วันพฤหัสบดี, มกราคม 30, 2568

อันตรายกว่าที่คิด งานวิจัย ชี้ PM2.5 ‘กรุงเทพฯ-ปริมณฑล’ พบโลหะหนักสารหนู- แคดเมียม ก่อมะเร็ง เด็กเล็กเสี่ยงหอบหืด เตือนกระทบสุขภาพทั้งเฉียบพลัน เรื้อรังจี้ ให้ความรู้กลุ่มเปราะบางสวมหน้ากาก N95



งานวิจัย ชี้ PM2.5 'กรุงเทพฯ-ปริมณฑล' พบโลหะหนักสารหนู-แคดเมียม ก่อมะเร็ง

29 ม.ค. 2568
มติชนออนไลน์

งานวิจัย ชี้ PM2.5 ‘กรุงเทพฯ-ปริมณฑล’ พบโลหะหนักสารหนู- แคดเมียม ก่อมะเร็ง เด็กเล็กเสี่ยงหอบหืด เตือนกระทบสุขภาพทั้งเฉียบพลัน เรื้อรังจี้ ให้ความรู้กลุ่มเปราะบางสวมหน้ากาก N95

29 ม.ค. 68 – ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานเปิดงานเสวนา Chula the Impact ครั้งที่ 30 “จุฬาฯ ระดมคิด พลิกวิกฤต PM2.5″ ว่า

เจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพียงแค่การศึกษาอย่างเดียว จุฬาฯ จึงต้องการให้คำตอบกับปัญหาในสังคม จึงเกิดเป็นงานเสวนาในครั้งนี้ โดยมลพิษจากฝุ่น PM2.5 นั้น ทำให้เกิดผลกระทบหลายส่วน เกิดเป็นความร่วมมือของทุกคณะที่ต้องการจะหาทางแก้ไข และขอให้การเสวนาครั้งนี้ต่อยอดไปเป็นกลยุทธ์เพื่อขจัดปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง

พญ.ภัทราวลัย สิรินารา อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกัน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า จากที่มีประเด็นถกเถียงกันในสังคมว่า PM2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพจริงหรือไม่ เรื่องนี้ขอยืนยันว่า PM2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพจริง

จากงานวิจัยทั่วโลกจำนวนมากให้ผลยืนยันตรงกันว่า PM2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งผลกระทบเฉียบพลันและเรื้อรัง ตัวอย่างผลกระทบเฉียบพลันจาก PM2.5 เช่น อาการระคายเคืองตา ไอแห้ง เจ็บคอ หายใจไม่สะดวก ผื่นคันตามตัว

ผลกระทบเรื้อรัง เช่น หอบหืดกำเริบ หลอดลมอักเสบ มะเร็งปอด โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ นอกจากนี้ PM2.5 ไปทำให้เซลล์ของร่างกายอักเสบ เซลล์ที่มีการซ่อมแซมบ่อยครั้งจนความสามารถซ่อมแซมเซลล์ของยีนเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้กลายเป็นมะเร็งในที่สุด

พญ.ภัทราวลัย กล่าวต่อว่า ผลกระทบของ PM2.5 ในเด็กเล็กอาจจะทำให้เกิดอาการหอบหืด หรือ เลือดกำเดาไหล ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์อาจจะทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ในส่วนของผู้สูงอายุ คือ จะเกิดอาการหอบหืด หายใจลำบาก ไปจนถึงมะเร็ง ระบบสาธารณะสุขของไทยได้รณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนทั่วไป และเปราะบางในกลุ่มทั่วไป ได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย N95

ซึ่งควรจะใส่แล้วกระชับหน้าไม่มีลมออกมาจากหน้ากาก และไม่ควรจะออกกำลังกายกลางแจ้งเพราะจะได้รับฝุ่นที่มากกว่าเดิมถึง 20 เท่า ในกลุ่มของผูัที่เลี่ยงไม่ได้ต้องออกไปทำงานทุกวันอยากให้ลดกิจกรรมกลางแจ้งและใส่หน้ากาก N95 ทุกครั้งที่เดินทางไปด้านนอกและถ้าหากอึดอัดจากการใส่หน้ากากอยากให้เข้าสู่ที่ร่มและใช้เครื่องฟอกอากาศที่ได้มาตรฐาน

“จากงานวิจัยพบว่า ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น สารหนู แคดเมียม และโครเมียมในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งสารเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด ในส่วนของกลุ่มเด็กเล็กอยากให้ครูช่วยกันดูและงดกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่ฝุ่นเยอะ ในกลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ให้พยายามอยู่ในบ้าน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้สวมหน้ากาก N95” พญ.ภัทราวลัย กล่าว

พญ.ภัทราวลัย กล่าวต่อว่า ประเทศไทยใช้ค่ามาตรฐานของ PM2.5 ที่ปลอดภัยมานานที่ < 50 mcg/m และมีการปรับเป็น < 37.5 mcg/m3ในปี 2566 แต่จากงานวิจัยพบว่า หากลดค่ามาตรฐานของ PM2.5 ลงมาเท่าเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกที่ < 15 mcg/m จะช่วยลด อัตราการเกิดมะเร็งในประชากรไทยได้ถึง 44% และหากลดลงมาอยู่ที่ < 25 mcg/m ก็ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ 17% จึงอยากผลักดันให้ทางกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และภาครัฐให้ปรับค่าความปลอดภัยให้ลงมาได้เท่ากับที่กล่าวมา

รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า สาเหตุที่ช่วงนี้ถึงมีฝุ่นมากเป็นพิเศษเป็นเพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้มากดไม่ให้ฝุ่นสามารถระบายออกไปได้ การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศต้องเริ่มจากการตรวจวัด และวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

เพื่อให้เข้าใจต้นเหตุของปัญหา และต้องมีการแก้ไขที่แหล่งกำเนิด ควบคู่ไปกับการจัดการแบบบูรณาการในทุกมิติ เพราะแต่ละแหล่งกำเนิดมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมาย การจัดการแบบแยกส่วนจะไม่ได้ผล นอกจากนี้ควรเป็นการจัดการที่มีส่วนร่วมจากชุมชน และมีตัวชี้วัดที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม

รศ.ดร.ศิริมา กล่าวต่อว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีการผลักดันเรื่องเหล่านี้มาเป็นเวลา 20 ปี ส่วนในกรุงเทพฯ ก็ได้มีการผลักดันจนมีการวัดค่ามาตรฐานและมีกฎหมายออกมา ซึ่งแปลว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำตามกฎหมายให้อากาศเป็นไปตามค่ามาตรฐาน ซึ่งก็ได้มีแผนที่เป็นวาระแห่งชาติออกมา โดยอยากจะให้แผนส่วนนี้มีการวิเคราะห์แหล่งกำเนิดของฝุ่นว่า มาจากที่ใด

แต่เรื่องมลพิษฝุ่นนั้นแหล่งกำเนิดมีความแตกต่างตามแต่ละพื้นที่ ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้จะช่วยให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ปัญหา คิดกลยุทธ์ ของแต่ละพื้นที่ได้ ซึ่งภาครัฐต้องมีความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญและต้องกำหนดกรอบเวลา ตัวชี้วัด การดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

“การจะให้เปลี่ยนวิถีชีวิตที่ทำให้เกิดฝุ่นก็ควรจะมีทางเลือกอื่นที่ทำให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะต้องลงไปดูในพื้นที่ว่า จะมีทางเลือกอื่นที่สามารถทำได้หรือไม่ เช่น ให้เกษตรกรให้ห้ามเผาพืชพันธุ์ ก็จะต้องหาทางเลือกอื่นให้กับเกษตรกรเหล่านั้น ปัญหามลพิษในอากาศใช้เวลาแก้ไข แต่ควรจะมีตัวชี้วัดว่า ในแต่ละปีมาตรการไหน ที่ได้ผลที่ดีก็ควรจะนำมาใช้ อันไหนที่ทำได้ไม่ดี ก็ควรจะปล่อยไป และหามาตรการอื่นต่อไป” รศ.ดร.ศิริมา กล่าว

รศ.ดร.ศิริมา กล่าวต่อว่า ถ้าจะลดค่ามาตรฐานของฝุ่นให้ลงไปจากเดิมก็จะต้องเพิ่มมาตรการป้องกันไม่ใช่ใช้เพียงแค่ใช้มาตรการเดิม ซึ่งสำหรับในเมืองควรจะทำให้การจราจรเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ทำระบบขนส่งให้ดี เช่น ทางเดินเท้าและจักรยานที่แบ่งปันกับผู้ใช้ถนน ทำให้ประชาชนหันมาปั่นจักรยานหรือเดินแทนการขับรถ

“ในส่วนของการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลไทยสามารถทำได้ 3 วันล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการจัดการก่อนที่ฝุ่นจะเกิดขึ้น เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด

เป้าหมายสุดท้ายคือจะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนทุกคนในประเทศได้รับอากาศสะอาดไม่ใช่เพียงแค่ในกรุงเทพฯเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องประสานงานกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริง” รศ.ดร.ศิริมา กล่าว

รศ.ดร.ทรรศนีย์ เจตน์วิทยาชาญ ผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ กล่าวว่า โดยนิยามของการจำแนกว่า เป็นฝุ่น PM2.5 หรือไม่ต้องดูที่ขนาดของฝุ่นที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับหรือน้อยกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

โดยฝุ่นประเภทนี้มีแหล่งกำเนิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบปฐมภูมิ เป็นการเกิดจากแหล่งกำเนิดโดยตรงคือเกิดจากการเผาไหม้ การจราจร โรงงานอุตสาหกรรม การเผาขยะ หรือการเผาจากการเกษตร ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมาทั้งหมด

2. แบบทุติยภูมิ เป็นฝุ่นที่เกิดจากสารตั้งต้นในอากาศจนแปรสภาพกลายเป็นฝุ่น จากปฏิกิริยาเคมีในบรรยากาศ อิทธิพลของสภาพอากาศ โดยเฉพาะลมอ่อน อุณหภูมิผกผัน และมวลอากาศเย็นที่มีความเร็วลมต่ำในช่วงฤดูหนาว ทำให้ฝุ่นสะสมและกระจายตัวช้า

รศ.ดร.ทรรศนีย์ กล่าวต่อว่า ถ้าไม่ทราบว่า แหล่งกำเนิดของฝุ่นมาจากไหน การจัดการกับฝุ่นก็อาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพ ซึ่งจากงานวิจัยที่พยายามวิเคราะห์แหล่งกำเนิดของฝุ่น พบว่า สัดส่วนที่เกี่ยวข้องของฝุ่นในกรุงเทพฯกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ มาจากการจราจร

นอกจากนั้นก็จะเป็นสารเคมีจากโรงงานและการเผาไหม้จากพื้นที่นอกกรุงเทพฯ โดยในประเทศที่แก้ปัญหาได้ดีก็มีการพยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องของเครื่องยนต์ที่ใช้ในการจราจร ส่วนในภาคอุตสาหกรรมก็ควรจะมีการวัดค่ามาตรฐานของมลพิษที่โรงงานปล่อยออกมา โดยในตอนนี้ภาครัฐก็พยายามนำข้อมูลของแหล่งกำเนิดมาจัดทำเป็นมาตรการเพื่อควบคุมการเกิดฝุ่นให้ได้มากที่สุด

รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาฯ กล่าวว่า การจัดการคุณภาพอากาศเป็นเรื่องของทุกคน ต้องตั้งรับ ปรับตัว และป้องกันตนเองและครอบครัว โดยเพิ่มการรับรู้ความเสี่ยงและทักษะ Data Literacy ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่เปราะบางต่อปัญหานี้ ควรมีการสื่อสารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะข้อมูลเชิงคาดการณ์ ที่สามารถช่วยให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับปัญหาได้ล่วงหน้า และภาครัฐควรให้ความสำคัญกับวิกฤต PM2.5 ในทุกมิติ ไม่ใช่แค่ด้าน สิ่งแวดล้อม แต่ต้องรวมถึงมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

“กิจกรรมการเผาไหม้นับเป็นแหล่งกำเนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดฝุ่น อยากให้ทุกคนตระหนักว่า กิจกรรมที่ตนเองทำในแต่ละวันเป็นต้นตอของแหล่งปล่อยฝุ่นหรือไม่ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ อยากให้ทุกคนได้รับข่าวสาร ข้อมูล การเตือนภัย สถานการณ์ของฝุ่นทั้งภายนอกและภายในอาคาร

ภาครัฐต้องส่งต่อข่าวสารเหล่านี้ให้ประชาชนเพื่อให้ทราบถึงวิธีที่จะป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM2.5 ซึ่งการเตรียมตัวป้องกันไม่จำเป็นที่จะต้องทำเฉพาะช่วงฝุ่นแต่สามารถทำได้ตลอดทั้งปีเพื่อเตรียมตัวลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น” รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กล่าว

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9611473