อีกนั่นแหละ ในกรณีพิพาท ‘สามเหลี่ยมมรกต’ แต่ละด้านก็คละเคล้า ไม่แบ่งฟากแน่นอน ดังเช่น หม่อมปลื้ม กัณวีร์ และพรรคประชาชน เรียงรายกันอยู่หลังแถวทหาร ด้านปวิน พวงทอง และสมศักดิ์ เจียม ยืนกรานว่าการเจรจาเท่านั้นจะทำให้ไม่มีใครได้ใครเสีย
ปัญหาอยู่ที่ตอนนี้รัฐบาลยังไม่แน่ใจว่า ที่บิดานายกฯ ออกมาอวดตัวแต่แรกเลยว่าไม่มีปัญหา เพราะส่วนตัวสนิทแนบแน่นกับสะเด็ดฮุนเซ็นเป็นอย่างดี ครั้นทั้งลูก-ฮุนมาเน็ต (นายกฯ) และพ่อ- ฮุนเซ็น (ประธานวุฒิสภา) ต่างออกมากร้าว
แต่กระบวนการของศาลโลกนั้นต้องให้คู่คดีทั้งสองพร้อมใจ แสดงเจตนาขอพึ่งพาข้อวินิจฉัยของศาลเสียก่อน จึงจะเริ่มกระบวนการพิจารณาได้ เสียงแนะที่น่าเชื่อถือที่สุดอยู่ที่ อย่าได้ไปยินยอมให้นำคดีเข้าสู่ศาลโลกเชียวนะ
ภัทรพงษ์ (ฟิล) แสงไกร อาจารย์กฎหมายค่าย มธ.ให้ความเห็นเรื่องอำนาจศาลว่า “คดีที่กัมพูชาฟ้องไทยเมื่อประมาณสิบปีก่อน กัมพูชาจึงต้องพยายามเฟรมข้อต่อสู้ว่าเป็นเรื่องการตีความคำพิพากษาในคดีเดิม ไม่ใช่ข้อพิพาทในเรื่องใหม่”
ดังนั้น หากกัมพูชาต้องการจะนำคดีไปสู่ศาลโลก จึงต้องหา ‘ความยินยอม’ จากฝ่ายไทยในเรื่องเขตอำนาจศาลให้ได้ ไม่เช่นนั้นต้องเดินหน้าฟ้องคดีฝ่ายเดียว “ผมเดาว่า ถ้ากัมพูชาเลือกทางนี้จริง คงร้องขอให้ศาลออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวด้วย”
อจ.ฟิลเสริมว่า ยุทธศาสตร์การฟ้องคดีต่อศาลโลกของกัมพูชา ใช้ “เป็นเครื่องมือปลุกความรู้สึกชาตินิยมในประเทศ และเพื่อสร้างกระแสความนิยมให้แก่รัฐบาล” ข้อนี้พ่อนายกฯ ไทยเสียท่าอย่างสิ้นเชิง เพราะถูกฝ่ายค้านเขมรใช้เป็นเครื่องมือ
ประโคมว่าฮุนเซ็นจะเกี้ยเซี๊ยกับทักษิณ (และแพทองธาร) ทำให้ฮุนเซนต้องเล่นบทกร้าวกับรัฐบาลไทย เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เขมรฟ้องไทยต่อศาลโลก “ครั้งนั้น ก็ฟ้องในจังหวะที่มีการเลือกตั้งทั่วไป และร้องขอให้ศาลออกคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวได้
ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันนัก”
(https://www.facebook.com/phil.sang/posts/xZVJ54PTC และ https://www.khmertimeskh.com/501694254/hun-sen-warns-thailand-not-to-encroach-on-cambodian-territory/)
