วันอังคาร, กันยายน 30, 2568

‘ทรั้มพ์’ เริ่มมีอาการ ‘Dementia’ หรือภาวะสมองเสื่อมออกมาแล้ว จากการโพสต์เรื่อง ‘MedBed’ เตียงคนไข้อัจฉริยะ ซึ่งเป็นเฟคนิวส์สร้างขึ้นด้วยเอไอ

ทรั้มพ์ เริ่มมีอาการ ‘Dementia’ หรือภาวะสมองเสื่อมออกมาแล้ว รอเบิร์ต ไร้ซ์ ศาสตราจารย์และนักวิจารณ์การเมือง อดีตรัฐมนตรีแรงงานสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน เขียนในบทความประจำของเขาเมื่อวาน (๒๙ กันยา)

ไร้ซ์เอาข้อมูลมาจากเพจ Constitutional Federal Republic บนเฟชบุ๊ค ที่มองว่าอาการคล้ายคลั่งของทรั้มพ์ ออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างสาดเสียบ่อยขึ้นในระยะหลังๆ นี่ ไม่ใช่การใช้วาทกรรมสุดโต่งเพื่อการหาเสียงอีกต่อไป

ไม่ถึงสองอาทิตย์ที่แล้ว ประธานาธิบดีคนที่ ๔๗ (สมัยที่ ๖๐) ของสหรัฐ สั่งให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินคดีต่อบุคคลที่เป็นคู่อริทางการเมืองของเขา ๓ คน คือ เจมส์ โคมี่ อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ เลติเชีย เจมส์ อัยการสูงสุดนิวยอร์ค และแอดัม ชิฟท์ วุฒิสมาชิกจากแคลิฟอร์เนีย

ขณะนี้มีโคมี่คนเดียวที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ด้วยข้อหาโกหกต่อคณะลูกขุนหลวง และขัดขวางกระบวนการยุติธรรม กระทรวงสามารถทำอย่างนี้ได้เมื่อทรั้มพ์กดดันอย่างหนักต่อ แพม บอนดิ อัยการสูงสุด แต่ก็ทำให้ แอริก ซีเบิร์ต อัยการเขตเวอร์จิเนียตะวันออกลาออก

ทรั้มพ์ตั้งทนายส่วนตัวของเขาเข้าดำรงตำแหน่งแทน เพื่อเร่งรัดฟ้องคดีต่อเลติเชียและแอดัม เขาบ่นกับผู้สื่อข่าวว่าอยากไล่ออกแอริก เพราะแอริกเห็นว่าคดีที่จะฟ้องโคมี่กับเลติเชียนั้นหลักฐานอ่อนมาก นักวิเคราะห์กฎหมายหลายคนก็เห็นอย่างนั้น

๒๐ กันยา หนึ่งวันหลังจากแอริกลาออก ทรั้มพ์เขียนบันทึกถึงแพม บอนดิว่า คดีต่อสามอริของเขาไม่คืบหน้าเลย เขาบอกกับลินซี่ ฮัลลิแกน ซึ่งเขาตั้งมาแทนแอริกว่า “เราจะปล่อยให้เชื่องช้าอย่งนี้ไม่ได้อีกแล้ว มันทำให้สื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผมถูกกำจัดไป

“คนพวกนี้ impeached (ดำเนินคดีในสภาเพื่อถอดจากตำแหน่ง) ผมถึงสองครั้ง แท้จริงยังมีการแจ้งความดำเนินคดีอื่นๆ อีกถึง ๕ ครั้ง รวมทั้งคดีฉ้อโกงในนิวยอร์คอย่างน้อยสองคดี ที่ทำให้ทรั้มพ์โกรธเกลียดเลติเชียเหลือหลาย

เช่นกันกับแอดัม ชิฟท์ซึ่งเป็นหัวหอกในการอภิปรายคดี ๖ มกรา ๒๐๒๑ ที่ทรั้มพ์กระตุ้นให้พลพรรค MAGA บุกตึกรัฐสภาไม่ยอมรับชัยชนะของโจ ไบเด็น ทำลายภายในอาคารเสียหาย มีคนนับร้อยถูกดำเนินคดีและลงโทษจำคุก

เกี่ยวกับคดี ๖ มกรานี่ จนป่านนี้ทรั้มพ์ยังละเมอเพ้อพกว่า ครั้งนั้นเอฟบีไอส่งสายลับ ๒๗๔ คนเข้าไปแทรกอยู่ในฝูงชนเพื่อเร่งเร้า ยุยงให้เกิดการโหมกระหน่ำรุนแรง ทั้งที่ คริสโตเฟอร์ เรย์ ผอ.ขณะนั้นปฏิเสธแล้วว่าไม่จริง แม้แต่คาสช์ พาเทล ผอ.คนปัจจุบันซึ่งเขาตั้งเอง ยังบอกว่าไม่ใช่

ช่วงสองวันที่ผ่านมา ทรั้มพ์โพสต์บน ทรุธโซเชียลสื่อสังคมที่เขาตั้งขึ้น แชร์วิดีโอเกี่ยวกับโรงพยาบาล MedBed’ นัยว่ามาจากฟ็อกซ์นิวส์แต่ไม่ใช่ แท้จริงเป็นเฟคนิวส์สร้างขึ้นด้วยเอไอ เป็นเรื่องเพ้อฝันที่มีเตียงคนไข้อัจฉริยะ พอขึ้นไปนอนจะตรวจรักษาโรคทุกอย่างได้หมด

เหล่านั้นเป็นอาการที่ทำให้นักวิจารณ์การเมืองเริ่มมองว่าทรั้มพ์ชักจะประสาทหลอนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการเพ้อพก (Paranoid) แบบ ขวาพิฆาตซ้าย ของเขา เขาบอกว่าจะต้องกวาดล้างคอมมิวนิสต์ ม้าร์กซิสต์ ฟ้าสซิสต์ และนักเลงฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง ให้สิ้นซากจากอเมริกา

ทรั้มพ์สั่งหน่วย ไอ๊ซ์(ควบคุมคนต่างด้าว) ไปไล่จับคนผิวสีน้ำตาลใน แอล.เอ. นิวยอร์ค และบางเมือง จนเป็นข่าวจากการกระทำระห่ำ รุนแรง และน่าเกลียดของเจ้าหน้าที่ซึ่งใส่หมวกและปิดหน้ามิดชิด ที่เขาว่าจะส่งไปชิคาโกและพอร์ตแลนด์ก็ถูกต่อต้านอย่างแข็งขัน

การสั่งองค์การควบคุมสื่อสารมวลชนให้กดดันสถานีโทรทัศน์ใหญ่ ปลดนักจัดรายการสนทนาภาคดึกบางคน เช่นสตีเฟ็น โคลแบร์ และจิมมี่ คิมเมิล ก็เจอกับกระแสตีกลับหนักหน่วงเช่นกัน ตามมาด้วยการได้รับรางวัลเอ็มมี่ของโคลแบร์

และ ดิสนี่ย์เองหน้าแตก อีกสองวันให้หลังต้องสั่งสถานีเอบีซีเรียกคิมเมิลกลับไปจัดรายการต่อ

(https://www.facebook.com/ConstitutionalFederalRepublic/posts/md3ckhhqctx และ https://robertreich.substack.com/p/why-isnt-the-media-reporting-on-trumps-d1e แถมเพลง Black sabbath - Paranoid [แปลไทย] https://www.youtube.com/watch?v=bUggLQ4Ni3A)


จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แตะหมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้ขัดเงื่อนไขเรื่องการปกครอง ทำได้ ในอดีตเคยทำ - บวรศักดิ์ รองนายกฯแจง เลือกตั้งรอบหน้ามีบัตร 4 ใบ โดยใบที่ 3 เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมี 2 คำถามในบัตรใบเดียวกัน


iLaw 
9 hours ago
·
จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แตะหมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้ขัดเงื่อนไขเรื่องการปกครอง ทำได้ ในอดีตเคยทำ
.
"ถ้าผ่านขั้นตอนที่ 1 แล้ว จะทำขั้นตอนที่ 2 คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร. หรือใครก็แล้วแต่ ที่ผ่านประชามติ ตรงนั้นจะไปดูว่าจะแตะหมวด 1-2 หรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า 2 พรรคใหญ่ได้พูดไปแล้วในสื่อมวลชนว่าจะไม่แตะหมวด 1-2 เพราะถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปแตะจะมีปัญหาทันทีว่าจะขัดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
.
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อประเด็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
.
ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 255 กำหนดว่า “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้”
.
แต่ไม่ได้หมายความว่า หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ จะ “แตะ” ไม่ได้เลย การแก้ไขสามารถทำได้ ตราบใดที่ไม่เปลี่ยนแปลง “แก่น” คือระบอบการปกครอง หรือรูปแบบของรัฐ หมายความว่า การแก้ไขถ้อยคำ สามารถทำได้ แต่หากแก้บทบัญญัติหมวด 1 หมวด 2 ในรัฐธรรมนูญ 2560 จะต้องทำประชามติ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ( กำหนดให้การแก้ไขเรื่องนี้ต้องทำประชามติด้วย
.
กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อตั้งองค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา เงื่อนไขของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ยังยึดโยงกับมาตรา 255 คือ จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือรูปแบบของรัฐไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะ “แตะ” หมวด 1 หรือ หมวด 2 ไม่ได้เลย จากในประวัติศาสตร์การจัดทำรัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 ก็เคยถูกแก้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาแล้ว เช่น
.
๐ หมวด 1 : บทบัญญัติเรื่องระบอบการปกครอง เคยถูกผู้ร่างรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลง จากในอดีต รัฐธรรมนูญ 8 ฉบับเคยเขียนว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” แต่รัฐธรรมนูญ 2534 เติมคำเชื่อมเข้ามา “มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
๐ หมวด 1 : บทบัญญัติเรื่องอำนาจอธิปไตย บางฉบับเขียนว่าอำนาจอธิปไตย “เป็นของ” ปวงชน บางฉบับเขียนว่าอำนาจอธิปไตย “มาจาก” ปวงชน
.
บทบัญญัติในหมวด 1 ไม่ได้มีเพียงรูปแบบของรัฐ ระบอบการปกครอง แต่ยังมีมาตราที่รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค
.
๐ หมวด 2 : จำนวนองคมนตรี มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา เพิ่มขึ้นเป็น 19 คน (รวมประธาน) ในรัฐธรรมนูญ 2534
.
๐ หมวด 2 : ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้ กรณีพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ “หรือไม่ก็ได้” ซึ่งรัฐธรรมนูญในอดีต ไม่เคยเขียนเปิดช่องให้พระมหากษัตริย์ใช้ดุลยพินิจเช่นนี้มาก่อน
.
ในรัฐธรรมนูญ 2560 นั้น กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไม่ได้เขียนมาตั้งแต่แรกให้พระมหากษัตริย์ตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ “หรือไม่ก็ได้” แต่ถูก “แก้ไขเพิ่มเติม” ภายหลังจากการทำประชามติ ตามข้อสังเกตพระราชทาน
.
อ่านเพิ่มเติม : พัฒนาการรัฐธรรมนูญไทย 20 ฉบับ หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ แก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อหามาตลอด https://www.ilaw.or.th/articles/50366

https://www.facebook.com/iLawClub/posts/1213380320835585



 

เปรูเดือด กลุ่ม Gen Z ชุมนุมต่อต้านประธานาธิบดีโบลูอาร์เต เรื่องเงินบำนาญและคอร์รัปชัน


Peru: Gen Z Rally Against President Boluarte Over Pension & Corruption | Peru Protests | 4K | N18G

CNBC TV-18

Sep 29, 2025 

Peru's youth are rallying for another round of protests against President Dina Boluarte a week after demonstrations in the capital led to clashes with the police, following reforms to the country's pension system & ensuing corruption.

https://www.youtube.com/watch?v=ZNJ44EDIZrs


Reuters 
11 hours ago
·
Peru's Gen Z clash with police in fourth Lima protest

Gen Z protesters clash with the police as tensions rise in Lima, Peru’s capital city. The protests were fueled by anger over corruption scandals, economic insecurity and other factors.

https://www.youtube.com/shorts/7OAnVYb2n8I



การพูดความจริงนั้นไม่ยาก ที่ยากคือการพูดความจริงที่ต้องห้ามมิให้พูดถึง


อานนท์ นำภา
9 hours ago
·
๒๖ กันยายน ๒๕๖๘ ครบรอบ ๒ ปีแห่งการจองจำด้วยม.๑๑๒ ซึ่งถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องกล่าวว่า ๓ ปี ไม่ใช่ ๒ ปี ถ้านับทุกครั้งที่เข้าๆ ออกๆ คุก หลังจากการออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองซึ่งเกี่ยวกับการพูดความจริงจนต้องคดีตาม ม.๑๑๒

ผมไม่แน่ใจว่าหลังจากผมออกมาพูดในการชุมนุมแฮรี่พอตเตอร์ ๓ สิงหาคม ๖๓ ความคิดของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อย บริบทการเมืองภาพใหญ่ของประเทศจะเปลี่ยนไปหรือไม่ หากแต่ชีวิตผมย่อมเปลี่ยนไปตลอดกาล

การพูดความจริงนั้นไม่ยาก ที่ยากคือการพูดความจริงที่ต้องห้ามมิให้พูดถึง ผมจำได้ดีว่าในคืนวันที่ ๓ สิงหาคม ๖๓ หลังจากปราศรัยในงานฉอรี่พอตเตอร์ ผมรู้สึกดีมากๆ รู้สึกสบายใจ โล่งใจอย่างยิ่งที่การพูดความจริงได้เริ่มขึ้นอย่างสาธารณะเสียที

ที่บอกว่าได้เริ่มมิได้หมายถึง ทนายอานนท์ เป็นคนแรกที่พูด เพราะความจริงมีผู้มาก่อนกาลหลายคนได้พูดและถากถางทางไว้แล้ว หากแต่ผมหมายถึงความอึมครึม ความกระอักอระอ่วนในห้วงเวลาที่สังคมใหม่ คนรุ่นใหม่ “ระลอกใหม่” ได้ชัดเจนเสียที ได้พูดตรงๆ กันเสียที!

เป็นความโล่งใจอย่างยิ่ง!

ชีวิตผมช่วงนี้ยังดำเนินไปอย่างช้าๆ ระหว่างถูกขังในคุกและออกไปสู้คดีที่ศาล เป็นอยู่อย่างโล่งใจ และสู้ด้วยความโล่งใจ ปลอดโปร่งยิ่ง

เชื่อมั่นและศรัทธา
อานนท์ นำภา
ณ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=31626975540250440&set=a.163415147033223



ทนายอานนท์ นำภา ขึ้นศาลซักพยานโจทก์ ในคดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อปี 2563 โดยขอเบิกตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เป็นพยานในศาลเพื่อถามว่า ได้แถลงข่าวกรณีในหลวงแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังผ่านประชามติจริงหรือไม่



“อานนท์ นำภา” เป็นทนายในคดี 112 ขอเบิกตัว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพยาน กรณีปราศรัย 19 กันยายน 2563

กันยายน 29, 2025
Isaan Record

ทนายอานนท์ นำภา ขึ้นศาลซักพยานโจทก์ ฝั่งตำรวจในคดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อปี 2563

โดยขอเบิกตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เป็นพยานในศาลเพื่อถามว่า ได้แถลงข่าวกรณีในหลวงแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังผ่านประชามติจริงหรือไม่

การสืบพยานฝ่ายโจทก์ครั้งนี้ใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ท่ามกลางผู้สนใจเข้าร่วมฟัง โดย ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล อดีตนักวิชาการคณะประวัติศาสตร์ ม.วิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐฯ ร่วมสังเกตการณ์ด้วย

“กร๊อง แกร๊ง ๆ ๆ ๆ”

เป็นเสียงเครื่องพันธนาการที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของ “อานนท์ นำภา” ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เดินออกจากลิฟท์ (พิเศษ) บริเวณชั้น 8 ศาลอาญา รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

เขาเดินนำหน้านักโทษทางการเมือง อาทิ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ ที่ถูกนำตัวจากศาลภูเขียว จ.ชัยภูมิ หลังถูกตัดสินจำคุกในการปราศรัยหน้า สภ.ภูเขียว เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2568 เพื่อขึ้นศาล

อานนท์ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน จากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตยหรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563

วันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปีเต็ม

คราวนี้เขาปรากฏตัวที่ศาลในฐานะทนายและจำเลยที่ 2 จากการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎรที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต่อเนื่องสนามหลวงใน 3 ข้อหา คือ หมิ่นสถาบันฯ ตามมาตรา 112, ยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และ มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาตรา 215 โดย พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม เป็นผู้กล่าวหา

คดีนี้มีจำเลย 22 คน ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาตามมาตรา 112 จำนวน 7 คน ส่วนอีก 15 คน ถูกฟ้องในคดีอื่น ๆ จำเลยคนที่ 1 ในคดีนี้ คือ พริษ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ขณะนี้ลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศ

ระหว่างการพิจารณาคดี มี ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล อดีตนักวิชาการคณะประวัติศาสตร์ ม.วิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐฯ ร่วมสังเกตการณ์ด้วย
 
ตำรวจปราบฝูงชนเป็นผู้กล่าวหาคดี 112

พ.ต.อ.วิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี อดีต ผกก.ควบคุมฝูงชน 2 หนึ่งในพยานโจทก์เบิกความว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เกิดความไม่พอใจของนักศึกษา ประชาชน มีการประท้วงในรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย กลุ่มเยาวชนสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย แล้วนัดชุมนุมในรั้วโรงเรียน มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเดือนมิถุนายนปีเดียวกันมีการชุมนุมกรณีการหายตัวในประเทศเพื่อนบ้านของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้ผู้ประท้วงผูกโบว์ขาวตามสถานที่ต่าง ๆ

เขาเบิกความอีกว่า เยาวชนปลดแอกนัดรวมตัวกันเมื่อที่ 18 กรกฎาคม 2563 มีผู้ชุมนุมกว่า 4 พันคน เรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ยุบสภา 2.สสร.ทั้งฉบับ และ 3.หยุดคุกคามประชาชน ขณะนั้นการข่าวประเมินว่า กระแสการชุมนุมเกิดขึ้นแล้ว

พ.ต.อ.วิวัฒน์ เบิกความอีกว่า ขณะนั้นได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่า ให้ติดตามกระแสเรียกร้องที่มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน กลุ่ม ม.เกษตร ได้ชุมนุมหน้าร้านแมคโดนัลด์ เรียกการชุมนุมว่า #เสกคาถาผู้ทักษ์ประชาธิปไตย มีอานนท์ นำภา เป็นผู้ปราศรัยวิจารณ์สถาบันกษัตริย์เป็นครั้งแรก กระทั่งมีการชุมนุม 19 กันยาฯ ที่มีประชาชนบางส่วนเดินทางจากต่างจังหวัดมาพักอาศัยบริเวณแยกคอกวัวและใกล้เคียง

“การฟ้องร้องครั้งนี้ได้แกะเทปแบบคำต่อคำของผู้ปราศรัยทุกคนมีความผิดตามฟ้อง ซึ่งต้องขอชี้แจงว่า ส่วนตัวไม่รู้จักจำเลยทั้ง 22 คน จึงไม่มีเหตุโกรธเคืองกัน” พ.ต.อ.วิวัฒน์ เบิกความ

การเบิกความครั้งนี้ได้แนบแผนผังลำดับเหตุการณ์และรูปจำเลยประกอบในแผนผัง เรียงตามลำดับเวลา


เอกสารประกอบการเบิกความของพยานฝ่ายโจทก์เป็นการเรียงลำดับเหตุการณ์โดยเรียงลำดับจำเลยที่ 1-22
 
ความขัดแย้งทางความคิดของคนรุ่นใหม่-เก่า?

อานนท์ ในฐานะจำเลยคนที่ 2 ในคดีนี้ได้ทำหน้าที่ทนายในการซักพยานโจทก์ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองช่วงระหว่างปี 2562-2564 จะบอกได้ว่า เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าได้หรือไม่ เนื่องจากบนเวทีปราศรัยได้กล่าวถึงกฎหมายสมรสเท่าเทียมของ LGBT ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเกณฑ์ทหาร รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ซึ่งต่อมากรณีสมรสเท่าเทียมที่ปราศรัยบนเวทีฯ ได้ผลักดันออกมาเป็นกฎหมายแล้ว

พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า เรื่องดังกล่าวมีส่วนถูก

จากนั้นอานนท์ถามต่อว่า กรณีที่บอกว่า การชุมนุมทางการเมืองนี้เป็นความเห็นแตกต่างของคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่นั้นจะเห็นได้ว่า ในการปราศรัยของ พริษ ชิวารักษ์ พูดเรื่องขบวนเสด็จนั้นก็เพราะบนทวิตเตอร์มีการติด #ขบวนเสด็จ ซึ่งสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งแฮชแท็กดังกล่าวก็ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนทวิตเตอร์ในช่วงเวลานั้น

พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า เป็นเรื่องจริง แต่ไม่รับรองว่า ขึ้นเทรนด์เป็นอันดับ 1 จริงหรือไม่
 
โอนกำลังพลไปถวายความปลอดภัยไม่เห็นว่า “มีปัญหา”

อานนท์ ยังถามถึงความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นประเด็นทำให้คนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะการออก พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ถือเป็นกองกำลังของพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ถือเป็นรัฐซ้อนรัฐหรือไม่

พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า มีการออก พ.ร.ก.ดังกล่าวจริง ถือเป็นการถวายความปลอดภัย ไม่เห็นว่า เสียหาย

นอกจากนี้อานนท์ ยังถามถึงการเสด็จประพาสประเทศเยอรมันนีของในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยไม่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จริงหรือไม่ เพราะเป็นถ้อยคำในการปราศรัยของผู้ตกเป็นจำเลย

ซึ่ง พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า เสด็จไปจริง ส่วนจะบ่อยแค่ไหน ไม่ทราบ และไม่ได้ตรวจสอบ

อานนท์ ขอให้เรียกเอกสารการเสด็จประพาสต่างประเทศของในหลวงรัชกาลที่ 10 ระหว่างปี 2559 – 2563 มาตรวจสอบได้หรือไม่

พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ถือเป็นสิทธิของจำเลย
 
The King can do no wrong

อานนท์ ถามอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) แถลงข่าวว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีพระราชดำรัสให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ทั้ง ๆ ที่ผ่านการทำประชามติแล้ว เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่

พ.ต.อ.วิวัฒน์ ถามกลับว่า “ท่านทราบได้อย่างไรว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ตามหลักการปกครองแล้ว The King can do no wrong”

อานนท์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ถามเช่นนี้ เพราะก่อนจะไปแจ้งความผู้ใดในความผิดฐาน 112 ตำรวจได้ตรวจสอบหรือไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงข่าวอย่างนั้นจริงและคนที่ถูกกล่าวหาก็นำข่าวที่เผยแพร่ในสื่อมวลชนมาปราศรัย

ระหว่างนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ได้กล่าวว่า “ให้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์เอง แต่หลักการปกครอง คือ The King can do no wrong”

อานนท์ ได้กล่าวว่า พยานโจทก์ควรทำหนังสือไปยังสำนักพระราชวังและถาม พล.อ.ประยุทธ์ (ขณะนี้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี) หรือเชิญให้มาเป็นพยานในศาล หรือค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลว่า เรื่องนี้เป็นจริงไม่

พยานโจทย์ ไม่ตอบกรณีนี้

อานนท์ ถามต่อว่า ก่อนแจ้งความได้ตรวจสอบหรือไม่ว่า การปราศรัยถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ที่เป็นการสังหารโหดบริเวณสนามฟุตบอลใน ม.ธรรมศาสตร์​ ท่าพระจันทร์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งผู้ปราศรัยเรียกร้องให้มีการไต่สวนว่า ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ใครสั่งฆ่านักศึกษา

ประเด็นนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ บอกว่า เรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์​และไม่ขอตอบคำถาม

อานนท์ถามต่อว่า นอกจากนี้จำเลย คือ อานนท์ นำภา ได้ปราศรัยเกี่ยวกับการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 โดยเรียกร้องให้ไต่สวนใหม่ เพราะทายาทของผู้ถูกประหารชีวิต 3 คน คือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายเฉลียว ได้ร้องมายังศาลอาญาให้รื้อฟื้นคดีนี้ เพราะเห็นว่า ทั้ง 3 คน เป็นแพะรับบาป มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

ประเด็นนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ไม่มีความเห็น
 
ผู้ชุมนุมไม่เห็นด้วยกับการรับรองคณะรัฐประหาร

อานนท์ถามต่อว่า ผู้ปราศรัยที่ตกเป็นจำเลย ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 2549 และไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 2557 ที่มีการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถือว่า เป็นหัวหน้ารัฐประหาร โดยมีเอกสารในราชกิจจานุเบกษา มีผู้รับสนองฯ ซึ่งผู้ปราศรัยบอกว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรรับรองคณะรัฐประหาร เพราะเป็นห่วงบ้านเมือง

ระหว่างนี้อานนท์​ได้เดินนำเอกสารที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแสดงต่อศาลว่า มีเอกสารประกาศจริง ทำให้โซ่ตรวนที่ข้อเท้าส่งเสียงกระทบพื้นดัง “กร๊อง แกร๊ง ๆ”

กรณีนี้ ​พ.ต.อ.วิวัฒน์ ไม่ขอตอบ

อานนท์ถามต่อว่า ทราบหรือไม่การรัฐประหารขัดหลักประชาธิปไตย

พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ทราบ

จากนั้นอานนท์ได้อ่านบทกวีที่อ่านบนเวทีปราศรัย ซึ่งผู้กล่าวหาระบุว่า เป็นการยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ที่เป็นบริบทเกี่ยวกับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีนัยว่า ศาลต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง รับใช้ประชาชนหรือไม่

คือตราชู ผู้ชี้ เสรีสิทธิ

คือศาลสถิต ยุติธรรม นำสมัย

คือหลักประกัน ประชาธิปไตย

มิใช่ อภิชน คนชั้นฟ้า !

ครุยที่สวม นั้นมา จากภาษี

รถที่ขี่ เงินใคร ให้หรูหรา

ข้าวที่กิน ดินที่ย่ำ บ้านงามตา

ล้วนแต่เงิน ของมหา ประชาชน

มิได้ อวตาร มาโปรดสัตว์

แต่เป็น “ลูกจ้างรัฐ” ตั้งแต่ต้น

ให้อำนาจ แล้วอย่าหลง ทนงตน

ว่าเป็นคน เหนือคน ชี้เป็น-ตาย

เสาหลัก ต้องเป็นหลัก อันศักดิ์สิทธิ์

ใช่ต้องลม เพียงนิด ก็ล้มหงาย

ยิ่งเสาสูง ใจต้องสูง เด่นท้าท้าย

ใช่ใจง่าย เห็นเงิน แล้วเออออ !

ต้องเปิด โลกทัศน์ อย่างชัดเจน

ใช่ซ่อนเร้น อ่านตำรา แต่ในหอ

ออกบัลลังก์ นั่งเพลิน คำเยินยอ

เลือกเหล่ากอ มากอง ห้องทำงาน

ตุลาการ คือหนึ่ง อธิปไตย

อันเป็นของ คนไทย ไพร่-ชาวบ้าน

มิใช่ของ ใครผู้หนึ่ง ซึ่งดักดาน

แต่เป็น “ตุลาการ” ประชาชน

ฉะนั้นพึง สำนึก มโนทัศน์

ใช่ด้านดัด มืดดับ ด้วยสับสน

เปื้อนราคิน กินสินบาท คาดสินบน

แล้วแบ่งคน แบ่งชั้น บัญชาชี้

เถิด “ตุลาการ” จงคิด อย่างอิสระ

รับภาระ อันหนักหนา ทำหน้าที่

หากรับใช้ ใบสั่ง ดั่งกาลี

ตุลาการ เช่นนี้ อย่ามีเลย !

กรณีนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ไม่มีความเห็น
 
หมุดคณะราษฎรหายไปไหน

นอกจากนี้อานนท์ยังถามถึงกรณีการหายไปของหมุดคณะราษฎรจากบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งยังเป็นปริศนาว่า หายไปไหน ทำให้ผู้ปราศรัยเกิดคำถามจึงได้นำหมุดไปฝังบริเวณสนามหลวงแทน ข้อความในหมุด 19 กันยาฯ คือ “ประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย ไม่ได้เป็นของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง”

ประเด็นนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ประเทศเป็นของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ระหว่างนี้อานนท์ได้ถามต่อว่า เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หรือไม่

พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ไม่เห็นด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคณะราษฎร แต่ไม่ทราบว่า ใครเป็นคนเอาหมุดคณะราษฎรไป

การสืบพยานโจทก์ในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมาใช้เวลารวม 6 ชั่วโมง ข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า มีการเลื่อนสืบพยานมาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญบางอย่างตามที่จำเลยร้องขอ

คดีนี้มีการแจ้งความเมื่อเดือนมกราคม 2564 หลังจากการชุมนุมผ่านไป 4 เดือน เป็นการฟ้องร้องหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ให้ใช้กฎหมายทุกมาตราเพื่อเอาผิดผู้ชุมนุม
 

กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

คนเบื่อก็ลี้ภัยไปต่างประเทศ

กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้สัมภาษณ์ The Isaan Record ว่า เรื่องนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยแท้ เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่รัฐใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการปราบปรามผู้เห็นต่าง

เขากล่าวอีกว่า ขณะนี้คนที่ถูกจับในคดีทางการเมืองอยู่ระหว่างประตัว แต่ไม่ได้รับการประกันตัวกว่า 50 คน ซึ่งข้อกล่าวหาคดี 112 เป็นคดีอาญาทั่วไปที่ต้องสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่กลไกที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการที่พิกลพิการ มีการแจ้งความโดยไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่เป็นประชาชนที่เป็นฝั่งตรงกันข้าม เมื่ออัยการสั่งฟ้อง คดีก็มาถึงศาล ส่วนหนึ่งก็จะไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวและการออกหมายเรียกพยานต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ

“พวกเราขอให้ส่งเอกสารเกี่ยวกับการพิสูจน์ว่า คำพูดของผู้ต้องหาเป็นเรื่องจริง ไม่ได้เป็นเรื่องเท็จ ศาลก็ไม่ออกหมายเรียก คดีจึงคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้ มีหลายคนที่เบื่อหน่ายต่อระบบยุติธรรมก็หลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ” กฤษฎางค์ กล่าว

เขาเสนอว่า ทางออกที่ดีที่สุดเกี่ยวกับคดี 112 และคดีการเมือง คือ การนิรโทษกรรมโดยไม่มีเงื่อนไข คือ ให้เริ่มต้นกันใหม่ ดูจากเหตุการณ์​ 6 ตุลาคม 2519 มีผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 กว่า 3,000 คนที่หลบหนี แต่รัฐบาลเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ให้นิรโทษกรรม ทั้งที่ขณะนั้นมาตรา 112 ก็มีโทษสูง แต่รัฐบาลเกรียงศักดิ์ก็นิรโทษกรรมให้

“นักการเมืองและผู้พิพากษาต้องกล้าหาญที่จะพูดเรื่องนี้” ทนายความฯ

ขณะที่อานนท์ให้สัมภาษณ์ The Isaan Record กรณีที่ถามว่า ฝากอะไรถึงคนที่อยู่นอกเรือนจำหรือไม่ว่า “งานนี้เป็นงานเย็น ต้องใจเย็น ๆ การทำงานทางความคิดต้องใช้เวลา ไม่ต้องห่วงคนข้างใน (เรือนจำ) พวกเราอยู่ได้ คนข้างนอกต้องยืนให้มั่นคง”

อ่านรายละเอียดคดีในเว็บไซต์ศูนย์ทนายฯ

https://theisaanrecord.co/2025/09/29/lawyer-in-the-112-case/


ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูลให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่าประเทศไทยไม่เคยรุกรานใครเลยในประวัติศาสตร์ นักเรียนประวัติศาสตร์ได้แต่ส่ายหน้า ระดับนายกรัฐมนตรีกล่าวสวนกับความรู้แบบนี้ได้อย่างไร



Nattharavut Kunishe Muangsuk 
15 hours ago
·
"ประวัติศาสตร์ประเทศไทยไม่เคยรุกรานใคร ดูประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธนา กรุงธนบุรีก็ได้ ประเทศไทยเรามีแต่ถูกรุกรานอธิปไตยมาโดยตลอด....ผมจะไม่ยอมให้ใครมารุกรานอีก" นายอนุทิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อ
นักเรียนประวัติศาสตร์ได้แต่ส่ายหน้า ตั้งแต่ความเป็นชาติ ความเป็นไทย เริ่มขึ้นสมัยไหน แล้วลาวล้านช้าง สงครามเชียงตุง สิบสองจุไท มณฑลบูรพา 4 รัฐมลายา ย้อนไปเรื่องเมืองปัตตานี ก็มีหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์ และข้อมูลวิชาการมากมาย
ระดับนายกรัฐมนตรีกล่าวสวนกับความรู้แบบนี้ได้อย่างไร
และยังกล่าวโดยนายกรัฐมนตรีที่ชาวบ้านลิ่วป่อ อำเภอหลัวเขต เมืองซินฮุ่ย มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองที่ลูกหลานเชื้อสายของตนเองได้ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศด้วย
.....

เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ·
9 hours ago
·
ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูลให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่าประเทศไทยไม่เคยรุกรานใครเลยในประวัติศาสตร์นั้นเป็นผลจากความไม่รู้ (หรือแกล้งไม่รู้) ประวัติศาสตร์เลยว่าดินแดนที่ผู้คนส่วนมากไม่ได้พูดภาษาไทยกลางนั้น ต่างเคยเป็นอาณาจักรอิสระหรือแว่นแคว้นที่สยามไปตีมาและผนวกยึดครองมาเป็นของตัวเองจนกลายเป็น “แผ่นดินไทย” ในปัจจุบันทั้งสิ้น สิ่งที่เป็นภาคเหนือในปัจจุบันเคยเป็นแว่นแคว้นล้านนา ภาคอีสานเคยเป็นหัวเมืองกึ่งอิสระของคนหลากชาติพันธุ์และพื้นที่กันชนระหว่างล้านช้าง เขมร และสยาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เคยเป็นรัฐสุลต่านปาตานี/ปตานี (แล้วแต่จะเรียก) ทั้งหมดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นเพราะผลลัพธ์ของสงครามและการรุกรานไม่มากก็น้อย [แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดซับซ้อนกว่านี้แต่ก็คงสามารถสรุปย่อ ๆ ได้ตามที่กล่าวมา]
แม้เมื่อเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยแล้ว ไทยก็ยังเคยมีส่วนรุกรานเพื่อนบ้านคือเมื่อสมัยสงครามอินโดจีนครั้งหนึ่งจนได้ส่วนหนึ่งของลาวและกัมพูชามาเป็นจังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จังหวัดพระตะบอง และจังหวัดล้านช้าง และสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้งหนึ่งที่ร่วมกับญี่ปุ่นโจมตีบริติชเบอร์มา (พม่าสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ) และบริติชมาลายาจนสามารถทั้งยึดครองดินแดนมาลายาตอนบนจัดตั้งเป็น “สี่รัฐมาลัย” และยึดครองรัฐฉานจัดตั้ง “สหรัฐไทยเดิม” ได้ ประวัติศาสตร์เหล่านี้ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศอื่น คือก็เป็นผู้รุกรานและผู้ถูกรุกรานสลับกันเรื่อยมา เป็นธรรมชาติของประเทศทั้งหลายทั่วไป
ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่กล่าวมานี้เป็นผลจากการบิดเบือนความรู้ในตำราประวัติศาสตร์เพื่อให้นักเรียนเกิดความเชื่อที่ว่าประเทศของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าประเทศอื่นจึงไม่เคยข้องเกี่ยวกับการรุกรานอะไรใครเลย ซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ และจะเป็นเรื่องฟังดูตลกขบขันในสายตาสังคมของประเทศที่เขารับความจริงว่าตัวเองเคยรุกรานคนอื่นแต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เกิดสงครามอีกในอนาคต การยอมรับความจริงตามประวัติศาสตร์เป็นขั้นแรกของการแก้ไขปัญหาเพราะเป็นการยอมรับว่ามีปัญหา และเป็นการเผชิญหน้ากับความจริงอย่างมีวุฒิภาวะและไม่หลอกตัวเองจนเกินไป
วิชาประวัติศาสตร์ไม่ควรเป็นเพียงวิชาโฆษณาชวนเชื่อปลุกใจแต่ควรช่วยให้เรามีวิจารณญาณและวุฒิภาวะมากขึ้น ไม่ใช่ทำให้เราเป็นคนจำพวกที่จะเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่ออย่างไม่มีเหตุผลครับ

https://www.facebook.com/paritchiwarakofficial/posts/1413188270168754



ถ้ายกเลิก MOU ไทย-กัมพูชาวันนี้ เรารู้หรือเปล่าว่าเราได้หรือเราเสียแค่ไหน?

https://www.youtube.com/shorts/FuzyTk8l1zI

The101.world
11 hours ago
·
“ถ้ายกเลิก MOU ไทย-กัมพูชาวันนี้ เรารู้หรือเปล่าว่าเราได้หรื…
See more

“ถ้ายกเลิก MOU ไทย-กัมพูชาวันนี้ เรารู้หรือเปล่าว่าเราได้หรือเราเสียแค่ไหน?”
— เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง
ชวนคิดชวนคุยในรายการ 101 POSTSCRIPT คุยข่าวนอกสคริปต์ผ่านมุมมองโลกวิชาการและสื่อสารมวลชนแบบ ‘วันโอวัน’
(ออกอากาศเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568)
ชมรายการเต็ม: https://youtu.be/EQRcZ_vasFo
.....


...

Atukkit Sawangsuk 
10 hours ago
·
(มิตรสหายท่านหนึ่ง)
(ที่พูดถึงใน ป.ล. นี่จริงนะครับ ทหารใหญ่ ฝ่ายความมั่นคง ไม่มีใครเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43-44 เห็นว่าเป็นผลเสีย แต่ก็ปล่อยให้พวกคลั่งชาติปั่นกระแส)
…………….
ส่วนตัว เชื่อในเรื่อง "เลือกตั้งใหญ่" หรือ "ประชามติ" บนฐานคิดว่า มันต้องเป็นการตัดสินใจในเรื่องใหญ่มากๆ ผ่านการตั้งโจทย์ที่เรียบง่ายมากๆ จนประชาชนจำนวนมากที่หลากหลาย (รู้มากรู้น้อย มีประสบการณ์ชีวิตต่างกันไป) สามารถตัดสินใจเรื่องนั้นๆ ร่วมกันได้ เช่น การเลือกรัฐบาล/ผู้นำมาบริหารประเทศ การจะแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญเป็นต้น ฯลฯ
แต่เรื่องยกเลิก MOU 43-44 นี่ ผมว่าเป็นโจทย์ที่ไม่เหมาะกับการลงประชามติเอาเสียเลย
ยิ่งกว่านั้น การจัดเลือกตั้งทั่วไป พ่วงการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ บวกด้วยการลงประชามติเรื่อง MOU แนบท้าย จะเป็นเหมือนการมี "หางเสือ" ที่พยายามโน้มน้าวให้ประชาชน "เอียงขวา" มากขึ้น และ "การเอียงขวาในประเด็น MOU" ก็อาจมีส่วนในการ shape ผลเลือกตั้งและผลประชามติอื่นๆ ที่จัดพร้อมกัน ณ วันนั้นด้วย
ป.ล. เรื่องแปลกและแย่คือ เวลาคุยเรื่องปัญหากัมพูชา กับคนมีอำนาจในสังคม เช่น รมต.ที่ดูแลด้านความมั่นคงทั้งในรัฐบาลก่อนและรัฐบาลนี้ (ในวงอาหาร) ทหารระดับนายพลของบางเหล่าทัพ ข้าราชการระดับสูงบางราย ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่า การยกเลิก MOU 43-44 จะทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชาในเกมการเมืองระหว่างประเทศทันที แต่เรากลับปล่อยให้สื่อสายปั่นยอด และอินฟลูเอนเซอร์ห่วยๆ จำนวนมาก ปั่นกระแสสังคม จนคนทั่วไปประเมินเรื่องนี้ผิดฝาผิดตัวไปหมด (จนยากที่จะเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนตัดสินใจประเด็นเรื่อง MOU ผ่านกระบวนการประชามติ)
เช่นเดียวกับเรื่องเปิด/ปิดด่าน เท่าที่เจอนักธุรกิจระดับใหญ่มาก ระดับประธานองค์กรสภาวิชาชีพทางเศรษฐกิจ, คนในองค์กรที่มีรายได้ระดับแสนล้านไปถึงหลายพันล้าน ทุกคนพูดตรงกันหมดว่า สุดท้ายต้องหาทางเปิดด่านให้ได้ และต้องหยุดรบกัน (ธุรกิจไทยใหญ่ๆ หลายแห่ง ได้รับผลกระทบจากกรณีความขัดแย้งไทยกัมพูชามากกว่าที่หลายคนคาดคิดนะ) แต่สื่อ อินฟลู ก็ปั่นกระแสสังคมจนกลายเป็นมีฉันทมติเรื่องปิดด่านกันหมด


Atukkit Sawangsuk 
12 hours ago
·
MOU 43-44 นั้น สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาอยู่ (ไชยชนก ชิดชอบ เป็นประธาน)
ถ้าจะยกเลิก ก็จะนำเข้าสู่สภาเพื่อลงมติ
แต่รัฐบาลนี้กลับอ้างว่า เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ โยนให้ประชาชนลงประชามติเลย

Atukkit Sawangsuk 
12 hours ago
·
MOU 43 คือข้อตกลงว่าจะเจรจาปักหลักเขตตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งยึดสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
โดยผูกมัดให้เจรจากัน2ฝ่ายเท่านั้น
ไม่เอา UN องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเป็นคนกลาง
:
ยกเลิก MOU 43 ไม่ใช่ยกเลิกสนธิสัญญา
แต่พวกคลั่งชาติคิดว่า ยกเลิก MOU 43
จะทำให้ไทยสามารถใช้กำลังทหารที่เหนือกว่า ความเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า เขมรมันด้อยกว่า
เบ่งก้ามขีดเส้น “แผ่นดินกู” ตามใจชอบ
ตาเมือนธมก็ของกู ตาควายก็ของกู ภูมะเขือก็ของกู
:
MOU44 เป็นข้อตกลงเพื่อเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเล และเขตไหล่ทวีป ซึ่งเป็นคนละเส้นกัน
มีขึ้นเพื่อควบคุมการที่กัมพูชาขีดเส้นไหล่ทวีป มาคร่อมเกาะกูดตั้งแต่ 50 กว่าปีก่อน
เส้นเขตแดน ตามสนธิสัญญา ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย จะมีหรือไม่มี MOU เส้นเขตแดนก็อยู่ตามนั้น + 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง เป็นของไทย ใครล่วงล้ำยิงได้ทันที
แต่เส้นไหล่ทวีป ซึ่งขีดทับกัน คือการอ้างสิทธิในทรัพยากรก๊าซธรรมชาติใต้ทะเล (โดยข้างบนยังเป็นของไทย)
ซึ่งมีช่องตามกฎหมายให้กัมพูชาอ้างได้กว้าง แต่เข้ามาทำจริงไม่ได้ แค่ประกาศสิทธิขวางไม่ให้เกิดการสำรวจผลิต บริษัทข้ามชาติเข้ามาขุดก็อาจโดนฟ้อง
ยกเลิก MOU44 ปัญหานี้ก็ยังอยู่
ไม่ใช่จะอ้างว่ากองทัพเรือไทยใหญ่โตเหนือกว่า ยกเลิกข้อตกลงแล้วขีดเส้นของเราได้ตามอำเภอใจ
:
การจะทำประชามติคือการหาประชานิยมแบบงี่เง่า บนความคลั่งชาติไม่ลืมหูลืมตา

https://www.facebook.com/baitongpost



โรดแมปยุบสภารัฐบาล "อนุทิน" ประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้ง 69 ต้องกาบัตร 4 ใบ เลือก สส. 2 ระบบ พ่วงประชามติรัฐธรรมนูญ และเลิก MOU ไทย-กัมพูชา


นายกฯ ใช้เวลา 27 นาทีในการแถลงนโยบาย ครม. ต่อรัฐสภา เมื่อ 29 ก.ย.

หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
29 กันยายน 2025

รัฐบาลกางโรดแมปทางการเมือง ภายหลังนายกฯ คนที่ 32 ยืนยันกลางรัฐสภาว่าจะยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569 แน่นอน หลังจากนั้นคนไทยจะได้เข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อตัดสินใจทางการเมืองใน 3 เรื่องสำคัญ ต้องกาบัตรลงคะแนนถึง 4 ใบ

"ขอนับวันที่ 1 ต.ค. วันแรก นับไป 31 ม.ค. ยุบสภาแน่นอน อันนี้ถือเป็นพันธะระหว่างพรรคที่ลงนาม MOU (Memorandum of Agreement – บันทึกข้อตกลง) กับพรรคประชาชน (ปชน.) เราทราบความมุ่งหมายดีว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควรต้องคืนอำนาจให้ประชาชน ดังนั้นรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่มีติ่งท้ายที่ขอกระทำให้สำเร็จคือ รัฐบาลเฉพาะกิจที่ต้องเข้ามาแก้ไขความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่แล้วมา" นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวยืนยันในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา

143 สส. พรรคสีส้มร่วมลงมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยไม่เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่ง หัวหน้า ปชน. และพรรค ภท. ร่วมลงนามใน MOA โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ นายกฯ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)

การแถลงนโยบายของรัฐบาล "อนุทิน" ต่อรัฐสภาในวันนี้ (29 ก.ย.) ไม่เพียงเป็น "หมุดหมายแรกในการทำงานของรัฐบาล ยังเป็นหมุดหมายแรกของฝ่ายค้านเพื่อนับถอยหลังสู่การยุบสภา และมุ่งหน้าสู่การจัดทำประชามติและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" ตามความเห็นของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน.

นายกฯ อนุทิน ใช้เวลา 27 นาที ในการแถลงนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ ภายใต้กรอบ 5 ด้าน รวม 15 นโยบาย

เนื้อหาตอนหนึ่งระบุถึงการทำประชามติใน 2 วาระสำคัญคือ "รัฐบาลนี้สนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" และ "ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding - MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา"


ครม. พร้อมเพรียงในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายของรัฐบาล

เลือกตั้ง 69 พ่วง 2 ประชามติ

ต่อมา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงเป็นครั้งแรกว่า รัฐบาลจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติทั้ง 2 เรื่องพร้อมกัน "การจัดทำประชามติแต่ละครั้ง กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) บอกว่าใช้เงิน 6 พันล้านบาท ฉะนั้นเพื่อให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลจะให้จัดทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไปหลังการยุบสภา"

ประชามติรัฐธรรมนูญ: นายบวรศักดิ์ระบุว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญไม่ได้ใช้คำว่าจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ "รัฐบาลนี้ไม่ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่ต้องการสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา" แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน
  • ขั้นตอนที่ 1 รัฐสภาต้องพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ซึ่งเป็นวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ว่าจะให้ทำไง หากรัฐสภาเห็นชอบจึงเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
  • ขั้นตอนที่ 2 จัดให้มีการออกเสียงประชามติ โดยมี 2 คำถามคือ 1) เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ 1) เห็นชอบวิธีการและเนื้อหาสาระที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 มาแล้วหรือไม่
"เท่าที่ทราบพรรคภูมิใจไทยและพรรคใหญ่ได้พูดไปแล้วในสื่อมวลชนว่าไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 เพราะถ้าร่างรัฐธรรมนูญไปแตะหมวด 1 หมวด 2 ก็จะมีปัญหาทันทีว่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 255" นายบวรศักดิ์กล่าว


นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดนี้จะทำ 2 ประชามติในการวันเลือกตั้งทั่วไป

ประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา: นายบวรศักดิ์ชี้แจงว่า รัฐบาลเห็นว่าเรื่องสำคัญแบบนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ควรขอฉันทานุมัติจากประชาชน ตามมาตรา 166 ของรัฐธรรมนูญ จึงต้องไปถามประชามติ ถ้าประชาชนบอกเลิกก็ต้องเลิก ถ้าประชาชนบอกให้เก็บไว้ รัฐบาลนี้ก็ต้องเก็บไว้ เพราะประชาชนคือเจ้าของอำนาจอธิปไตย เขาต้องตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ดังนั้นก็ต้องทำประชามติถามว่า เห็นชอบให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่

รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลสรุปว่า ในวันเลือกตั้งทั่วไปภายหลังการยุบสภา ประชาชนจะได้บัตรเลือกตั้งทั้งสิ้น 4 ใบ เพื่อเลือก สส.แบบแบ่งเขต, เลือก สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์), ทำประชามติรัฐธรรมนูญ โดยมี 2 คำถามอยู่ในบัตรเดียวกัน และบัตรใบสุดท้าย ต้องวินิจฉัยว่าจะให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่ ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนต่อไป

ก่อนหน้านี้ ผู้นำรัฐบาลประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่มีการประชุม ครม. นัดพิเศษว่า ประชาชนจะได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง สส. ภายในเดือน มี.ค. หรืออย่างช้าต้นเดือน เม.ย. 2569 แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเปิดเผยว่าจะมีการทำประชามติ 2 วาระพ่วงเข้าไปด้วย


นายกฯ ชู 2 นิ้ว ถ่ายภาพร่วมกับบรรดา สส. ก่อนการประชุมร่วมรัฐสภาจะเริ่มต้นขึ้น

นายอนุทินเข้ารับตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารต่อจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ คนที่ 31 และหัวหน้าพรรค พท. ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจากกรณี "คลิปเสียง" สนทนากับประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยศาลเห็นว่า การกระทำของ น.ส.แพทองธาร "ไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯ"

ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาปะทุตั้งแต่ 24 ก.ค. จากชายแดนอีสานด้านใต้ ก่อนลุกลามไปยังพื้นที่อื่น ๆ ล่าสุดคือชายแดนด้านตะวันออกของไทย แม้ รมว.กลาโหมของทั้ง 2 ชาติได้ลงนามในบันทึกผลการประชุมประธานคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ไทย-กัมพูชา โดยระบุถึงข้อตกลงหยุดยิงก็ตาม นอกจากนี้ยังมีการทำสงครามข้อมูลข่าวสารและสงครามทางการทูตเป็นระยะ ๆ

หนึ่งในนโยบายของรัฐบาล "อนุทิน" ที่สังคมให้ความสนใจเป็นพิเศษ และถูกสมาชิกรัฐสภาหยิบยกขึ้นมาอภิปราย จึงหนีไม่พ้น นโยบายด้านความมั่นคง โดยระบุถึง MOU ไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้ระบุว่า MOU ฉบับไหนที่จะนำไปทำประชามติ

สำหรับ MOU 2543 ลงนามในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มีเป้าหมายในการจัดทำกรอบการทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดเส้นเขตแดน โดยอ้างอิงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1904 และ 1907

MOU 2544 ลงนามในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เป็นบันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีป ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

พท. กล่าวหา "4 เดือน เพื่อ 4 ปีกินรวบประเทศ" ?

รัฐบาล "อนุทิน" ไม่เพียงเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ยังเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีอายุ 4 เดือน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) แสดงความมั่นใจว่านายกฯ จะยุบสภาแน่ตามที่สัญญาไว้ เพราะถ้าไม่ยุบจะเสียหาย แต่คิดว่ารัฐบาลจะใช้เวลา 4 เดือนนี้ ดึง-ถ่วงคดีที่มีปัญหา ซึ่งจะก่อให้เกิด 4 หายนะต่อประเทศ
  • หายนะทางประชาธิปไตย: จากมี "สว. สีน้ำเงิน" จะมีการจัดทำ "รัฐธรรมนูญสีน้ำเงิน
  • หายนะด้านความโปร่งใสและหลักนิติธรรม: มีการตั้งคำถามเรื่องการเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ท้องถิ่น การจัดวางตำแหน่งในกระทรวงล้วนมาจากเฉพาะกลุ่ม-เฉพาะที่ จึงมีการพูดว่าเป็นรัฐบาล "อนุวิน" "เนทิน" "หนูเน" ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน
  • หายนะการบริหารจัดการประเทศ: หลายปัญหาเร่งด่วนมาจากปัญหาที่คนในรัฐบาลชุดนี้ก่อไว้
  • หายนะทางโอกาสของประชาชนชาวไทย: หลายนโยบายที่ประชาชนได้ประโยชน์ถูกปัดตกปัดทิ้ง เช่น ยกเลิกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นี่คือนโยบายของพรรค พท. ไม่ทำ เพราะถ้าทำแล้วพรรค พท. ได้คะแนน
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว คือ สส. เพื่อไทยคนแรกที่ลุกขึ้นอภิปราย โดยไล่เลียงให้เห็น "4 หายนะ" ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล

"สส. ไม่ต้องดูด ไหลเข้าหมด ท่านทำการเมืองแบบเหนือชั้นจริง ๆ เพราะเขารู้ว่าอยู่กับท่านแล้วปลอดภัย ได้เป็นรัฐบาลต่อปีหน้า แต่อย่าประมาทประชาชน เพราะ 4 เดือนที่เข้ามายุบสภา จะบอกว่าเข้ามายุบคดี ยังไม่ถึงมือท่าน จะยุบแล้ว อธิบดีแถลงแล้วช่วงรัฐบาลรักษาการแล้ว จะได้ไม่มาเปื้อนท่าน ยุทธศาสตร์ลึกล้ำจริง ๆ ผมยอมกราบเลยครับ"

นพ.ชลน่านกล่าวหาว่า การเข้ามาของรัฐบาล 4 เดือน เพื่อให้มีอำนาจต่ออีก 4 ปี เรียกว่า "จบ 4 เดือน เพื่อ 4 ปีกินรวบประเทศ" ไม่ว่าจะเป็น สส. สีน้ำเงิน, สว. สีน้ำเงิน, องค์กรอิสระสีน้ำเงิน, รัฐราชการสีน้ำเงิน ทั้งประเทศสีน้ำเงินหมด ถ้าเราไม่ช่วยกันระมัดระวัง การกินรวบของประเทศจะเกิดขึ้น การลงทุนของพรรค ปชน. จะสูญเปล่า

อนุทินย้อน "นายกฯ คนนี้ไม่มีใครมาบงการได้"

คำอภิปรายของ นพ.ชลน่าน อดีต รมว.สาธารณสุข ซึ่งเป็นกระทรวงที่นายอนุทินเคยนั่งเป็นเจ้ากระทรวงมาก่อน ทำให้นายกฯ คนที่ 32 ขอใช้สิทธิชี้แจง-ตอบคำถาม นพ.ชลน่าน ต่อทันทีในช่วงเวลา 10.50 น.

นายอนุทินกล่าวยืนยันว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ "ทำได้" เพราะผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี จะทำได้เร็วและทำเลย, รัฐบาล "ทำเป็น" เพราะ ครม. ที่คัดสรรมาล้วนแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ในวิชาชีพ มีความรู้ ความสามารถ ประสบความสำเร็จในชีวิต" และ "ทำดี" คนเรากว่าจะมาถึงตำแหน่งนายกฯ กว่าจะถึงจุด ๆ นี้ได้ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปี ต้องถือโอกาสทำดีที่สุด ให้เป็นเกียรติประวัติและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและประชาชน

นายกฯ ปฏิเสธว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำให้ประชาชนขาดโอกาส ตรงกันข้ามจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่รัฐบาลจะได้แสดงผลงาน เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีคำว่าคนละพรรค นี่คือพรรครัฐบาล ไม่มีขัดแข้งขัดขา และย้ำว่าจากนี้รัฐบาลจะวางรากฐาน แนวทาง และแบบอย่างที่ดีที่จะทำให้อนาคตประชาธิปไตยมีความสดใส

"อย่างน้อยนายกฯ คนนี้ จะไม่มีใครมาบงการได้ ตัดสินใจเองได้ คิดเอง แล้วหารือกับ ครม. และสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดในการตัดสินใจทำประโชน์สูงสุดให้ประเทศชาติและประชาชน" นายอนุทินกล่าว

ส่วนที่บอกว่าผลประโยชน์ไม่ตรงความต้องการของประชาชน นายอนุทินมองต่าง เพราะรัฐบาลนี้เยกลิกกาสิโน เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่เอาเงินดิจิทัล 10,000 บาทไปให้ประชาชนเฉย ๆ แต่ใช้การมีส่วนร่วม เราไม่มอมเมาประชาชนด้วยการพนัน ไม่ขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจการพนัน "ผมว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นตรงกับผม ผมมั่นใจว่านี่คือเหตุผลหนึ่งที่เรา (พรรค ภท.) ถูกเชิญออกจากรัฐบาลเมื่อ มิ.ย. เพราะเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลขณะนั้น"

ในช่วงท้าย นายอนุทินได้ยกคำกล่าวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 23 มากล่าว โดยเล่าว่า เมื่อใดก็ตามที่มีประชุม ครม. แล้วมีแต่การพูดถึงปัญหา นายกฯ ทักษิณจะไม่พอใจ ครม. ที่เอาปัญหามาเป็นข้อแก้ตัวในการทำงาน

"เมื่อใดมีปัญหาเช่นนี้ ท่านจะปิดไมค์แล้วพูดว่า จำไว้นะ Looser see problem in every solution. Winner sees solution in every problem. ผู้แพ้จะเห็นปัญหาในทุกทางออก ผู้ชนะจะเห็นทางออกในทุกปัญหา ตัวผมและ ครม. เป็นอย่างหลัง ชนะไม่ชนะไม่รู้ แต่พวกผมเห็นทางออกทุกปัญหา จึงขอแจงเจตนารมณ์อันแน่วแน่" นายกฯ คนที่ 32 กล่าว

ปชป. ชี้ "หนูตกถังข้าวสาร"

แม้นายกฯ ยืนยันรักษาคำมั่น ไม่มีวันที่ 121 แน่นอน แต่โดยข้อเท็จจริง รัฐบาล "อนุทิน" หาได้มีเวลาครองอำนาจเพียง 4 เดือน แต่คาดว่าจะมีอายุราว 8-9 เดือน หรืออยู่ไปจนถึงเดือน มิ.ย. 2569 เพราะถ้าการยุบสภาเกิดขึ้นในช่วงสิ้นเดือน ม.ค. 2569 จากนั้นเข้าสู่การจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน, รับรองผลการเลือกตั้งโดย กกต. ภายใน 60 วัน, เลือกนายกฯ คนใหม่, จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ จนถึงวันที่ ครม. ชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ น่าจะกินเวลาอีกราว 4-5 เดือน

เหล่านี้คือเหตุผลที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) บอกว่า "คุ้มที่จะเป็นนายกฯ" และ "คุ้มที่จะต่างตอบแทน" โดยฝ่ายหนึ่งได้เป็นนายกฯ อีกฝ่ายได้ยุบสภาและได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ชี้ว่า การที่พรรค ปชน. ลงคะแนนเลือกนายกฯ โดยไม่รับตำแหน่งใน ครม. ทำให้นายกฯ กลายเป็น "หนูตกถังข้าวสาร" มีเก้าอี้ รมต. ให้แบ่งปันกันเหลือเฟือ


สส. อาวุโสจากพรรคสีฟ้าเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้มีแต้มต่อมากกว่าข้อจำกัดใน 3 ประการ ดังนี้
  • ผู้ลงคะแนนเลือกนายกฯ โดยไม่รับตำแหน่งใน ครม. "ทำให้นายกฯ กลายเป็น 'หนูตกถังข้าวสาร' มีเก้าอี้รัฐมนตรีให้แบ่งปันกันเหลือเฟือที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐสภา"
  • พอบริหารราชการแผ่นดินปุ๊บ มีเงินมากองปั๊บ ไม่ต้องออกแรง เพราะมีงบเหลือจ่ายปีงบประมาณ 2568 รออยู่ 8 หมื่นล้านบาท และงบปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบกลางฉุกเฉินที่อยู่ในอำนาจของนายกฯ 9.8 หมื่นล้านบาท
  • มีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้วโดย "ผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ" หรือ MOA คิดให้แล้วเสร็จสรรพ เอาไปทำได้ทันที แต่ MOA เป็นข้อตกลงระหว่างพรรคการเมือง ไม่มีผลผูกพันรัฐสภา
นายจุรินทร์ยังแสดงความชื่นชม ครม. คนนอกซึ่งพบว่าหลายตำแหน่งจัดได้ดี ถูกฝากถูกตัว แต่บางตำแหน่ง นายกฯ ไม่กล้าเปิดตัว ทำลับ ๆ ล่อ ๆ แต่สุดท้ายหวยล็อกก็ออกมาจนได้ ส่วน ครม. คนใน เข้าใจเรื่องโควตากลุ่มและพรรค ไม่มีอะไรวิจารณ์ แต่ขอพูดและชมนายกฯ ว่า "นายแน่มาก กล้าตั้งรัฐมนตรีที่แม้แต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็ยังไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงเดินตามรอยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แต่เมื่อตั้งแล้ว นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบ"

นอกจากนี้ นายจุรินทร์ยังตั้งคำถามถึงรัฐบาลหลายข้อ ในจำนวนนี้คืออย่าใช้ระบบเล่นพรรคเล่นพวก โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งรองนายกฯ บวรศักดิ์ลุกขึ้นตอบทันควัน โดยระบุว่า รัฐบาลชุดที่แล้วลงมติตั้งอธิบดีและตำแหน่งบริหารไปหลายตำแหน่ง เมื่อมีนายกฯ คนใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงส่งเรื่องกลับคืนมา ทว่าพอแถลงนโยบายเสร็จ นายกฯ กำชับให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ยืนยันเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารที่ตั้งโดยรัฐบาลที่แล้วทุกตำแหน่งเกิน 10 ตำแหน่ง

"นี่คงยืนยันได้แล้วว่าการเริ่มต้นรัฐบาลนี้ เมื่อเรื่องไหนผ่าน ครม. ไปแล้ว รัฐบาลก็เดินต่อ ไม่มีเจตนาดึงกลับมา จะต้องเอาพรรคพวกของตัวเสียบไปใหม่ ยกเลิกมติ ครม. เดิม แล้วเอามติ ครม. ใหม่" รองนายกฯ บวรศักดิ์ชี้แจง

สว. ฉุน สส. อภิปรายปม "ฮั้วเลือก สว."


สว. ประเทือง ถาม สส. วาโย "จะอภิปรายนโยบายรัฐบาล หรือ สว. ตอบมา เดี๋ยวได้เจอกัน"

อีกนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคสีน้ำเงิน ที่บรรดา สส. หลายคนหยิบยกมาอภิปราย แล้วก่อให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวางในหลายช่วงคือ นโยบายข้อที่ 9 "รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด" โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐที่ "ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง" เป็นการกระทำความผิดทางวินัยร้ายแรง และต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด

2 คดีสำคัญที่นักการเมืองฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามต่อจุดยืนของรัฐบาล "อนุทิน" หนีไม่พ้น "คดีเขากระโดง" ต.อิสาน และ ต.เสม็ด อ.เมืองจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) บอกว่า มี 9 คำพิพากษาทั้งศาลฎีกาและศาลปกครองระบุว่า ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แต่กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ไม่ยอมดำเนินการเพิกถอนที่ดินดังกล่าวให้เป็นไปตามคำพิพากษา

อีกคดีคือ "คดีฮั้วเลือก สว. ปี 2567" ซึ่ง สว. ชุดปัจจุบัน 138 คน รัฐมนตรี 6-7 คน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง 229 คน ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาและมีชื่อปรากฏในสำนวนที่ไต่สวนโดยสำนักงาน กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม โดยผู้อภิปรายหลักเกี่ยวกับคดีนี้คือ พ.ต.อ.ทวี อดีต รมว.ยุติธรรม ที่บอกว่ากรณีนี้ "เป็นมหันตภัยที่อันตรายที่สุด ทำลายระบอบประชาธิปไตย" และตั้งคำถามว่าจะปล่อยให้พนักงานสอบสวนทำหน้าที่ไปตามปกติหรือไม่

นอกจากนี้ยังมี นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ที่กล่าวถึง 3 ปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่ามีการฮั้วเลือก สว. ประกอบด้วย ปรากฏการณ์คนเสื้อเหลือง/เนกไทเหลือง ในวันเลือก สว. ระดับประเทศ, มีโพย เรียงเลขเหมือนกัน, ความผิดปกติของคะแนนเลือก สว. จากนั้นเขาฉายแผนภาพความสัมพันธ์และความใกล้ชิดของการลงคะแนนในรอบเช้าเข้ากับการใส่เสื้อเหลือง ทำให้บรรดา สว. และ สส. พรรค ภท. รุมประท้วงยกใหญ่ราว 30 นาที

นายประเทือง มนตรี สว. กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า "จะอภิปรายนโยบายรัฐบาล หรือ สว. ตอบมา เดี๋ยวได้เจอกัน" ทำให้ สส. พรรคสีส้ม ประท้วงกลับ ขอให้ถอนคำพูดเพราะเข้าข่ายข่มขู่เพื่อนสมาชิก และประธานก็วินิจฉัยให้ถอนคำว่า "เดี๋ยวเจอกัน" ซึ่ง สว. รายนี้ก็ยอมทำตามคำสั่งประธาน

จากนั้นในช่วงที่นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. อภิปรายต่อ โดยเปรียบเปรยประเด็นฮั้ว สว. กับการปล้นอำนาจ ทำให้ พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว. ลุกประท้วงให้ถอนคำพูด "หากไม่ถอน ให้ไปเจอกันข้างนอก"


นายกฯ อนุทิน กับ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา

ประเด็น "ฮั้วเลือก สว." ยังทำให้สมาชิกต่างประท้วงประธานเรื่องการทำหน้าที่ควบคุมการประชุม และการวางตัวไม่เป็นกลาง หลัง 2 ประธานพยายามตัดบทผู้อภิปรายให้งดการพูดลงรายละเอียดของคดีที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบขององค์กรภายนอก และให้พูดเฉพาะนโยบายของรัฐบาลเท่านั้นเพื่อไม่ให้เกิดการประท้วงกันไปมา

นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ถูกนายอดิศรส่งสัญญาณไล่ลงจากบัลลังก์ในช่วงที่ พ.ต.อ.ทวีอภิปราย โดยนายอดิศรกล่าวว่า "ประเด็นที่พูด เกี่ยวข้องกับประธาน ผมไม่อยากให้ท่านนั่งเป็นประธาน ท่านทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้แล้ว"

ส่วนนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ในฐานะประธานรัฐสภา ก็ถูกประท้วงในระหว่างนั่งบัลลังก์ช่วงการอภิปรายของ นพ.วาโยอภิปราย จนเจ้าตัวถึงกับออกอาการไม่พอใจและตั้งคำถามกลับว่า "ผมไม่เป็นกลางอย่างไร"

จนถึงเวลา 20.00 น. ยังไม่มีตัวแทน ครม. ชี้แจงกรณีฮั้วเลือก สว. แต่อย่างใด มีเพียงนายบวรศักดิ์ที่กล่าวตั้งแต่ช่วงเที่ยงว่า เมื่อนายกฯ มาชวนเขาให้เข้าร่วม ครม. ได้กราบเรียนว่า เรื่องไหนที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่น สว., เขากระโดง, องค์กรอิสะ ขอให้ปล่อยไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็น ซึ่งนายกฯ ก็รับปาก และรัฐบาลก็แถลงชัดเจนว่าจะไม่ให้ใช้กฎหมาย และหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

ผู้นำฝ่ายค้านขออย่าโยนวาทกรรม "ฝ่ายค้ำ-ฝ่ายแค้น


นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ระบุว่า เหตุผลที่พรรค ปชน. ยอมโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ เพราะต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้รถยนต์ "ประเทศไทย" คันนี้พุ่งทะยานไปข้างหน้า

สำหรับกรอบเวลาในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาล คณะกรรมการประสานงาน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ครม. และพรรคร่วมรัฐบาล, ฝ่ายค้าน, และวุฒิสภา กำหนดไว้ 2 วัน ระหว่างวันที่ 29-30 ก.ย. รวมเวลา 25 ชม. แบ่งเป็น เวลาของ สส. ฝ่ายค้าน 15 ชม. (พรรคร่วมวิปฝ่ายค้าน 9 ชม. พรรค พท. 6 ชม.) ส่วนที่เหลือเป็นเวลาของ ครม. และ สส. รัฐบาล 6 ชม. (ไม่รวมเวลาแถลงของนายกฯ), สว. 3 ชม. และเวลาของประธานรัฐสภา 1 ชม. ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายจะไม่มีการลงมติแต่อย่างใด

พรรค ปชน. กำหนดธีมอภิปรายว่า "นับถอยหลังยุบสภา เดินหน้าประชามติรัฐธรรมนูญ" โดยเตรียมผู้อภิปรายไว้ราว 20 คน ทั้งนี้นายณัฐพงษ์กล่าวยืนยันว่า ยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านเสียงข้างมากอย่างเต็มที่ไม่ต้องการให้มีการโยนวาทกรรมกันไปมา เช่น "ฝ่ายค้ำ "หรือ "ฝ่ายแค้น"

"ถ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายค้ำ ก็อยากให้มองว่าเรากำลังพยายามค้ำกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ไม่ใช่การค้ำรัฐบาล ค้ำให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง" เขากล่าวและว่า ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมาตรวจสอบกันเองในสภาแห่งนี้

ด้านพรรค พท. มาในธีม "4 เดือนยุบคดี 4 นโยบายดีดี หรือ 4 หายนะ" เตรียมผู้อภิปรายไว้ 26 คน

ส่วนรัฐบาลพรรค ภท. ใช้ธีม "4 เดือน แก้ 4 ภัย คืนความมั่นใจให้ประเทศ"

นายกฯ หารือกับ รมว.ต่างประเทศ, รมว.กลาโหม, รมช.กลาโหม

https://www.bbc.com/thai/articles/cqlzglygg3lo



ที่เห็นๆหน้าเรือนจำคือแดงทักษิณเพื่อไทย วันนี้เหลือเท่าไหร่คงไม่ต้องสาธยาย ให้ภาพมันเล่าเรื่อง


Somyot Pruksakasemsuk
16 hours ago
·
ข้าวมันไก่-คนเสื้อแดงก็แค่หางเครื่องเพื่อไทย

27.9.68 การรวมตัวคนเสื้อแดงให้กำลังใจทักษิณที่หน้าเรือนจำคลองเปรมน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับการรวมตัวของคนเสื้อแดง เป็นพลังประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ระหว่างปี 2552-2556 แม้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงอย่างวรชัย เหมะ จะประกาศว่า เปิดประตูบ้านเสื้อแดงให้คนเสื้อแดง ที่เปลี่ยนใจไปใส่เสื้อส้มกลับมาเป็นเสื้อแดงอีกครั้งแต่ปรากฎว่า จำนวนคนเสื้อแดงน้อยมาก เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยสูญเสียฐานกำลังมวลชนของพรรคไปอย่างมาก ก็เพราะด้วยเหตุที่ พรรคเพื่อไทยได้ใช้คนเสื้อแดงไปสู่อำนาจ โดยละเลยที่จะต่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่พรรคเพื่อไทยเพิกเฉยต่อการนิรโทษกรรมประชาชนรวม 112 ทอดทิ้งนักโทษการเมืองที่เคยต่อต้านรัฐประหารและเคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาก่อน ขณะเดียวกันก็ไปสนับสนุนการนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มคนเสื้อเหลืองซึ่งยึดทำเนียบและสนามบินเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุดสำหรับแกนนำคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยในช่วงนี้

หากจะเชิญชวนคนเสื้อแดงที่ไปสนับสนุนพรรคประชาชนกลับมาอีกครั้ง รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากขบวนการประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ไปนั่งล้อมวงกินข้าวมันไก่ที่ขาดน้ำจิ้ม แต่จะต้องต่อสู้เพื่อปล่อยนักโทษการเมือง ลบล้างผลพวงรัฐประหาร สร้างสรรค์ประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่

การทำลายล้างคนเสื้อแดงให้ต้องสูญเสียทั้งชีวิตและอิสรภาพไม่เลวร้ายเท่ากับการถูกหักหลัง ถูกบิดเบือน จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกลายเป็นเพียงแค่หางเครื่องพรรคการเมืองที่ไร้กระดูกสันหลังประชาธิปไตย 
...
สนับสนัน สื่อทรงคุณค่า สำนักพิพม์ประกายไฟ https://prakaifai.com/shopping/

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1873629336839762&set=a.121739258695454
...
วายุ รักประชาชน
ก่อนอื่นต้องแยกให้ออก ระหว่างแดงทักษิณเพื่อไทย กับแดงเสรีชนเสรีประชาธิปไตย
..ที่เห็นๆหน้าเรือนจำคือแดงทักษิณเพื่อไทย
วันนี้เหลือเท่าไหร่คงไม่ต้องสาธยาย ให้ภาพมันเล่าเรื่อง..
.....


Pavin Chachavalpongpun
7 hours ago
·
น้อยใจแทนคุณทักษิณจัง วันที่ต้องติดคุก มีคนเสื้อแดงมาให้กำลังใจแค่นี้ ต่างจากวันนั้นที่คนเสื้อแดงออกมาสู้เพื่อประชาธิปไตยนับแสนนับหมื่น เต็มถนนอักษะและราชดำริ ดิชั้นขอถามแบบแรงๆ คนเสื้อแดงลืมคุณทักษิณแล้วหรอคะ??
— in Kyoto, Japan.

https://www.facebook.com/photo?fbid=23987422670932837&set=a.127047247397047


สะพัด “ทักษิณ” ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษรายบุคคลอีกรอบ เดลินิวส์เผยแหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงยุติธรรม ยืนยันเป็นเรื่องจริง หลังเคยขออภัยโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปีมาก่อนแล้ว ชี้สามารถยื่นขอได้



 


 https://x.com/MorningNewsTV3/status/1972476420816245054



ทวี สอดส่อง : อภิปรายแถลงนโยบายปมเขากระโดง–ฮั้ว สว.


ทวี สอดส่อง : อภิปรายแถลงนโยบายปมเขากระโดง–ฮั้ว สว. | 29 ก.ย. 68

Prachatai

Premiered 4 hours ago

29 ก.ย.2568 ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ต่อที่ประชมรัฐสภา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ดูจากนโยบายที่แถลงรัฐบาลเหมือนจะขับเคลื่อนประเทศไปอีก 4 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.บ. งบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่มีวงเลินสูงถึง 3.78 ล้านล้านบาท ที่จะมีผลใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 2568 - วันที่ 30 ก.ย. 2569 แม้การแถลงนโยบายกับเงินงบประมาณเป็นคนละเรื่องกัน แต่พ.ต.อ.ทวี ขอเรียกนโยบายเหล่านี้ว่าเป็นนโยบายของคนโกหก หรือเป็นเรื่องโกหกของนโยบาย สิ่งที่สำคัญที่รัฐบาลจะต้องคิดภายใน 4 เดือนก่อนที่จะยุบสภา คือรัฐบาลควรทำอะไร กับรัฐบาลต้องไม่ทำอะไร

พ.ต.อ.ทวีระบุ รัฐบาลได้แถลงนโยบายด้านสังคม ข้อ 9 จะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่ดครัด โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีเหล่านี้เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และต้องดำเนินการทางอาญาเด็ดขาด ในข้อ 9.2 รัฐบาลบอกว่า การใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ในหลักของความเป็นจริงกฎหมายจะดีแค่ไหน นโยบายจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคนที่เข้ามาไม่ซื่อสัตย์สุจริตก็เท่านั้น สิ่งที่เห็นก็คือมีรายชื่อของคณะรัฐมนตรีหลายคนมีความน่าสงสัยในซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติกรรมที่ไม่ปฎิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยส่วนตัว พ.ต.อ.ทวี มีความกังวลในคณะรัฐมนตรี 7-8 คน ที่เกี่ยวโยงถึงเสถียรภาพของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ

ที่ดินเขากระโดงเป็นเรื่องแรกที่อยากจะฝากถึงนายกรัฐมนตรี ประเด็นที่ดินเขากระโดงที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเรามีคำพิพากษาของศาลยุติธรรมและศาลปกครองจำนวน 9 ฉบับ ผู้พิกษาทั้งหมดทุกศาลจำนวน 24 คน ได้ตัดสินว่า ที่ดินเขากระโดง 5,083 ไร่ เป็นที่ดินของการรถไฟการออกเอกสารสิทธิ์ไปทับที่ดินดังกล่าวของการรถไฟไม่สามารถกระทำได้

ที่ดินของการรถไฟเกิดมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน โดยประมวลกฎหมายที่ดิน ม.10 ระบุไว้ว่าที่ดินที่เกิดมาก่อน ไม่ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน นอกจากนี้ที่หวงห้ามไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ ในคำพิพากษาของศาลทั้งหมดได้ชี้ชัดแล้วว่าที่ดินทั้งหมดเป็นที่ดินของการรถไฟที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานไว้ให้ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ศาลที่สั่งคดีล่าสุดคือศาลปกครอง โดยที่คู่ความไม่ได้อุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด

พ.ต.อ.ทวี ยืนยันว่า รัฐบาลมีการแถลงนโยบายไว้ว่าจะไม่มีการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งประโยชน์ในทางการเมืองก็คือนายกฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายกฯ ก็ไปมีบ้านอยู่บ้านเลขที่ 30/2 หมู่ 4 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ด้วย อยากฝากนายกฯ ให้ดูแลใส่ใจประเด็นเขากระโดงด้วย เป็นการบ่อทำลายหลักนิติธรรมนิติรัฐที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ และเป็นความเหลื่อมล้ำทางกระบวนการยุติธรรม ต่อมา ทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบประเด็นเรื่องคดีเขากระโดงที่ทวีอภิปรายไว้ว่าถ้าเป็นที่หลวงจริงใครจะครอบครองกี่ปีก็เป็นเจ้าของไม่ได้ แต่ก็มีการอ้างถึงว่าเป็นที่พระราชทานให้กับการรถไฟฯ เท่ากับการรถไฟเป็นเจ้าของตั้งแต่พ.ศ. 2462 แล้วก้มีต่อเนื่องมาจนถึงออก สค.1 ใน พ.ศ.2498 ตอนมีประมวลกฎหมายที่ดินแล้วเกิดข้อพิพาทจนกระทั่งมีคำพิพากษา ซึ่งเขาก็ได้ท้วงติงทวีว่าเมื่อพูดแล้วก็ต้องพูดให้ครบ เพราะถึงจะบอกว่าต้องทำตามคำพิพากษาแต่คดีที่เกี่ยวกับเขากระโดงมีอยุ่ 3คดีด้วยกัน

ทรงศักดิ์กล่าวว่า ทั้ง 3 คดี ที่มีคำตัดสินของศาลไปแล้วนั้น แต่ไม่มีคดีใดที่ศาลตัดสินว่าเป็นที่ดินของการรถไฟเพราะคนที่ไปฟ้องคดีจนกระทั่งมีคำพิพากษาของศาลฎีกา เขาตัดสินอันสืบเนื่องจากคนมีที่ดิน สค.1 หรือ นส.3 อยากออกโฉนดก็ไปฟ้องศาลเพื่อให้กรมที่ดินออกโฉนดให้ แล้วการรถไฟก็ไปคัดค้าน แต่ประเด็นที่ศาลตัดสินออกมามีเพียงว่าที่ดินเป็นที่ดินที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ แต่เมื่อถูกเอาไปพูดในสื่อว่ามีคำพิพากษาของศาลออกมาแล้วแต่กรมที่ดินไม่ดำเนินการอะไร ทั้งที่ดำเนินการตามคำพิพากษาหมดแล้ว

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://prachatai.com/journal/2025/09...

https://www.youtube.com/watch?v=5CQeK_0SG9M


‘หมอวาโย’ อภิปรายคดีฮั้ว สว. สภาวุ่น สว.ประท้วงเดือด (คลิป)


TODAY
8 hours ago
·
‘หมอวาโย’ อภิปราย คดีฮั้ว สว.
โชว์แผนภาพ ความสัมพันธ์
สว.ประท้วง บอก เล่นลึกเจตนาคืออะไร เดี๋ยวเจอกัน
.
วันนี้ (29 ก.ย.68) นายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมอภิปรายนโยบายรัฐบาล ว่า ตนเองตรวจสอบนโยบายด้านกระบวนการยุติธรรมของรัฐบาล โดยในนโยบายที่ 9 จะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด และจะทำให้พฤติกรรมดังต่อไปนี้ เป็นความผิดอาญาร้ายแรง และผิดวินัยร้ายแรง
.
จากนั้น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ประท้วงโดยระบุว่า หากสมาชิกจะประท้วงต้องอยู่ในหลักการ ว่าสิ่งที่ นายแพทย์วาโยพูดพาดพิงทำให้เขาเสียหายตรงไหน และเนื้อหาสาระที่ นายแพทย์วาโยอภิปรายอยู่นอกกรอบญัตติหรือไม่ ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ครม. ต้องเป็นผู้ชี้แจง และต่อมา นายแพทย์วาโยได้อภิปรายต่อ ซึ่งได้ยืนยันว่า เรื่องเกี่ยวกับการเลือก สว. เกี่ยวข้องกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐแน่นอน
.
แต่ระหว่างนั้น นายประเทือง มนตรี สว. ได้ประท้วง และกล่าวว่า “ขอถามผู้ประท้วงว่า อยากจะอภิปราย สว. หรือจะอภิปรายนโยบายรัฐบาล ตอบมา เดี๋ยวเจอกัน” ทำให้ สส. พรรคประชาชน ถามกลับว่า สว. เมื่อครู่ ประท้วงด้วยข้อบังคับใด และคิดว่าคำพูดของ สว. ควรจะถอน เพราะไม่อยากเห็นพฤติกรรมดังกล่าวที่เป็นการคุกคามเพื่อนสมาชิก ซึ่งต่อมา สว. คนดังกล่าว ไม่ยินยอม ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า หากท่านไม่ถอน จะไม่อนุญาตให้อยู่ในห้องประชุมต่อไป นายประเทืองจึงได้ยอมถอนคำว่า “เดี๋ยวเจอกัน”
.
จากนั้น ได้เปิดโอกาสให้ นายแพทย์วาโยอภิปรายต่อไปอีก แต่นายวันมูหะมัดนอร์ยืนยันว่า หาก นายแพทย์วาโยยังอธิบายถึงรายละเอียดกระบวนการฮั้วต่อไป จะไม่อนุญาตแล้ว เพราะการประชุมจะไม่ไปไหน เนื่องจากสมาชิกจะประท้วงซ้ำอีก แม้ สส. พรรคประชาชน จะพยายามคัดค้าน และประท้วงว่าประธานทำตัวไม่เป็นกลาง นายวันมูหะมัดนอร์จึงขอความร่วมมือให้ นายแพทย์วาโยอภิปรายโดยไม่กล่าวถึงเรื่องเดิมอีก ไม่เช่นนั้นจะข้ามไปผู้อภิปรายคนต่อไป
.
นายแพทย์วาโย สรุปว่า ทั้งหมดที่ตนเองพูดมา ยกสมการทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เดี๋ยวรายละเอียด ไว้ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ได้ เดี๋ยวให้หัวหน้าคิดด้วย อภิปรายทิ้งท้ายว่า ”ถ้าพี่จะเจอผม ก็เจอห้องอาหาร อย่าเจอที่อื่นผมกลัว“
.
สำนักข่าว TODAY
สำนักข่าวออนไลน์ เปิดความรู้ ดูทูเดย์
https://www.facebook.com/photo?fbid=1197401752211771&set=a.661952892423329.....



‘หมอวาโย’ อภิปรายคดีฮั้ว สว. สภาวุ่น สว.ประท้วงเดือด | 29 ก.ย. 68

Prachatai

Premiered 6 hours ago 

29 กันยายน 2568 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง 1 วาระคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา วาโย อัศวรุ่งเรือง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมอภิปรายนโยบายรัฐบาลด้านกระบวนการยุติธรรมของรัฐบาล ที่จะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด

วาโย กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลจะทำให้พฤติกรรมดังต่อไปนี้ เป็นความผิดอาญาร้ายแรง และผิดวินัยร้ายแรง รวมถึงจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ซึ่งสนับสนุนอย่างยิ่งโดยเฉพาะในเรื่องการใช้กฎหมาย และเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งยังไม่ได้ฟังคำมั่นสัญญาจากนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่าทั้งหมดตั้งอยู่บนสมมุติฐาน เพราะส่วนตัวเชื่อว่า การเลือก สว. ไม่มีการฮั้ว

วาโยกล่าวถึงการเลือก สว. ระดับประเทศมีการเลือกกันเองในกลุ่มจาก 154 คนให้เหลือ 40 คน จากนั้นเลือกแบบไขว้ 40 คนให้เหลือ 10 คน ซึ่งจะพบว่ามีบางคนที่คะแนนสูง ซึ่งถือว่าเป็นไปได้ เพราะบางคนเป็นคนที่เด่น และดัง แต่คะแนนในทุกกลุ่มเป็นแบบนี้ทั้งหมด คะแนนแยกและห่างกันอย่างชัดเจน

ส่วนปัจจัยที่ทำให้น่าเชื่อถือว่ามีการฮั้ว สว. นั้น จะมี 3 ประเด็น ได้แก่ ปรากฏการณ์เสื้อเหลืองหรือเน็คไทเหลืองมารถตู้คันเดียวกัน และนำมาด้วยรถที่มีทะเบียนจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมแสดงแผนภาพความสัมพันธ์และความใกล้ชิดของการลงคะแนนในรอบเช้า กับการใส่เสื้อเหลืองของกลุ่มอาชีพที่ 1 จะพบว่า ขนาดของวงกลมที่ยิ่งใหญ่ จะได้คะแนนเยอะ เส้นที่เชื่อมต่อกันเป็นเส้นโยงคะแนนที่โหวตให้ ระยะห่างระหว่างวงกลมคือความเหมือนของบัตรลงคะแนนที่มีความใกล้กันมาก

วาโย ระบุว่า ที่ยกตัวอย่างเพราะอยากให้เห็นถึงกระบวนการ ซึ่งตนเองเป็นประชาชนคนหนึ่งที่พยายามตั้งข้อสังเกต และติดตามเรื่องนี้ว่ามีความผิดปกติอย่างไร ก็ขอฝากผ่านประธานไปถึงรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ที่มีการแถลงนโยบายว่า จะไม่เข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ และหากมีใครเข้าไปแทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยว และใช้ผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่ หรือกระบวนการยุติธรรม หรือองค์กรอิสระ จะดำเนินคดีอาญาอย่างเด็ดขาดอย่างที่ ศ. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกต

สว. หลายท่านได้ลุกขึ้นประท้วง เช่น พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ได้ลุกขึ้นขอให้ประธานวินิจฉัย โดยระบุว่า ที่พูดอภิปรายอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแถลงนโยบาย หรือ ประเทือง มนตรี (สว.) ที่ได้ประท้วง และกล่าวว่า “ขอถามผู้ประท้วงว่า อยากจะอภิปราย สว. หรือจะอภิปรายนโยบายรัฐบาล ตอบมา เดี๋ยวเจอกัน” ฯลฯ

ทำให้ สส. พรรคประชาชน ถามกลับว่า สว. เมื่อครู่ ประท้วงด้วยข้อบังคับใด และคิดว่าคำพูดของ สว. ควรจะถอน เพราะไม่อยากเห็นพฤติกรรมดังกล่าวที่เป็นการคุกคามเพื่อนสมาชิก ซึ่งต่อมา สว. คนดังกล่าวไม่ยินยอม วันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า หากท่านไม่ถอน จะไม่อนุญาตให้อยู่ในห้องประชุมต่อไป ประเทืองจึงได้ยอมถอนคำว่า “เดี๋ยวเจอกัน”

วันมูหะมัดนอร์ ยืนยันว่า หาก นพ. วาโยอธิบายถึงรายละเอียดกระบวนการฮั้วต่อไป จะไม่อนุญาตแล้ว เพราะการประชุมจะไม่ไปไหน เนื่องจากสมาชิกจะประท้วงซ้ำอีก แม้ สส. พรรคประชาชน จะพยายามคัดค้าน และประท้วงว่าประธานทำตัวไม่เป็นกลาง วันมูหะมัดนอร์จึงขอความร่วมมือให้ นพ. วาโยอภิปรายโดยไม่กล่าวถึงเรื่องเดิมอีก ไม่เช่นนั้นจะข้ามไปผู้อภิปรายคนต่อไป

วาโย กล่าวก่อนปิดท้ายว่า ทั้งหมดที่ตนเองพูดมา ยกสมการทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เดี๋ยวรายละเอียด ไว้ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ได้ เดี๋ยวให้หัวหน้าคิดด้วย และตนเองยืนยันว่าการมีโพย และการรวมกลุ่มกันมา ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้ามาด้วยอุดมการณ์เดียวกัน แต่ความผิดเหล่านี้จะผิดเมื่อมีการให้ผลประโยชน์ และมีการจ้างวาน จึงขอให้ฝ่ายนโยบายของรัฐบาลให้รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ไปกำกับดูแลให้พี่น้องประชาชน ได้มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีที่พวกตนเองเลือกมา จะปฏิบัติตามนั้นจริงๆ เพราะเรายังไม่ได้รับคำมั่นสัญญา

#แถลงนโยบาย #ประชุมสภา #การเมือง #อนุทิน #ประชาไท #prachatai


https://www.youtube.com/watch?v=LVFAuKfFikE


ความเม็ดของมธ. เรื่องเล่าถึงเหตุการณ์วันที่แม่ทัพภาค 2 มาบรรยายที่มธ. ในมุมของผู้สังเกตการณ์


Nattaphon Phanphongsanon 
7 hours ago
·
เห็นคนจัดงาน run2fee ออกมาพูดถึงเบื้องหลังกาารจัดงาน และความเม็ดของมธ. เลยอยากจะเล่าถึงเหตุการณ์วันที่แม่ทัพภาค 2 มาบรรยายที่มธ. ในมุมของผู้สังเกตการณ์
.
วันนั้นในระหว่างที่แม่ทัพภาคกำลังบรรยายอยู่ในห้องประชุมชั้น 4 มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งถือป้ายผ้า แสดงออกว่าไม่เห็นด้วย อยู่หน้าประตูมธ.ฝั่งท่าพระจันทร์ ก่อนจะเข้ามาในมธ. เพื่อยืนรอแม่ทัพภาคลงมาจากตึกหลังบรรยายเสร็จ
ในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ของมธ.(เสื้อสีแดง) เข้ามาคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารของแม่ทัพภาค(เสื้อคลุมสีดำ) ประโยคที่ได้ยินคือ "จะมีเด็กมาถือป้าย แต่ไม่ต้องห่วง เดียวพวกผมล้อมจับให้เอง" ก่อนที่จะเปิดโทรศัพท์และช่วยชี้เป้าเด็กน.ศ.ทีละคน
พอแม่ทัพภาคลงมา เจ้าหน้าที่ทหารของแม่ทัพภาค(เสื้อคลุมสีดำ) ก็แบ่งกันเดินประกบติดเด็กน.ศ.ที่ถูกเจ้าหน้าที่มธ.ชี้เป้าไว้แล้วตลอดเวลา
.
ผมคุยกับใครคนนึงถึงเรื่องพฤติกรรมนี้ในตอนนั้น เค้าบอกว่า 'มันช่วยไม่ได้ ถ้าคิดที่จะทำ ก็ต้องรับผลที่ตามมา'
ซึ่งไม่เห็นด้วย นี่มันคือการคุกคาม คุกคามภายในสถานศึกษา ที่ซึ่งควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อให้เด็กได้แสดงออก
การเชิญแม่ทัพภาคมาบรรยายในมหาลัยหรือในโรงเรียนใดก็ตาม มันคือการตัดสินใจโดยพลการจากคนแค่ไม่กี่คน แต่กลับไม่ยอมให้คนที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะน.ศ.ของตัวเองได้แสดงออก แต่ยินดีให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้กำลังเพื่อกดปราบนักศึกษาของตัวเอง
#ธรรมศาสตร์เสรีภาพทุกตารางนิ้ว

https://www.facebook.com/yayhayahh/posts/pfbid0URX8nJKJ3ywPv2hGb73SQgtJqZKSgq7C8urQTiZWx7VZ9uupv5UHH5HiWG767SCZl


วันจันทร์, กันยายน 29, 2568

‘เพื่อไทย’ หมายเปลี่ยนพ่ายแพ้เป็นดราม่าไม่สำเร็จ ‘เท้ง’ นำทีมนับถอยหลังสู่การยุบสภาฯ เผยเตรียมแถลง ว่าที่ รมต. ‘คนนอก’ ชนิดที่เป็น ‘ดาวเด่น’ ปลายมกรา

เพื่อไทยหมายจะเปลี่ยนความพ่ายแพ้เลือกซ่อมที่ศรีสะเกษให้เป็นดราม่า “ไม่สำเร็จ” ด้วยคำตอบของรังสิมันต์ โรม ต่อ ดนุพร ปุณณกันต์ ให้ไปถาม ทักษิณ สิว่าตั๋วช้างเป็นอย่างไร “โทษตัวเองบ้าง อย่ามัวโทษคนอื่น”

จากการที่โฆษกพรรคเพื่อไทยให้ร้ายว่าเป็น “ศัตรูคู่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย นักแฝงตัวอยู่ในเงามืด...มีสัญญลักษณ์ร่วมกันคือสีน้ำเงิน พวกเขาได้รับการชุบชีวิตจากตั๋วช้างสีส้ม” ก็เลยโดนถองกลับแสบกว่า ว่า “ผลงานไม่มี สร้างแต่ปัญหา

เวลาที่เหลืออยู่หยุดแกว่งปากหาเสี้ยนได้แล้ว ทำงานบ้างอะไรบ้าง” และแล้วเมื่อเวลาพิสูจน์มาถึง วันแถลงนโยบายของรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้า เท้ง นำทีม ๒๐ คนอภิปรายในฐานะหัวหน้าฝ่ายค้าน ตรงตามปก “นับถอยหลังสู่การยุบสภาฯ”

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ย้ำว่าจะต้อง “ผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด ๑๕/๑ ให้แล้วเสร็จก่อนยุบสภา” เพื่อเปิดประตูไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ “จะยังทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่” โดยเจาะจงลงไปเลยว่า

ไม่ได้เห็นชอบให้รัฐบาลใหม่ “แต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือเพื่ออนุญาตให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดีเขากระโดง และฮั้ว สว.” นอกเหนือจากต้องเคารพต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับพรรคประชาชน

ฉะนั้น ไม่ว่านายกฯ หนู จะมีลีลาสร้างภาพ “นอนราบกราบเท้า” หรือใช้คารมตีขลุมเหมาเอา เรื่อง เต้ อยุธยา ขานชื่ออนุทินในสภาให้เป็นนายกฯ “เท่ากับพ่อแม่พี่น้องทุกคนให้ฉันทานุมัติ” ต่อตน จน ลิซ่าต้องออกมาเบรคว่า “มากไป...

คุณฉวยโอกาสจากการเป็นผู้มากประสบการณ์ทางการพูดเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง” ภคมน หนุนอนันต์ ฟันยับทั่นนายกฯ “พูดถึง สส.เต้แบบนี้ สำหรับดิฉัน (เห็นว่า) เสียมารยาทและไม่ให้เกียรติกัน” ตามด้วย สส.ระยอง ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ถล่มซ้ำ

“การที่ผู้แทนให้เกียรติไปต้อนรับการลงพื้นที่แล้วมาโดนแบบนี้ ผมคิดว่าไม่เหมาะสม ไม่ได้ภาระผูกพันอะไรที่ต้องอุ้มชูคุณไปตลอด เสียงของเรายังคงใช้ล้มคุณอนุทินหรือรัฐมนตรีคนใดในสภาได้อยู่” แท้จริงยังมีแผนงานใหญ่ที่หัวหน้าเท้งแพลมไว้

“ช่วงใกล้ปลายเดือน ม.ค.เป็นต้นไปที่มีข้อแน่ชัดว่ามีการยุบสภา และมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งจริง ๆ” จะเปิดตัวแคนดิเดทนายกฯ ของพรรคประชาชน พร้อมด้วยรายชื่อรัฐมนตรี คนนอกชนิดที่เป็น ดาวเด่นดังที่ เสถียร จันทิมาธร เปิดเบิ่งว่าเป็น “จุดเร้า เย้ายวน และ ท้าทาย”

(https://www.facebook.com/sateon.juntimatorn/posts/NLDywSrDL,  https://www.facebook.com/TODAYth.FB/posts/jn22hdXSYfUx และ https://x.com/MorningNewsTV3/status/1972513230812766646)