สถานการณ์ความรุนแรงในสี่จังหวัดภาคใต้
กลับมาปะทุอีกในสมัยรัฐบาลตระบัดสัตย์ ข้ามขั้ว ทีมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำนั้น
มีหลายข้อคิดเห็นเสนอกันไปแล้ว จุดน่าคำนึงอยู่ที่ช่วงสองปีที่ผ่านมา
การเจรจาสันติสุขได้หยุดไป
แม้นว่าในรัฐบาลคณะรัฐประหารและชุดสืบทอดอำนาจ โดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา แนวโน้ม ‘ไม่เจรจา’ ได้เกิดขึ้นแล้ว พร้อมให้รัฐบาลเศรษฐาและแพทองธารใช้สวมรอย จนหลายภาคส่วนปักใจไปแล้วว่า สถานการณ์เลวร้ายจะยืดเยื้อต่อไปอีกนาน
สถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้คัดตอนเอา ‘ทัศนะรัฐบุรุษอาวุโส’ บางส่วนจากบทความที่ท่านปรีดีได้เขียนไว้เมื่อปลายเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ‘เอกภาพของชาติกับประชาธิปไตย’ ว่าเป็นแนวคิดต่อปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาเสนอเป็นอีกทางออกหนึ่ง
โดยเน้นว่า “เอกภาพที่แท้จริง ไม่อาจยึดมั่นอยู่บนอำนาจหรือสัญลักษณ์เพียงลำพัง แต่ต้องหยั่งรากอยู่บนความสมัครใจของประชาชนผ่านประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ”
1. เอกภาพของชาติไม่ใช่สิ่งถาวร หากไม่ตั้งอยู่บนความเข้าใจและความยินยอม
ปรีดีหยิบยกกรณีศึกษาจากหลายประเทศ
เช่น ไอร์แลนด์เหนือ เวลส์ เบลเยียม นอร์เวย์ คานาดา ฯลฯ
เพื่อชี้ว่าแม้จะอยู่ใต้สัญลักษณ์เดียวกันมานาน เช่น กษัตริย์ หรือรัฐธรรมนูญ แต่ “จิตสำนึกแห่งปิตุภูมิท้องที่” และความรู้สึกแปลกแยกจากรัฐส่วนกลางยังคงอยู่
และสามารถนำไปสู่ความร้าวลึกหากไม่ได้รับการเยียวยา
เอกภาพไม่ใช่การกดทับความหลากหลาย
แต่คือการจัดการความหลากหลายนั้นด้วยความยุติธรรม
2. ศูนย์กลางของเอกภาพไม่ใช่ ‘สัญลักษณ์รัฐ’ แต่คือ ‘ความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน’
ตัวอย่างจากประเทศที่มีพระราชาธิบดี
แต่ประชาชนกลับไม่รู้สึกเชื่อมโยง เช่น กรณีนอร์เวย์แยกจากสวีเดน หรือพลเมืองฝรั่งเศสในคานาดา
สะท้อนให้เห็นว่า สัญลักษณ์ทางอำนาจไม่สามารถหลอมรวมคนได้
หากปราศจากความเป็นธรรมและการยอมรับร่วมกัน
3. ประชาธิปไตยคือกลไกแห่งเอกภาพที่มั่นคงและยั่งยืนที่สุด
ในข้อเสนอของปรีดี
วิธีการรักษาเอกภาพที่ดีที่สุดคือ “เอกภาพของราษฎร โดยราษฎร เพื่อราษฎร” ตามนิยามของประธานาธิบดีลินคอล์น
กล่าวคือ:
- รัฐต้องฟังประชาชน
- รัฐต้องตอบสนองความต้องการในทางเศรษฐกิจ
- ประชาชนต้องมีสิทธิมีเสียงจริง
หากไร้ประชาธิปไตย
เอกภาพก็เป็นเพียงโครงสร้างเปล่า ๆ ที่เปราะบาง
4. รัฐต้องจัดการกับ
“ความรู้สึกรักปิตุภูมิท้องถิ่น” อย่างเข้าใจ
ไม่ใช่กดทับ
ในตอนท้ายของบทความ
ปรีดีเตือนว่า ความรักในท้องถิ่น ความยึดโยงกับภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมท้องถิ่น
ไม่ใช่ปัญหา แต่จะกลายเป็นปัญหา หากรัฐส่วนกลางเพิกเฉย
หรือพยายามใช้สัญลักษณ์หรือกำลังเข้ากดทับความรู้สึกนั้น
การใช้แนวคิดแบบเผด็จการ
หรือรวมศูนย์อย่างสุดโต่ง ไม่ช่วยรักษาเอกภาพ แต่จะผลักให้ประชาชนถอยห่างออกจากรัฐ
5. เอกภาพของชาติจะลอยเคว้ง หากไม่มีรากฐานจากเศรษฐกิจและสิทธิมนุษยชน
ประโยคสำคัญของปรีดีคือ:
“การรักษาเอกภาพของชาติ
โดยอาศัยทางจิตที่ปราศจากรากฐานเศรษฐกิจและการเมืองประชาธิปไตย
ก็เท่ากับลอยไปลอยมาในอากาศ…”
ปรีดีจึงเสนอว่ารัฐต้องสร้างปัจจัยสี่ให้ประชาชนมีชีวิตที่มั่นคง
และต้องให้สิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง มิฉะนั้น เอกภาพที่อ้างถึง
ก็จะไร้ความหมายในสายตาคนที่ไม่มีแม้แต่ปากท้องหรือสิทธิพื้นฐาน
บทสรุป: เอกภาพที่แท้จริง = ประชาธิปไตย + ความยุติธรรม + การยอมรับความหลากหลาย
ปรีดีไม่ได้ปฏิเสธ “เอกภาพ” แต่เขาไม่ยอมรับ “เอกภาพที่กดขี่” เขาเห็นว่าเอกภาพควรเป็นผลลัพธ์ของ
กระบวนการทางประชาธิปไตยและการดูแลประชาชนอย่างเสมอภาค และเชื่อว่าหากประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของรัฐ
เอกภาพก็จะเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องบังคับ
https://pridi.or.th/th/content/2020/10/469