วันจันทร์, ธันวาคม 15, 2568

ยิ่งชีพ ‘ไอลอว์’ ไม่ได้อยากได้การขอโทษจาก ปชน. แม้ไม่เห็นด้วยกับการลงคะแนนให้อนุทิน แต่อยากให้พรรคสีส้มโหมผลักดัน ‘ประชามติรับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่’

นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยที่ตำหนิและคาดคั้นว่า พรรคประชาชนออกมาขอโทษที่ไม่สามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จสิ้นก่อนยุบสภา เท่านั้นไม่น่าให้อภัย แต่ควรจะต้องขอโทษที่โหวตให้ อนุทิน เป็นนายกฯ แต่แรก

ท่าทีเช่นนี้เปรียบได้กับ เสาวลักษณ์ โพธิ์งาม แห่งองค์กรสังคมนิยมแรงงาน ที่ “เรียกร้องให้ #พรรคประชาชน แสดงจุดยืนไม่เอาสงคราม อย่าเหยียบเรือสองแคม ปากหนึ่งต้องการสันติภาพ ปากหนึ่งให้ท้ายกองทัพ”

แต่กลับใช้ข้ออ้างที่ทำให้โดนโห่ไล่ “เพราะบอกว่า Scammer เป็นปัญหาเล็กน้อยมาก หลายนักวิชาการที่เขียนแสดงความเข้าใจ เห็นใจพรรคประชาชน ที่ดำเนินนโยบายผิดพลาดเรื่องโหวตอนุทิน พอจะเอ่ยชื่อได้ เช่น พิชิต ลิขิตฯ สมศักดิ์ เจียมฯ ธงชัย วินิจฯ และ ปวิน

สำหรับ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ แห่ง ไอลอว์ เขาบอกว่า “ไม่ได้อยากได้การขอโทษจากพรรคสีส้ม ผมเชื่อว่าพวกเขาก็มีเจตนาจะทำให้มันดีนั่นแหละ ไอ้ที่ผ่านไปแล้ว ก็คือผ่านไปแล้ว ย้อนไม่ได้” แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการลงคะแนนให้อนุทิน

“ไม่ใช่เพราะกลัวว่าอนุทินจะเบี้ยว แต่กลัวว่าเค้าจะไม่เบี้ยว กลัวว่าเค้าจะได้แต้มทั้งหมด และควบคุมกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไว้ทั้งหมด” ก็สมหวังที่ภูมิใจไทยปล่อยธาตุแท้ออกมา ด้วยการไปโหวตให้ สว.สีน้ำเงิน ยืนยันอำนาจพิเศษ ๑ ใน ๓

แต่เขาเรียกร้องให้พรรคประชาชนผลักดัน ประชามติรับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ อย่างจริงจัง ซึ่งเวลานี้ทุกพรรคเห็นชอบและเสนอถ้อยคำ ถามประชาชน ออกมาคล้ายคลึง ในทางเดียวกันว่า “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”

เนื่องเพราะ “ถ้าคนลงคะแนน ไม่เห็นชอบมากกว่า พวกเขา (อนุทิน) จะครองอำนาจอยู่ภายใต้ระบอบนี้ได้อีกหลายสิบปี โดยแก้ไขอะไรไม่ได้” แต่ถ้า พรรคสีส้มได้คะแนนเลือกตั้งมากพอควร ไม่ถึงกับชนะท่วมท้น แต่ประชามติให้ร่าง รธน.ใหม่ล้นหลาม

“ประเทศนี้ยังมีโอกาสเดินหน้าได้ การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่จะไม่เกิดขึ้นง่าย จะไม่เสร็จง่าย และจะไม่ได้ฉบับที่ดีนัก แต่สักวันนึงพรรคการเมืองสีส้มก็จะชนะการเลือกตั้ง” ได้เป็นรัฐบาลที่ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง

ฉะนั้น ณ เวลานี้ การแก้ รธน.เป็นเป้าหมายสำคัญ จึงอยากให้พรรคส้ม “ต้องใส่แรง กำลังคน ทรัพยากร และเวลาอย่างเต็มที่” ระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง “บอกให้ประชาชนไปลงประชามติเห็นชอบกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่...เพื่ออนาคตของทุกคนด้วย”

(https://www.facebook.com/pow.ilaw/posts/s7mFHvr2m, https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/338YPaVdLQ3 และ https://www.facebook.com/baitongpost/posts/QpkQqQSQS) 

ความหวาดหวั่นของผู้อพยพ "ชาวบ้านหลายคนที่ผมไปคุยด้วย บอกว่า ตอนนี้เปรียบเหมือนเศรษฐกิจของครอบครัว ได้ล่มสลายไป ตั้งแต่การสู้รบกันครั้งแรก พยายามจะฟื้นกลับมาให้ได้ แต่ต้องมาหยุดทุกอย่างลงไปอีก และไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป"


สันติวิธี พ.
8 hours ago
·
ความหวาดหวั่นของผู้อพยพ

เฉพาะในพื้นที่สุรินทร์ที่ผมอยู่ทำข่าว มีผู้อพยพไปอยู่ตามศูนย์อพยพต่างๆ มากถึง 7 หมื่นกว่าคน (ข้อมูลของทางการ)

ตามหมู่บ้านใกล้จุดการสู้รบที่ผมเข้าไป ส่วนใหญ่อพยพออกไปมากกว่าการสู้รบครั้งที่แล้ว เหลือไว้แค่คนที่มีหน้าที่ดูแลหมู่บ้าน และคนที่ห่วงวัวควายที่เลี้ยงไว้

ที่ศูนย์อพยพ มีทั้งชาวบ้านที่นอนในอาคาร รถยนต์ และสนามหญ้า

บางคนออกมากางเต็นท์ หรือกางเต๊นท์ผ้าใบ พลาสติกแผ่นใหญ่ เท่าที่จะหาได้ กันแดดกันน้ำค้างนอนสนามหญ้า และบนรถ เพราะอาคารด้านในเต็ม บางคนให้เหตุผลเพราะในอาคารแออัด ส่วนบนรถสะดวกสบายกว่า

แต่ถ้าเลือกได้ หลายคนที่ผมได้คุยด้วย อยากกลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน และขอเป็นการใช้ชีวิตแบบไม่หวาดระแวงเหมือนที่ผ่านมา เพราะหลังการหยุดยิงครั้งแรก ก็ไม่รู้ว่าจะสู้รบกันเมื่อไรอีก ดังนั้นหลังการสู้รบครั้งนี้ หากต้องเจรจา ก็อยากให้เจรจากันให้จบ แบ่งเขตแดนกันให้จบ ไม่ต้องมีการสู้รบกันอีก

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าชาวบ้านหวาดวิตกไม่แพ้การสู้รบ คือการทำมาหากินต่อจากนี้

หลายครอบครัวไม่ได้มีเงินเก็บ หลายครอบครัวรอเงินก้อนจากการเก็บเกี่ยวพืชเกษตร โดยเฉพาะช่วงนี่คือฤดูตัดอ้อย

ส่วนข้าวเพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จ แต่บวกลบค่ารถเกี่ยว ค่าปุ๋ย เหลือไม่เท่าไร พอหมดหน้าเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านบางส่วนก็ไปทำงานรับจ้างต่อ

อีกหนึ่งอาชีพ คือสวนยางพารา มีทั้งเจ้าของสวน และคนรับจ้างกรีดยาง ที่ต่างต้องหนีภัยสู้รบไปอยู่ศูนย์อพยพ

พ่อค้าแม่ค้าอีกจำนวนมาก ที่ยังจำเป็นต้องกู้หนี้นอกระบบ ต้องหยุดค้าขาย แต่ดอกเบี้ยไม่หยุดเดิน และเจ้าหนี้ก็ไม่ได้หยุดทวง

แม้แต่หนี้ในระบบเอง ดอกเบี้ยยังเดินไปเรื่อยๆ แต่ชาวบ้านผู้อพยพ ต่างก็ไม่มีรายได้ในช่วงนี้

ชาวบ้านหลายคนที่ผมไปคุยด้วย บอกว่า ตอนนี้เปรียบเหมือนเศรษฐกิจของครอบครัว ได้ล่มสลายไป ตั้งแต่การสู้รบกันครั้งแรก พยายามจะฟื้นกลับมาให้ได้ แต่ต้องมาหยุดทุกอย่างลงไปอีก และไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

นี่จึงเป็นอีกความหวาดหวั่นของผู้อพยพ ของชาวบ้านตามแนวชายแดน รองๆ ลงมาจากการกลัวการสู้รบ ซึ่งรัฐจะหาหนทางช่วยเหลืออย่างไร

ป.ล.
ชาวบ้านหลายคน ยังสะท้อนตัวอย่างถึงเรื่องเล็กๆ อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐควรดูแลว่า ตอนสู้รบกันคราวที่แล้ว หลังกลับจากศูนย์อพยพ บ้านจำนวนไม่น้อย ถูกถอดมิเตอร์ไฟฟ้าออกไป โดยถูกแจ้งว่าค้างค่าไฟฟ้า ซึ่งชาวบ้านขออย่าให้เกิดขึ้นอีกเลยในครั้งนี้

พวกเขาหวังว่าเมื่อถึงเวลาออกจากศูนย์อพยพกลับบ้าน นอกจากบ้านยังอยู่ดีแล้ว ขอให้ไม่ถูกถอดมิเตอร์ไฟฟ้าออกไปด้วย

https://www.facebook.com/photo/?fbid=25157452063883424&set=a.595044893884149



เด็กในสภาวะสงครามชายแดนไทย–กัมพูชา: ชีวิต ที่อยู่อาศัย การศึกษา และความปลอดภัยที่สั่นคลอน

https://www.facebook.com/ThaiNewsPix/posts/1385484496546597

Thai News Pix 
Yesterday
·
เด็กในสภาวะสงครามชายแดนไทย–กัมพูชา: ชีวิต ที่อยู่อาศัย การศึกษา และความปลอดภัยที่สั่นคลอน
.
เรื่องและภาพ อานันท์ ชนมหาตระกูล
.
ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ครอบครัวจำนวนมากในจังหวัดสระแก้ว ต้องอพยพออกจากพื้นที่โดยฉับพลัน เด็กจำนวนมากถูกเคลื่อนย้ายเข้าสู่หลุมหลบภัยและศูนย์อพยพชั่วคราว ชีวิตประจำวันที่เคยสงบเรียบง่าย ถูกแทนที่ด้วยความไม่แน่นอน เสียงระเบิดที่ดังไกลจากชายแดน และพื้นที่อยู่อาศัยที่คับแคบ
.
หลายครอบครัวต้องหนีเข้าหลุมหลบภัยในหมู่บ้านติดชายแดนทันทีเมื่อเสียงปะทะเริ่มดังขึ้น เด็กเล็กอายุเพียง 5 ขวบสองคน เช่น “น้องน้อย” และ “น้องลีโอ” ถูกพ่อแม่พามาอยู่ในพื้นที่อพยพอย่างเร่งรีบ บ้านที่เคยเป็นพื้นที่ปลอดภัย กลายเป็นเขตเสี่ยงที่ไม่สามารถกลับไปพักอาศัยได้
.
ภายในศูนย์อพยพ เด็ก ๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในอาคารขนาดใหญ่หรือพื้นที่จำกัด ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว ความเป็นส่วนตัวแทบไม่มี และความเครียดจากบรรยากาศโดยรอบส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กโดยตรง
.
การประกาศอพยพสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการเรียนของเด็กในพื้นที่ วันหนึ่งพวกเขายังไปโรงเรียนตามปกติ แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็ต้องถูกผู้ปกครองรับกลับบ้าน เนื่องจากโรงเรียนได้รับคำสั่งหยุดการเรียนการสอนจนกว่าสถานการณ์จะกลับมาปลอดภัย
.
น้ำทิพย์ เย็นอนุ อายุ 26 ปี ผู้ที่ดูแลเด็กหลายคนภายในศูนย์อพยพ อธิบายว่า เด็กทุกคนต้องหยุดเรียนทันทีโดยไม่มีการเตรียมตัว “เด็กบางคนยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ก็ไปโรงเรียนไม่ได้ และต้องมาอยู่ในพื้นที่จำกัดแบบนี้”
.
การไม่มีอุปกรณ์การเรียน การขาดครูผู้สอน และการขาดความต่อเนื่องทางการศึกษา อาจส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาว โดยเฉพาะกับเด็กเล็กที่อยู่ในวัยเรียนรู้พื้นฐานที่สำคัญ
.
แม้หลายครอบครัวจะอพยพออกมาจากพื้นที่ปะทะแล้ว แต่เสียงระเบิดที่ได้ยินเป็นระยะจากชายแดนยังคงส่งผลต่อความรู้สึกปลอดภัย เด็กบางคนเล่าว่าเคยเห็นบ้านของเพื่อนพังเสียหายจากสะเก็ดระเบิด ทำให้ความรู้สึกไม่มั่นคงฝังลึกอยู่ในใจ
.
การใช้ชีวิตในศูนย์อพยพจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ผู้ปกครองต้องคอยฟังประกาศจากเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา เพราะสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ในทุกชั่วโมง ความไม่แน่นอนนี้ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เกิดความกังวลอย่างต่อเนื่อง
.
ธนู โลหะเลิศ อายุ 43 ปี ชาวนาจากพื้นที่ตาพระยา ระบุว่า “ตอนนี้ทำงานไม่ได้เลย ต้องรออย่างเดียว ไม่รู้เมื่อไหร่จะกลับไปทำนาได้”
.
สำหรับหลายครอบครัวในสระแก้ว การเกษตรคือรายได้หลัก การหยุดทำงานเพราะพื้นที่ไม่ปลอดภัย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของทั้งครอบครัว รวมถึงเด็กที่ต้องพึ่งพาผู้ปกครองในการดูแลและการศึกษา
ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการอพยพและการหยุดเรียน ทำให้เด็กจำนวนมากตกอยู่ในสภาวะเปราะบาง ทั้งด้านจิตใจ สังคม และสภาพความเป็นอยู่
.
ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ล้วนมีความหวังเดียวกัน คือการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เด็กหลายคนพูดตรง ๆ ว่า อยากกลับบ้าน พวกเขาโหยหาพื้นที่เล่น ห้องเรียน และสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
.
ผู้ปกครองเองก็หวังให้ความขัดแย้งยุติโดยเร็ว เพื่อจะได้ทำมาหากินได้ตามปกติ และเพื่อให้ลูกหลานเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่ท่ามกลางเสียงปะทะและข่าวการอพยพ
.
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในครั้งนี้ เปิดเผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า “เด็ก” เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด แม้พวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แต่กลับต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย การเรียน ไปจนถึงความรู้สึกปลอดภัย
.
สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนสำคัญว่า การปกป้องเด็กในสถานการณ์วิกฤตเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้พวกเขามีโอกาสเติบโตอย่างมีคุณภาพ และไม่ปล่อยให้สงครามพรากอนาคตของพวกเขาไปมากกว่านี้



มีชัย รับร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่มีผู้สั่ง - ร่างใหม่ ต้องยึดโยงกับประชาชน ไม่ใช่ตามคนสั่งของคนใดคนหนึ่ง

@chai.apinunt #มีชัย#รัฐธรรมนูญ#ตามที่มีผู้สั่ง ♬ เสียงต้นฉบับ - ตามกระแส..ดร.ชัย อภินันท์



https://www.tiktok.com/@chai.apinunt/video/7387007335102827794







เลือกตั้ง 69 ไม่เล็งผลเลิศ ต่อประเทศเลย ตอนนี้เราน่าจะเข้าสู่ภาวะที่ ปชต จะทำงานได้น้อยที่สุด คือ เสียงแตกมาก และไม่สามารถมี consensus อะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวได้


Panote Saechiew 
Yesterday
·
เลือกตั้ง 69
ไม่เล็งผลเลิศ ต่อประเทศเลย ตอนนี้เราน่าจะเข้าสู่ภาวะที่ ปชต จะทำงานได้น้อยที่สุด คือ เสียงแตกมาก และไม่สามารถมี consensus อะไรที่เป็นเรื่องเป็นราวได้
คะแนนเสียงโดยทั่วไปจะไม่ข้ามฝั่ง แต่จะย้ายกันเองในฟากเดียวกัน การเปลี่ยนขั้วคะแนนโดยมากจะเกิดจากการเปลี่ยนรุ่น
แค่สองปีรุ่นคงไม่เปลี่ยนมาก ดังนั้นเราจะได้ฐานเสียง ปชน+พท ใกล้ๆของเดิม คือ 290 เสียงโดยประมาณ
โอกาส พรรคใดพรรคหนึ่งจะข้าม 250 ยากมากจนถึงเป็นไปไม่ได้
ถ้าเราอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่า พท ฐานแตก และ ภจท ดูด เราอาจเห็น ภจท ขึ้นไปที่ประมาณ 100-120 ส่วนปาร์ตี้ลิสต์คงไม่ได้เหมือนเดิม
ปัญหาคือสามเส้า แดง-ส้ม-น้ำเงิน ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กันหมดแล้ว หัวใจใหญ่คือแดง-น้ำเงินนั้นเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ล้วนๆโดยไม่มีมิติอุดมการณ์ (เราจะเห็นนายแบกและนางแบกตัวท็อปยังยืนยันว่ากลับไปจับกันได้) ในขณะที่ แดง-ส้ม กับ ส้ม-น้ำเงิน นั้นมีรอยร้าวชัดในระดับฐานเสียง
สถานการณ์แบบนี้ถึงส้มตั้งรัฐบาลได้ ก็ต้องประนีประนอมมาก และถ้าทำอะไรไม่ได้มาก กระแสตีกลับจากฐานเสียงก็จะกลับมาอีก โอกาสตั้งรัฐบาลไม่ได้สูงกว่า แต่ถ้าแดงกลับไปจับกับน้ำเงิน ความขัดแย้งแดง-ส้มก็จะยิ่งรุนแรง
เรื่องตลกร้ายคือหัวใจของความขัดแย้งทั้งหมดคือน้ำเงิน นั่นคือทั้งสองสีที่เหลือชี้หน้าอีกฝ่ายว่าถ้ามันเลวจริงแล้วไปจับมันทำไม แต่ดันเป็นสีเดียวที่ลอยตัว
ไปๆมาๆอนาคตประเทศอาจไม่ใช่ว่าใครจะชนะ เพราะถึงส้มชนะก็คงตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่คือน้ำเงินต้องไม่แซงหน้าแดง
เพราะถ้าน้ำเงินมาอันดับสอง(หรือแม้แต่อันดับหนึ่ง) ก็น่าจะจับมือแดงเป็นรัฐบาล และในกรณีนั้น เราจะเห็นอนุทินเป็นนายก ในระยะเวลาที่ยาวกว่านี้ มีอำนาจมากกว่านี้ แต่ไม่ได้บริหารงานดีกว่านี้
และเราก็เห็นแล้วว่าถ้าแดงชนะ ก็บริหารอะไรไม่ได้ ถ้ามีน้ำเงินอยู่ข้างๆ

Panote Saechiew

นี่ยังไม่นับมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่เอื้อต่อพรรคที่เป็นอุดมคตินิยมแบบส้ม
เช่นฮุนเซนหาเรื่องตลอด ตามหลักการส้มควร playdown ความรุนแรง พยายามหยุดยิง แต่สภาพแบบนี้มันอิหลักอิเหลื่อ นั่นคือหยุดยิงแต่อีกฝ่ายไม่หยุด ตัวเองก็เสีย จะพูดให้รุนแรงก็ไม่ได้ จะให้หยุดยิงก็ไม่ได้
พอบวกคนบ้าอย่างทรัมป์เข้าไปก็เละเทะไปเลย
แล้วโดย position ที่เป็นค่านิยมหลักแบบตะวันตกเลยไปกันใหญ่ จะเอียงสหรัฐ มันก็บ้า จะเอียงจีน ก็ขัดกับฐานตัวเอง
สภาพแบบนี้เหมือนๆอียู ที่อิหลักอิเหลื่อออกไม่ได้เหมือนกัน เพียงแต่เราแย่กว่าเขา
ไปๆมาๆ position บ้าๆบอๆแบบอนุทินมันเลยง่ายกว่า(แม้ผลจะไม่ดีกว่า)

https://www.facebook.com/panote.saechiew/posts/26400131446253874




ประชาธิปไตยแบบไทยๆอันล่วงละเมิดมิได้


ศาสดา
December 11
·
ทุกคนพ่ายแพ้ในเกมนี้

แม้บทสรุปของเรื่องราววันนี้คือ อนุทินยุบสภาฯ รัฐธรรมนูญไม่ได้แก้ แต่สิ่งที่ใหญ่กว่านั้นคือ การเมืองไทยจากนี้ต่อไปจะเดินอย่างไร?

ยังไม่ต้องพูดถึงมิติการแก้ปัญหาประเทศ ไม่พูดถึงมิติการแก้รัฐธรรมนูญ พูดถึงโครงสร้างทางการเมืองหรืออะไรก็ตาม เอาแค่คำถามง่ายๆ คือ หลังการเลือกตั้งนี้ ถ้าไม่มีพรรคการเมืองไหนชนะขาดเกิน 251 เสียงจะทำอย่างไร? (หรือถ้าไม่มั่นใจก็ต้อง 270 เสียงเลย) เพื่อไทย ภูมิใจไทย หรือแม้แต่พรรคประชาชน ยังไงก็น่าจะไม่ถึง

บางคนบอกว่าเดี๋ยวเพื่อไทยกับภูมิใจไทยก็ไปจับกันอยู่ดี ก็อาจจะใช่ในมุมหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าหลังการเลือกตั้งปี 66 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “บาดแผล” ที่ต่างฝ่ายมีต่อกัน เพื่อไทยกับก้าวไกลมีบาดแผลแรกหลังข้ามขั้ว ถัดมาก็เพื่อไทยกับภูมิใจไทยที่ล่อกันจนรัฐบาลล้ม และล่าสุดคือภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ที่กลายร่างเป็นผู้รับเหมาทิ้งงาน MOA แม้จะอ้างว่าไม่สามารถสั่งการ ส.ว. ได้ แต่ทุกคนก็รู้ว่า ส.ว. อยู่ในการควบคุมของสีน้ำเงิน

การเมืองที่เต็มไปด้วย “บาดแผล” ของพรรคที่เป็นขั้วอำนาจทั้งสามฝ่ายนี้ ทำให้เกิดรัฐบาลที่อ่อนแอ เพราะแม้จะผสมจัดตั้งกันได้ แต่ก็ “ง่อนแง่น” และพร้อมจะ “แทงกัน” ตลอดเวลา นี่ยังไม่นับรวมถึง “บาดแผล” ระหว่างกองเชียร์ของฝั่งประชาธิปไตย ที่ไม่ได้ดีขึ้นเลยตลอดสองปีที่ผ่านมา

หลังการเลือกตั้ง 2566 ผ่านไปสองปี

สีแดง เสียเครดิตจากการข้ามขั้ว เสียเครดิตจากเรื่องคลิปฮุนเซน เสียตัวเล่นสำคัญอย่างคุณอิ๊ง ผู้นำทางจิตวิญญาณติดคุก ความเชื่อมั่นในการกลับมาเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลน้อยลง โดนดูด โดนสึกศรัทธาจากการข้ามขั้วปี 62

สีส้ม ถูกมองว่าเป็นพรรคที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่ต้องการให้เป็นรัฐบาล (ชนะก็อาจโดนบล็อกอีก) เสียเครดิตจากการยกมือให้อนุทิน และโดนอนุทินหักหลังเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ มิหนำซ้ำอนุทินยังไม่สามารถเป็นรัฐบาลที่ “ได้เรื่อง” เลยสักเรื่อง แม้จะเปิดตัวหวือหวา ดึงคนมีเครดิตมาร่วมงาน แต่ก็ล้มเหลวทั้งเรื่องชายแดนกัมพูชาและการจัดการปัญหาน้ำท่วมภาคใต้

สีน้ำเงิน แม้จะมีแต้มต่อจาก deep state หนุนหลัง มีพลังองค์กรอิสระและ ส.ว. อยู่ในมือ มีกองทัพเป็นพันธมิตร แต่ก็ขาดความชอบธรรมในแง่การยอมรับ ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน ไม่มีรูปธรรม ไม่มีความสามารถในการบริหารงาน ตั้งรัฐบาลเองไม่ได้หากไม่มีส้มหรือแดง ไหนจะมีรอยร้าวจากการหักหลังทั้งกับแดงและส้ม

การรัฐประหาร 2549 ทำลายการเมืองไทยชนิดที่ลากเราถอยหลังลงคลอง พ่วงมากับรัฐประหาร 2557 ที่ตอกฝาโลง ปิดอนาคตประเทศไทย ทำลายทั้งรัฐธรรมนูญ หลักนิติรัฐ นิติธรรม หลักการทางกฎหมาย ระเบียบทางการเมือง และพัฒนาการทั้งหมดที่เรามีจากหลังพฤษภาทมิฬจนได้รัฐธรรมนูญ 2540

การกำเนิดของรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐธรรมนูญ 2560 ได้สร้างระบอบการเมืองที่อุบาทว์และประหลาด เปลี่ยนให้องค์กรอิสระกลายเป็นกลไกขัดขวางระบอบประชาธิปไตย ทำให้แม้แต่การริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญก็แทบจะเป็นไปไม่ได้

ประเทศไทยจะต้องจมอยู่ในวังวนนรกนี้อีกกี่ปี? เพราะตั้งแต่ปี 2548 จนถึง 2568 ความขัดแย้งสองทศวรรษยังดำเนินต่อ ไม่เพียงไม่ดีขึ้น แต่จมดิ่งลงทุกวัน การทำดีลและประนีประนอมจอมปลอมเกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้ง ไม่ว่าจะในนาม “กลับบ้านข้ามขั้ว” หรือ “Grand Compromise”

ไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ระยะไกล เอาแค่ระยะใกล้ 20 ปีก็พิสูจน์แล้วว่า ชนชั้นนำไทยไม่มีความจริงใจในการหาทางออก เพราะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงสร้างรัฐราชการไม่เคยเสียอะไรในห้วงความขัดแย้งที่ผ่านมา ตรงกันข้ามกลับได้อำนาจเพิ่มทุกครั้งหลังรัฐประหาร หรือเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

ผมไม่มีคำตอบว่าประเทศเราจะมีทางออกอย่างไร และไม่มีแม้แต่ภาพจินตนาการว่าหลังเลือกตั้งครั้งนี้ใครจะจับกับใคร แต่ที่บอกได้คือ การเมืองจะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าใครจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่มองโลกในแง่ร้าย แต่เพราะโครงสร้างและกลไกอำนาจสร้างให้ทุกคนมีบาดแผลและรอยร้าวต่อกัน ต้องหยิบดาบหยิบปืนที่กลไกอำนาจนอกระบบวางไว้มาใช้สู้กันเองเพื่อความอยู่รอด

อย่าลืมว่าไม่ว่าเราจะเชียร์สีอะไร แดง น้ำเงิน หรือส้ม แต่คนที่เราเชียร์คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ควรยืนข้างอำนาจสูงสุดคือประชาชน เพื่อต่อสู้กับอำนาจของโครงสร้างรัฐราชการ หากแต่เกมที่ผู้มีอำนาจร่างไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 บีบให้เราล่อกันเองเพื่อความอยู่รอด มิหนำซ้ำกลุ่มผู้มีอิทธิพลนอกเกมยังมากระซิบคนนั้นที คนนี้ที ให้จับกับคนนั้นเพื่อบี้คนนี้ สักพักก็ยืมคนนั้นมาสู้คนนั้น จนเริ่มหมั่นไส้ เกลียดกันเอง และสุดท้ายลืมไปว่าศัตรู (ปัญหา) ที่แท้จริงของประเทศอยู่ตรงไหน

อยากถามว่าทฤษฎีนี้จริงไหม? ก็ให้ดูว่าตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา เพดานการต่อสู้ถกเถียงของเราต่ำลงจริงหรือไม่ ย้ำว่าทุกสีทุกฝ่าย ถ้าใช่ นั่นคือเราถอยจากการต่อสู้ภาพใหญ่ กลายเป็นการต่อสู้กันเองอย่างสมบูรณ์

คนที่ดีไซน์กลไกแบบนี้ทั้งแสบและเหี้ยมจริงๆ อัจฉริยภาพในการดึงประเทศถอยหลังนั้นเกินจินตนาการ ทำให้รัฐบาลจากประชาชน(ไม่ว่าจากสีไหน) พรรคการเมือง(ทุกพรรค) พลังการเมือง(ทุกสีทุกกลุ่ม) อ่อนแอ พ่ายแพ้หมด แบ่งแยกและปกครอง ทำให้ทุกคนกลายเป็นตัวเล็กตัวน้อยและตีกันเอง

เหนือสิ่งอื่นใดคือความพ่ายแพ้ของประเทศโดยรวม เพราะเมื่อการเมืองอ่อนแอ รัฐไม่เข้มแข็ง กลไกต่างๆ ที่ควรทำหน้าที่ก็อ่อนแอ ประเทศก็ถดถอยโดยสมบูรณ์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1467281931620585&set=a.621161979565922




ขีปนาวุธจีนที่กองทัพเขมรใช้มาจากจีนเทาจริงไหม?

https://www.facebook.com/thaispycatcher/posts/122181366818449251

8 hours ago
·
ขีปนาวุธจีนที่กองทัพเขมรใช้มาจากจีนเทาจริงไหม?
ขีปนาวุธต่อสู้รถถังรุ่น Bolas GAM 102LR ที่ ทบ. ตรวจยึดได้วันนี้เป็นของบริษัทอาวุธในเครือ Poly Group
Poly Group เป็นรัฐวิสาหกิจจีนรายใหญ่ที่ประกอบกิจการหลากหลาย ครอบคลุมทั้งกิจการโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ บริษัทประมูล ธุรกิจบันเทิง แต่ที่สำคัญที่สุดคือ Poly Technologies ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1983 ในฐานะบริษัทที่ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) และเมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน Poly Technologies ก็เป็นบริษัทที่รัฐบาลจีนใช้ส่งดินปืนไร้ควันไปช่วยเหลือรัสเซียอีกด้วย Google หาก็เจอนะ
ถ้าหากขุดลึกลงไปอีกนิดหนึ่งจะพบว่า Poly Group แตกสาขาออกมาจาก China International Trust and Investment Corporation หรือ CITIC เครือรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีนที่นอกจากจะส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปให้กับรัฐบาลในพื้นที่สงครามแล้ว ยังมีบริษัททหารรับจ้างของตัวเองอีกด้วย ซึ่งพื้นที่ปฏิบัติงานของ CITIC ก็อยู่ไม่ไกลบ้านเราเลย คือ เมียนมากับลาว นั่นเอง!
สำหรับกัมพูชานั้น เครือบริษัท Poly ได้เข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 2019 โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Belt and Road Initiative และล่าสุดเมื่อปี 2024 บริษัท Poly Growth Engineering ก็เพิ่งลงนามกับกระทรวงคมนาคมกัมพูชาเพื่อร่วมกันก่อสร้างถนนในจังหวัดกระแจะของกัมพูชา ซึ่งสะท้อนว่าจีนกับกัมพูชามีความร่วมมือกันผ่าน Poly Group มาระยะหนึ่งแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขมรจะกลายเป็นลูกค้าของ Bolas GAM 102LR อาวุธใหม่ล่าสุด
บริษัท Poly Technologies ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร เนื่องจากสงสัยว่าบริษัทมีส่วนสนับสนุนโครงการอาวุธทำลายล้างสูงและขีปนาวุธให้กับรัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรีย
ดังนั้น หากกล่าวว่า GAM-102LR มาจากจีนเทาซื้อใต้ดินให้กองทัพเขมร อาจจะไม่ใช่ เพราะนี่คือบริษัทรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ของรัฐบาลจีน แต่ถ้าถามว่าเขมรเอาเงินรายได้จากทุนเทาไปซื้อมาไหม อันนี้มันแน่อยู่แล้ว
ความจริงที่น่าเจ็บปวด คือ ไทยช่างแสนโดดเดี่ยว และไม่มีใครอยู่ข้างเราเลย
อำนาจต่อรองของเราหดหาย ความน่าเชื่อถือของเราถดถอย ขณะที่เขมรต่อรองได้ทั้งจีนและสหรัฐฯ
ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะขาด Endgame ที่ชัดเจน และดูตั้งใจสื่อสารกับประชาชนในประเทศ มากกว่าโลกภายนอก
พูดแบบตรงไปตรงมา การพบอาวุธของจีนอาจจะเป็นทางลงที่ดี
ไม่ได้แปลว่าเราเพลี่ยงพล้ำ แต่มันสะท้อนว่าเขมรมีมหาอำนาจหนุนหลังอยู่
มันบอกว่าจีนไม่ต้องการให้เกิด Regime Change ในเขมร และเราต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์ของไทย
พวกเราทุกคนล้วนรักชาติ ต้องการกำราบเขมรให้หายซ่า
แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าเขมรไม่หมูอย่างที่คิด และยิ่งหากสู้รบยืดเยื้ออาจยิ่งสูญเสียมากขึ้น



อาวุธจีนโผล่ยิงทหารไทย

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/posts/1426068872199413

Sirote Klampaiboon (ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์)
9 hours ago
·
อาวุธจีนโผล่ยิงทหารไทย ยึดขีปนาวุธต่อต้านรถถังได้ที่เนิน 677 เพิ่งเปิดตัวปี 2568 ราคาลูกละ 3.5 ล้าน พัฒนาเลียนแบบขีปนาวุธสหรัฐในยูเครน
มีรายงานว่า "ทหารไทย" ยึดระบบ "ขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถียุคที่ 5" รุ่น GAM-102LR "สัญชาติจีน" จากทหารกัมพูชาบนเนิน 677 จำนวนมาก โดยขีปนาวุธรุ่นนี้เป็นอาวุธที่เพิ่งเปิดตัวปี 2568 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากระบบขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถี FGM-148 Javelin ของสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้ในยูเครน
ราคาต่อลูกของขีปนาวุธ GAM-102LR อยู่ที่ประมาณ $112,000 USD หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3,530,240 บาท ผลิตโดยบริษัทอาวุธชั้นนำจีน Poly Defense ในเครือ Poly Technologies เปิดตัวครั้งแรกในงานนิทรรศการอาวุธยุทโธปกรณ์ EDEX ประจำปี 2025
.
สำหรับ GAM-102LR ถูกจัดให้เป็นขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านยานเกราะ (ATGM)
ที่มีมีหัวนำวิถีขั้นสูง (Advanced homing head) และมีความแม่นยำสูง ซึ่งสามารถใช้ยิงได้ในโหมด Lock-on-After-Launch (LOAL) และ Man-in-the-Loop เพื่อการเลือกเป้าหมายใหม่กลางอากาศ
ขีปนาวุธจีนที่พบในกัมพูชาเป็นรุ่นที่ 5 แต่ละลูกมีนํ้าหนัก 52 กิโลกรัม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลขีปนาวุธต่อต้านรถถัง GAM-10X สามารถใช้โจมตีได้ทุกเป้าหมายที่อยู่ในพิสัยอย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพและข้อมูลจากเพจ Army Military Force
สมัครสมาชิกรายเดือนเฟซบุ๊กศิโรตม์ทอล์ค เพื่อสร้างสื่อที่อิสระ ไม่พึ่งทุน ไม่พึ่งอำนาจรัฐ แต่อยู่ได้ด้วยพลังของพวกคุณ
กด subscribe
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/subscribe
.....




ข้อแตกต่างของสื่อไทยและสื่อนอก สื่อไทยเน้นการเสนอข่าวที่สร้างความฮึกเหิม “F-16 ทิ้งไข่ระเบิดสะพาน” “กริพเพนบินเสิร์ฟไข่มื้อเย็น” เสนอภาพผลกระทบต่อชาวบ้านน้อยมาก แต่สื่อนอกมักเสนอภาพความทุกข์ยากของชาวบ้านที่ต้องอพยพโยกย้ายเพราะสงคราม เชิญนักวิชาการมาวิเคราะห์เหตุการณ์ และเสนอทางออก



Pipob Udomittipong
15 hours ago
·
สังเกตมั้ยว่าในขณะที่สื่อไทยเน้นการเสนอข่าวที่สร้างความฮึกเหิม “F-16 ทิ้งไข่ระเบิดสะพาน” “กริพเพน ผนึก F-16 ถล่มหนัก” “อย่าไว้ใจเขมร ชาวบ้านไม่อยากให้ไทยหยุดยิง” “กริพเพนบินเสิร์ฟไข่มื้อเย็น” “กริพเพนตีแตก บินถล่มคลังกระสุน” “บึมฐานทหารเขมร! สอยรถถังเขมรนับสิบ” ฯลฯ แต่เสนอภาพผลกระทบต่อชาวบ้านน้อยกว่ามาก

ในทางตรงข้าม สื่อนอกมักเสนอภาพความทุกข์ยากของชาวบ้านที่ต้องอพยพโยกย้ายเพราะสงคราม ความรู้สึกอยากให้สงครามจบเร็ว ๆ และอยากให้กลับมาสัมพันธ์ดีกันเหมือนเดิม นอกนั้นก็เป็นการเชิญนักวิชาการมาวิเคราะห์เหตุการณ์ และเสนอทางออก นอกเหนือจากการทำสงครามที่ยืดเยื้อ

ในรายงานนี้ FRANCE 24 สัมภาษณ์ เจริญ แจ่มใส ชายชาวไทย ซึ่งบอกว่า “คิดว่าอยากให้เจรจา และกลับมาดีกันเหมือนเดิม ถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้ายังสู้กันต่อไปอย่างนี้ เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร? เราอาศัยอยู่ติดกัน เราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หรอก”

สำนักข่าวเดียวกันยังสัมภาษณ์มาร์ คลี หญิงชาวกัมพูชา ซึ่งต้องอพยพเป็นครั้งที่สองแล้ว 50 ปีที่แล้วต้องหนีเขมรแดง เธอบอกว่านอนไม่หลับ และกังวลถึงทรัพย์สินที่บ้านซึ่งอยู่ชายแดน เธอบอกว่าสงครามความขัดแย้งครั้งนี้ เป็นเรื่องที่เกิดจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ไม่ได้เป็นเพราะประชาชนคนไทยหรือกัมพูชา

มาร์ คลี บอกว่า “คนหนุ่มสาวที่หมู่บ้านดิฉันทำงานในเมืองไทยทั้งนั้น พวกเราคิดว่าคนไทยหรือคนกัมพูชาก็เหมือนพี่น้องกัน พวกเราไม่เคยทะเลาะกัน พวกเขารักกันดี มันเป็นปัญหาระหว่างสองรัฐบาล โดยเฉพาะรบ.ไทยที่ต้องการที่ดินของเรา แต่ถ้าในระดับประชาชน พวกเราไม่มีปัญหาต่อกัน

สงครามเกิดขึ้นและบานปลาย เพราะมีคนที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะรัฐบาลเสียงข้างน้อยของ #อนุทิน และ #พรรคภูมิใจไทย ของเขา ยิ่งการสู้รบรุนแรงยืดเยื้อมากเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นผลดีทางการเมืองกับเขาและพรรคของเขาเท่านั้น

อนุทินต้องการจัดเลือกตั้งท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่พุ่งสูงระหว่างสงคราม หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Khaki election”เพราะทำให้เขาได้เปรียบ ยิ่งถ้าเกิดความเสียหายทางทหารของกัมพูชามากเท่าไร ซึ่งก็ต้องมาพร้อมกับความสูญเสียของชีวิตทหารชั้นผู้น้อย ต้นทุนค่าใช้จ่ายในสงคราม และความทุกข์ยากด้านเศรษฐกิจของประชาชน เขาก็จะยิ่งสามารถประกาศชัยชนะ เพื่อหาเสียงได้

กฎหมาบบ้านเรานี่ก็แปลก ห้ามแจกเงินเพื่อซื้อเสียง แต่ไม่ได้ห้ามทำสงครามเพื่อหาเสียง

ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะไม่สู้ เมื่อถูกยิงก่อน ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า มันมีวิธีการที่สันติและส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยสุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการลุกลามบานปลายของสงครามหรือ? หลายฝ่ายเห็นว่ามี ต่างชาติเห็นว่ามี เพราะสาเหตุครั้งนี้ เกิดจากเรื่องทุ่นระเบิดและการปะทะกันระหว่างการสร้างถนน

แต่รบ.อนุทินจงใจไม่เลือกใช้วิธีทางการทูตเหล่านั้น เพราะเขาได้ประโยชน์จากสงครามหรือไม่ หรือเพราะเขาเป็น “War monger”? #ไทยกัมพูชา

Civilians caught in crossfire as Thailand-Cambodia fighting continues https://youtu.be/W4gnunWZe_M

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10163466590236649&set=a.10150096728651649




อย่าให้เสียงปืน บดบัง บทบาทของไทยในเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติเอเชียอาคเนย์

https://www.facebook.com/kasian.tejapira/posts/10240272471852351

Kasian Tejapira 
17 hours ago
·
บทบาทของไทยในเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติเอเชียอาคเนย์
%%%%%%
https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_873772
และข่าวล่าสุดจาก
https://transbordernews.in.th/home/



เวิลด์แบงก์เตือน ‘ไทย’ เสี่ยง #น้ำท่วม ติดท็อปโลก GDP หาย 14%



 


 https://x.com/ktnewsonline/status/2000094654394450318



การเลือกตั้งครั้งหน้า คาดการณ์จำนวน ส.ส.เขต และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จาก คุณอดิศักดิ์​ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ และคุณยุทธพร อิสรชัย น่าสนใจ - พรรคประชาชนกะว่าจะได้สส.รวม ประมาณ 150 - โอวโน ! อนุรักษ์ความด้อยพัฒนา ต่อไป ?


Adisak Limparungpatanakij
9 hours ago

poosdnetSrh4l0alta3h0hl6g78hmtahl068109t9g2i9gc1g12g7a8lc3mu ·

#คอลัมน์คิดใหม่วันอาทิตย์
ชิ้นที่2ประจำวันอาทิตย์ที่​ 14​ ธันวาคม​ 2568
ผู้เขียน​ : อดิศักดิ์​ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ

#คำนวณพรรคไทยจะชนะเลือกตั้งจากNIDAPoll
#คาดการณ์แต่ละพรรคจะได้กี่ที่นั่ง
#3พรรคใหญ่ที่นั่งเกินร้อย

[อธิบายสมมติฐานการคาดการณ์จำนวน ส.ส.เขต และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์]​

ตัวเลขเหล่านี้มาจากอะไร และมีข้อยกเว้นตรงไหนบ้าง

ตารางคาดการณ์จำนวน ส.ส.เขต และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่นำเสนอ ไม่ได้เป็นการ “ทำนายผลเลือกตั้งแบบฟันธง” และไม่ใช่การเอาตัวเลขโพลมาแปลงเป็นที่นั่งโดยตรง แต่เป็นการประเมินเชิงฉากทัศน์ (scenario-based estimation) ที่พยายามสะท้อน พฤติกรรมการเลือกตั้งจริงของไทย ให้ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด

#สมมติฐานหลักข้อที่1: คะแนนนิยมจากโพลเป็น “จุดตั้งต้น” ไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย

การคำนวณตั้งต้นจาก NIDA Poll ล่าสุดและย้อนหลัง โดยใช้แนวโน้มคะแนนนิยมพรรคและคะแนนนิยมตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็น “สัญญาณทิศทาง” ไม่ใช่ตัวเลขตายตัว
เหตุผลสำคัญคือ โพลระดับประเทศสะท้อน “ความรู้สึกโดยรวม” ได้ดี แต่ ไม่สะท้อนการแข่งขันระดับเขต ซึ่งเป็นหัวใจของระบบเลือกตั้งไทย

ดังนั้น คะแนนโพลถูกใช้เพื่อประเมินสัดส่วน ปาร์ตี้ลิสต์ (100 ที่นั่ง) เป็นหลัก มากกว่าส.ส.เขต

#สมมติฐานหลักข้อที่2: ส.ส.เขตให้ความสำคัญกับ “ความแข็งแรงเชิงพื้นที่” มากกว่ากระแส

การประเมิน ส.ส.เขต 400 คน ใช้หลักถ่วงน้ำหนักจาก

โครงสร้างพรรคในพื้นที่

ความต่อเนื่องของฐาน ส.ส.เดิม

ความสามารถของผู้สมัครรายเขต

ข่าวการย้ายพรรคและเครือข่ายการเมืองจริง

พรรคที่โพลระดับชาติไม่สูง แต่มีเครือข่ายพื้นที่แข็ง (เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม) จึงได้จำนวน ส.ส.เขตสูงกว่าที่โพลพรรคบอก
ในทางกลับกัน พรรคที่กระแสดีในระดับประเทศ แต่โครงสร้างพื้นที่ยังไม่ทั่วถึง จะได้ ส.ส.เขตต่ำกว่าสัดส่วนคะแนนนิยมรวม

#สมมติฐานหลักข้อที่3: Undecided จำนวนมาก “ไม่กระจายเท่ากัน”

แบบจำลองนี้ตั้งสมมติฐานว่า

กลุ่ม Undecided ไม่ได้กระจายคะแนนเท่า ๆ กันทุกพรรค

แต่จะไหลไปหาพรรคที่ตอบโจทย์สถานการณ์ ณ เวลานั้น เช่น

วิกฤต → พรรคที่ดูบริหารได้

ปากท้อง → พรรคที่มีนโยบายเศรษฐกิจชัด

ความเบื่อการเมือง → พรรคที่ดูเป็นทางเลือกกลาง

จึงทำให้บางพรรคได้ปาร์ตี้ลิสต์มากกว่าสัดส่วนเขต และบางพรรคได้เขตมากแต่ปาร์ตี้ลิสต์น้อย

#สมมติฐานหลักข้อที่4: พรรคขนาดเล็กยังมีที่ยืน แต่ไม่ขยายตัวมาก

การคาดการณ์นี้สมมติว่า

พรรคเล็กบางพรรคยังได้ ปาร์ตี้ลิสต์ 1–2 ที่นั่ง จากฐานเฉพาะกลุ่ม

แต่ไม่มีพรรคเล็กใด “แจ้งเกิดใหญ่” แบบทะลุโพล

ขณะเดียวกัน พรรคที่เคยมี ส.ส.เขต แต่โครงสร้างอ่อนลง มีแนวโน้มเหลือเฉพาะปาร์ตี้ลิสต์ หรือหายไปจากสภา

#ข้อยกเว้นและความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น

ตัวเลขทั้งหมดอาจเปลี่ยนได้ หากเกิดเหตุการณ์นอกสมมติฐาน เช่น

วิกฤตใหญ่ก่อนเลือกตั้ง (เศรษฐกิจ/ความมั่นคง/ภัยพิบัติ)

การเปลี่ยนแปลงตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแบบฉับพลัน

การจับมือหรือแตกหักของพรรคใหญ่ก่อนวันเลือกตั้ง

#กล่าวโดยสรุป ตารางคาดการณ์นี้คือ ภาพจำลองบนพื้นฐานข้อมูลปัจจุบัน ไม่ใช่คำทำนายตายตัว แต่ช่วยให้เห็นว่า หากทุกอย่างเดินตามแนวโน้มที่มีอยู่ในวันนี้ สมดุลอำนาจในสภาจะออกมา “ใกล้เคียงแบบไหน” และใครจะได้เปรียบ–เสียเปรียบจากโครงสร้างการเมืองจริง
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=2689652011402830&set=a.213195402381849
.....



ยุทธพร อิสรชัย
3 hours ago
·
ยุทธพร ทำนายที่นั่ง สส. ณ 14 ธค 68
.....





CLIP🔴 กลุ่มประกันสังคมก้าวหน้า บุกกระทรวงแรงงาน จุดธูปสาปแช่งคนขวางเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม พร้อมคัดค้านการเปลี่ยนสูตรบอร์ด สปส. หวังสกัดเลือกตั้ง

https://www.facebook.com/reel/1339175160870679


วันอาทิตย์, ธันวาคม 14, 2568

ใครบ้างได้เห็นการทำงานอย่างมุ่งมั่นของ ปชน. อย่างกรณี ‘กองทุน’ หลักประกันสังคม ที่ขณะนี้ร่วมรณรงค์สกัดบอร์ดกลุ่มนายจ้างแก้ระเบียบไม่เอาเลือกตั้ง

เอาแต่กราดเกรี้ยวใส่พรรค ปชน.กันว่า หน้าโง่ ที่ไปเซ็นเอ็มโอเอให้เขาหักหลังเอาได้ แม้นว่าจะรู้ๆ อยู่แก่ใจว่าใครสั่งและส่ง หนูมารับดีล กระทั่งหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะทำให้คดี ๔๔ สส.อาจรอดก็ตาม ต้อง “เห็นแก่อกเขา” ที่เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นประชาชนไว้ใจได้

บอกได้เลยว่าความหวังเดียวเท่านี้สำหรับเลือกตั้งต้นปี ๖๙ ต้องให้พวกเขายืนหยัดด้วยขาทั้งสองได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องเกาะนั่นเกาะนี่ มุ่งหน้ากำจัดเหลือบที่เกาะกินประเทศชาติอยู่บนหลังประชาชน ไม่เช่นนั้นเหลือบสองฝูงจะแบ่งปันกันกิน

ใครบ้างได้เห็นการทำงานอย่างมุ่งมั่นของพวกเขา อย่างกรณี กองทุน หลักประกันสังคม ที่ทั้งรักชนก ศรีนอก สส.บางบอน และ สหัสวัต คุ้มคง สส.เมืองชล เข้าไปร่วมรณรงค์กับทีมประกันสังคมก้าวหน้าอย่างเหนียวแน่น ก่อประโยชน์แก่ผู้ใช้แรงงานมาแล้วส่วนหนึ่ง

แต่การเดินหน้าต่อไปกำลังถูกเตะตัดขาอย่างใช้ลำหักลำโค่น ดังที่ ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี พยายามป่าวร้องมาพักใหญ่แล้วว่า กำลังมีความพยายามของเหลือบใน สนง.ประกันสังคม ที่จะล้มวีธีการเลือกตั้งกรรมการบอร์ดในทางประชาธิปไตย

เปลี่ยนไปเป็นสูตร สีน้ำเงิน ซึ่งทำให้ก๊วนการเมืองบ้านใหญ่บุรีรัมย์เป่าปั่นเสียจนเกิดพรรค สว.สีน้ำเงิน เป็นเสียงข้างมากในวุฒิสภาเกือบ ๑๔๐ คนจาก ๒๐๐ ซึ่งสหัสวัตออกตัวประโคมให้สาธารณะเห็นว่า มีความพยายามแก้ระเบียบเลือกบอร์ด

“จากเดิมที่ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกได้เป็นทีม ๗ คน ให้เหลือเลือกได้เพียง ๑ คน และให้ ๑ จังหวัดมีหน่วยเลือกตั้งเดียว” เขาเชื่อว่า “เป็นความพยายามสกัดไม่ให้ทีมประกันสังคมก้าวหน้า ที่เข้าไปตรวจสอบและเปิดโปงเรื่องราว ชนะเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า”

ฟังจาก สส.ไอ๊ซ์ จึงทราบว่า “ผู้ที่เคยลงเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมแล้วแพ้ทีมประกันสังคมก้าวหน้า แต่ไปลงเลือก สว. แล้วชนะ ได้กรุณาชงเนื้อหาข้อเสนอ เปลี่ยนรูปแบบเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมเข้ามา” แล้วตั้งอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อการนั้น

ไอ๊ซ์เอารูปกรรมการบอร์ด มาลงไว้ให้เห็นกันถ้วนหน้า แล้วบอกว่า “ดูหน้าดูชื่อแล้วจำไว้แม่นๆ ค่ะ เจอที่ไหนจะได้ทักทายกันสักหน่อย โดยเฉพาะสัดส่วนนายจ้าง บอกเลยว่าตัวจี๊ดๆ ทั้งนั้น” สว.บัส เทวฤทธิ์ มณีฉาย อีกคนช่วยประโคมรณรงค์

คัดค้านล้มการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม: อย่าริดรอนประชาธิปไตยของผู้ประกันตน” เขาแจ้งให้ครึกโครมว่า “ต้องย้ำให้ชัดว่ากองทุนประกันสังคมไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐ ไม่ใช่ของข้าราชการ และไม่ใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป้นเงินสมทบของผู้ใช้แรงงาน”

ลงท้าย “หากเรายอมให้การเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมถูกบ่อนทำลาย วันนี้อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนกติกา แต่วันข้างหน้าอาจหมายถึงการทำให้เสียงของผู้ประกันตนหายไปจากระบบโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” แต่เป็นเรื่องหลักการ

(https://www.facebook.com/tewarit.bus/posts/UQMu3vaYQa, https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/4UdNv99DX และ https://www.facebook.com/ThePoliticsByMatichon/posts/tbpWdvf8oAL) 

ฟังมุมมองต่างชาติ เหตุใดนานาชาติ จึงอาจไม่เห็นใจไทยมากนัก ในกรณีความขัดแย้งชายแดนกัมพูชา


บีบีซีไทย - BBC Thai
7 hours ago
·
"ไทยอาจโกรธจริง ๆ ต่อกรณีที่กัมพูชายังคงวางทุ่นระเบิด ซึ่งผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยากมากที่จะเรียกความเห็นใจจากนานาชาติได้มากนัก เมื่อทุกคนรู้ดีว่าไทยมีแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่ากัมพูชาอย่างมาก" โจชัว เคิร์ลแอนซิก นักวิชาการจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ บอกกับบีบีซีไทย
.
อ่านเพิ่มเติม ที่นี่ https://www.bbc.com/thai/articles/cwyppxxj8p8o
.....

วิเคราะห์ "ท่าทีแข็งกร้าว" ของไทยกับกลยุทธ์ "เล่นบทเหยื่อ" ของกัมพูชา ในสายตานานาชาติ



พิธีลงนามถ้อยแถลงร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว

เหตุปะทะทางทหารรอบใหม่ล่าสุด บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. และต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่าฝั่งตรงข้ามเริ่มโจมตีก่อน ถือเป็นหนึ่งในความรุนแรงที่ตึงเครียดที่สุดนับตั้งแต่มีข้อตกลงหยุดยิงในเดือน ก.ค.

ทว่าสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดในความขัดแย้งรอบนี้ เมื่อเทียบกับการปะทะระลอกอื่น ๆ ที่ผ่านมา คือจุดยืนของไทยที่ดูแข็งกร้าวขึ้นอย่างชัดเจน เน้นปกป้องอธิปไตยด้วยยุทธศาสตร์ทางการทหาร และ "ไม่พร้อมเจรจา" ในทุกองคาพยพ

ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนว่ากัมพูชาจะยังคงใช้กลยุทธ์คล้ายเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา นั่นคือกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ส่วนกัมพูชาเพียงปกป้องตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย รวมถึงย้ำว่ากัมพูชาพร้อมเจรจาแต่เป็นไทยที่ไม่ยอม


เหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชายแดนอย่างมาก เด็กจำนวนมากถูกเคลื่อนย้ายเข้าสู่หลุมหลบภัยและศูนย์อพยพชั่วคราว

บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมวิเคราะห์ว่ากลยุทธ์ที่แต่ละประเทศใช้นั้นมีน้ำหนักและสร้างผลกระทบต่อแต่ละประเทศอย่างไรในสายตานานาชาติ และที่สำคัญคือเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไรหลังมีการยุบสภาในไทยเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.

สำรวจท่าที่ฝั่งไทย: กัมพูชาเริ่มก่อน และไม่เจรจาถ้ากัมพูชาไม่ถอย

ท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล เริ่มแข็งกร้าวขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. หลังออกมาแถลงสั่ง "หยุด" ถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา จากกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ โดยระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า "ความเป็นปฏิปักษ์ต่อความมั่นคงของชาติไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด"

สถานการณ์กลับมาตึงเครียดอย่างมากอีกครั้งในวันที่ 7 ธ.ค. เมื่อกองทัพของไทยรายงานว่ากัมพูชาโจมตีพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ทำให้มีทหารไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อ 8 ธ.ค 2568

วันที่ 8 ธ.ค. นายอนุทินออกแถลงการณ์ยืนยันว่าไทยไม่ต้องการความรุนแรง แต่จะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย และพร้อมใช้ปฏิบัติการทางทหารที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากกว่าคือบทสัมภาษณ์หลังแถลงการณ์ ซึ่งเขาระบุชัดว่า "คงไม่เจรจาแล้ว" และหากจะหยุดการสู้รบ กัมพูชาต้องทำตามเงื่อนไขของไทย พร้อมกล่าวว่าถ้อยแถลงร่วมที่ลงนามกันในมาเลเซีย "ไม่มีแล้ว จำไม่ได้แล้ว"

เขายังย้ำว่าไม่จำเป็นต้องหารือกับผู้นำมาเลเซียหรือสหรัฐฯ และไม่กังวลต่อผลกระทบด้านการเจรจาภาษี โดยทิ้งท้ายว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องควรไปกดดัน "ฝ่ายที่รุกรานประเทศไทย" ให้หยุดการกระทำก่อน ไม่ใช่มาเรียกร้องให้ไทยอดทนต่อไปเพราะ "มันเลยเวลานั้นมาแล้ว"

ท่าทีแข็งกร้าวดังกล่าวดำเนินควบคู่กับสถานการณ์ปะทะที่ลุกลามต่อเนื่อง ซึ่งนายอนุทินย้ำว่าให้อำนาจกองทัพเต็มที่ และปฏิบัติการทางทหาร "หยุดไม่ได้แล้ว"

ในขณะที่นายอนุทินย้ำจุดยืนเรื่องการไม่เจรจากับกัมพูชา โดยชี้ว่าเป็นกัมพูชาที่ละเมิดถ้อยแถลงร่วมก่อนนั้น ฝั่งกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็รับลูกและดำเนินนโยบาย รวมไปถึงออกแถลงการณ์ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เดินสายให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 8-9 ธ.ค. ที่ผ่านมา พร้อมบอกกับบีบีซีว่า "ผมหวังว่ากัมพูชาจะตระหนักว่า สิ่งที่พวกเขาทำอยู่จนถึงตอนนี้ ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้การทูตดำเนินไปได้เลย"



ในบทสัมภาษณ์ที่นายสีหศักดิ์ให้กับสำนักข่าวอัลจาซีรา เขาสื่อสารเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันออกมา โดยชี้ว่าไทยเปิดทางให้มีการไกล่เกลี่ยมาตลอด และวิถีทางทางการทูตก็เป็นสิ่งที่ไทยยึดมั่น แต่ "การทูตจะใช้ได้ผล เมื่อสถานการณ์เปิดพื้นที่ให้การทูตทำงานได้ ผมเสียใจที่ต้องบอกว่า ตอนนี้เรายังไม่มีพื้นที่นั้น"

ขณะเดียวกัน ฝั่งกองทัพของไทยก็แสดงจุดยืนชัดเจนเช่นกัน โดย พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ระบุว่า เป้าหมายของปฏิบัติการคือทำให้กัมพูชา "สิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน" เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามในอนาคต และไม่ให้สามารถใช้วิธีการเดิมล้ำเข้ามาในดินแดนไทยได้อีก

ท่าทีฝั่งกัมพูชา: ไทยเริ่มก่อน กัมพูชาอดกลั้น พร้อมเจรจา และเรียกหานานาชาติ


วันที่ 9 ธ.ค. ฮุน เซน โพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองว่า "หลังจากอดทนมานานกว่า 24 ชั่วโมงเพื่อเคารพข้อตกลงหยุดยิง และเพื่อให้มีเวลาอพยพประชาชนออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย เมื่อคืนวาน เราจึงได้ตอบโต้"

ฝั่งกัมพูชาเริ่มออกแถลงการณ์ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. ผ่านกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ซึ่งระบุว่ากองกำลังฝั่งไทยเริ่มโจมตีเข้าใส่พื้นที่ของกัมพูชาก่อน ขณะที่กองกำลังกัมพูชานั้น "ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น" แถลงการณ์ฉบับนี้ของกัมพูชายังย้ำในช่วงท้ายว่า รัฐบาลกัมพูชายึดในหลักของข้อตกลงหยุดยิงในเดือน ก.ค. รวมไปถึงถ้อยแถลงร่วมที่ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 28 ต.ค. เสมอ และ "กัมพูชายึดมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ"

ต่อมา วันที่ 8 ธ.ค. สมเด็จฮุน เซน ได้ออกมาโพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าขอให้กองกำลังแนวหน้าแสดง "ความอดทนอดกลั้น" ขณะที่ "ผู้รุกราน" ได้ใช้อาวุธเพื่อโจมตีกัมพูชาและยั่วยุให้โต้ตอบ ซึ่งนับเป็นการฉีกถ้อยแถลงร่วมของทั้งสองชาติ

ในแถลงการณ์ต่อ ๆ มาของกัมพูชา ทั้งท่าทีและวาทกรรมที่ใช้ล้วนเป็นไปในทิศทางว่ากัมพูชายืนอยู่บนหลักการของข้อตกลงหยุดยิง รวมไปถึงถ้อยแถลงร่วมมาเสมอ ตัวอย่างถ้อยคำในแถลงการณ์ที่กัมพูชามักเลือกใช้ก็เช่น "แทนที่จะใช้การรุกรานหรือการใช้กำลัง กัมพูชายึดมั่นอย่างแน่วแน่ในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี"

รัฐบาลกัมพูชาทั้งองคาพยพปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เคยตอบโต้กลับไทย จนกระทั่งในช่วงเช้าของวันที่ 9 ธ.ค. ซึ่งฮุน เซน โพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองว่า "หลังจากอดทนมานานกว่า 24 ชั่วโมงเพื่อเคารพข้อตกลงหยุดยิง และเพื่อให้มีเวลาอพยพประชาชนออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย เมื่อคืนวาน เราจึงได้ตอบโต้"


นายสัวส์ ยารา โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชาและที่ปรึกษาสมเด็จ ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซีไทย

ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซีไทย นายสัวส์ ยารา โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชาและที่ปรึกษาสมเด็จ ฮุน เซน กล่าวว่า ในมุมของกัมพูชา ช่องทางการทูตยังคงเปิดอยู่ โดยย้ำว่ากัมพูชายึดมั่นหลักกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงที่มีอยู่ แม้กฎหมายระหว่างประเทศจะมีข้อจำกัด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ พร้อมระบุว่าทั้งสองประเทศควรกลับไปยึดตามกฎบัตรสหประชาชาติ อนุสัญญา และข้อตกลงล่าสุดที่มีประธานอาเซียน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของจีนเป็นพยาน

เมื่อถูกถามถึงจุดยืนของไทยที่มองว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดถ้อยแถลงร่วมจากกรณีทุ่นระเบิด นายสัวส์ตอบว่า ประเด็นทุ่นระเบิดไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการปะทะ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในกรอบคณะทำงานร่วมตามถ้อยแถลงกัวลาลัมเปอร์ และไม่ควรนำมาเชื่อมโยงกับการปะทะกันด้วยอาวุธบริเวณชายแดน โดยชี้ว่า "ทุ่นระเบิดไม่สามารถเคลื่อนที่เองได้ มีแต่คนเท่านั้นที่เดินได้"

เขาเสนอให้ทั้งสองฝ่ายลดความตึงเครียดและหันกลับสู่ความร่วมมือทวิภาคี พร้อมย้ำว่ากองทัพควรถอยออกจากประเด็นทางเทคนิคและทำหน้าที่เพียงสังเกตการณ์ โดยกล่าวว่า "การทูตทำงานได้ดีที่สุดเมื่อไม่มีเขี้ยวเล็บ และประเทศเพื่อนบ้านไม่ควรถูกครอบงำด้วยเกมการเมืองภายในของอีกฝ่าย"

จุดยืนของไทยและกัมพูชา ในสายตานานาชาติ



โธมัส เพปินสกี ศาสตราจารย์ด้านรัฐบาลและนโยบายสาธารณะแห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล และนักวิชาการอาวุโสประจำ แห่งสถาบันคลังสมองบรูคกิงส์ (Brookings) ในสหรัฐฯ บอกกับบีบีซีไทยว่า ประเด็นที่เขาคิดว่าสำคัญที่สุดสำหรับชาวไทยและชาวกัมพูชาในการเข้าใจจุดยืนของแต่ละประเทศในสายตานานาชาติคือ นี่ไม่ใช่เหตุปะทะที่ "ใหญ่" สำหรับชาวต่างชาติ

"ผู้ชมต่างชาติไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไร เว้นแต่ในความหมายพื้น ๆ ว่าเป็นเรื่องพรมแดนเท่านั้น และผมไม่คิดว่าผู้ชมต่างชาติที่อยู่นอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสนใจผลลัพธ์เฉพาะหน้าแคบ ๆ แบบนี้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นว่า 'ปราสาทนี้อยู่ฝั่งไหน' หรือ 'ปราสาทนั้นอยู่ฝั่งไหน' หรือว่า 'ทหารยึดเนินนี้ได้หรือเนินนั้นได้' เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับผู้ชมต่างชาติเลย"

อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่ามิตินี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นและผู้คนที่ได้รับผลกระทบนั้นไม่เสียหาย หรือความเสียหายนั้นควรถูกด้อยค่าแต่อย่างใด

บีบีซีไทยถามเขาต่อว่า จุดยืนที่ดูแข็งกร้าวทางการทูตในครั้งนี้จะเป็นปัญหาต่อไทยหรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันและแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดยิงและหันหน้าสู่โต๊ะเจรจาจากหลายประเทศ ศ.เพปินสกี ตอบว่า แรงกดดันหรือเสียงเรียกร้องเหล่านี้แทบไม่มีผลจริง "และผมคิดว่ามัน[แถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดยิง]จะถูกลืมโดยทันที"

เขายกตัวอย่างว่า ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการปะทะ และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง "จะไม่ยอมเสี่ยงทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูต หรือความสัมพันธ์ทางการค้าที่สำคัญกับไทยต้องสั่นคลอนเพราะเรื่องนี้ ตราบใดที่ความรุนแรงยังถูกจำกัดอยู่ในระดับเท่าที่เห็นตอนนี้"


"ผู้ชมต่างชาติไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไร เว้นแต่ในความหมายพื้น ๆ ว่าเป็นเรื่องพรมแดนเท่านั้น และผมไม่คิดว่าผู้ชมต่างชาติที่อยู่นอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสนใจผลลัพธ์เฉพาะหน้าแคบ ๆ แบบนี้มากนัก"

ด้าน โจชัว เคิร์ลแอนซิก นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แห่งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (Council on Foreign Relations) เสริมว่า สถานการณ์ทางการทูตของไทยอ่อนแอลงมาจากในอดีตมากแล้ว ซึ่งสาเหตุมาจากความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ ทว่าการดำเนินนโยบายทางการทูตที่เข้มข้นในครั้งนี้ต่อประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชา ขณะที่ยืนอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่าไทยเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าและมีศักยภาพมากกว่ากัมพูชา ในสายตาของนานาชาติขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนี้ถูกนำเสนออย่างไร และขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง

"กัมพูชานั้นเป็นรัฐเผด็จการอย่างชัดเจน ส่วนไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง (flawed democracy) มุมมองระยะยาวต่อประเทศไทยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว หากไทยจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมในครั้งต่อไป และเคารพผลการเลือกตั้ง รวมถึงกองทัพเองก็ต้องเคารพผลนั้นด้วย สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้ประเทศไทยถูกมองในทางที่ดีกว่าบนเวทีโลก เมื่อเทียบกับกัมพูชาที่โดยพื้นฐานแล้วเป็นรัฐเผด็จการที่บริหารโดยตระกูลฮุน" นายเคิร์ลแอนซิก กล่าว

เขาเสริมว่า จริงอยู่ที่กลยุทธ์นี้ "อาจทำให้กัมพูชาดูได้รับความเห็นใจมากขึ้นก็ได้ แต่คุณไม่สามารถพยายามส่งสารบางอย่างออกไป แล้วในขณะเดียวกันก็กังวลเกินไปว่า สิ่งนั้นจะทำให้คุณดูเหมือนไม่เห็นใจฝ่ายตรงข้าม"


"กัมพูชานั้นเป็นรัฐเผด็จการอย่างชัดเจน ส่วนไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง" โจชัว เคิร์ลแอนซิก นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุ

ศ.เพปินสกี เสริมว่า สำหรับชาวต่างชาติ พวกเขาไม่ได้เลือกข้างชัดเจนว่าสนับสนุนฝั่งไทยหรือกัมพูชาในความขัดแย้งครั้งนี้ หากเทียบกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หรืออิสราเอล-ปาเลสไตน์

"พวกเขาไม่ได้มีจุดยืนว่าใครเป็นฝ่ายรุกรานหรือใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ… ถ้าจะมีความรู้สึกใด ๆ ต่อกัมพูชา ก็อาจเป็นความสงสารต่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สมัยพอล พต ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้เลย และมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว"

สำหรับคำถามเกี่ยวกับเหตุปะทะครั้งใหม่นี้ ที่ทำให้ถ้อยแถลงร่วมที่เกิดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีประธานาธิบดีทรัมป์ร่วมเป็นสักขีพยานคนสำคัญล้มเหลวลง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและความสำคัญระหว่างประเทศมองไปในทิศทางคล้าย ๆ กันว่า สหรัฐฯ คงไม่ได้เข้ามาแก้ปัญหาอย่างเต็มที่สักเท่าไหร่

"ในระดับโลก เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับชาติตะวันตกเลย" ศ.เพปินสกี ย้ำอีกครั้ง ก่อนกล่าวต่อไปว่า "สหรัฐฯ สูญเสียความสามารถที่จะทำอะไรที่เป็นรูปธรรมกับเรื่องนี้ไปแล้ว กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปลดผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปหลายคน ที่ยังเหลือก็มีแต่รูบิโอ [รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ] ซึ่งก็ยุ่งและวุ่นกับเรื่องอื่นอยู่ ส่วนทรัมป์เองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรแบบนี้เลย… แม้แต่จีนก็อาจจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก เว้นเสียแต่ว่ามันจะไปกระทบโครงการใหญ่ ๆ ของจีนจริง ๆ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่ผมไม่เห็นว่ามีแนวโน้มสูงเท่าไหร่"


"เขา[ทรัมป์]มักจะเลือกเข้าไปยุ่งในเรื่องที่สามารถคุยกันไม่นานแล้วสร้าง 'ดีล' หรือชัยชนะบางอย่างได้ทันที ซึ่งกรณีนี้ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น"

ขณะที่นายเคิร์ลแอนซิก ชี้ว่าอาจมีการแทรกแซงจากระดับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ ขณะที่การเข้ามาของทรัมป์นั้น เขา "ไม่คิดว่าทรัมป์จะลงมายุ่งโดยตรง เพราะ[ทรัมป์]มีเรื่องต้องจัดการเยอะมาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและความท้าทายในพรรคของเขาเอง ผมไม่แน่ใจด้วยว่าเขามีแนวโน้มจะทำ เพราะเขามักจะเลือกเข้าไปยุ่งในเรื่องที่สามารถคุยกันไม่นานแล้วสร้าง 'ดีล' หรือชัยชนะบางอย่างได้ทันที ซึ่งกรณีนี้ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น"

นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสริมว่า การแทรกแซงเพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาอาจมาจากจีนหรืออาเซียนผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้ กรณีแรกเป็นเพราะจีนมีอิทธิพลเหนือกัมพูชามหาศาล "ในระดับที่แทบจะเรียกได้ว่ากัมพูชาเป็นรัฐลูกค้าของจีน" ทว่าจีนมีอิทธิพลเหนือไทยน้อยกว่ามาก ขณะที่นายกฯ อันวาร์ เป็นบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพ จึงอาจมีจังหวะที่เข้ามาแทรกแซงได้และอาจได้ผล "แต่ผมคิดว่ากองทัพไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อไปอีกสักพัก และอาจค่อยคุยกันทีหลัง แต่ผมไม่คิดว่ามันจะจบวันพรุ่งนี้แน่นอน"

ตัวแปร "กองทัพไทย" ในสมการความขัดแย้ง


"ผมไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีไทยคนใดจะมีอำนาจควบคุมกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ... อนุทินมีอำนาจน้อยกว่าผู้บัญชาการทหารของไทย" นายเคอร์แลนต์ซิก กล่าว

ระหว่างการสัมภาษณ์ประเด็นทางการทูตระหว่างบีบีซีไทยกับผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคน เราพบว่าบทสนทนามักวนกลับมาที่มิติเกี่ยวกับกองทัพของไทยอยู่เสมอ

ศ.เพปินสกี กล่าวว่า เขามองว่ากลยุทธ์ทางการทูตใด ๆ ของไทยจะได้รับอิทธิพลจากความสามารถของกองทัพของไทย ซึ่งเหนือชั้นกว่ากัมพูชาอย่างชัดเจน "ผมคาดว่า การตีความยุทธศาสตร์ของไทยในเวลานี้ ซึ่งจากมุมมองของฝ่ายไทยก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง คือการแสดงให้กัมพูชาเห็นว่า การเดินหน้าทำสงครามต่อไปจะมีต้นทุนสูงมาก และผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องจริง มันจะมีต้นทุนสูงมาก แนวคิดก็คือการยุติความขัดแย้งนี้ ด้วยการทำให้[กัมพูชา]เห็นอย่างชัดเจนว่า การเคลื่อนกำลังทหารหรือการยิงสนับสนุนใด ๆ จะถูกตอบโต้ทันที กล่าวคือจุดวางกำลังของทหารจะตกเป็นเป้าหมายโจมตี"

ด้านนายเคิร์ลแอนซิกชี้ว่า สำหรับ นายสีหศักดิ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดี "แต่ผมก็คิดว่า หากไทยไม่ได้สนใจจะเจรจาจริง ๆ และกำลังพยายามส่งสารบางอย่างออกไป ก็แทบจะไม่มีอะไรที่รัฐมนตรีต่างประเทศจะทำได้มากไปกว่านี้ นอกจากการย้ำซ้ำ ๆ ว่าการดำเนินการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะกัมพูชาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ และไทยอาจโกรธจริง ๆ ต่อกรณีที่กัมพูชายังคงวางทุ่นระเบิด ซึ่งผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยากมากที่จะเรียกความเห็นใจจากนานาชาติได้มากนัก เมื่อทุกคนรู้ดีว่าไทยมีแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่ากัมพูชาอย่างมาก"



บีบีซีไทยถามนายเคอร์แลนต์ซิกต่อไปว่า เช่นนั้นแล้วสารที่ต้องการจะสื่อและเป้าหมายของกองทัพไทยต่อปฏิบัติการณ์ชายแดนครั้งนี้คืออะไรกันแน่ นักวิชาการอาวุโสผู้เคยอาศัยอยู่ในไทยคนนี้ชี้ว่า ก็เป็นได้ที่กองทัพไทยจะเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวจากเหตุการวางทุ่นระเบิดจริง "และต้องการส่งสัญญาณไปยังกัมพูชาให้ชัดเจนเป็นครั้งสุดท้าย… ดังนั้นพวกเขาอาจเชื่อว่า จำเป็นต้องทำให้กองทัพของกัมพูชาเสียศักยภาพลงอย่างแท้จริง"

เขายังเสริมว่ากองทัพของไทยเองน่าจะมีเป้าหมายเรื่องการปลุกกระแสชาตินิยมและหวังว่ากระแสนั้นจะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหันไปลงคะแนนให้พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อกองทัพมากกว่า

"ผมคิดว่าสิ่งที่กองทัพและชนชั้นนำบางกลุ่มหวาดกลัวมากที่สุด คือชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคประชาชน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการใช้ศาลรัฐธรรมนูญหรือกลไกทางตุลาการอื่น ๆ ในการตัดอำนาจ ด้วยการตัดสิทธิหรือกำจัด สส. ของพรรคประชาชนออกไปมากพอจนพรรคไร้พลัง และหากสถานการณ์เป็นเช่นนั้น ก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริงในประเทศไทย"



เราถามเขาต่อว่า เพราะเหตุผลนี้หรือไม่จึงทำให้ท่าทีของนายอนุทินในช่วงที่ผ่านมา ยอมให้กองทัพขึ้นมานำทั้งหมด ซึ่งเขาตอบเราว่า เขาคงตอบสิ่งที่อยู่ในใจของนายอนุทินไม่ได้ แต่สามารถวิเคราะห์ได้ว่านายอนุทิน "รอทั้งชีวิตเพื่อจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และเขาก็อยากเป็นมาตลอด" ซึ่งเขาก็หวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าเขาจะได้รับที่นั่งมากพอให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสม และกลับไปเป็นนายกฯ อีกครั้ง ซึ่งกระแสแชตินิยมอาจช่วยเขาได้

ขณะที่มิติเรื่องการโอนอ่อนตามกองทัพนั้น เขาตอบว่า นับตั้งแต่ปี 2541 ที่เขาย้ายมาอยู่ไทย "นายกรัฐมนตรีพลเรือนเพียงคนเดียวที่ผมเคยเห็นว่าพยายามใช้อำนาจควบคุมกองทัพอย่างจริงจัง คือ ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าเราสามารถถกเถียงกันได้หลายอย่างเกี่ยวกับทักษิณ แต่ความพยายามนั้นก็ไม่ได้จบลงอย่างสวยงามนัก และก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของกองทัพไทย… ผมไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีไทยคนใดจะมีอำนาจควบคุมกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ"

"อนุทินมีอำนาจน้อยกว่าผู้บัญชาการทหารของไทย" เขาระบุเพิ่มเติม

https://www.bbc.com/thai/articles/cwyppxxj8p8o



ไหนว่าปิคนิค ไม่เห็นมีใครปูเสื่อกินส้มตำ ทีหลังอย่าทำ 😍



Atukkit Sawangsuk 
5 hours ago
·
ไปงานขอโทษ
ไม่ได้ซักไม่ได้ถามเพราะโพสต์ไปหมดแล้ว
ไม่ได้ฟังด้วยซ้ำ เพราะไปสาย
มัวแต่ทักทาย หลบไปสูบบุหรี่แป๊บ กลับมา อ้าว เขาเลิกกันแล้ว
ไม่ทันคุยอาจารย์ป๊อก หรือแกนนำ
มัวแต่นั่งเมาท์กับท็อป โตโต้ เท่าพิภพ
(ซึ่งบอกว่าไม่เป็น สส.ไม่เป็นผู้สมัครแล้ว น่าจะไปเป็นคอมเมนเตเตอร์ออกสื่อ )
:
คือยังไงก็ยืนยันไม่เห็นด้วยกับการโหวตอนุทิน
และมันพิสูจน์แล้วว่าตัดสินใจผิด
มันไม่ใช่แค่ขอโทษที่ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ
ต้องขอโทษที่โหวตอนุทิน
(แม้ไม่ได้แปลว่างั้นต้องโหวตชัยเกษม)
แต่ก็รู้ว่ามีบางเรื่องที่พูดได้ไม่เต็มปาก
(เช่น ดีลกับอนุทินมันมีข้อตกลงว่า สว.จะโหวตให้ พรรคส้มจึงตัดสินใจโหวตอนุทิน โดยหวังว่าจะแก้รัฐธรรมนูญได้บ้าง แต่มันไม่อยู่ใน MOA เลยพูดไม่ได้)
:
สำหรับผม ก็คือโอเค ไปต่อด้วยกัน แต่มีอะไรก็ต้องวิจารณ์กันต่อ ไม่ใช่แบกนี่หว่า
แม้ขอโทษไม่หมด แต่คงตระหนักกันบ้างแล้วละ
ว่าที่บรรดากัลยาณมิตร ผู้ปรารถนาดี ผู้ที่เคยแนะนำสนับสนุน พากันเตือนในตอนนั้น ล้วนเตือนถูก แต่คณะนำเชื่อมั่นการตัดสินใจของตัวเอง จนใครทักท้วงก็เหมือนชนก้อนหิน
น่าจะเป็นบทเรียนว่า ทีหลังอย่าเป็นแบบนี้อีก

https://www.facebook.com/baitongpost/posts/25407200492268440





อีกไม่กี่วันแล้ว Obamacare health subsidy to end at the end of this year. Here is a complete compilation of 10 years of Trump’s promises of a healthcare plan. A real NATO - No action Talk only







https://x.com/odinikaeze/status/1999607442250903909



 

Ebstien file ล่าสุด Newly released photos from the House Committee on Oversight Democrats show Jeffrey Epstein with multiple high-profile figures like Trump and Bannon.

https://www.facebook.com/reel/1547044236505931

https://www.facebook.com/reel/1914527755791545







 

สื่อต่างขาติพูดถึงการยุบสภาครั้งนี้ Anutin plays military nationalism card to boost election hopes (Nikkei Asia) ขณะที่ Japan Time บอกว่า The conservative establishment may still seek to suppress the People's Party, allowing another coalition to take shape, Bhumjaithai and Pheu Thai


https://www.japantimes.co.jp/news/2025/12/12/asia-pacific/politics/thailand-snap-poll-analysis/

Thailand's third prime minister since August 2023, Anutin launched stimulus measures in an economy struggling with household debt, weak consumption and a strong currency.

But the shrewd political operator has also faced criticism on issues such as fighting catastrophic southern floods last month.

Even a patriotic boost may not translate into a clear majority for Anutin in the upcoming poll, however, which could bring more political instability, analysts said.

The conservative establishment may still seek to suppress the People's Party, allowing another coalition to take shape, said Titipol, pointing to Bhumjaithai's 2023 backing for Pheu Thai's bid to take power.

"I don't think we can rule out the possibility of a reunion between Bhumjaithai and Pheu Thai," he said.
.....





 

ปฎิบัติการสงครามข้อมูลข่าวสารของกัมพูชา เริ่มแล้ว รับบทเป็นยูเครนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เบลมไทยเป็นคนคลั่งสงครามแบบรัสเซีย





https://x.com/karnnikro/status/1999728698564706344


 

เงินเปื้อนเลือดจากขบวนการสแกมเมอร์ระดับโลก กำลังถูกฟอกให้สะอาดในประเทศไทย ตั้งแต่ร้านอาหารปลอมๆ ยันบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ไปจนถึงตลาดหุ้น กองทุน และแม้แต่ทองคำ ทุกอย่างกำลังกลายเป็นเครื่องซักเงินขนาดใหญ่ของเครือข่ายอาชญากร ชมคลิป


ไทยเป็นศูนย์กลางฟอกเงินโลก? ล้างเงินเลือดผ่านหุ้น กองทุน และทองคำ | KEY MESSAGES #231

The Standard

Dec 12, 2025 
KEY MESSAGES

เงินเปื้อนเลือดจากขบวนการสแกมเมอร์ระดับโลก กำลังถูกฟอกให้สะอาดในประเทศไทย ตั้งแต่ร้านอาหารปลอมๆ ยันบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ไปจนถึงตลาดหุ้น กองทุน และแม้แต่ทองคำ ทุกอย่างกำลังกลายเป็นเครื่องซักเงินขนาดใหญ่ของเครือข่ายอาชญากร

กัมพูชาเป็นประเทศที่มีเครือข่ายสแกมเมอร์มากกว่า 60 แห่ง ที่มูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลกรวมแล้วมากถึงหลักล้านล้านบาท และตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเอาเงินเปื้อนเลือดและน้ำตาของเหยื่อจำนวนมาก มาฟอกให้สะอาดในประเทศไทย

แก๊งหลอกลวงจะต้องฟอกเงินด้วยวิธีต่างๆ แต่คำถามคือทำไมพวกเขาถึงเข้ามายังระบบตลาดหุ้นและกองทุนไทยได้อย่างง่ายดาย และจริงหรือไม่ที่ตอนนี้เรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางการอำนวยความสะดวกต่อการฟอกเงินระดับโลก?

สำรวจความฉ้อฉลและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเราทุกคนได้ในรายการ KEY MESSAGES

เรื่อง: ตรีนุช อิงคุทานนท์
ตัดต่อ: ธนวัฒน์ กางกรณ์

00:00 เริ่มรายการ
00:48 ล้างเงินเลือด ให้กลายเป็นเงินสะอาด
05:53 มหากาพย์ฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นและกองทุนไทย
14:36 ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินโลก?

https://www.youtube.com/watch?v=CIbiyugaj2M
https://x.com/thestandardth/status/1999706010450296982