรักษาไว้

นอกจากจะเชื่อว่าประวัติศาสตร์ที่จริงแท้มีเพียงหนึ่งเดียวดังกล่าวไปแล้ว ยังเชื่ออีกด้วยว่าความจริงของประวัติศาสตร์ไทยไม่มีใครในโลกเสมอเหมือน เพราะวิเศษกว่าใครในโลก จึงน่ายกย่องเชิดชูบูชาต้องรักษาไว้

การอ้างถึงลักษณะพิเศษเช่นนี้เราอาจจะเคยได้ยินจากปากของนักวิชาการรวมทั้งนักประวัติศาสตร์ แต่น้อยลงมากแล้ว ทว่าเราท่านน่าจะยังได้ยินจากนักโฆษณาชวนเชื่อและจากกระบอกเสียงของรัฐเป็นประจำ

ไม่ว่าเป็นนักวิชาการอิสระ นักวิชาการสังกัดสถาบันทิศทางไทย นักวิชาการคนเขียนตำรากระทรวงศึกษาธิการ หรือบรรดาผู้ใช้ความเชื่อทางวิชาการเหล่านี้ไปใช้ในกิจกรรมการทำงานขององค์กรต่างๆ ในระบบราชการ

ประการที่สาม ความเชื่อในลักษณะพิเศษของราชาชาตินิยมได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของสถาบันหลักของสังคมไทย คือ

1) ระบอบการเมืองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

2) สถาบันที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง

และ 3) นิติศาสตร์ปรัชญาของไทยและกระบวนการยุติธรรมของไทย

นั่นหมายความว่า รัฐพันลึกทั้งหมดดำรงอยู่ได้โดยมีอุดมการณ์ทางประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมเป็นฐานรองรับ ทุกสถาบันสำคัญของรัฐพันลึกได้อ้างถึงลักษณะพิเศษของชาติข้อนี้ เป็นเหตุผล เป็นความชอบธรรมที่ตนดำรงอยู่ และเป็นจุดมุ่งหมายที่ตนรับใช้ เพราะอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สังคมไทยขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ในขณะที่ในโลกนี้ มีความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐกับประชาชนมีสารพัดแบบ การใช้อำนาจและการปกครองมีได้หลายแบบ แต่ในประเทศไทยกลับถือว่ามีได้เพียงแบบเดียว ความมั่นคงของรัฐและของชาติจึงมีความหมายคับแคบเพียงประการเดียวเท่านั้น ประชาชนจะตกอยู่ในความหวาดกลัวถูกคุกคามทำร้ายสักเท่าไรก็มิใช่ปัญหาความมั่นคง

ตรงกันข้าม ประชาชนควรหวาดกลัวเพื่อความมั่นคงตามอุดมการณ์แบบราชาชาตินิยม

ในกรณีสถาบันทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมหรือนิติศาสตร์ไทยนั้น นิติปรัชญาของสังคมต่างๆ แยกไม่ออกจากความรู้ความเชื่อทางประวัติศาสตร์ หรืออุดมการณ์ประวัติศาสตร์ในสังคมนั้นๆ

สังคมตะวันตกก็เป็นเช่นนั้น นิติศาสตร์ไทยก็มีปรัชญาที่ผูกกับอุดมการณ์ประวัติศาสตร์ของไทย

เราจะพบการอ้างถึงประวัติศาสตร์ไทยในคำตัดสินสำคัญๆ แถมโดยมากจะอ้างถึงเพียงสั้นๆ หรืออย่างสรุปรวบยอด เพราะถือ (ทึกทัก) กันว่าเป็นสิ่งที่คนไทยรับรู้เป็นปกติทั่วไปอยู่แล้ว ถือเป็น “สัจพจน์” (axiom) ที่ไม่ต้องการพิสูจน์หรือถกเถียงกันอีกแล้ว เพราะปราศจากข้อโต้แย้งแล้ว

โดยปกติ เราท่านประสบกับประวัติศาสตร์ที่สรุปรวบยอดเป็นสัจพจน์เช่นนี้มาบ่อย จนเราท่านก็คงไม่เฉลียวใจหรือรู้สึก “เอ๊ะ” แต่อย่างใด

ลองมาดูกันสัก 2 ตัวอย่าง

ตัวอย่างที่หนึ่ง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีพรรคก้าวไกลหาเสียงว่าจะแก้ ม.112 (31 มกราคม 2567) หน้า 24-25 “ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 …สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข … สืบเนื่องมาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์โบราณราชประเพณี นิติประเพณี ซึ่ง…มีลักษณะพิเศษเป็นสถาบันหลักของประเทศ…”

ตัวอย่างที่สอง คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล (7 สิงหาคม 2567) หน้า 33 “… แม้การกระทำของผู้ถูกร้องตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ…เป็นการกระทำต่อสถาบันหลักของชาติซึ่งเป็นสถาบันสร้างและก่อกู้ชาติไทยทั้งยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยก็ตาม…“

เราจะพบการอ้างถึงประวัติศาสตร์ที่เป็นสัจพจน์ไม่ต้องโต้เถียงกันอีกแล้วทำนองนี้ในคำตัดสินคดี ม.112 หลายคดี

ก็เพราะสังคมไทยเชื่อว่าตนมีลักษณะพิเศษแบบราชาชาตินิยม นิติศาสตร์ไทยจึงเป็นนิติศาสตร์ที่ให้อภิสิทธิ์แก่รัฐมีอำนาจมากเหลือล้นเกินกว่าปกติเพื่อรักษาความมั่นคง เพื่อรักษาอภิสิทธิ์ของบุคคล กลุ่มคนและสถาบันสำคัญของรัฐ

ยามใดที่นิติศาสตร์แบบนี้ขัดแย้งกับระบบกฎหมายเป็นใหญ่ (Rule of Law) ตามแบบสากล นิติศาสตร์ของไทยจะอ้างลักษณะพิเศษเพื่อให้ใช้ “ข้อยกเว้น” นอกเหนือมาตรฐานสากลก็ได้

หัวใจของอุดมการณ์ราชาชาตินิยมก็คือทำให้ราชาชาตินิยมมีสถานะเป็นลักษณะพิเศษที่สำคัญเหนือกว่าการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

สังคมไทยคุยโม้เสมอว่ายกระดับทัดเทียมมาตรฐานสากล แต่ทั้งในทางปรัชญา ความคิดและในภาคปฏิบัตินั้นเต็มไปด้วยข้อยกเว้นหรือข้อขัดแย้งต่อมาตรฐานสากลเพื่อค้ำจุนลักษณะพิเศษเช่นนั้น

ดังนั้น จึงเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ เป็นนิติศาสตร์แบบไทยๆ จึงเป็นสารพัดอย่างที่เป็นแบบไทยๆ หมายถึงเป็นไปตามข้อยกเว้นเพื่อค้ำจุนลักษณะพิเศษของราชาชาตินิยมที่ไม่เหมือนใครในโลกไว้

เราอาจจะเข้าใจความสำคัญคอขาดบาดตายของอุดมการณ์ราชาชาตินิยมที่กลายเป็นฐานของนิติศาสตร์ไทย (นิติปรัชญาของไทย) และกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยอธิบายเปรียบเทียบ (ดูตาราง)



ฐานคติ (premise) ที่ต่างกันสองประเภทนี้ทำให้การเถียงเกี่ยวกับกฎหมายหลายครั้งไม่ตกฟาก เพราะ “พูดกันคนละภาษา” หมายถึงคนละนิติปรัชญา คนละฐานคิด

https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_873780