วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 24, 2568

อ๊ะ ศาลทหารปราจีนฯ ตัดสินคดีฆาตกรรม น้องเมย ด้วยความมักง่าย ชื่อครูฝึก และรุ่นพี่จำเลยอีกคนหายไป ข้อหาลดมาเหลือแค่ “ทำร้ายร่างกาย”


อ๊ะ ศาลทหารปราจีนฯ ตัดสินคดีฆาตกรรมด้วยความมักง่ายจริงๆ นะ คดีธำรงวินัยจนรุ่นน้องตายเนี่ยมีพิรุธในความไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมหลายอย่าง ที่ตั้งศาลอยู่ในบ้านพัก สำนวนตกหล่น จำเลยหายไปคนหนึ่ง แล้วก็ข้อหาเปลี่ยนไม่ใช่ทำให้ตาย

ข้อมูลจาก Nattharavut Kunishe Muangsuk กลับไปค้นดูคำพิพากษาของศาลทหารกลาง คดีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปี ๑ ภคพงศ์ ตัญกาญขน์ ถูกรุ่นพี่สองคนทำธำรงวินัย ให้เอาหัวโหม่งพื้นท่าแกงการู (จิงโจ้) จนหมดสติ แล้วต่อมาเสียชีวิต

ในสำนวนระบุเหตุการณ์ ๒๒ ๒๓ สิงหาคม นตท.ภคพงศ์ต้องรักษาตัว ๕-๗ วัน อัยการศาลทหาร ซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๒๙๕ คือฟ้องว่า กระทำโดยประมาท ไม่ได้เจตนา

คดีนี้ จึงไม่ใช่เป็นคดี กระทำการโดยประมาทให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องจากบุคคล-กลุ่มบุคลเดียวกัน จนถึงวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ถึงวาระสุดท้ายของ นตท.ภคพงศ์ ซึ่งต้องฟ้องด้วย ป.อ.มาตรา ๒๙๑ อัตราโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ปรับไม่เกินสองแสนบาท”

ณัฐวุฒิบอกว่าเมื่อกลับไปดูจุดเริ่มต้นของคดีนี้ เมื่อเดือนมีนา ๒๕๖๒ ยิ่งเห็นความผิดปกติ เพราะพ่อ-แม่ของ น้องเมยไปฟ้องที่ สน.พญาไท “คดี สั่งฟ้อง ๒ นักเรียนเตรียมทหาร ข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

และฟ้องครูฝึก ข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาล มทบ.๑๒ จังหวัดปราจีนบุรี แต่เมื่อคดีอยู่ในมืออัยการศาลทหาร “ชื่อครูฝึกหายไป” คำพิพากษาศาลชั้นต้นกลายเป็นคนละข้อหา

ตัดสินว่าผิดตาม ป.อ.มาตรา ๓๙๐ คือกระทำการโดยประมาททำให้เป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ เป็นลหุโทษ” แล้วพอถึงศาลชั้นกลาง (อุทธรณ์) ครอบครัวปฏิเสธที่จะรับการชดใช้ “ค่าเสียหายบางส่วน” ขอต่อสู้คดีเพื่อหาความจริงต่อไป

คดีในชั้นอุทธรณ์ ปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นรุ่นพี่ของผู้ตาย ชื่อหายไปจากสำนวนหนึ่งคน เหลือเพียงคนเดียวที่ได้รับราชการตำรวจก้าวหน้าตลอดมาจนยศ ร.ต.ท. ทั้งที่ในเอกสารบันทึกการสอบปากคำจำเลยสองคนของกลาโหม ยอมรับว่าลงมือทำร้ายทั้งคู่

คงทราบกันบ้างแล้วว่าคดีในศาลทหาร ผู้เสียหายไม่สามารถเป็นโจทก์ หรือตั้งทนายได้ ต้องให้อัยการเท่านั้นดำเนินการ ดังนั้นเมื่อมีการชันสูตรศพ แล้วพบว่าอวัยวะของผู้ตายหายไปหลายอย่าง หมายเรียกแพทย์ไปชี้แจงสองครั้งก็เงียบหาย

นี่ละพระเดชพระคุณ ความยิ่งใหญ่เหนือประชาชนของทหาร

(https://www.facebook.com/nattharavutm/posts/2W8KK2ZXD5M) 

งานเลี้ยงกินโต๊ะ เลิกหรือยัง


Suchart Sawadsri
12 hours ago
·
วันเดียวกัน
จาก "หอศิลป์ริมน่าน" ถึงงานเลี้ยง สทร.


.....

Kasian Tejapira
17 hours ago
·
พวกอั๊วกินโต๊ะ พวกลื้อดู: ศักดินาภิวัตน์รอบใหม่ของการเมืองกับปริมณฑลสาธารณะ
%%%%
การที่ส.ส.สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลนัดกินข้าวกันเป็นพัก ๆ เฉพาะกลุ่มพวกตนแล้วออกข่าวทางสื่อสาธารณะ ด้านหนึ่งก็สะท้อนความรักสามัคคีเป็นกลุ่มก้อนกันดี
ทว่าอีกด้านหนึ่งก็เหมือนมหรสพเฉพาะพรรคพวกที่ฉายแสดงการกินเลี้ยงให้ราษฎรที่เลือกพวกท่านชมด้วยความปลาบปลื้มอิ่มเอมใจพลางกลืนน้ำลายเอี๊อกพลางอยู่ห่าง ๆ
และสงสัยคันในใจยากที่จะเกาว่าเกี่ยวอะไรกับพวกตรูฟะ?


...

Kasian Tejapira
17 hours ago
·
Collective Dieners
%%%%
ยิ่งเลี้ยงบ่อยยิ่งอร่อยยิ่งชื่นมื่น
ยิ่งหงายคว่ำกล้ำกลืนใจหวิวโหวง
กินอิ่มหมีพุงกลมผสมโรง
แต่สภาโล่งโจ้งไม่ครบองค์
จึงเปิดโชว์ใหญ่โตหม่ำรวมหมู่
มหรสพให้ดูเพื่อเสริมส่ง
นโยบายขายฝันไม่ทันชง
กรดไหลย้อนหลงจ้งพะอืดพะอม




“ถ้าจะไม่จำคุกคนฆ่าน้องเมยด้วยเหตุผลว่า “ขังไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้อยู่เป็นทหารต่อมีประโยชน์กว่า” เพนกวินว่า "ก็ปล่อยอานนท์ นำภา (และคนอื่นๆ) ออกมาเถอะครับ ปล่อยให้เขาออกมาเป็นทนายความ น่าจะมีประโยชน์กว่าขังเขาไว้ เป็นนักโทษการเมืองครับ” ใช่เลย !

.....

เรื่องเล่าเช้านี้
8 hours ago
·
“เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง จำเลยคดี ม.112 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีศาลทหารชั้นฎีกาตัดสิน “คดีน้องเมย” ให้รุ่นพี่ (จำเลย) ติดคุก 4 เดือน 16 วัน แต่รอลงอาญา 2 ปี เนื่องจากการลงโทษไม่เป็นประโยชน์ และได้ให้จำเลยปรับปรุงตัวรับใช้ชาติต่อไป
.
โดยแสดงความคิดเห็นว่า “ถ้าจะไม่จำคุกคนฆ่าน้องเมยด้วยเหตุผลว่า “ขังไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้อยู่เป็นทหารต่อมีประโยชน์กว่า” ผมว่าก็ปล่อยอานนท์ นำภา (และคนอื่นๆ) ออกมาเถอะครับ ปล่อยให้เขาออกมาเป็นทนายความ น่าจะมีประโยชน์กว่าขังเขาไว้ เป็นนักโทษการเมืองครับ”







ประเทศไทยพังแน่ หากปล่อยให้ "คนเหล่านี้" เข้าไปเติมเชื้อไฟความขัดแย้งเกลียดชังระหว่างคนไทยกับคนกัมพูชา เพราะจะเข้าทางกัมพูชา ที่กล่าวหาไทยว่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ และสื่อไทยเอง ก็ควรระมัดระวัง ไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของ "คนเหล่านี้"


Suramet Noyubon
8 hours ago
·
ประเทศไทยพังแน่

Jom Petchpradab
2 hours ago
·
กองทัพไทย ไม่ควรปล่อยให้ "คนเหล่านี้" เข้าไปเติมเชื้อไฟความขัดแย้งเกลียดชังระหว่างคนไทยกับคนกัมพูชา เพราะจะเข้าทางกัมพูชา ที่กล่าวหาไทยว่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์
และสื่อไทยเอง ก็ควรระมัดระวัง ไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของ "คนเหล่านี้"

https://www.facebook.com/photo/?fbid=25141087622146870&set=a.103747836307528
.....


Pravit Rojanaphruk
6 hours ago
·
สถานการณ์วิกฤตขึ้นทุกที... ผมขอเรียกร้องคนไทยที่รักสันติและยังมีสติ ช่วยกันส่งเสียงดังๆว่าเราไม่เอาสงคราม ก่อนจะสายเกินไป เพราะสงครามไม่แก้ปัญหา แม้ว่าพวกคุณจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไทยใจเขมร เพราะนี่คือการรักชาติไทยอย่างมีสติถูกวิธี #ป #ไทย #กัมพูชา #Thailand #Cambodia #ไม่เอาสงคราม #nowar



"มันมีคำถามเล็ก ๆ ว่าศาลเห็นว่าจำเลยทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ แล้วถ้าลูกพี่มีชีวิตอยู่ล่ะ เขาสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับชาติได้ไหม" คดีสิ้นสุดแล้ว แต่ครอบครัว น้องเมย ยังคงค้างคาใจ


นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตเมื่อปี 2560

"คดีสิ้นสุดแล้ว แต่ผมยังคาใจ" ศาลทหารสั่งจำคุกรุ่นพี่น้องเมย 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี ลงโทษได้สัดส่วนหรือไม่

22 กรกฎาคม 2025
บีบีซีไทย

วันนี้ ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 ปราจีนบุรี มีคำพิพากษาชั้นฎีกายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ว่าให้จำเลยที่ทำให้นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ เมย อดีตนักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) ชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนาในโรงเรียนเตรียมทหารเมื่อเกือบ 8 ปีก่อน มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย

นายภคพงศ์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560 คดีที่ศาลพิพากษาในวันนี้เกี่ยวกับคดีทำร้ายร่างกายที่มีจำเลยเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ 1 คน ซึ่งเป็นผู้สั่งธำรงวินัยจนเมยต้องเข้าโรงพยาบาล

จากการเปิดเผยของครอบครัว ศาลเห็นว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษมาก่อน การลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ขอถือว่าไม่เป็นประโยชน์ ให้จำเลยปรับปรุงตัวรับราชการ รับใช้ชาติต่อไปจะเป็นประโยชน์มากกว่า ศาลจึงลงโทษจำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี

ปัจจุบัน นักเรียนรุ่นพี่ที่เป็นจำเลยทำงานเป็นข้าราชการตำรวจ

นายพิเชษฐ และ นางสุกัลยา ตัญกาญจน์ พ่อและแม่ของผู้เสียชีวิตเดินทางไปยัง จ.ปราจีนบุรี เพื่อฟังคำพิพากษาศาล ทั้งคู่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังทราบผลการตัดสิน โดยบอกว่าลูกชายคนเดียวของตัวเองไม่มีโอกาสได้มีชีวิตด้วยซ้ำ

"มันมีคำถามเล็ก ๆ ว่าศาลเห็นว่าจำเลยทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ แล้วถ้าลูกพี่มีชีวิตอยู่ล่ะ เขาสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับชาติได้ไหม" นางสุกัลยากล่าว "จำเลยยังไม่ได้ติด [คุก] เลย เพราะจะยากต่อการประกอบสัมมาชีพ แต่ลูกพี่ไม่มีโอกาสเลยไง"

ส่วนผู้เป็นพ่อมีคำถามไปยัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าการที่รุ่นพี่รายนี้ทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แล้วต้องคดีอาญา ทาง ตร. จำเป็นต้องจัดการคนของตัวเองหรือไม่ โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่เชื่อว่าจำเลยที่เป็น "เจ้าหน้าที่ตำรวจแบบนี้จะสามารถดูแลประชาชนต่อไปได้"

"ในตอนนี้ถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว แต่ผมยังคาใจ คงต้องปรึกษาทนายต่อว่าจะทำอะไรได้บ้าง" นายพิเชษฐ กล่าวกับบีบีซีไทย "เป้าหมายตอนนี้คือต้องการให้เขา [หมายถึงจำเลย] ต้องออกจากราชการ"

ครอบครัวยังคงค้างคาใจ

นอกจากทางครอบครัวจะมีคำถามต่อคำตัดสินของศาลทหารแล้ว พวกเขายังเล่าถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงกว่า 7 ปีที่ผ่านมา เช่น กรณีการผ่าชันสูตรศพครั้งแรกที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งทางครอบครัวมาพบในภายหลังว่ามีการจัดเก็บสมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร ของนายภัคพงศ์ไว้

ในตอนนั้นแพทย์นิติเวชผู้ผ่าพิสูจน์ให้เหตุผลว่าได้จัดเก็บอวัยวะภายในร่างกายของเมยไว้จริง เพื่อทำการตรวจทางกล้องจุลทรรศน์เพิ่มเติม เนื่องจากการตรวจสภาพศพภายนอกไม่พบว่ามีบาดแผลประทุษกรรมตามร่างกาย และการผ่าเปิดภายในและพบว่ากระดูกซี่โครงที่ 4 ด้านขวาหัก และมีรอยช้ำของกล้ามเนื้อหน้าอกด้านขวาและซ้าย ไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตได้

นางสุกัลยาผู้เป็นแม่ไปแจ้งความเอาผิดกับแพทย์นิติเวชของ รพ.พระมงกุฎเกล้า กับสถานีตำรวจนครบาล (สน.) พญาไท โดยกล่าวหาว่าทำให้อวัยวะหายและเสียหาย รวมถึงทำลายอวัยวะ

ทางครอบครัวเคยนำประเด็นนี้ไปร้องเรียนแพทยสภาด้วย โดยทางแพทยสภาไม่เห็นว่าอวัยวะหายไปตามที่ถูกกล่าวหา แต่ผลการตรวจสอบที่น่าสนใจคือสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ที่หลงเหลืออยู่ในอวัยวะดังกล่าวมีน้อยมากจนแทบนำไปตรวจสอบต่อไม่ได้

"บางอวัยวะไม่มีสารพันธุกรรมเลย เราเลยตั้งคำถามว่ามันเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีเลย มันเกิดความผิดพลาดอย่างไร อวัยวะที่ไม่มี [DNA] มันใช่ของลูกเราหรือเปล่า" นางสุกัลยา กล่าว

ต่อมาครอบครัวพบว่าตำรวจ สน.พญาไท ออกหมายเรียกแพทย์ไปแล้ว 2 ครั้ง แต่แพทย์ยังไม่มารายงานตัวตามหมายเรียก

"ผมก็ถามว่าทำไมไม่ออกหมายจับ พอเขาไม่มาแล้วทำไมตำรวจถึงเฉย" ผู้เป็นพ่อตั้งคำถาม

ครอบครัวยังอ้างด้วยว่าตำรวจสถานีตำรวจภูธร (สภ.) เมืองนครนายก ซึ่งรับผิดชอบทำสำนวนส่งฟ้องในอีกคดีหนึ่ง ได้เข้ารับฟังผลการชันสูตรศพรอบสองโดย รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และทราบดีว่าสาเหตุการตายของนายภคพงศ์คืออะไร แต่สุดท้ายสำนวนที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามนั้น

"ท้ายสำนวนกลับพลิก รู้ไหมว่าตำรวจเจ้าของสำนวนมาพูดกับพี่อย่างไร ฟังนะ เขาบอกว่าแม่ต้องเข้าใจผมนะ ลูกผมยังเล็ก ผมยังไม่อยากตาย" นางสุกัลยากล่าวพร้อมกับแสดงสีหน้าอัดอั้น


ครอบครัวตัญกาญจน์รับอวัยวะน้องเมยที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ก่อนนำส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตรอบที่ 2 เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2560

ด้านผู้เป็นแม่ที่มีท่าทีโศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัดหลังฟังคำพิพากษาชั้นฎีกาในวันนี้ ยังบอกสื่อมวลชนด้วยว่าตลอด 7 ปีที่ผ่านมา การเข้าถึงพยานและหลักฐานต่าง ๆ เป็นเรื่องยากมากและไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

"พอมันผ่านมาหลายปี มันทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่อยากให้ครอบครัวคนอื่นเดือดร้อน ใครที่เข้ามาพูดคุยกับครอบครัวเราจะโดนแบนทั้งหมด และจะมีโทรศัพท์ขู่เข้ามาตลอด คนที่อยากให้การก็มาไม่ได้" นางสุกัลยากล่าวพร้อมน้ำตา

"คำเดียว... มึงอย่ายุ่ง แล้วน้องคิดว่าพี่จะไปหาพยานหลักฐานตรงไหน" ผู้เป็นแม่ถามต่อสื่อมวลชน

ในเวลาเดียวกัน น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของนายภคพงศ์ ซึ่งตอนนี้อยู่ต่างประเทศและไม่สามารถเดินทางมารับฟังคำพิพากษาร่วมกับครอบครัวได้ ได้โพสต์เฟซบุ๊กและลงภาพเอกสารลับจากกระทรวงกลาโหมบางส่วน ซึ่งเป็นรายงานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหลังนายภคพงศ์เสียชีวิต

เธอเขียนถึงน้องชายว่า "นตท.ภคพงศ์ นายต้องปราศจากความผิดทั้งหมด รวมถึงข้อครหาว่าเพราะนาย 'โกหก' จึงต้องไปโดนธำรงวินัย"

น.ส.สุพิชา บอกว่า เอกสารเหล่านี้ไม่ได้ถูกส่งประกอบเข้าไปในการฟ้องร้อง เพราะขอเอกสารจากต้นสังกัดเข้ามาในสำนวนส่งฟ้องไม่ทัน แต่ถ้าหากทุกคนได้อ่านก็จะรู้ว่าผู้ที่โกหกไม่ใช่น้องชายของตนเอง

"วันนี้เดินทางมาสุดสายปลายทางของคดีแรกแล้ว พวกเราทำสำเร็จแล้วนะเมย แต่ถึงมันจะไม่ได้รู้สึกว่ายุติธรรมมากพอ แต่มันก็สำเร็จแล้ว ฉันล้างมลทินทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้นายแล้ว ขอบคุณพ่อกับแม่ที่หัวใจแหลกสลายแค่ไหนแต่ก็แข็งแกร่งมากพอที่จะอยู่และทนรับความเจ็บปวดนี้ไว้" น.ส.สุพิชา ระบุในเฟซบุ๊ก

พี่สาวของนายภคพงศ์ยังบอกด้วยว่าต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในระบบการพิจารณาความ "อะไรที่เป็นอาญาทหาร ก็ให้ไปขึ้นศาลทหาร" แต่ "อะไรที่เกิดในกฎหมายอื่นก็อยากให้ขึ้นศาลพลเรือน"

"เพราะการพิจารณาคดีมันแตกต่างกันจริง ๆ" เธอกล่าว

การลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วน ทำให้ไทยอาจละเมิดอนุสัญญากฎหมายสากล

ผศ.ดร.รณกรณ์ บุญมี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า หากคดีดังกล่าวเกิดขึ้นในปัจจุบัน แม้จะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างทหารกับทหาร การพิจารณาคดีจะอยู่ภายใต้อำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และแม้ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นรุ่นพี่ในหน่วยทหาร ไม่ได้เป็นครูฝึก แต่รุ่นพี่เป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากครูฝึก ดังนั้น การกระทำลักษณะนี้ก็จะถูกพิจารณาภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งจะขึ้นกับศาลอาญาของพลเรือนแทน

ผศ.ดร.รณกรณ์ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคดีลักษณะนี้ว่า ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment - CAT) ของสหประชาชาติที่ไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาเมื่อปี 2550 ระบุถึงการกำหนดโทษว่าจะต้องได้สัดส่วน ไม่ควรเป็นเพียงแค่การลงโทษในตัวกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงโทษในชีวิตจริงเพื่อให้เกิดการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย โดยยกตัวอย่างกรณีหนึ่งเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลเยอรมนีซึ่งเคยลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทรมานผู้ต้องหา คดีนี้ถูกส่งขึ้นไปยังศาลยุโรป ซึ่งศาลยุโรปเห็นว่าการลงโทษของศาลเยอรมนีไม่ได้สัดส่วน จึงถือว่ารัฐเยอรมนีละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหา

"แม้คดีอยู่ในศาลทหาร แต่เมื่อประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศดังกล่าว การตัดสินใด ๆ ที่ไม่ได้สัดส่วนอาจถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ถูกกระทำ" ผศ.ดร.รณกรณ์ กล่าวถึงหลักการของการบังคับใช้กฎหมายการซ้อมทรมานกับบีบีซีไทย

สำหรับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ในข้อ 4 วรรค 2 ระบุว่าให้รัฐภาคีแต่ละรัฐทำให้ความผิดเหล่านี้เป็นความผิดที่มีโทษ ซึ่งมีระวางโทษที่เหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำเหล่านั้น

แม้ยังไม่เห็นรายละเอียดของคำพิพากษาของศาลทหาร มทบ.ที่ 12 กรณีการเสียชีวิต ของ นตท. ภคพงศ์ แต่นักวิชาการนิติศาสตร์จาก มธ. กล่าวว่าคดีทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุถึงแก่ความตายซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 นั้นระบุว่า ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี แต่หากเข้าลักษณะความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานฯ โทษจะเป็นจำคุกตลอดชีวิต

สส.ประชาชน ชี้ แม้คดีในค่ายทหารอยู่ในศาลอาญาทุจริตแล้ว แต่ยังมีความพยายามดึงกลับไปเป็นของกลาโหม

เอกราช อุดมอำนวย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพฯ พรรคประชาชน (ปชน.) และเลขานุการคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลทหารชั้นสูงสุดในคดีนี้ว่า เรื่องนี้สะท้อนความอยุติธรรมในค่ายทหารอย่างร้ายแรง และสมควรแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร และกฏหมายที่เกี่ยวข้อง

สส.เอกราช ชี้ว่าการดำเนินคดีในศาลทหาร ขาดความเท่าเทียมระหว่างจำเลยที่ได้รับการแต่งตั้งทนายได้ กับโจทก์ ซึ่งครอบครัวไม่สามารถมีทนายในศาลทหารได้ เพราะคดีในศาลทหาร อำนาจฟ้องของพลเรือนมิสามารถเป็นโจทก์ร่วมได้ จึงทำให้การดำเนินคดีรูปแบบนี้ "สร้างความรู้สึก 'คนละชั้น' และอาจส่งผลให้การพิจารณาคดีผิดพลาดหรือลิดรอนสิทธิของครอบครัว

นายเอกราชกล่าวว่า โทษรอลงอาญา 2 ปี ซึ่งศาลเห็นว่าจำเลยสามารถรับราชการต่อได้ แต่ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิต การให้โอกาสแบบนี้อาจลดทอนความเป็นธรรมและจิตสำนึกต่อความรุนแรงในการฝึกทหาร โดยเมื่อเปรียบเทียบกับคดีในศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งตัดสินคดีที่พลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล สังกัดหน่วยฝึกทหารใหม่ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ถูกครูฝึกและรุ่นพี่ทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา คดีนี้ศาลสั่งจำคุกครูฝึกซ้อมทหารเกณฑ์ตาย สูงสุด 20 ปี นับเป็นคดีแรก ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ

เขากล่าวด้วยว่า แม้คดีลักษณะนี้จะอยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบแล้วในปัจจุบัน แต่ยังมีความพยายามจากกลาโหมที่จะดึงคดีกลับไปสู่อำนาจของศาลทหาร ซึ่งสะท้อนจากการให้ความเห็นของศาลทหาร กรณีทำคำวินิจฉัยเขตอำนาจศาลว่าคดีของพลทหารกิตติธร เวียงบรรพต ทหารเกณฑ์ผลัดที่ 1/66 ค่ายเม็งรายมหาราช จ.เชียงราย เสียชีวิตหลังเข้ารับการเกณฑ์ทหาร เป็นคดีที่ควรขึ้นศาลทหาร

"คดีน้องเมยเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่า ระบบทหารต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน ทั้งในเรื่องกระบวนการยุติธรรม การดูแลสิทธิของเหยื่อ และระบบการเยียวยา หากเราไม่ลงมือแก้ไข อาจจะมีเรื่องราวของชีวิตที่สูญเสียอีกโดยไม่รู้ตัวในสถาบันทหาร ซึ่งเป็นที่พึงให้สังคมสามารถไว้ใจได้" สส. จากพรรคประชาชนระบุ

https://www.bbc.com/thai/articles/c8rpzz3k3xxo


ครอบครัว “น้องเมย” ร้องขอความเมตตา เตรียมเข้าพบ ผบ.ตร. สะท้อนความรู้สึกเจ็บลึก เห็นผู้กระทำผิด เติบโตในหน้าที่ราชการ ลย้ำจะสู้เพื่อศักดิ์ศรีลูกชายให้ถึงที่สุด


สำนักข่าวราษฎร - Ratsadon News
9 hours ago
·
ครอบครัว “น้องเมย” ร้องขอความเมตตา เตรียมเข้าพบ ผบ.ตร. สะท้อนความรู้สึกเจ็บลึก เห็นผู้กระทำผิด เติบโตในหน้าที่ราชการ ลย้ำจะสู้เพื่อศักดิ์ศรีลูกชายให้ถึงที่สุด

เมื่อวันที่ 23 ก.ค 68 เวลา 14.30 น. นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ พ่อแม่ ของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังจบรายการโหนกระแส โดยคุณพ่อบอกว่า หลังจากนี้จะดำเนินการอย่างไรต่อ ต้องขอปรึกษาทนายความเพิ่มเติมก่อน ที่ผ่านมาจนถึงชั้นศาลฎีกา ครอบครัวก็เหนื่อยมากแล้ว ตอนนี้ขอให้ทนายความดำเนินการ ส่วนเรื่องทางคดีก็อย่างที่พูดในรายการไปแล้ว คงไม่พูดต่อเพราะไม่อยากก้าวล่วงศาล แต่ยอมรับว่าความรู้สึกในใจรู้สึกขัดแย้ง ในฐานะครอบครัวที่ต้องสูญเสียลูกชาย แต่เห็นผู้กระทำเติบโตในหน้าที่ข้าราชการตำรวจ

ส่วนกับทางพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็อยากฝากเหมือนกับที่เคยพูดไปแล้วว่าคู่กรณียังสมควรที่จะเป็นตำรวจอยู่หรือไม่ ซึ่งที่ทาง พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ บอกว่า ขณะเกิดเหตุคู่กรณีไม่ได้อยู่สถานะตำรวจ จะดำเนินการทางวินัยตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 ไม่ได้นั้น มองว่า ไม่น่าใช่ เพราะตอนนั้นเขาเลือกเหล่ามาแล้วว่าเป็นเหล่าตำรวจ อย่างลูกตน ก็เลือกเหล่านายร้อย จปร. มันชัดเจนอยู่แล้ว แต่เข้าใจว่า พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ มาทีหลัง ก็ไม่ได้กล่าวโทษท่าน แต่ก็อยากฝากขอความเมตตากับท่าน

โดยครอบครัวติดใจเรื่องการเลื่อนยศของคู่กรณี เพราะมันขึ้นเร็วมาก จากร้อยตำรวจตรีเป็นร้อยตำรวจโท อยากรู้ว่า คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทราบหรือไม่

ส่วนที่ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่า อยากจะพบเพื่อพูดคุยกับครอบครัวเป็นการส่วนตัว ตนมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะตนเองก็อยากจะหาเวลาไปพูดคุยกับท่านอยู่แล้ว เพื่อไปขอความเมตตา ไปถามท่านว่า เมื่อมีเรื่องลักษณะนี้ คู่กรณียังสมควรที่จะเป็นตำรวจอยู่ หรือสมควรที่จะถอดเครื่องแบบ แต่สุดท้ายก็ต้องให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยหลังจากนี้จะให้ทนายความประสานติดต่อเข้าไปขอพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่ยังตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ ขอพูดคุยกันก่อนว่าจะสอบถามในเรื่องอะไรบ้าง และดูเรื่องกฎระเบียบของโรงเรียนนายร้อยสามพรานก่อน หากท้ายที่สุดเรื่องทางวินัย ไม่สามารถดำเนินการได้จริง ครอบครัวก็ยังคงรู้สึกติดใจในฐานะผู้สูญเสีย

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ครอบครัวแจ้งความเอาผิดแพทย์ผู้ชันสูตรคนแรก ที่ทำให้อวัยวะน้องเมยหายไปไว้ที่ สน.พญาไท นั้น ได้มีการติดตามเรื่องนี้อย่างไรบ้าง คุณพ่อบอกว่า ล่าสุดทราบจากทนายความว่า ได้มีการเรียกแพทย์ที่ผ่าชันสูตรมาสอบปากคำแล้ว แต่เขามาหรือยังก็ไม่ทราบ ซึ่งอยากให้คิดดูว่าหากบริสุทธิ์จริง ทำไมผ่าเสร็จแล้วไม่นำอวัยวะกลับเข้าไปในร่างคืนให้ครอบครัว

ขณะที่คุณแม่ของน้องเมย นางสุกัลยา ตัญกาญจน์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอบคุณประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่เห็นอกเห็นใจ เพราะการสู้หรือเดินมามันไม่ง่าย มันลำบาก กว่าจะขอเอกสาร กว่าจะขอความร่วมมือ มันทำให้หัวใจมันเหนื่อยล้า เหลวแหลกหมด เหนื่อยใจมากกว่าเหนื่อยกาย

ในส่วนกรณีที่มีการโพสต์โจมตี มีตั้งแต่น้องเมยเสียใหม่ ๆ จนถึงวันนี้ที่เป็นข่าว แรงกระเพื่อมตรงนั้นมันก็กลับมาอีก แต่แม่อยากย้ำว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา แม่ไม่เคยโพสต์โจมตี ไม่เคยไม่ให้เกียรติหรือให้ร้ายต่อสถาบันเลย ที่เดินหน้ามาทุกวันนี้ เพราะต้องการความยุติธรรมให้ลูกเท่านั้น แต่เพราะลูกอยู่ในสถาบันนี้ จึงทำให้คนในสถาบัน รวมถึงพ่อแม่ของนักเรียนในสถาบันเดียวกัน มองว่าลูกเราทำให้เสื่อมเสีย ฟีดแบคจึงตีกลับมา แต่ไม่ใช่จากคู่กรณีโดยตรง แต่เป็นนักเรียนเหล่าที่เรียนรุ่นเดียวกันในตอนนั้น

และที่ยังติดค้างในใจคือคำกล่าวหาที่บอกว่าน้องเมยสุขภาพไม่ดี บอกว่าป่วยตายเอง ซึ่งแม่กำลังแก้ข้อนี้ให้เขา แม้แม่จะมีลมหายใจสุดท้าย เฮือกสุดท้าย สังขารที่แม่จะไม่ไหว แต่ถ้าพี่ทำได้ พี่จะทำเพื่อลูก แก้ข้อกล่าวหาและมลทินสุดท้ายให้ได้แน่นอน และแม่ยังยืนยันว่า ถ้าน้องเมยป่วยตายจริง ๆ เขาจะไม่เรียนอยู่ถึง 5 เดือน เพราะการฝึกของนักเรียนเตรียมทหารไม่ได้เบา มันหนักมาก ถ้าเมยจะป่วยตาย คงต้องตายตั้งแต่ก่อน 5 เดือน ไม่ใช่มาตายตอนฝึกแล้ว ตอนรับแหวนแล้ว แม่ยืนยันว่าจะต้องแก้ข้อนี้ให้ลูกให้ได้

อีกทั้งแม่เผยว่าแก้ข้อนี้จบ แม่อยากหนีเข้าป่า แม่อยากหนีเข้าป่าไปนานแล้ว เพราะสภาพจิตใจแม่ไม่ไหว แม่ต้องฟังธรรมะ ต้องตื่นมาเจออะไรเดิม ๆ ตื่นมาเจอกรอบรูปของลูก เจอรูปลูก มันทนไม่ไหว แล้วยิ่งรู้สาเหตุการตายของลูก มันยิ่งไม่ไหว แต่ความอาฆาต แม่ตัดได้แล้ว แม่พยายามศึกษาจากน้องเมย จากการให้อภัย การให้โอกาสคน แม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากลูก แม่มีหน้าที่ทำหน้าที่แก้ข้อกล่าวหาให้พ้นมลทิน และแม่ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้กับแม่เสมอมา

ทั้งนี้ แม่และครอบครัวยืนยันว่าจะเดินหน้าสู้ต่อไป เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องเมย แม้วันนี้อาจยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดมากนัก เนื่องจากอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และยืนยันว่าพร้อมเข้าพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากได้รับโอกาสในการพูดคุย

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1182806683867022&set=pcb.1182807747200249






 

ทางหนีไฟบันไดไม้ รัฐสภาหมื่นล้าน สว.เห็นแล้ว อึ้งเลย !


Tewarit Bus Maneechai
9 hours ago Bangkok, Thailand 
·
ทางหนีไฟบันไดไม้
— feeling optimistic at สัปปายะสภาสถาน รัฐสภา.

Tewarit Bus Maneechai
ตามกฎกระทรวงมหาดไทยกําหนดประเภทและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้เพื่อประกอบกิจการเป็นสถานบริการ พ.ศ. 2555 ข้อ 33 ระบุอัตราการทนไฟของส่วนปิดล้อมในทางหนีไฟกับลักษณะของผนังตามอัตราการทนไฟไว้ ถ้าขนาดสภาก็ต้องทนได้ 2 ชม. เป็นต้นไป โดยผนังที่ทําด้วยวัสดุทนไฟที่มีคุณสมบัติในการป้องกันไฟได้ดี


.....


@politicalfanatic8 สว.อึ้ง! บันไดหนีไฟไม้สัก | #ติ่งการเมือง #สภา #แผ่นดินไหว #ตึกถล่ม ♬ เสียงต้นฉบับ - ติ่งการเมือง



https://www.facebook.com/photo?fbid=10232890254651687&set=a.2101560131639
https://www.tiktok.com/@politicalfanatic8/video/7489775293939371271




นานๆจะมีข่าวดีจาก สส.ฝ่ายรัฐบาล สักที คราวนี้ขอขอบคุณ สส.ฝ่ายรัฐบาล ที่โหวตสนับสนุนข้อเสนอของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559 ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมของประเทศเรา โดยมีผลทันที


สว่างจิตต์ เลาหะโรจนพันธ์
8 hours ago
·
ขอบคุณ สส.ฝ่ายรัฐบาล ที่เห็นความสำคัญ และโหวตสนับสนุนข้อเสนอของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ในการให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2559 ที่มีตัวอย่างในการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โรงแยกขยะ โรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีผลทันที หากมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ไม่ต้องรอไปอีกสองปี ตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก
.
กิจการที่เคยได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายผังเมือง ได้แก่ ( ข้อมูลตาม Enlaw ) ดังต่อไปนี้
(1) คลังน้ำมันตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง
(2) กิจการโรงงานลำดับที่ 88: โรงงานผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (โรงไฟฟ้าและสถานีส่งไฟฟ้า)
(3) กิจการที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิต ขนส่ง และระบบจำหน่ายพลังงานของกิจการตาม (1) และ (2)
(4) กิจการโรงงานลำดับที่ 89: โรงผลิตก๊าซซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ (เช่น โรงงานผลิตก๊าซชีวภาพ)
(5) กิจการโรงงานลำดับที่ 101: โรงงานปรับปรุงคุณภาพของเสียรวม (เช่น โรงบำบัดน้ำเสีย เตาเผาขยะ)
(6) กิจการโรงงานลำดับที่ 105: โรงงานคัดแยกและฝังกลบสิ่งปฏิกูล วัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (เช่น หลุมฝังกลบขยะ)
(7) กิจการโรงงานลำดับที่ 106 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้ว หรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม (โรงงานรีไซเคิล)
( กิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการกำจัดมูลฝอย

https://www.facebook.com/photo?fbid=1248954693690291&set=a.445031030749332



ผลเลือกตั้งญี่ปุ่นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้เห็นได้ชัดว่า พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรครัฐบาลแทบจะตลอดกาลของญี่ปุ่น เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ


Nut Kun นัทคุง
8 hours ago
·
หลังจากผลเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็เห็นได้ชัดว่า พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party - LDP) พรรครัฐบาลแทบจะตลอดกาลของญี่ปุ่น เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

ผมเลยอยากจะสรุปหน่อยว่า ทำไมพรรคที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ถึงค่อยๆ ตกต่ำลงเรื่อยๆ

ก่อนอื่น ต้องเล่าก่อนว่า พรรค LDP คือพรรคที่เป็นรัฐบาลญี่ปุ่นหลังจบสงครามโลกครั้งที่สองมาโดยตลอด โดยมีพรรค Japan New Party ชนะขึ้นมาเป็นรัฐบาลช่วงปี 1993-1994 และ DPJ (Democratic Party of Japan ในตอนนั้น) เป็นรัฐบาลปี 2009-2012 เท่านั้น

นอกนั้น เป็นรัฐบาลยาวๆ ครับ

เหตุผลหลักๆ ที่เป็นรัฐบาลได้นานขนาดนั้น ก็เพราะตั้งแต่สงครามโลกจบลง และอเมริกาเข้ามาควบคุมญี่ปุ่น ก็ต้องการพรรคการเมืองที่แข็งแรงพอที่จะสู้กับกระแสคอมมิวนิสต์ได้ ดังนั้น CIA จึงให้การสนับสนุนพรรค LDP เป็นรัฐบาลที่แข็งแรง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในยุคนั้นครับ

อีกสาเหตุคือ ฐานเสียงหลักคือเกษตรกรในต่างจังหวัด เพราะพรรค LDP เป็นศูนย์รวมนักการเมืองหลายกลุ่ม มารวมตัวกันเพื่อเป็นรัฐบาล ดังนั้นจึงดูแลฐานเสียงเกษตรกรในพื้นที่ตัวเองเป็นอย่างดี ด้วยการให้งบสนับสนุนลงพื้นที่ตัวเองเต็มที่

ขนาดที่เพื่อนผมที่มาจากต่างจังหวัดถึงพูดชัดๆ ว่า "บ้านนอก ถ้าไม่เลือก LDP ก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง"

และที่สำคัญคือ พรรคก็มีผลงานสำคัญในการผลักดันญี่ปุ่น สร้างผลงานฟื้นฟูประเทศจนเป็นประเทศที่กลับมายิ่งใหญ่ เศรษฐกิจรุ่งเรืองได้

กลายเป็นภาพความทรงจำความสำเร็จในยุคโชวะ ว่าประเทศญี่ปุ่นรุ่งเรืองแค่ไหน ก่อนที่จะจบลงกับฟองสบู่ที่แตกในปี 1989

แต่ภาพจำนี่มันก็มีอิทธิพลต่อความทรงจำของคนไม่น้อยครับ ทำให้คนก็ติดกับการเลือก LDP มาโดยตลอด

พรรคกลายเป็นรัฐบาลตลอดกาล ทำให้คนรุ่นใหม่ สนใจการเมืองน้อยลงเรื่อยๆ เพราะพรรค LDP ก็เหมามาตลอด เลือกไปก็ไม่ได้อะไร ได้แต่รัฐบาลเดิมๆ กลายเป็นความเนือยนายต่อการเมือง

ยิ่งสองช่วงเวลาที่ LDP ไม่ได้เป็นรัฐบาล ผลงานของรัฐบาลทั้งสองพรรคในช่วงนั้น ก็เรียกได้ว่า ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเท่าไหร่ จนสุดท้ายคนก็มองว่า

"LDP ห่วยแค่ไหน ก็ยังดีกว่าพรรคอื่นที่ไม่มีประสบการณ์"

คนก็เลยเลือกพรรคมาเรื่อยๆ แต่พรรคก็เป็นกลุ่มก้อน แบ่งพรรคแบ่งพวกในพรรคเอง เพราะอย่างที่บอกไปว่าเป็นการรวมตัวของนักการเมืองมาต่อรองอำนาจกันเองในพรรค

พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับรวมตัวกัน คว้าอำนาจมาให้ได้ แล้วค่อยต่อรองกันในพรรคว่าใครจะได้ตำแหน่งอะไรบ้าง

ไม่แปลกที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีบ่อย เพราะมาจาการต่อรองกันในพรรคนี่แหละครับ

ทีนี้ ช่วงเศรษฐกิจดีๆ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ตั้งแต่ฟองสบู่แตกมาก พรรค LDP เองก็ง่อนแง่นไม่น้อย

มีช่วงเวลาที่ดูดีมีความหวังสองช่วงคือ ยุคนายก โคอิซุมิ จุนอิจิโร่ ที่ญี่ปุ่นดูจะผงาดกลับมาได้บ้าง รัฐบาลมั่นคง ตัวนายกมี charisma พอ เศรษฐกิจก็จัดว่าดี ค่าเงินแข็งเอาเรื่อง

อีกช่วงก็ยุค อาเบะ ชินโซ ที่กลับมาเป็นนายกฯ หลังจากเคยรับตำแหน่งช่วงสั้นๆ แล้วผลงานไม่ดีจนลาออกแบบเงียบๆ ตอนรักษาตัว แต่กลับมาพา LDP ยึดอำนาจคืนจาก DPJ ที่ได้บริหาร 3 ปี แล้วเหมือนจะดีแต่สุดท้ายก็จืดๆ

ทั้งสองช่วง อาศัย Charisma ของตัวนายกฯ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้เศรษฐกิจดูมีความหวัง

แต่พอไม่ใช่สองคนนี้ คนทั่วไปก็ อืมๆ เออๆ เดี๋ยวก็เปลี่ยนนายกอีกแหละมั้ง

ความเฉยชา และความไม่พอใจผลงานของ LDP มีมาเรื่อยๆ นั่นแหละครับ แต่ที่ผ่านมา เพราะพรรคแทบจะเหมาอำนาจมาตลอด เลยสร้างฐานอำนาจไว้ได้ดี และสร้างบรรยากาศว่า ก็ปล่อยให้ LDP จัดการไปเถอะ ยังดีกว่าพรรคอื่น

สุดท้ายเลยอยู่มาเรื่อยๆ แบบไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรมาก โดยลืมไปว่า โลกมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และความไม่พอใจของคนก็มีจุดจำกัด

พรรคการเมืองใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ และก็มีวิธีสื่อสารใหม่ๆ ไม่ใช่การสื่อสารแบบทางเดียว เช่น โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ แบบเดิม แต่พรรคการเมืองใหม่ๆ ก็รู้จักเล่นกับสื่อต่างๆ มากขึ้น สร้างกระแสได้มากขึ้น

ไม่แปลกที่ LDP จะถูกพรรคอื่นแซงหน้าในหมู่คนรุ่นใหม่ครับ

ทีนี้ ถ้ามองในการเลือกตั้งทั้งสภาสูง และสภาล่างครั้งล่าสุด สาเหตุที่ความนิยมตกต่ำลง คงต้องโฟกัสไปที่ประเด็นเหล่านี้ครับ

1. เรื่องอื้อฉาวทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการเงิน

ตรงนี้ก็ต้องย้อนไปเรื่อง กองทุนลับ (Slush Fund) ที่เป็นข่าวช่วงปี 2023 ว่าพรรคจัดงานเลี้ยงระดมทุนทางการเมือง แต่มีเงินรายรับ ที่ไม่ได้รายงานถึง 600 ล้านเยน ที่พรรคเก็บไว้เป็นกองทุนลับ เอาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ นี่ก็แย่แล้ว

แล้วตัวนักการเมืองของพรรค เวลาจัดงานเลี้ยงระดมทุน ก็จะมีโควต้าว่า ต้องระดมทุนเข้าพรรคให้ได้เท่าไหร่ แต่ถ้าหาได้เกินโควต้า ก็เข้ากระเป๋าตัวเองได้

นี่ก็เป็นปัญหาเรื่องศีลธรรมและความถูกต้องในการดำเนินงาน แต่ที่สำคัญคือ นักการเมืองที่มีเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ คือนักการเมืองสายอาเบะ ชินโซ ส่งผลให้นายกฯ คิชิดะ ฟุมิโอะ ต้องรับผิดชอบออกจากตำแหน่ง แต่กรณีนี้ก็สร้างความเสียหายเรื่องภาพลักษณ์ให้กับพรรคไม่น้อย

นอกจากนี้ยังมีข่าวอื้อฉาวต่างๆ เช่นเรื่องการคบชู้ของนักการเมือง ที่ทำให้คนรู้สึกว่า เข้าไปทำงานหรือหาคู่  เพราะขนาด สส. ที่โปรโมทเรื่องการเป็นคุณพ่อที่ช่วยภรรยาเลี้ยงลูก สุดท้ายก็ความแตกว่าไปมีชู้ระหว่างภรรยารอคลอดอยู่ครับ เฮ้อ ไอ้พวกไม่รักเมียไม่ได้ดีหรอก

รวมไปถึงงานเลี้ยงของพรรค ที่มีการจ้างนักเต้นเปลื่องผ้ามาแสดง พอความแตก คนก็แบบ เอาเงินกูไปทำอะไร นั่นแหละครับ

จริงๆ ถ้า อาเบะ ชินโซ ไม่โดนเป่าไปก่อน ก็น่าจะโดนสอบสวนหลายคดีอยู่ครับ เพราะนอกจากเรื่องที่ดินแล้ว ก็มีเรื่องการใช้งบจัดงานต่างๆ แต่พอดี โดนลอบสังหารไปก่อน เลยดูคลีนอยู่ แถมญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยจี้ต่อด้วย

อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้คือ เรื่องความสัมพันธ์กับลัทธิ ที่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะอาเบะโดนลอบสังหารจากความแค้นของผู้ได้รับผลกระทบจากลัทธินี่แหละครับ จนคนก็สงสัยไม่น้อยว่า พรรคเกี่ยวข้องกับลัทธินี้แค่ไหน

พูดง่ายๆ คือ เรื่องความอื้อฉาวต่างๆ มันสั่งสมมานานแล้ว สร้างความไม่พอใจกับคนทั่วไปมาเรื่อยๆ ครับ

2. เศรษฐกิจ

เรื่องใหญ่ตอนนี้คือ เงินเฟ้อครับ จากที่ญี่ปุ่นเงินฝืดมาตลอด พอมีเงินเฟ้อบ้าง ช่วงแรกๆ ก็ดีใจว่า เออ มันควรเป็นแบบนี้แหละ มีเงินเฟ้อหน่อย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเดือนก็ต้องเพิ่มตาม วนเป็นลูปที่เหมาะสม

แต่ปัญหาคือ เงินเฟ้อแม่งไปไวกว่าเงินเดือนครับ ที่สำคัญ เจน Y ของญี่ปุ่น ที่เป็นกลุ่มที่ผ่านยุคน้ำแข็งของการหางานในช่วงยุคื 2000 กลางๆ แล้วเจอปัญหาเศรษฐกิจปี 2008 อีก พวกนี้ฐานเงินเดือนคือต่ำกว่าเด็กรุ่นหลัง ดังนั้นก็ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อรอบนี้เยอะ

แล้วสินค้าต่างๆ ก็แพงแบบสัมผัสได้ คือสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเจอเงินเยนอ่อนปวกเปียก ก็บอก ถูกไปหมด แต่สำหรับคนที่นี่แล้ว ของใช้ในชีวิตประจำวัน แพงแบบสัมผัสได้ โดยเฉพาะของกิน ไข่ก็แพงขึ้น ผักอะไรก็แพงครับ

แต่ที่หนักสุดคือ ราคาข้าวสาร ที่แพงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขาดแคลน ต้องแย่งกันอีก กลายเป็นจุดตายอีกจุด

เรื่องนี้คือ รัฐบาลก็กลืนไม่เข้า คลายไม่ออก เพราะทรัมป์ก็อยากเซ็นสัญญาความร่วมมือกับญี่ปุ่น โดนให้ลดภาษีข้าว ญี่ปุ่นจะได้นำเข้าข้าวจากอเมริกา แต่รัฐบาลก็ไม่อยาก เพราะจะมีผลกระทบกับฐานเสียงชาวนาของตัวเอง

จริงๆ ผมว่าตอนนี้กำลังการผลิตข้าวในประเทศญี่ปุ่นก็แทบไม่พอเลี้ยงคนอยู่แล้ว ลดกำแพงภาษีข้าวต่างประเทศ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาให้กับผู้บริโภค ส่วนข้าวญี่ปุ่นก็ทำให้เป็นแบรนด์ของเกรดดีไป น่าจะวินๆ ทั้งคู่ เพราะคนเปย์ได้ก็อยากกินข้าวญี่ปุ่นผลิตในประเทศอยู่แล้วครับ (ผมก็ชอบ แฮ่ บ้านเมียปลูกเองด้วย)

แต่ก็นั่นแหละครับ ของแพงแบบคนสัมผัสได้ ใครมันจะพอใจรัฐบาลล่ะครับ แล้วช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เวลามีเลือกตั้ง พรรครัฐบาลส่วนใหญ่ก็ลำบากอยู่แล้วครับ (แบบแคนาดานี่ ถ้าไม่มีทรัมป์ พรรครัฐบาบแพ้แน่ๆ แต่พอทรัมป์มา เขาไม่พอใจพรรคฝ่ายค้านที่สนิทกับทรัมป์ กลายเป็นพรรครัฐบาลพลิกกลับมาชนะเสย)

3. การเปลี่ยนแปลงของประชากรและโครงสร้างสังคม และการสื่อสาร

จากที่เคยอาศัยฐานเสียงในชนบท ผ่านระบบอุปถัมภ์และการจัดงบประมาณให้ แต่ในปัจจุบัน ประชากรชนบทก็ลดลงเรื่อยๆ ขนาดที่บางเทศบาลต้องยุบตัวไปรวมกับเทศบาลอื่นเพราะบริหารไม่ไหว เกษตกรลดลง ส่งผลต่อฐานเสียง แล้วคนรุ่นใหม่ที่โตมา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือรับผลประโยชน์จากพรรคโดยตรง เลยหันไปสนการเสนอประเด็นทางการเมืองเป็นประเด็นมากกว่า

ซึ่งพรรคดูจะไม่เข้าใจตรงนี้และยังพยายามสื่อสารกับประชาชนด้วยวิธีการเดิมๆ ในขณะที่พรรคหน้าใหม่เล่นกับสือใหม่ได้รวดเร็วฉับไวมากกว่า (ดีไม่ดีว่ากันอีกเรื่อง) ทำให้สามารถกระตุ้นความสนใจจากคะแนนเสียงใหม่ๆ ได้ดีกว่านั่นเอง

4. ปัญหาคนต่างชาติ

ต่อให้ผมไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรค ซังเซโท เรื่องการกีดกันชาวต่างชาติ แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมคนไม่พอใจ เพราะตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังช๊อคจากการแห่เข้ามาของชาวต่างชาติ ไม่ว่าไปที่ไหนก็เจอนักท่องเที่ยว จนทำให้คนท้องถิ่นลำบากไม่น้อย (เคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว)

รวมถึงปัญหาจีนเทา ที่เข้ามาทำธุรกิจแบบไม่เห็นหัวคนในท้องถิ่น โดยเฉพาะ AirBNB นี่แหละครับ ที่โอซาก้าก็เห็นว่าโดนยึดไปไม่น้อย รวมไปถึงหมู่บ้านโอลิมปิกด้วย ถ้าไม่จัดการก็มีแต่จะเละครับ

อีกกลุ่มที่ดูมีปัญหาอยู่คือ กลุ่มที่เข้ามาด้วยวีซ่า ฝึกงาน ของทางรัฐ ที่กลายเป็นการใช้แรงงานแบบโหด จนมีคนหนีวีซ่าอยู่ต่อ แต่ปัญหานี้ก็เกิดจากนโยบายรับคน "ฝึกงาน" แต่เป้าหมายจริงๆ คือต้องการแรงงานราคาถูกระยะสั้น ที่เสนอโดยพรรค LDP เอง และบริษัทที่รับจัดการเรื่องการหาคนและทำวีซ่า ส่วนใหญ่ก็มีสายสัมพันธ์กับพรรค ไม่ก็เป็นบริษัทของอดีต สส. ของพรรคเอง

ส่วนชาติอื่นๆ นีผมว่ายังไม่ได้เป็นปัญหาอะไรระดับที่ตีประเด็นขึ้นมา แต่ส่วนนึงก็มาจากความรู้สึกเหยียดคนต่างชาติต่างวัฒนธรรมอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ พรรคที่หาเสียงเรื่องนี้ก็เล่นแต่เรื่องง่ายๆ เร้าอารมณ์ได้ดี แต่เจองานยากจริงก็เงียบๆ เหมือนเดิม

แต่ ทั้งนักท่องเที่ยวเยอะ เพราะเยนอ่อน ก็เป็นหนึ่งในแนวทางลูกศรเศรษฐกิจ 3 ดอกของอาเบะ การรับคนต่างชาติมาฝึกงาน ก็ของ LDP แล้วจะปัดความรับผิดชอบไปที่อื่นได้ไงล่ะครับ

5. ตัวผู้นำที่เปลี่ยนไปมาบนความไม่มั่นคงทางการเมือง และรอยร้าวภายในพรรค

จากที่เขียนไปก่อนหน้าว่า ชาวญี่ปุ่นออกจะติดกับตัวบุคคลมากเหมือนกัน และใครมีอิมเมจดุดัน กล้าพูด กล้าท้าชน ก็ดูจะได้รับคะแนนความนิยมดี (แต่ก็ต้องมีวาทศิลป์ระดับนึง ไม่งั้นขวาแบบ อาโซะ ทาโร่ คงได้รับความนิยมกว่านี้) แต่พออาเบะออกจากตำแหน่ง ทั้งสุกะ โยชิฮิเดะ ทั้งคิชิดะ ฟุมิโอะ ก็ไม่มีท่าทางแบบนั้นเลย กลับดูจืดๆ อยู่ไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นปลัดประเทศเสียมากกว่า พอเจอเรื่องงบลับ เลยต้องออกจากตำแหน่ง

ซึ่งจากการเลือกภายในพรรค ในที่สุดตำแหน่งก็เป็นของ อิชิบะ ชิเกรุ ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนนอกของพรรค เพราะวิจารณ์พรรคมาตลอด และท้าชนกับอาเบะมาเรื่อยๆ แต่เพราะไม่มีเสียงสนับสนุน ทำให้ไม่ได้โอกาสเสียที

คาดว่าสมาชิกพรรคน่าจะตัดสินใจหนุนอิชิบะ เพราะต้องการเปลี่ยนแนวทางบ้าง รวมไปถึงการที่สายอาเบะและคิชิดะเกี่ยวข้องกับเรื่องงบลับ จะเลือกขึ้นมาตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ

แต่ก็กลายเป็นรอยร้าวใหญ่ภายในพรรค อาโซะถึงกับไม่เผาผีกับคิชิดะที่หันไปสนับสนุนอิชิดะ แทนคนในสังกัดตัวเองอย่างทาคาอิจิ ซานาเอะ ที่ขวาสมกับมาสายอาเบะ

นอกจากนี้ ในการเตรียมเลือกตั้ง สส. รอบก่อน อิชิบะตัดสินใจไม่ส่งนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับกรณีเงินลับลงสมัคร แต่ไม่ห้ามถ้าอยากจะสมัครแบบอิสระ กลายเป็นตัดคะแนนกันเอง หรือไม่ก็หัวของฝ่ายนึง ไปให้การสนับสนุนเด็กตัวเองลงแบบอิสระ แทนที่จะสนับสนุนคนที่ลงในนามพรรค กลายเป็นรอยร้าวในพรรค

ส่วนนึงผมก็เห็นใจอิชิบะ เพราะมารับหน้าที่ในช่วงที่พรรคจัดว่าเละไปเยอะแล้ว กลายมาเป็นหนังหน้าไฟ พรรคไม่มีอำนาจเหมือนเก่า แล้วยังเสียงแตกในพรรคอีก คือหลายๆ เรื่องที่เขียนมานี่ตัวอิชิบะไม่เกี่ยวด้วยครับ

ขอสรุปลงท้ายว่า ที่มาของความเสื่อมมันไม่ได้มีสาเหตุเดียว แต่มาจากหลายๆ เรื่องครับ และพรรคก็เป็นแชมป์มานาน จนชะล่าใจ แล้วอุ้ยอ้ายเกิน กว่าจะปรับตัวอะไรได้ คู่แข่งก็ฟิตมาเต็มที่แล้ว

ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ จะเป็น Wake Up Call ให้พรรคหาทางแก้ปัญหา หรือจะทำเหมือนเดิมคือ โทษกันไปมา แล้วเลื่อยขาเก้าอี้กัน แล้วสาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ สนิมเกิดแต่เนื้อในตน อ่ะครับ

ระหว่างที่เขียนนี่ ก็เห็นข่าวด่วนว่า อิชิบะ จะลงจากตำแหน่ง ผมก็ได้แต่ เฮ้อ ว่า กูต้องเขียนเพิ่มอีกแล้วเหรอ ก็อย่างที่บอกว่าสงสารแกอยู่ครับ (ถ้าเป็นคิชิดะหรือสุกะผมอาจจะขำ 55) เดี๋ยวรอบหน้าค่อยดูว่า แล้วใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคและนายกฯ คนต่อไป แต่ดูทรงแล้ว ไม่ว่าจะไปทางไหน ก็เจ็บทั้งสองทางอ่ะครับ

ใครอยากอ่านต่อก็ช่วยแชร์ช่วยคอมเมนต์หน่อยล่ะครับ กราบงามๆ

*Edited เขียนเสร็จ อัพขึ้นเพจ ตั้งเวลา มาอ่านข่าวเพิ่ม อ่าว ยังไม่ลาออกนะครับ Mainichi Shinbun เขาล้ำหน้าครับ รายงานไปก่อน อย่างที่ผมเขียนในโพสก่อนหน้า

เดี๋ยวเอาโพสเบาๆ บ้าง เขียนคอนเทนต์แบบนี้ เล่นเอาหมดพลังไปเยอะครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1300716498082561&set=a.212460006908221



องค์กรพัฒนาเอกชนกว่า 100 แห่งเตือน 'ภาวะอดอาหารหมู่' กำลังแพร่กระจายไปทั่วกาซา ขนาด The Daily Express หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวา ของ #อังกฤษ ซึ่งมักเขียนโจมตีผู้อพยพ ยังอุทิศหน้าแรกให้กับปัญหาความอดอยากของชาวปาเลสไตน์ใน #ฉนวนกาซา






https://x.com/AFP/status/1948045188510990723
.....


Pipob Udomittipong
17 hours ago
·
ขนาด The Daily Express หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวา “Pro-Conservative” ของ #อังกฤษ ซึ่งมักเขียนโจมตีผู้อพยพ ยังอุทิศหน้าแรกให้กับปัญหาความอดอยากของชาวปาเลสไตน์ใน #ฉนวนกาซา แสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของสถานการณ์เป็นอย่างดี

#AFP ถึงกับออกจม.เปิดผนึกเกี่ยวกับนักข่าวฟรีแลนซ์เกือบสิบคน ที่ทำงานให้สำนักข่าวเก่าแก่แห่งนี้ในฉนวนกาซาว่า “นับตั้งแต่ AFP ก่อตั้งขึ้นมาในเดือนสิงหาคม 1944 เราสูญเสียนักข่าวไปในสงคราม นักข่าวของเราบาดเจ็บและถูกจับเป็นเชลยสงคราม แต่ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เพื่อนร่วมงานของเราจะต้องมาตายเพราะความหิวโหย เราปฏิเสธที่จะเห็นพวกเขาตาย”

ใครที่ติดตามรายงานข่าว NPR จะต้องเคยได้ฟังรายงานของ Anas Baba นักข่าวชาวปาเลสไตน์ในกาซา เขาเคยเล่าประสบการณ์ของตัวเองที่ต้องอดอาหารหลายวันติดต่อกัน และต้อง “เสี่ยงตาย” รวมตัวกับญาติพี่น้องเพื่อไปขอรับอาหารจาก GHF หน่วยงานอเมริกันที่แจกอาหารในกาซา และมีคนถูกยิงตายเพราะไปเข้าคิวรับอาหารเกือบพันคนแล้ว

ขนาดเป็นนักข่าว พวกเขายังเสี่ยงจะต้องอดตาย คุณคิดว่าประชาชนทั่วไปมีสภาพแบบใด?

กระทรวงสาธารณสุขในกาซาระบุว่า ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 33 คน รวมถึงเด็ก 12 คน เสียชีวิตจากภาวะทุพโภชนาการทั่วฉนวนกาซาในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Alex de Waal จากมหาวิทยาลัยทัฟส์ ให้สัมภาษณ์ Aljazeera ว่า “ผมทำงานในประเด็นความอดอยาก (starvation) มานานกว่าสี่ทศวรรษแล้ว และยังไม่เคยเห็นกรณีใดเลยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีการออกแบบและควบคุมให้เกิดความอดอยากอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้” “there is no case since World War II of starvation that is being so minutely designed and controlled,"

“นี่คือภาวะอดอยากที่ป้องกันได้ และเกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วน ๆ” เดอ วาลกล่าวเสริม "This is preventable starvation. It is entirely man-made,"

อิสราเอล ปิดกั้นอย่างเป็นระบบ ไม่ให้มีอาหารแล็ดรอดเข้าไปในฉนวนกาซา นับแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยเพิ่งเริ่มให้ GHF หน่วยงานเอกชนอเมริกันเข้าไปเปิดจุดแจกอาหารเพียง 4 จุด เพื่อรองรับประชากรกว่าสองล้านคน พวกเขาต้องเสี่ยงภัยเดินในเส้นทางที่เป็นพื้นที่ควบคุมของทหารอิสราเอลไปยังจุดแจกอาหาร และหลายคนถูกยิงทิ้งบริเวณนั้น

Shrouq Al-Aila นักข่าวปาเลสไตน์ให้สัมภาษณ์ France24 ว่า “คนที่นี่เริ่มคุ้นเคยกับการกินอาหารที่ทำจากแป้งที่มีรสชาติของเลือดปนมาด้วย” เพราะคนที่ไปแบกถุงแป้งเหล่านี้กลับมา ต้องเสี่ยงตายถูกยิงด้วยกระสุนจนบาดเจ็บ เป็นแป้งที่ได้มาด้วยเลือดอย่างแท้จริง (https://youtu.be/C7jG0krsKR0?t=219)

เมื่อวาน 28 ประเทศ รวมทั้งอังกฤษ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ ประณามอิสราเอลต่อ “การปิดกั้นการส่งความช่วยเหลือ และการสังหารพลเรือนอย่างไร้มนุษยธรรม รวมถึงเด็ก ๆ ที่กำลังแสวงหาอาหารและน้ำ เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานสุดของพวกเขา”

ส่วน Jan Egeland เลขาธิการ the Norwegian Refugee Council บอกกับ @NPR ว่า “ตอนนี้องค์กรของผมมีรถบรรทุก สิ่งของบรรเทาทุกข์ และอุปกรณ์ช่วยชีวิต พร้อมจะขับข้ามพรมแดนมา 145 วันแล้ว แต่เราถูกปิดกั้นทุกวันเลย”

The Times of Israel รายงานว่าเมื่อวาน ชาวอิสราเอลหลายพันคนถือป้าย แบกถุงแป้ง แบกศพจำลองของเด็กที่ตายเพราะอดหารไปประท้วงที่หน้าหน่วยงานกองทัพในเทล อาวิฟ เรียกร้องให้ยุติสงครามในฉนวนกาซา และเรียกร้องความสนใจต่อปัญหาความอดอยากที่เพิ่มมากขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์
https://www.facebook.com/photo?fbid=10162847816981649&set=a.10150096728651649


ระบบทหารที่ระยำตำบอนมาก 🥲 อ่านแล้วจะเข้าใจ ทำไมสังคมถึงไม่มีความเชื่อถือศาลทหารไทย


Nattharavut Kunishe Muangsuk
7 hours ago
·
ติดตามข้อมูลของ หนึ่งในรุ่นพี่ที่ทำร้าย นตท.ภคพงศ์ ปัจจุบัน เป็พนักงานสอบสวน ยศ ร.ต.ท. สังกัด สภ.เมืองจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน
มีความก้าวหน้าของอาชีพการงานเป็นลำดับ ในขณะที่อีกฝ่าย สิ้นชีวิต ไป เหลือแต่ความทุกข์ที่เกาะกินใจพ่อแม่ทุกๆ วินาที

หยิบ เอกสาร คำพิพากษา ของศาลทหารกลาง มาดู ซึ่งไม่ต่างกับคำตัดสินศาลทหารชั้นสูงสุด เพราะเป็นคำพิพากษายืน
และคำตัดสิน เรื่อง ให้โอกาสจำเลยประพฤติตัวกลับตนเป็นคนดี... ก็อยู่ในคำพิพากษาศาลชั้นกลางแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจคือ คำพิพากษา เป็นคดีทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่คดีทำให้เสียชีวิต
คดีเมื่อวานนี้ เป็นคำพิพากษาคดี "ความผิดต่อร่างกาย" ที่คำบรรยายฟ้องของอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 12 ในฐานะโจทก์ เป็นเรื่องรุ่นพี่ผู้เป็นจำเลย สั่งลงโทษปรับปรุงวินัย ท่าแคงการู "หัวปักพื้น" จน นตท.ภคพงศ์หมดสติในห้องน้ำ

ในสำนวนระบุเหตุการณ์ 22 - 23 สิงหาคม นตท.ภคพงศ์ต้องรักษาตัว 5-7 วัน อัยการศาลทหาร ซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 295 คือฟ้องว่า กระทำโดยประมาท ไม่ได้เจตนา

คดีนี้ จึงไม่ใช่เป็นคดี "กระทำการโดยประมาทให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย" ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องจากบุคคล-กลุ่มบุคลเดียวกัน จนถึงวันที่ 16-17 ตุลาคม ถึงวาระสุดท้ายของ นตท.ภคพงศ์ ซึ่งต้องฟ้องด้วย ป.อ.มาตรา 291 อัตราโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ปรับไม่เกินสองแสนบาท

และยิ่งผิดปกติ เมื่อเรากลับไปดูจุดเริ่มต้นคดี ที่พ่อแม่ไปฟ้องร้องกับ สน.พญาไท เมื่อเดือน มี.ค. 2562 พนักงานสอบสวน สน.พญาไท สรุปสำนวนคดี สั่งฟ้อง 2 นักเรียนเตรียมทหาร ข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ ครูฝึก ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยคดีนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของ ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 (มทบ.12) จังหวัดปราจีนบุรี

แต่ปรากฎว่า เมื่อสำนวนไปอยู่ในมืออัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 12 ชื่อครูฝึกหายไป

"ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้รอการกำหนดโทษนักเรียนเตรียมทหารที่ถูกฟ้อง (ตัดสินว่าผิดตาม ป.อ.มาตรา 390 คือกระทำการโดยประมาททำให้เป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ เป็นลหุโทษ ทั้งที่จำเลยไม่เคยรู้สึกผิด ปฏิเสธมาตลอด) ส่วนคดีแพ่ง ที่ครอบครัวฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนให้ชดใช้ค่าเสียหายบางส่วน ซึ่งครอบครัวปฏิเสธที่จะรับ และยืนยันว่าจะต่อสู้เพื่อหาความจริงต่อไป" (ข้อมูลจากเว็บไซต์คมชัดลึก)

และเมื่อครอบครัวอุทธรณ์ศาลทหารชั้นกลาง ในสำนวนกลับเหลือจำเลยเพียงคนเดียว คือรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจปัจจุบัน

ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า อัยการศาลทหารแยกคดีทำให้เสียชีวิต ฟ้องแยกหรือไม่ (ใครมีข้อมูล ช่วยระบุหน่อย) หรือเหตุใด ต้องแยกฟ้อง(?)

นี่คือปัญหาของศาลทหาร เพราะไม่มีรายละเอียดความชัดเจนใดๆ ด้วยระบบทหาร ทำให้พลเรือนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง (อย่างเช่นพ่อแม่) มีข้อจำกัดมากมายในการต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรม

มันเหมาะสมแล้วหรือ?
ตัวอย่างชัดเจน คือคำบรรยายฟ้อง เหตุที่พ่อแม่ไม่สามารถตั้งทนายมาช่วยดู หรือเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการได้ ทำให้ตัวสำนวนมีช่องโหว่ไปตั้งแต่ต้น

ตอนนี้ที่พ่อแม่ยังเฝ้ารอ คือ
คดีทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้เสียชีวิต (ไม่รู้ว่า อัยการแยกสำนวนฟ้องหรือไม่? เมื่อไหร่?)
คดีอวัยวะหายไป (หมายเรียกแพทย์ 2 ครั้งไม่ปรากฎตัว ก็เงียบหายไป)
คดีแพ่ง การชดใช้ค่าเสียหาย

ปัญหาคือ ความไม่เชื่อถือของสังคม ต่อการพิจารณาของศาลทหารเกิดขึ้นรุนแรง

คำถามคือ ศาลทหารจะยังมีความเหมาะสมที่จะคงอำนาจการพิจารณาคดีไว้กับตัวเองหรือไม่ (ศาลทหาร สามารถใช้ดุลยพินิจเองได้ว่า คดีไหนอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่)

ยิ่งเมื่อวานนี้ พี่สาวของ นตท.ภคพงศ์ โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเอกสารลับกระทรวงกลาโหม เป็นบันทึกการสอบปากคำ รุ่นพี่ 2 คน ซึ่งยอมรับว่า ได้ลงมือทำร้าย นตท.ภคพงศ์จริงๆ อ้างว่า นตท.ภคพงศ์มีบุคลิกที่ไม่เหมือนคนอื่น บอกอะไรเข้าใจยาก แพรแถบหาย เจ็บขาแต่ไม่ได้แจ้งเหตุ และใช้บันไดต้องห้ามสำหรับเด็กปี 1 (คืออ้างว่าธำรงวินัย)

แต่เอกสารฉบับนี้ซึ่งมีน้ำหนักสูงมาก ทำให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ขณะนั้น ต้องแถลงยอมรับว่า นตท.ภคพงศ์ ถูกลงโทษทางวินัยโดยรุ่นพี่และครูฝึก แต่กลับไม่อยู่ในสำนวนแต่ต้น อ้างว่า ส่งให้ไม่ทัน ก็ยิ่งเห็นความผิดปกติ

ยิ่งเขียน ยิ่งมีแต่ความน่าสงสัย เยอะแยะไปหมดเลย....

ป.ล.เมื่อวานนี้ ทราบจากผู้สื่อข่าวว่า กว่าจะหาศาลทหาร ภายใน มทบ.12 เจอ ก็ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง เพราะสภาพศาลเหมือนบ้านพักทหารเก่าๆ ทั่วไปก็ยิ่งน่าเศร้าใจนะ
https://www.facebook.com/photo?fbid=10163608252988582&set=a.336417008581

Pipob Udomittipong
6 hours ago
·
"พนักงานสอบสวน สน.พญาไท สรุปสำนวนคดี สั่งฟ้อง 2 นักเรียนเตรียมทหาร ข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ ครูฝึก ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยคดีนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของ ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 (มทบ.12) จังหวัดปราจีนบุรี
แต่ปรากฎว่า เมื่อสำนวนไปอยู่ในมืออัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 12 ชื่อครูฝึกหายไป" ระบบทหารที่ระยำตำบอนมาก

https://www.facebook.com/photo?fbid=10163608252988582&set=a.336417008581



ไทยลดระดับความสัมพันธ์กัมพูชา เรียกทูตไทยกลับ ส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ หลังเกิดเหตุทหารเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดอีกรอบ ที่มาที่ไปทั้งหมด


บีบีซีไทย - BBC Thai
5 hours ago
·
ไทยลดระดับความสัมพันธ์กัมพูชา เรียกทูตไทยกลับ ส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ หลังเกิดเหตุทหารเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดอีกรอบ ติดตามที่มาที่ไปทั้งหมดได้ที่ https://www.bbc.com/thai/articles/c5y91298dd8o

ทบ. สั่งเตรียมพร้อม "แผนจักรพงษ์ภูวนาถ" หลังรัฐบาลลดระดับความสัมพันธ์กัมพูชา ปมทหารเหยียบระเบิดรอบที่ 2



23 กรกฎาคม 2025
บีบีซีไทย

รักษาการนายกรัฐมนตรีเผยไทยลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา เรียกทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศไทย และส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ หลังเย็นวันนี้มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ กล่าวว่าได้รับรายงานจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา มีหน่วยลาดตระเวนเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บขาขวาขาด 1 นาย คือ จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญโคราช ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายออกจากจุดเกิดเหตุเมื่อเวลา 17.18 น. และนำส่งโรงพยาบาลน้ำยืนในเวลาต่อมา

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทางการไทยตัดสินใจตอบโต้ทางการกัมพูชาด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ไทยเพิ่งประณามกัมพูชาว่า ละเมิดพันธกรณีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) หรือรู้จักกันว่า "อนุสัญญาออตตาวา" (Ottawa Treaty) ได้เพียงสองวัน หลังพิสูจน์ทราบได้ว่ากำลังพลของไทย 3 นาย ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลบริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งทางไทยอ้างว่าเป็นระเบิดที่เข้ามาวางใหม่ โดยหนึ่งในจำนวนนี้ขาขาดและกลายเป็นผู้พิการถาวร

ทั้งนี้ ในอนุสัญญาออตตาวามีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า พันธกรณีสำคัญที่จะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ คือ ไม่ใช้ พัฒนา ผลิต และสะสม จัดเก็บ และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไปให้ผู้ใด ทั้งทางตรงและทางอ้อม

อย่างไรก็ตาม ต่อมาทางการกัมพูชาอ้างว่า ไทยลาดตระเวนล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศ และยืนยันว่า เป็นระเบิดเก่าที่ตกค้างจากยุคสงคราม พร้อมกับโต้ว่าไทยละเมิด MoU 2543 ในเรื่องเส้นทางลาดตระเวนออกนอกเส้นทางที่ตกลงกันไว้และกำหนดเส้นทางลาดตระเวนขึ้นมาเองใหม่ "เข้าสู่ดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา"

ทั้งนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรียังบอกด้วยว่า กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพิ่มเติม

"ตอนนี้เป็นระเบิดที่เกิดใหม่ทั้งหมดในเวลาใกล้เคียงกัน ดังนั้น เรายกระดับการตอบโต้ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว" นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรมยังเปิดเผยด้วยว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบตามที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสนอยกระดับการตอบโต้กัมพูชาด้วยการปิดด่านช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม ช่องสายตะกู พร้อมปิดปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย โดยไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าเด็ดขาด

ขณะเดียวกัน กองทัพบกของไทยออกแถลงการณ์ประณามฝ่ายกัมพูชา กรณีวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนช่องอานม้า โดยให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าเหตุเกิดเมื่อเวลา 16.55 น. ขณะที่กำลังพลของกองทัพบกชุดลาดตระเวน กองพันทหารราบที่ 14 กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ และเหยียบกับทุ่นระเบิดในเวลาต่อมา

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 5 นาย โดย 1 นาย ขาขวาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบกับระเบิด และอีก 4 นายมีอาการแน่นหน้าอก หูอื้อ จากแรงสั่นสะเทือนของแรงระเบิด

ทบ. สั่งเตรียมพร้อม "แผนจักรพงษ์ภูวนาถ" เพื่อโต้ตอบ

ในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จะลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ และดูแลให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ พร้อมได้สั่งการให้กำลังกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกำลังส่วนต่าง ๆ เตรียมพร้อมปฏิบัติตาม "แผนจักรพงษ์ภูวนาถ" เมื่อมีการสั่งการต่อไป

"กองทัพบกขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำอันไร้มนุษยธรรม ซึ่งละเมิดต่อหลักมนุษยธรรมสากลและข้อตกลงระหว่างประเทศ อันเกิดขึ้นภายในเขตราชอาณาจักรไทย โดยเป็นการกระทำของฝ่ายกัมพูชา และขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยถือเป็นการกระทำที่เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ"

พร้อมกันนี้ กองทัพบกยังยืนยันด้วยว่าจะใช้ทุกกลไกที่มีอยู่ในการดำเนินการตามกรอบที่เหมาะสม เพื่อปกป้องความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนชาวไทยไม่ให้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีกต่อไป


ทุ่นระเบิด PMN-2 ที่พบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เป็นเหตุให้ทหารเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา

คำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชา

ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 น. นายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAC) ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวเหตุการณ์ระเบิดที่ช่องบกเมื่อวันที่ 16 ก.ค. แต่ยังไม่ได้ชี้แจงกรณีล่าสุดที่บริเวณช่องอานม้า

เขาบอกว่า ทางกัมพูชาขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าประเทศใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และ "ยืนยันว่า ทหารไทยเหยียบระเบิดที่อยู่ในบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา"

นายเฮงอ้างว่า เหตุเกิดขึ้นบริเวณทุ่นระเบิดหมายเลข BS/CMAA/16808 ในหมู่บ้านเตโชรโกฏ ต.มรกต อ.จวมกสาน จ.พระวิหาร ของกัมพูชาซึ่งยังไม่ถูกทำลาย

"หากตรวจสอบสภาพของทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บข้างหนึ่ง ก็สามารถยืนยันได้ว่าการระเบิดนั้นอาจเกิดจากทุ่นระเบิดชนิดที่มีปริมาณวัตถุระเบิดต่ำ เช่น ทุ่นระเบิดชนิด 72A หรือ 72B หรือ M14 หรือ MN79 หรือ MD82B ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดเก่าที่เหลือจากสงครามและมีปริมาณวัตถุระเบิดเพียงประมาณ 30 กรัม"

พร้อมกันนี้เขายังโต้ว่า หากทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 จริง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นระเบิดใหม่ ทหารไทยคนนั้นต้องถูกตัดขาทั้งสองข้าง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากทุ่นระเบิด PMN-2 มีวัตถุระเบิดมากกว่า 115 กรัม

"ข้อสรุปนี้อ้างอิงจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากการระเบิดทุ่นระเบิด PMN-2 ที่เกิดขึ้นจริงในกัมพูชาหลายกรณี" เขากล่าว

นายเฮงยังบอกด้วยว่ามีทุ่นระเบิดยาวตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรที่ยังไม่ถูกกำจัด แต่ประเทศยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการกำจัดทุ่นระเบิด


พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา

จากนั้นเวลาประมาณ 22.25 น. พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ออกมาแสดงความผิดหวังที่ "ทางการไม่มีความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ลุกล้ำดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา" พร้อมกับปฏิเสธข้อกล่าวหา "ที่ไม่มีความจริง" ของฝ่ายไทยต่อกรณีการบาดเจ็บของทหารไทย 5 นายในวันนี้

เธอกล่าวว่าเหตุระเบิดที่ทำให้นายทหารของไทยบาดเจ็บในช่วงเย็นที่ผ่านเกิดขึ้นบริเวณอานสีห์ ต.จวมกสาน อ.จวมกสาน จ.พระวิหาร ซึ่งเป็นดินแดนของกัมพูชา

นอกจากนี้ยังเน้นย้ำด้วยว่าบริเวณนั้นยังเต็มไปด้วยทุ่นระเบิดจากสงครามจำนวนมาก พร้อมกับเรียกร้องให้ไทยลาดตระเวนตามเส้นทางที่ตกลงไว้ใน MoU 2543

"รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่ทางไทยไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับว่ารุกรานดินแดนกัมพูชา ทว่ายังกล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แม้กัมพูชาเองจะตกเป็นเหยื่อจากการละเมิดกฎหมายของไทยอย่างไม่เป็นธรรมก็ตาม" พลโทหญิงมาลี ระบุ

ย้อนลำดับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้น และแต่ละครั้งที่ประเทศใดประเทศหนึ่งลดหรือยุติความสัมพันธ์ก็มักเกิดขึ้นจากข้อพิพาทชายแดนหรือความตึงเครียดทางการเมือง อย่างเช่น
  • ปี 2501 และ ปี 2504 กัมพูชายุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยจากกรณีข้อพิพาทประสาทเขาพระวิหาร
  • ปี 2546 หลังเกิดเหตุจลาจลและโจมตีสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ รัฐบาลไทยที่นำโดยนายทักษิณ ชินวัตรในตอนนั้น ได้เปิดปฏิบัติการที่มีชื่อว่า "โปเชนตง" ส่งเครื่องบินทางการทหารไปอพยพชาวไทย รวมไปถึงนักการทูตทั้งหมดออกจากประเทศกัมพูชา และขับนักการทูตกัมพูชาออกนอกประเทศเพื่อเป็นการตอบโต้
  • ปี 2551 และ ปี 2554 เกิดการปะทะกันทางทหารบริเวณเหนือปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศอย่างรุนแรง
  • ปี 2552 ไทยลดระดับความสัมพันธ์เพื่อตอบโต้กัมพูชา กรณีให้การสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งลี้ภัยอยู่ในขณะนั้น
https://www.bbc.com/thai/articles/c5y91298dd8o


"ลากทหาร ขึ้นศาลพลเรือน" พรรคเพื่อไทย พูดแล้วไม่ทำ พรรคประชาชน จะน้อมนำมาทำเอง


Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
11 hours ago
·
[ ขอรับจบนโยบาย "ลากทหาร ขึ้นศาลพลเรือน" ]
..........................................
พรรคประชาชน กำลังจะเอาร่าง พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่มุ่งเอาทหารที่ทุจริต ขึ้น "ศาลคดีอาญาทุจริต" เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาอีกรอบ
.
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ร่าง พ.ร.ป. ฉบับนี้ เคยผ่ายที่ประชุมนองรัฐสภาในวาระที่ 1 ไปแล้ว โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
.
น่าเสียดายที่ ร่าง พ.ร.ป. ที่มุ่งเอาทหารทุจริต ขึ้นศาลคดีอาญาทุจริต ฉบับนี้ ถูกตีตกในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 โดยที่ สส. ของพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่โหวตไม่เห็นชอบ ท่ามกลางข้อสงสัยว่า "พรรคเพื่อไทยมีนโยบาย "ลากทหารขึ้นศาลพลเรือน" คืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง แล้วทำไมถึงตีตกร่างกฎหมายฉบับนี้ล่ะ?
.
แต่ไม่เป็นไรครับ ทางผม และ สส.จอจาน เอกราช อุดมอำนวย - Ekkarach Udomumnouy และเพื่อน สส. ของ #พรรคประชาชน จะเป็นคนรับจบ ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเอง
.
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การนำร่าง พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาอีกครั้งหนึ่งของพรรคประชาชน จะได้รับการโหวตเห็นชอบจากพรรคเพื่อไทยให้ผ่านวาระที่ 1 และขอให้พรรคเพื่อไทยสนับสนุน สส. ของพรรคประชาชน ให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในชั้นกรรมาธิการด้วยนะครับ
.
พรรคประชาชน จะขอลากทหารขึ้นศาลพลเรือน แทนพรรคเพื่อไทยเองครับ

https://www.facebook.com/wirojlak/posts/1253008273282391












วันพุธ, กรกฎาคม 23, 2568

กลุ่ม สส.พรรคประชาชนเรียกร้อง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับศาลทหาร และการกระทำผิดอาญาของทหาร

เพราะการที่ ทหาร เป็นชนชั้นที่มีสิทธิพิเศษเหนือประชาชนธรรมดา เมื่อมีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งในบางเนื้อหาของกฎหมาย และธรรมเนียมปฏิบัติในสังคม ทำให้ผู้พิพากษาศาลทหารปราจีนบุรีบังอาจตัดสินคดีอย่างไม่เที่ยงธรรม

และด้วยความอัปลักษณ์ในคำตัดสินคดีฆาตกรรม น้องเมย โดยให้ผู้กระทำผิดต้องโทษจำคุกเพียง ๔ เดือน แถมให้รอลงอาญา ๒ ปี น้อยกว่าโทษ ๑๐ กว่าเดือนความผิดตำรวจ มช.ทำให้สุนัขตัวโปรดของมหาวิทยาลัยจบชีวิต

ท่ามกลางเสียงอึงมี่ ตำหนิ การพิพากษาด้วยความเอารัดเอาเปรียบของศาลทหาร ทำให้กลุ่ม สส.พรรคประชาชนในกรรมาธิการทหารสภาผู้แทนฯ เรียกร้องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับศาลทหาร และการกระทำผิดอาญาของทหาร

เบื้องต้นเป็นการ “เปิดสิทธิให้ผู้เสียหาย” ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบคดีที่ไปขึ้นศาลทหาร มีตุลาการมาจากศาลฎีกาหรือศาลปกครอง “และทำให้กระบวนการการพิจารณาของศาลทหารโปร่งใสตรวจสอบได้” สำคัญข้อหนึ่งคือให้เป็นโจทก์ฟ้องและตั้งทนายเองได้

สุดท้ายแล้วเป้าหมายก็คือยกเลิกศาลทหาร ดังที่ เชตวัน เตือประโคน @ChetawanPPLE เขียนว่า “ศาลครู, ศาลวิศวกร, ศาลสถาปนิก, ศาลเกษตรกร, ศาลหมอ, ศาลตำรวจ, ศาลพยาบาล, ศาลนักแสดง, ศาลนักกีฬา, ศาลนักโบราณคดี, ศาลบาร์เทนเดอร์, ศาลนักบิน ฯลฯ

ทำไมอาชีพอื่นๆ เขาก็ขึ้นศาลยุติธรรมกันหมด แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ได้สิทธิพิเศษขึ้น ศาลทหาร น่าจะถึงเวลา #ปฏิรูปกองทัพ #ยกเลิกศาลทหาร ในสถานการณ์ปกติ ให้มีเฉพาะช่วงการประกาศสงครามเท่านั้นมีการรื้อเอาร่าง พรป.ปปช.ขึ้นมายื่นเข้าสภาใหม่

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้เสนอร่างฯ กล่าวถึงสาระสำคัญของร่างฯ ไว้ว่า “เดิมที่ให้ศาลทหารเป็นผู้พิจารณาคดีทุจริตของข้าราชการทหาร เปลี่ยนเป็นให้อำนาจการพิจารณาคดีมาอยู่ที่ศาลอาญาคดีทุจริต เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน”

การเสนอร่างฯ พรป.ดังกล่าวในครั้งก่อนเมื่อกลางเดือนมีนาคมนี้เอง ถูกตีตกด้วยมติ ๑๖๓ ต่อ ๔๑๕ โดยพรรคเพื่อไทยไม่เล่นด้วย มิฉะนั้น “พ.ร.ป. ฉบับนี้ย่อมผ่านได้ และจะเป็นหมุดหมายที่สำคัญที่สุดในการเอากองทัพออกจากการเมือง

ยกเลิกความเป็นรัฐซ้อนรัฐของกองทัพ” เขาเสริมด้วยว่า “ต้องจัดการให้ทหารกลับเข้ากรมกอง...เลิกมีกระบวนการยุติธรรมที่เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องตัวเองให้ได้”

(https://www.facebook.com/story.php=122162883596480817&id=61564424510198, https://x.com/ChetawanPPLE/status/1947889210393801024 และ https://ch3plus.com/news/political/morning/444314)

พรรคประชาชนพยายามผลักดัน ผ่านกม.3 ฉบับเพื่อปรับปรุงโครงสร้างศาลทหาร ผ่านวาระ1-2 สำเร็จ แต่เพื่อไทยกลับโหวตคว่ำในวาระ 3 สะท้อนความไม่จริงใจ จนถึงวันนี้ปฎิรูปกองทัพก็ไม่คืบหน้าไปไหน


เชตวัน เตือประโคน - Chetawan Thuaprakhon
10 hours ago
·
[ถามถึงเจตจำนง "รัฐบาล" แก้โครงสร้างอำนาจ "ศาลทหาร]
.
"พรรคประชาชน" พยายามผลักดันเรื่องโครงสร้างอำนาจของศาลทหาร โดยมีกฎหมายเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ 3 ฉบับที่เราเสนอให้มีการแก้ไข คือ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
.
ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คือฉบับแรกที่รัฐสภามีการพิจารณาแก้ไข โดยผ่านในวาระแรก และเรื่องสำคัญอย่างการเสนอให้ ยกเลิกมาตรา 96 ที่ให้อำนาจในการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาล ซึ่งในส่วนกรรมาธิการก็เห็นด้วยว่าให้ยกเลิกไป และเมื่อกลับเข้ามาวาระที่ 2 รัฐสภาก็โหวตผ่านตามกรรมาธิการ
.
แต่ที่สุดแล้วในวาระ 3 โหวตกฎหมายทั้งฉบับ ก็ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาลกลับนำพรรคร่วมโหวตคว่ำกฎหมายฉบับนี้ นี่แสดงว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจในการปรับปรุงโครงสร้างอำนาจของศาลทหาร ที่บอกว่าจะปฏิรูปกองทัพ ที่มีนโยบายปฏิรูปกองทัพ มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างในตอนนี้
.
เมื่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไม่ได้รับการแก้ไขในส่วนของอำนาจศาลทหาร จึงไปกระทบกับ ร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ที่เราจะเข้าไปแก้ไข แต่อย่างไรก็ตามเราก็ได้มีการปรับปรุง และเสนอบรรจุระเบียบวาระการประชุมของสภาเรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน เนื่องจากเป็นกฎหมายที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าเสนอ ไม่ใช่กฎหมายที่รัฐบาลเสนอที่สามารถเลื่อนขึ้นมาก่อนได้
.
ถ้ายังจำกันได้ ในการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตอนหนึ่งผมอภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงเรื่อง "ระบบรุ่น" ที่ทำให้คนทั่วไปไม่มีความมั่นใจในเรื่องการพิจารณาคดี
.
โดยตอนหนึ่งผมอภิปรายว่า "เพราะ 'ระบบรุ่น' ต่อให้คุณชนะคดีด้วยกระบวนการยุติธรรมจริงๆ ประชาชนก็ไม่เชื่อ เพราะประชาชนเขาก็จะเชื่อว่าคนนี้รุ่นเดียวกัน คนนี้รุ่นพี่ คนนี้รุ่นน้อง ต่อให้ข้อเท็จจริงมันใช่ คนก็ไม่เชื่อ ต่อให้ข้อเท็จริงมันใช่ คนก็เชื่อว่าช่วย"
.
กรณีศาลทหารสูงสุด มีคำพิพากษาชั้นฎีกาพิพากษาคดี "เมย" ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมทหาร หมดสติและเสียชีวิต เมื่อ 17 ตุลาคม 2560 หลังถูกรุ่นพี่สั่งธำรงวินัย โดยให้จำเลย จำคุก 4 เดือน 16 วัน รอลงอาญา 2 ปี ชี้จำเลยไม่เคยได้รับโทษ การลงโทษไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ให้จำเลยปรับปรุงตัวรับราชการรับใช้ชาติต่อไปจะเป็นประโยชน์มากกว่า"
.
นี่คือหนึ่งในตัวอย่างของโครงสร้างอำนาจของศาลทหาร ที่ไม่ได้รับการปรับปรุง และเราก็ไม่เห็นเลยว่ารัฐบาลมีเจตจำนงที่จะเข้ามาแก้ไขในเรื่องนี้
.
ปฏิรูปกองทัพ ไม่ได้มีแต่เรื่องยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร ไม่ได้มีแต่เรื่องยกเลิกการทำธุรกิจของกองทัพ ไม่ได้มีแต่เรื่องสิทธิมนุษยชนในกองทัพที่ไม่ถูกละเมิด ยังมีอีกหลายๆ เรื่องรวมถึงเรื่องของกระบวนการยุติธรรมในกองทัพด้วย
.
ผมขอทิ้งท้าย ด้วยปรโยคของ “เมี่ยง” สุพิชา ตัญกาญจน์
พี่สาวของ #น้องเมย ที่ต่อสู้อย่างอดทดในกระบวนการยุติธรรมคดีน้องชายว่า
.
“สิ่งที่ทำไปทั้งหมด มันจะไปกระทบกองทัพ โรงเรียน หรือ ปฏิรูปการเกณฑ์ทหาร มันก็ถูกต้องแล้วที่หน่วยงานพวกนี้จะถูกตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกอย่างโปร่งใส ถ้าให้ตรวจสอบกันเองพวกคุณก็ให้การเข้าข้างกันแบบนี้แหละ เป็นนักเรียนยังขนาดนี้เติบใหญ่จะเป็นขนาดไหน อย่างน้องเด็กชายที่ตายไปได้สร้างแรงกระเพื่อมทิ้งไว้ ทำให้ระบบอะไร ๆ มันดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ก็มองข้อดีในตรงนี้กันบ้าง เพราะฉันรู้ว่ามันจริง”

https://www.facebook.com/photo?fbid=750439737485737&set=a.127537803109270