วันอังคาร, กันยายน 09, 2568

แยกเวลา แยกศัตรู แยกมิตร โคตรของ Strategic grace ไทยๆ - กลยุทธ์แบบเซียนเหยียบเมฆไร้ร่องรอย ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้


'ปราย พันแสง
Yesterday
·
ขนลุกไปเลยสิ ตอนเช้าพรรคเพื่อไทยส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ตอนบ่ายคุณหญิงส่งช่อดอกไม้ร่วมยินดีไปให้

แยกเวลา แยกศัตรู แยกมิตร
โคตรของ Strategic grace ไทยๆ
กลยุทธ์แบบเซียนเหยียบเมฆไร้ร่องรอย
ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้

ปกติมนุษย์มนาแล้ว
ช่อดอกไม้คือสื่อแทนใจคือไมตรี
มันไม่มีใครส่งดอกไม้ราคาแพงไปให้ใคร
โดยที่ในใจไม่คิดไม่รู้สึกอะไรเลยหรอก
โดยเฉพาะช่อดอกไม้จากคุณหญิงพจมาน
ในสถานการณ์การเมืองแบบนี้
น่าจะผ่านการคิดมาเยอะมาก



วันนี้ทุกสื่อตีข่าว คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ คนที่ 32 เป็นการเริ่มทำงานของรัฐบาลใหม่อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางผู้คนมากมายร่วมแสดงความยินดีคับคั่ง

ในท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น มีช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ท่วมหัวของ‘คุณหญิงอ้อ’พจมาน ดามาพงศ์ส่งมาร่วมยินดีด้วย สื่อพากันถ่ายรูปมาลงพรึ่บพรั่บ

The Standard เคยเรียกคุณหญิงอ้อว่าเป็น The Prime Minister-Maker หมายถึงผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างหรือสนับสนุนให้คนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งสูงสุดในระบบนิเวศน์การเมืองหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณ ชินวัตร,คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์,คุณเศรษฐา ทวีสินรวมถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ลูกสาวของเธอเอง คุณแพทองธาร ชินวัตร

ฉายานี้บอกถึงมุมมองสื่อที่เห็นว่าคุณหญิงอ้อมีอิทธิพลและบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการเมืองของตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก

เอาจริงแล้ว แม้แต่คุณอนุทิน นายกฯ คนใหม่แกะกล่องวันนี้ คุณหญิงอ้อก็ถือว่ามีส่วนได้ “สร้าง” ขึ้นมาด้วยเช่นกัน การจะส่งดอกไม้ไปร่วมยินดีวันนีัจึงไม่ใช่เรื่องแปลก



ความสัมพันธ์ระหว่างคุณอนุทิน ชาญวีรกูล กับตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะกับคุณทักษิณ, คุณยิ่งลักษณ์ รวมถึงคุณแพทองธาร“อดีตนายกฯ”หมาดๆ นี้เป็นความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ซับซ้อน

มีทั้งช่วงเวลาที่หวานชื่นเป็นพันธมิตร
และช่วงเวลาที่ขัดแย้งไล่ล่า

ในอดีต คุณอนุทินเคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ซึ่งก่อตั้งและนำโดยคุณทักษิณ โดยในช่วงปี 2547-2549 คุณอนุทินดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลของคุณทักษิณด้วย

นอกจากนี้ คุณอนุทินยังเคยเป็นผู้ประสานให้คุณทักษิณพบปะกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ผู้นำรัฐประหารปี 2549 ที่โค่นคุณทักษิณ) ในต่างประเทศราวปี 2555 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ยังคงมีอยู่ในระดับหนึ่งแม้หลังรัฐประหาร

หลังพรรคไทยรักไทยถูกยุบในปี 2550 คุณอนุทินถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี แต่ต่อมาพรรคภูมิใจไทยมีสมาชิกจำนวนมาก (ราว 80%) ที่มาจากอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยหรือเครือข่ายตระกูลชินวัตร ซึ่งคุณอนุทินเคยกล่าวถึงความสัมพันธ์นี้ในปี 2566 ว่าเป็นทั้งระดับส่วนตัวและทางการเมือง

ในปี 2562 หลังเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยเคยเสนอชื่อคุณอนุทินเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในแนวร่วมฝ่ายค้าน แม้สุดท้ายจะไม่เกิดขึ้นจริง



หลังเลือกตั้งปี 2566 พรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาลผสมกับพรรคเพื่อไทย นำโดยคุณแพทองธาร คุณอนุทินดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี 2566 จนถึงมิถุนายน 2568

การร่วมงานไม่ราบรื่น มีความขัดแย้งเรื่องนโยบาย เช่น พรรคเพื่อไทยต่อต้านการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ (ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคภูมิใจไทย) รวมถึงนโยบายปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ในการดูแลของกระทรวงมหาดไทยที่คุณอนุทินคุมอยู่ทำงานล่าช้า จนคุณอุ๊งอิ๊งบ่นผ่านสื่อว่าสั่งแล้วสั่งอีกก็ยังไม่ทำ

วงการเมืองรับรู้ทั่วกันว่ามีรอยร้าวเกิดขึ้นแล้ว จนในเดือนมิถุนายน 2568 หลังมีคลิปเสียงหลุดระหว่างคุณแพทองธารกับสมเด็จฮุนเซน รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยลาออก และพรรคถอนตัวจากรัฐบาลผสม ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยเหลือเสียงข้างมากแบบฉิวเฉียด

คุณอนุทินให้สัมภาษณ์ว่าความสัมพันธ์กับคุณทักษิณ “ไม่เหมือนเดิม” แล้ว เพราะหาก “รักกันจริง” คุณทักษิณคงไม่ยึดคืนเก้าอี้รัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญของเขาและตอนนั้นพรรคภูมิใจไทยเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นอกจากนี้ คุณอนุทินยังเคยปกป้องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับฮุนเซน โดยยืนยันว่าจะยังไงก็ไม่มีทางเหนือกว่าอธิปไตยชาติ



หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดถอนคุณแพทองธาร จากตำแหน่งนายกฯ เมื่อ 29 สิงหาคม 2568 ด้วยข้อหาผิดจริยธรรม คุณอนุทินแข่งขันชิงตำแหน่งนายกฯ กับนายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกจากรัฐสภาเมื่อ 5 กันยายน 2568 ด้วยคะแนนท่วมท้น โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชน และกลุ่มอำนาจเก่า ทำให้พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นแกนนำรัฐบาล เป็นการยุติอิทธิพลของตระกูลชินวัตรและตัวคุณอนุทินก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกฯรัฐมนตรีแทนอย่างที่เห็นกันในวันนี้



การที่คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์
ส่งดอกไม้ช่อใหญ่ไปร่วมแสดงความยินดี
กับคุณอนุทินในวันนี้
แสดงให้เห็นถึงการเล่น‘การเมือง’
ที่่โคตรจะชาญฉลาด
คุณหญิงอ้อมีประสบการณ์ผ่านมิตรผ่านศัตรู
ในแวดวงการเมืองไทยมายาวนาน
จึงรู้จักรักษาสัมพันธ์และเปิดประตู
สำหรับการเจรจาในอนาคต
แม้ในสถานการณ์ที่ตนเองเสียเปรียบ
อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

ช่อดอกไม้ของคุณหญิงอ้อ
จึงเป็นตัวแทนของ political sophistication
ความซับซ้อนทางการเมือง
ที่ต้องใช้ทั้งสติปัญญาที่ลุ่มลึก
และจิตใจที่แข็งแกร่ง​​​​​​​​​​​​​​​​มาก



การกระทำแบบนี้แสดงถึงระดับของความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงมาก มันเป็นความแกร่งที่ต้องใช้สติกำกับอารมณ์อย่างยิ่งยวด ไม่ให้ความขมขื่นหรือความโกรธครอบงำ

มันผ่านคิดระยะยาว มองเกมใหญ่แทนที่จะติดอยู่กับความเจ็บปวดชั่วขณะ เป็นยอมรับสภาพความจริง รับรู้สถานการณ์ใหม่โดยไม่ปฏิเสธหรือต่อต้าน เป็นการปรับตัว เปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะกับสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมน่าศึกษาอย่างยิ่ง

’ปัญญา’ที่ซ่อนอยู่ในช่อดอกไม้นี้ บอกให้เรารู้ว่าการแสดงความขัดแย้งจะไม่ช่วยอะไร เป็นความเข้าใจว่าการรักษาสัมพันธ์เป็นการลงทุนระยะยาว เห็นภาพใหญ่ที่ว่าการเมืองเป็นเกมที่ยาวนาน มีขึ้นมีลงเป็นปกติวิสัย

คุณหญิงพจมานแสดงให้เห็นว่าเธอเป็น “grandmaster” ในเกมการเมือง รู้จักเสียเล็กเพื่อได้ใหญ่ รู้จักถอยเพื่อจะได้เดินหน้าในเวลาที่เหมาะสม

นี่คือเหตุผลสำคัญที่เธอได้รับสมญานามเรียกว่า “The Prime Minister-Maker”เพราะเธอเล่นเกมนี้ด้วยสติปัญญาและความยาวไกล ไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่วขณะ

การกระทำครั้งนี้อาจดูเป็นแค่การส่งดอกไม้
แต่จริงๆ แล้วเป็นการแสดงพลังที่จริงแท้
นั่นคือพลังของการควบคุมตัวเองยิ่งยวด
พลังจากการมองการณ์ไกล
สำหรับเกมที่ดูท่าว่าจะไปต่ออีกยาวๆ



นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
ของ political genius
ที่เรียกได้ว่าเป็น “masterclass”
ในการเล่นการเมืองระดับสูงสุด!

ก็อย่างที่บอก ช่วงเช้าพรรคเพื่อไทยยื่นฟ้องร้องคุณอนุทิน ช่วงบ่ายคุณหญิงอ้อส่งดอกไม้แสดงความยินดี ดูดีๆ เราจะเห็นเลยว่านี่คือการแยกระดับการเล่น

เลเวล 1 คือพรรคการเมือง ต้องทำหน้าที่ต่อสู้ป้องกันผลประโยชน์ ฟ้องร้องเมื่อเห็นว่าผิดกฎหมาย

เลเวล 2 เป็นระดับครอบครัวหรือส่วนบุคคล คุณหญิงพจมานเล่นในระดับที่สูงกว่า เธอมองเห็น big picture ที่ว่าการเมืองมีขึ้นมีลง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสำคัญกว่า

ช่อดอกไม้นี้ส่งสัญญาณว่า “เรื่องของพรรคเป็นเรื่องของพรรค แต่ในระดับส่วนตัวเราไม่มีปัญหาใดต่อกัน”เป็นการเปิดช่องทางสำหรับการเจรจาในอนาคต

แสดงให้เห็นว่าเธอเล่นเกมในระดับที่สูงกว่าการต่อสู้แบบผิวเผิน ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือ“พรรคจะฟ้องร้องก็ฟ้องไป แต่เรายังเคารพกันในฐานะนักการเมือง และพร้อมทำงานร่วมกันเมื่อเวลาเหมาะสม”



ในแวดวงการเมือง ธุรกิจ หรือการงานใดๆ เวลาใครพูดถึงกลยุทธ์ระดับสูง มักจะมีการพ่วงคำว่า “กุนซือ” หรือที่ปรึกษามากประสบการณ์คอยชี้ช่องให้

แต่สำหรับคุณหญิงพจมาน ช่อดอกไม้ของเธออาจจะไม่ได้มาจากกุนซือไหน แต่อาจจะเป็น innate wisdom ที่แท้จริงของเธอก็ได้

มันอาจจะเป็น‘ปัญญา‘ที่หล่อหลอมมาจากประสบการณ์ชีวิตยาวนาน บุคลิกภาพส่วนลึก และการเรียนรู้จากการผ่านร้อนผ่านหนาวมากมาย

ทำไมเราจึงคิดว่ามันมาจาก wisdom หรือสติปัญญาของเธอเองรู้มั้ย นั่นเพราะเราคิดว่า มันคงไม่มีกุนซือคนไหนกล้าแนะให้นางพญาของนายใหญ่ส่งดอกไม้ไปแสดงความยินดีกับคนที่เพิ่งโค่นล้มตัวเองจนเจ็บสาหัสขนาดนี้หรอก คงไม่มี

การทำอะไรแบบนี้
มันเป็นการตัดสินใจที่ต้องใช้ intuition
มากกว่าการคำนวณแบบคณิตศาสตร์
มันเป็นเรื่องของ “ความรู้สึก” ว่าควรทำ
มันสอดคล้องกับบุคลิกเธอ
ที่มีคนมักจะพูดกันว่า
“นิ่ง แต่เด็ดเดี่ยว”

นี่เป็นระดับของ emotional mastery
ที่ไม่สามารถสอนกันได้
มันต้องมาจากข้างในเท่านั้น

คุณหญิงพจมานเคยผ่านร้อนหนาวมาหลายทศวรรษแล้ว จากสตรีหมายเลข 1 ภรรยานายกฯ มาเป็นคนต้องรับมือกับรัฐประหาร การหย่าร้าง การถูกฟ้องร้อง การลี้ภัย มันมาจากความผิดพลาดบอบช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

ความเจ็บปวดและการเรียนรู้เหล่านี้
คงหล่อหลอมให้เธอเข้าอกเข้าใจ
ธรรมชาติของการเมืองไทยในระดับที่ลึกมาก
รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญ
อะไรเป็นแค่เสียงรบกวน

การส่งช่อดอกไม้ครั้งนี้
จึงเป็นการแสดงออก
ของสติ ของภูมิปัญญาสั่งสม
ที่น่าจะมาจากตัวของเธอเอง
ไม่ใช่จากคำแนะนำจากกุนซือ
ไม่ใช่จากคู่มือการเมืองเล่มไหน​​​​​​​​​​​​​​​​

มันคงมาจากหัวใจ มาจากประสบการณ์
มาจากการผ่านร้อนผ่านหนาว
รวมถึงความเจ็บปวดบอบช้ำ
จากความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
…ล้วนๆ

ตัวเธอเองที่เคยบอกว่าไม่อยากเล่นการเมืองเลย
อยากใช้ชีวิตคนรวย สบายๆ มาตลอด
ถึงตอนนี้คุณหญิงพจมานเองก็อาจจะยังงงไม่หาย
ว่าคุณทักษิณจะพลาดอะไรซ้ำซากได้ขนาดนี้



ปกติมนุษย์มนาแล้ว
มันไม่มีใครส่งดอกไม้ราคาแพงไปให้ใคร
โดยที่ในใจไม่คิดไม่รู้สึกอะไรเลยหรอก
โดยเฉพาะช่อดอกไม้จากคุณหญิงพจมาน
ที่เพิ่งเจอสภาพนายกฯ ลูกสาวเก้าอี้หลุด
ทักษิณโฉบขึ้นเครื่องบินหายตัวไปเมืองนอกอีกรอบ
ปล่อยพรรคเพื่อไทยระส่ำ
เหมือนใกล้แตกสาแหรกขาดแบบนี้
คุณหญิงพจมานต้องรับมือความผันผวน
ต้องปรับท่าทีขนาดว่าเช้าแบบหนึ่ง
บ่ายอีกแบบหนึ่งลักษณะนี้

ดอกไม้ช่อใหญ่ราคาแพงช่อนี้
มันน่าจะต้องผ่านกระบวนการคิดมาเยอะมาก

ในฐานะประชาชนคนไทย
ดอกไม้ช่อนี้มันอาจจะพลิกชะตาเรา
พลิกการเมืองเราได้อีกรอบ
หากเพื่อไทยและภูมิใจไทยกลับมาคุยกันใหม่
หวานชื่น เป็นพันธมิตรต่อกันได้อีก

ก็อย่างที่พวกเรารู้กัน
ในระบบการเมืองไทยมันเอาแน่เอานอนไม่ได้
จะไว้ใจคำมั่นสัญญาอะไรใครก็ไม่ได้หรอก
ทุกคนรู้ดีว่า‘ดีลใหม่‘มันเกิดขี้นได้ตลอด

และอาจจะเริ่มต้นจากดอกไม้ช่อนี้
ก็เป็นได้…

https://www.facebook.com/photo?fbid=1353515112800214&set=a.1046212803530448



ฝันร้ายของชาวไทยริมน้ำกก คือแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูหรือความเพิกเฉยของภาครัฐ?


8.09.2025
The Standard

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายในจังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมร้ายแรง จากปัญหาการปนเปื้อนของ สารหนู ซึ่งมีต้นตอมาจากการทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยสารพิษนี้ได้ไหลข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยและส่งผลกระทบในหลายด้าน

สารหนูดังกล่าวถูกใช้ในกระบวนการสกัดแร่จากเหมืองทองคำและโลหะในรัฐฉาน และได้ไหลปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำสายและแม่น้ำกกก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำโขง จากการตรวจสอบพบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำทั้งสองสายเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด และยังตรวจพบในตะกอนดินของแม่น้ำโขงด้วย

ผลกระทบจากการปนเปื้อนนั้นน่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศทางน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน การสัมผัสหรือบริโภคน้ำที่มีสารหนูในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น อาเจียน ปวดท้อง อาการชา และอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่างมะเร็งหรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ริมแม่น้ำ ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวซบเซาและผู้ประกอบการได้รับความเสียหาย

แม่น้ำกกอาจเป็นการอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม?

เมื่อถามว่าหลายคนอาจมองว่าแม่น้ำกกเป็นเพียงแค่ปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่ในความเป็นจริงนี่อาจเป็นการก่ออาชญากรรมสิ่งแวดล้อมใช่หรือไม่ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า “แล้วแต่ว่าเราจะมองมุมไหน” พร้อมชี้ให้เห็นว่า การจะระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมหรือไม่นั้น ต้องดูเทียบกับการทำผิดกฎหมาย แต่เนื่องจากเราไม่ทราบกฎหมายของประเทศเมียนมาว่าผู้ประกอบการต้องดูแลสิ่งแวดล้อมหรือมีการควบคุมอย่างไรบ้าง เราจึงไม่สามารถชี้ชัดได้

อย่างไรก็ตาม เพ็ญโฉมกล่าวว่า เมื่อมองในมิติของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำกก ตลอดจนแม่น้ำสาย แม่รวก แม่น้ำโขง และแม่น้ำอีกสายที่เพิ่งตรวจพบ ซึ่งรวมทั้งหมดเป็น 5 สายแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมีขนาดใหญ่และรุนแรงมาก

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีกฎหมายควบคุมในพื้นที่ต้นกำเนิด ซึ่งอยู่ในเขตของกลุ่มว้าแดง

“กลุ่มว้าแดงเป็นกลุ่มคนที่ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเมียนมา เป็นกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งตรงนี้ไม่มีกฎหมายของประเทศใดที่จะเข้าไปควบคุมเขาได้ เพราะเขาไม่ยอมรับการปกครองของประเทศที่อ้างว่าเป็นผู้ปกครอง จึงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมที่ละเมิดกฎหมายเหล่านั้น” เพ็ญโฉมกล่าว

เพ็ญโฉม ชวนมองในมุมที่ต่างออกไปว่า “หากมองในเชิงหลักการสากล การทำเหมืองแร่ที่มีการใช้สารเคมีและก่อให้เกิดผลเสียปริมาณมาก การกระทำของเขาเป็นภัยคุกคามต่อธรรมชาติ สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง”

นักวิชาการยอมรับการปนเปื้อน ‘แม่น้ำกก’ รุนแรงอย่างมาก

เพ็ญโฉม เปิดเผยว่า ในสายตาของนักสิ่งแวดล้อม รวมถึงนักวิชาการที่มีความรู้เรื่องสารพิษ ทุกคนก็ยอมรับว่าร้ายแรง เนื่องจากมลพิษที่เป็นสาเหตุของการปนเปื้อน ทั้งสารหนูและโลหะหนักอื่นๆ สามารถสร้างผลกระทบต่อร่างกายของคนเราได้

เมื่อสารหนูมีค่าเกินมาตรฐานและปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำและดิน หากเกิดการสะสมเป็นเวลานาน และคนหรือสัตว์สัมผัสบ่อยครั้ง อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

เพ็ญโฉม ย้ำว่า การปนเปื้อนสารหนูอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งผิวหนังจำนวนมากในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หรืออาจทำให้สัตว์น้ำในแม่น้ำเกิดความผิดปกติทางผิวหนังและระดับยีน

ตรวจสอบไม่พบการปนเปื้อน ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย

แม้มีการตรวจสอบแม่น้ำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าวางใจได้ เพ็ญโฉม ระบุว่า เวลาที่สารอันตรายอยู่ในสิ่งแวดล้อม เราไม่สามารถชี้ชัดและฟันธงได้ง่าย เนื่องจากสารจากการทำเหมืองมีจำนวนมาก และหากเกิดการสะสมในสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจนก่อให้เกิดความผิดปกติ

พร้อมกล่าวต่อว่า บางคนมองว่าอาจเป็นการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตร คุณเพ็ญโฉมชวนตั้งข้อสังเกตว่า “ถ้าลักษณะที่เกิดขึ้นมาจากสารเคมีทางการเกษตร ความผิดปกติก็น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ด้วย แต่ทำไมพื้นที่นี้จึงมีลักษณะที่เข้มข้นกว่า และพื้นที่อื่นๆ ไม่ได้มีปลาที่มีลักษณะผิดปกติเหมือนกับพื้นที่นี้ ทั้งที่มีการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรเหมือนกันทั่วประเทศ”

สำหรับกรณีของปลาแค้ที่มีความผิดปกติ อาจไม่ได้เกิดจากสารหนูโดยตรง แต่การได้รับสารหนูเข้าไปอาจทำให้ภูมิคุ้มกันของปลาอ่อนแอลง จนไม่สามารถดำรงสภาพปกติได้ตามธรรมชาติ ดังนั้น สารหนูอาจเป็นสาเหตุโดยตรงหรือเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วยและความผิดปกติที่เกิดขึ้น

ชาวบ้านริมแม่น้ำกก อาจกลายเป็นคนยากจนจากภัยธรรมชาติ

เมื่อถามถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมแม่น้ำกก เพ็ญโฉม กล่าวว่า “ในสภาวะนี้ทุกคนก็เครียด คนที่มีชีวิตพึ่งพิงและอาศัยอยู่กับแม่น้ำ ทั้งการประมง การเกษตร หรือการท่องเที่ยวที่ใช้ความสวยงามของแม่น้ำได้รับความเดือดร้อนกันทั้งหมด พวกเขาขาดรายได้ คนทำการเกษตรก็เครียดว่า พืชผลที่ปลูกจะรับประทานได้ไหม กินแล้วจะปลอดภัยไหม หรือส่งไปขายที่อื่นจะบาปไหม”

พร้อมมองว่า การปนเปื้อนของแม่น้ำทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจ และอาจทำให้ชาวบ้านริมแม่น้ำกลายเป็นผู้ที่อยู่ในสถานะคนยากจนจากภัยธรรมชาติ

เพ็ญโฉม ย้ำว่าทุกคนกำลังอยู่ในภาวะเครียดและกังวล หากเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยเร็ว ความเครียดอาจทำให้คนจำนวนมากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีภาวะทางจิตไม่ปกติ และอาจมีความเคียดแค้นได้ อาจกลายเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน หรือจากคนที่มีฐานะดีอาจกลายเป็นคนยากจนรูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่เห็นมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากภาครัฐในเรื่องนี้เลย

ไทย-เมียนมา-จีน ความรับผิดชอบที่ถูกเพิกเฉย

การเคลื่อนไหวของประเทศเมียนมา เพ็ญโฉม กล่าวว่า “ทางเมียนมาอ้างว่าเขาไม่สามารถควบคุมว้าแดงได้” ดังนั้น จึงไม่สามารถจัดการการทำเหมืองในรัฐฉานซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดการใช้สารเคมีได้ เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มว้าแดง เหมือนเป็นการปฏิเสธทางอ้อมว่าไม่สามารถช่วยแก้ไขเรื่องนี้ได้

พร้อมกล่าวว่า ความพยายามของรัฐบาลไทยยังน้อยเกินไป เพราะเรื่องนี้ไม่ควรอยู่แค่ในระดับหน่วยงานหรือองค์กรของกระทรวง แต่ควรเป็นระดับของรัฐบาลต่อรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาแก้ไข เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ข้ามพรมแดน เกินกว่าอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอย่างกรมควบคุมมลพิษที่จะเข้ามาดำเนินการในการแก้ไขปัญหา

ในส่วนของประเทศจีน เพ็ญโฉม กล่าวว่าสถานทูตจีนในประเทศไทยและเมียนมาทราบเรื่องนี้แล้ว รวมถึงรัฐบาลจีนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังคงมีท่าทีเพิกเฉย เพราะจีนไม่ได้ปกครองเมียนมาและยังได้ประโยชน์จากการทำเหมือง

เพ็ญโฉม ย้ำถึงการทำงานของภาครัฐว่า “ถ้าหากรัฐบาลไม่ดำเนินการอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหา ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลทอดทิ้งเรื่องนี้ เพราะในปัจจุบันรัฐบาลก็ทอดทิ้งเรื่องนี้อยู่”

ทางออกและสิ่งที่ต้องการจากทุกภาคส่วน

เพ็ญโฉม เสนอว่าควรมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และที่สำคัญต้องมีการพูดคุยว่าควรมีใครบ้าง ทั้งรัฐบาลไทย เมียนมา จีน และกองกำลังว้าแดง เพื่อมาเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน

นอกจากนี้ เน้นย้ำอยากให้ประชาชนทั่วไปตระหนักว่า “ปัญหาแม่น้ำกกไม่ใช่เรื่องไกลตัว” เพราะแม้ผลกระทบจะเกิดขึ้นในภาคเหนือ แต่พืชผลทางการเกษตรอาจกระจายไปทั่วประเทศ รวมถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในเชียงใหม่และเชียงรายที่ทุกคนคุ้นเคย หากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขอาจลุกลามไปถึงแม่น้ำโขงและกระทบต่อหลายจังหวัดในภาคอีสาน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชา ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศ

พวกเราทุกคนควรมีความรู้สึกร่วมต่อความเดือดร้อนของพี่น้องทางภาคเหนือ เพราะความเดือดร้อนที่เกิดจากมลพิษข้ามแดนเป็นเรื่องใหญ่ และโอกาสที่จะฟื้นฟูนั้นทำได้ยาก การกอบกู้ระบบนิเวศทั้งพื้นดิน แม่น้ำ และน้ำใต้ดิน เมื่อเกิดการปนเปื้อนแล้วยากที่จะฟื้นฟูและกำจัดมลพิษให้หมดไป

ดังนั้น อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพ็ญโฉมกล่าวว่า “ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเสียงของประชาชนทุกคนที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหา” เพราะพวกเราทุกคนมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยทั้งทางตรงและทางอ้อม

สุดท้ายนี้ เพ็ญโฉม กล่าวทิ้งท้ายว่าการทำเหมืองแร่ในรัฐฉานของเมียนมา แม้จะไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ในประเทศของเขา แต่ในหลักการสากลแล้วเป็นการกระทำที่ละเลยความรับผิดชอบต่อมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ถือเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่เรายังไม่มีกฎหมายที่จะใช้จัดการได้ในปัจจุบัน

https://thestandard.co/kok-river-arsenic-contamination/


ชาวบ้าน จ.เพชรบุรี พบปลาหมอคางดำ ขนาด 4-6 ซม. จำนวนหลายหมื่นตัว ลอยอยู่บนผิวน้ำ บริเวณคลองชุมชนปากคลองหลังวัดเนรัญชาราม





 https://x.com/ThaiPBS/status/1965094322195628536



ศาลฎีกาไม่ให้ประกัน คดีขบวนเสด็จ ม.110 เอกชัย บุญเกื้อหนุน ตัน สุรนาถ พวกเค้า น่าจะอยู่คุกยาวรอต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิ์มนุษยชน บอก ประวิตร โรจนพฤกษ์ ว่า ในชั้นฎีกาจะใช้เวลา 1-2 ปี กว่าจะตัดสิน


Pravit Rojanaphruk 
10 hours ago
·
(English below)
เอกชัย หงส์กังวาน กับ #ฟราสซิสบุญเกื้อหนุน และอีก 3 คน น่าจะอยู่คุกยาวรอต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา หลังไม่ได้รับการประกัน >คนเหล่านี้ ออกมาเมื่อไหร่คงมิได้มีทัศนคติดีต่อสถาบันกบัตริย์ พวกเขาคือเหยื่อกฎหมายล้าหลังอันโหดเหี้ยมรุนแรงไม่สมสัดสัดสวน ในบ้านเรา โทษข่มขืนแค่ 15-20 ปี นี่เอกชัยโดน 21 ที่เหลืออีก 4 คนละ 16 ปี
ความยุติธรรมและเสมอภาคในสังคมอยู่ไหน?
ปล. ทางศูนย์ทนายเพื่อสิทธิ์มนุษยชน บอกผมว่า ในชั้นฎีกาจะใช้เวลา 1-2 ปี กว่าจะตัดสิน และไม่มีการเรียกพยานเพิ่ม
#ป #ม110
​Ekachai Hongkangwan, Francis Boonkuenun, and three others are likely to remain in prison while awaiting their Supreme Court case, after their bail was denied today. These individuals, whenever they are released, probably won't have a positive view of the monarchy. They are victims of a cruel, disproportionate, and outdated law. In our country, the sentence for rape is only 15-20 years, while Ekachai received 21 years and the other four received 16 years each.
Where is justice and equality in Thai society?
--
From Khaosod English: The Supreme Court on Monday has ordered the denial of bail for 5 defendants in the Article 110 case of "obstructing a royal motorcade" and "assaulting the Queen's liberty." The court stated that if released on temporary bail, they may flee.
Former prisoner of conscience Ekachai Hongkangwan received the maximum sentence of 21 years and 4 months, while the four others were handed 16 years of prison term each.
Read @PravitR's comment here: khaosodenglish.com/opinion/2025/0
#Thailand #ม110
#M110

https://www.facebook.com/photo?fbid=4321434018084416&set=a.1560000437561135
.....


May Poonsukcharoen
14 hours ago
·
ศาลฎีกาไม่ให้ประกัน คดีขบวนเสด็จ ม.110 เอกชัย บุญเกื้อหนุน ตัน สุรนาถ
.
พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ให้จำคุกและเพิ่มโทษ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 21 ปี 4 เดือน และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีกำหนดคนละ 16 ปี หากปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งห้าอาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยทั้งห้าชั่วคราวในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง
.
เพิ่มเติม มีข้อสังเกตว่าศาลพิจารณาจากข้อหาพฤติการณ์ในคดีและศาลอุทธรณ์ลงโทษ แต่ไม่ได้พิจารณาจาก "พฤติการณ์ของจำเลย" ว่าทั้งห้าคนไม่ได้มีพฤติกาณ์จะหลบหนีเลย
.
ในชั้นจับกุมเอกชัยและสุรนาถ (มอบตัวไม่ทัน)โดนขังอยู่สิบกว่าวันก่อนได้รับประกันตัวในชั้นสอบสวน และได้รับสิทธิในการประกันตัวมาตลอดจนศาลชั้นต้นยกฟ้อง ส่วนบุญเกื้อหนุนและอีกสองท่านก็ไปมอบตัวเองและได้รับการประกันตัวมาตลอด
.
ถ้าพิจารณาจากพฤติการณ์ในคดี ข้อหา และคำพิพากษาที่ยังไม่สิ้นสุดโดยที่ไม่ได้พิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยจริงในคดีเลยจะมี หลักสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ไปทำไม


https://www.facebook.com/photo?fbid=4321434018084416&set=a.1560000437561135
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10163101631687943&set=a.494784012942



ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ประกันตัว 'ลูกเกด - ชลธิชา’ สส.พรรคประชาชน คดี ม.112 หลักทรัพย์ 3 แสนบาท พร้อมสั่งห้ามออกนอกประเทศ - 'ลูกเกด - ชลธิชา’ โพสต์ขอบคุณ ประชาชน, ทนายความ, สถานทูต, เพื่อนๆคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน, เพื่อน สส.ไทย และ สส.ต่างประเทศที่ติดตามคดีความอย่างใกล้ชิด

 





Lookkate - Chonthicha Jangrew
@LookkateChonth1

วันนี้ ดิฉันขอขอบคุณประชาชนทุกคน, ทนายความ, สถานทูต, เพื่อนๆคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน, เพื่อน สส.ไทย และ สส.ต่างประเทศที่ติดตามคดีความอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งส่งข้อความให้กำลังใจมาให้อย่างต่อเนื่อง

แม้ดิฉันจะได้ประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์คดี แต่น่าเศร้าค่ะ ที่ยังคงมีนักโทษทางการเมืองอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวเพื่อออกมาต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม

ในระหว่างที่นั่งรอคำสั่งประกันตัวใต้ถุนศาล ดิฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ต้องขังท่านอื่นที่ออกมาศาล เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ข้างในเรือนจำ ปัญหาเรื่องความแออัดในเรือนจำยังคงเป็นปัญหาหลักค่ะ และสาเหตุหลักก็มาจากการที่มีผู้ต้องขังจำนวนมากไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีความ ทำให้ผู้ต้องขังในส่วนของแดนแรกรับ หรือแดนระหว่างพิจารณาคดีอยู่กันอย่างแออัด หนึ่งในเสียงสะท้อนถึงปัญหาเรื่องนี้ที่ชัดเจนคือ “ราวตากผ้าของผู้ต้องขังไม่เคยเพียงพอ ต้องตากผ้าติดๆกัน ทำให้ผ้าแห้งยาก ยิ่งช่วงหน้าฝน ผ้ายิ่งไม่แห้ง พอต้องใส่เสื้อผ้าเปียกๆก็มีปัญหาโรคผิวหนังตามมาอีก”

ในช่วงที่ผ่านมา ดิฉันและเพื่อน สส.พรรคประชาชน ได้เสนอร่างแก้ไขกฎหมายว่าด้วยสิทธิประกันตัว เพื่อคืนสิทธิขั้นพื้นฐาน คืนหลักการว่าด้วย “สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษา” ให้กับประชาชนทุกๆคน ร่างกฎหมายฉบับนี้จ่อคิวเข้าพิจารณาในสภาเรียบร้อยแล้วค่ะ กฎหมายฉบับนี้จะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยแก้ไขปัญหาความแออัดในเรือนจำ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่แดนระหว่างพิจารณาคดี ไม่ใช่แดนสำหรับคดีสิ้นสุดแล้ว

นอกจากนั้น เรายังกำลังช่วยกันผลักดันเรื่องของการปฏิรูปเรือนจำ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังและนักโทษทุกคนจะได้รับการปฏิบัติโดยการเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ได้รับการอบรมปรับปรุงพฤตินิสัยที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยยุคทันสมัย เพื่อเตรียมความพร้อมให้พวกเขาในการกลับคืนสู่สังคมเมื่อพ้นโทษแล้ว และที่สำคัญอีกเรื่อง คือเรื่องของการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ปัญหาคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตใจของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกๆคน เพื่อดิฉันเชื่อว่า หากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีความพร้อม การดูแลผู้ต้องขังและนักโทษก็จะดีขึ้นด้วย ดังนั้น ดิฉันจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแน่นอนค่ะ

ท่านใดที่สนใจขับเคลื่อนเรื่องนี้ มาช่วยกันนะคะ และดิฉันจะทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎรเพื่อผลักดันวาระ “สิทธิมนุษยชน” อย่างเต็มที่จนวินาทีสุดท้ายค่ะ

ลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน

ผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน

https://x.com/LookkateChonth1/status/1965027436439216378



สิ่งที่คำผกา "เล่น" อยู่ มันคือ Moral Blackmail "ฝ้ายก้าวหน้า" ว่าเออ กูจะพูดอะ ยังไงมึงก็ไม่ฟ้องกู คือถ้ามึงฟ้องกู เดี๋ยวเพื่อนๆ มันก็จะด่ามึง อยากให้สังเกตว่าคำผกาไม่ได้ด่า "ฝ่ายอนุรักษ์นิยม" ในระดับอะไรพวกนี้เท่าไร ซึ่งถ้าสงสัยว่าทำไม ลองดูคลิปนี้ครับ"

https://www.facebook.com/quoteV2/posts/1214275667394860
วิวาทะ V2 
5 hours ago
·
"ไอ้เรื่องคำผกาทำนี่ ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม "Hard Fact" คือสิ่งที่คำผกาทำมัน "ไม่ผิดกฎหมายไทย" หรืออย่างน้อยคือโดยทั่วไปก็ไม่มีใครสนับสนุนให้ "ฟัอง"
และนี่แหละ สิ่งที่คำผกา "เล่น" อยู่ มันคือ Moral Blackmail "ฝ้ายก้าวหน้า" ว่าเออ กูจะพูดอะ ยังไงมึงก็ไม่ฟ้องกู คือถ้ามึงฟ้องกู เดี๋ยวเพื่อนๆ มันก็จะด่ามึง
อยากให้สังเกตว่าคำผกาไม่ได้ด่า "ฝ่ายอนุรักษ์นิยม" ในระดับอะไรพวกนี้เท่าไร ซึ่งถ้าสงสัยว่าทำไม ลองดูคลิปนี้ครับ"
- มิตรฯ






บีบีซีไทยสรุป 10 เรื่องน่าสนใจ "คดีชั้น 14" ที่จำเลยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร



บีบีซีไทยสรุป 10 ประเด็นน่าสนใจใน "คดีประวัติศาสตร์"

ก่อนถึงวันตัดสิน "คดีประวัติศาสตร์" บีบีซีไทยขอสรุปเกร็ดน่าสนใจและบรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีที่ 1 ภายในศาลฎีกา สนามหลวง ซึ่งบีบีซีไทยเข้าร่วมรับฟังและสังเกตการณ์กระบวนการไต่สวนทุกนัด

1. ศาลฎีกาฯ ตั้งองค์คณะประกอบด้วยผู้พิพากษา 5 คนให้ดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ โดยมีผู้ซักถามหลัก ๆ 3 คนคือ หัวหน้าองค์คณะ มุ่งซักถามในภาพรวม, ผู้พิพากษาคนที่ 1 มุ่งซักถามข้อกฎหมาย, ผู้พิพากษาคนที่ 2 มุ่งซักถามข้อเท็จจริงเชิงลึก และผู้พิพากษาอีก 2 คนซักถามประเด็นทั่วไปหรือเก็บตกประเด็น

2. ศาลนัดไต่สวนทั้งหมด 7 ครั้ง เริ่มนัดแรก 13 มิ.ย., 4 ก.ค., 8 ก.ค., 15 ก.ค., 18 ก.ค., 25 ก.ค. และปิดท้ายที่ 30 ก.ค. จากนั้นองค์คณะใช้เวลาอีก 41 วันในการประชุม ปรึกษาหารือ และจัดทำคำพิพากษา ก่อนนัดฟังคำสั่ง 9 ก.ย.

3. ศาลเรียกพยานบุคคลมาไต่สวนทั้งสิ้น 31 ปาก
  • ในจำนวนนี้ มี 12 คนที่ถูกกล่าวหาคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งถูกไต่สวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
  • ในจำนวนนี้ มี 3 คนที่เป็นแพทย์ถูกสั่งลงโทษตามมติแพทยสภา กำหนดให้มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. โดยนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้เปิดเผยกลางศาลว่า เขายื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขออุทธรณ์คำสั่งลงโทษแล้ว
  • ในจำนวนนี้ เป็นพยานฝ่ายจำเลยเพียง 1 คน
พยาน 2 ปากที่ขึ้นเบิกความต่อศาลเมื่อ 4 ก.ค. คือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ และ นพ.นทพร ปิยะสิน จากทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์

4. ศาลใช้เวลาไต่สวนรวมทั้งสิ้น 20 ชม. 20 นาที (ไม่นับเวลาพักศาล) พยานที่ใช้เวลาเบิกความสั้นที่สุด ใช้เวลาเพียง 3 นาที ส่วนพยานที่ใช้เวลาเบิกความนานที่สุด ใช้เวลาถึง 1 ชม. 30 นาที
  • เบิกความสั้นที่สุด 2 คน คือ น.ส.จิราพร มีนวลชื่น และ น.ส.ณิชามล มากจันทร์ พยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยแพทย์ในการตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับเมื่อ 22 ส.ค. 2566 แต่ทั้งคู่ไม่ถูกเรียกใช้งาน จึงไม่มีส่วนร่วมในวันนั้น
  • เบิกความนานที่สุด 2 คน พ.ต.อ. นพ.ชนะ จงโชคดี แพทย์ รพ.ตำรวจ ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณ และนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบัน
  • เบิกความเกิน 1 ชม. 7 คน นอกจาก พ.ต.อ. นพ.ชนะ และนายมานพ แล้ว ยังมีอีก 5 คน ได้แก่ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ผู้ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับ, นายจารุวัฒน์ เมืองไทย นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องขัง, นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ รองผู้อำนวยการทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์, นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันเกิดเหตุ, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา และอดีตคณบดีแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
5. การไต่สวนที่มีจำนวนผู้เข้าฟังในห้องพิจารณาคดีมากที่สุดคือนัดที่ห้า ซึ่งเป็นชุดผู้บริหารและแพทย์ รพ.ตำรวจ รวม 6 ปาก เนื่องจากพยานบางคนมีคณะผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีแพทย์/อาจารย์แพทย์จากมหาวิทยาลัยให้ความสนใจมาร่วมรับฟังด้วย

6. คำเบิกความของพยานมีทั้งที่เนื้อหาสาระสอดคล้องกันและย้อนแย้งกัน ข้อน่าสังเกตคือ ถ้าพยานชุดไหนขึ้นเบิกความในวันเดียวกัน คำตอบมักจะเหมือนหรือใกล้เคียงกัน แต่อาจไม่ตรงกับพยานชุดอื่นที่ศาลเรียกมาไต่สวนคนละวัน อาทิ
  • กลุ่มแพทย์ รพ.ตำรวจ ให้การไม่ตรงกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ "ผู้คุม" เฝ้าอยู่ที่ชั้น 14 เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย
  • ผบ.เรือนจำในขณะนั้น กับ ผบ.เรือนจำคนปัจจุบัน ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการส่งตัวผู้ต้องขังป่วยว่าจำเป็นต้องผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ก่อน หรือสามารถส่งไปรักษาที่ รพ.ภายนอกได้เลย
  • แพทย์ รพ.ตำรวจ กับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์/เรือนจำ ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับการติดตามนำตัวนักโทษที่รักษาอาการจนทุเลาแล้ว กลับไปรักษาต่อที่ รพ.ราชทัณฑ์ หรือกลับไปจองจำภายในเรือนจำ
สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ (ซ้าย) กับ มานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คือพยานอีก 2 ปากที่ศาลเรียกมาไต่สวน 15 ก.ค. และ 13 มิ.ย. ตามลำดับ

7. แม้ผู้ต้องขังคดีนี้เป็นบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่งเป็นอดีตนายกฯ แต่เมื่อถูกถามถึงเหตุการณ์ที่พยานเข้าไปเกี่ยวข้อง บางปากตอบว่า "จำไม่ค่อยได้ชัดเจน" บางปาก "แสดงความสนใจเป็นช่วง ๆ เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้" บางปากระบุว่า "ไม่แน่ใจ" ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การคาดการณ์ในอนาคต พยานบางคนเบิกความเลี่ยงไปมา โดยพูดถึงกรณีทั่วไป แทนที่จะชี้แจงจำเพาะกรณีนายทักษิณ ทำให้ศาลต้องเตือนหลายคน-หลายครั้งว่า "พยานสาบานตนแล้วว่าจะเบิกความตามความเป็นจริง"

8. การขึ้นศาลน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงเห็นหลายคนออกอาการประหม่า พยานรายหนึ่งเผลอยืนให้การต่อศาลในช่วงต้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะใช้จังหวะเหมาะสม กระซิบให้เขานั่งลง อีกรายขอให้ศาลทวนคำถามหลายข้อโดยบอกว่าไม่เข้าใจคำถาม อีกรายใช้จังหวะนั่งรอที่คอกพยานพลิกอ่านเอกสารข้อกฎหมายไปมาก่อนที่องค์คณะจะขึ้นบัลลังก์

แต่คนที่ออกอาการทั้งอึดอัดและอึกอักชัดเจนที่สุด หนีไม่พ้น แพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณที่เริ่มต้นด้วยการเอ่ยปากขอกระดาษกับปากกามาจดคำถามศาล เพราะเกรงจะฟังไม่ทัน และยังยกมือไหว้ "ขอบคุณ" และ "ขอโทษ" องค์คณะเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องขอแก้ไขคำตอบใหม่ ในระหว่างตอบคำถามศาล เกิดเดตแอร์เป็นบางช่วง และเมื่อการไต่สวนดำเนินไปถึงช่วงท้าย ๆ เขาถึงกับหลุดปากกลางศาลว่า "ผมมีหน้าที่แค่รักษา (เงียบ) ไม่ใช่ต้องมาขึ้นศาลแบบนี้" พลางยกมือปาดบริเวณใบหน้า ทว่าบีบีซีไทยนั่งอยู่ด้านหลังพยาน จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้

9. อาการเจ็บป่วยของนายทักษิณถูกบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับ เฉพาะที่ปรากฏในศาลระหว่างการเปิดไต่สวน 7 นัด มีเอกสารสำคัญอย่างน้อย 9 รายการ ถูกหยิบยกมาสอบถามพยาน

สำหรับเอกสารหลักฐานใหม่ที่ปรากฏกลางศาลเป็นครั้งแรก หลังจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณีชั้น 14 เคยขอเอกสารไปยังผู้เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ อาทิ
  • เอกสารประวัติการรักษาตัวในต่างประเทศของนายทักษิณ ศาลเรียกจากทางเรือนจำ แต่ทนายของนายทักษิณเป็นผู้ส่งมอบให้ศาลเอง
  • บันทึกคำสั่งการรักษาของแพทย์ รพ.ตำรวจ หรือเรียกย่อ ๆ ว่าใบสั่งแพทย์ หรือ "doctor order sheet" หลังมาตรวจเยี่ยมอาการของนายทักษิณที่ชั้น 14 ซึ่งศาลเรียกจาก รพ.ตำรวจ และได้มาในการไต่สวนนัดรองสุดท้าย ทั้งนี้มีข้อสังเกตคือ มีการบันทึกของแพทย์ในวันที่ 23, 24, 25 ส.ค. 2566 แต่วันที่ 26 หายไป แล้วโดดไปที่วันที่ 27 ส.ค. 2566 เลย
  • เอกสารค่ารักษาพยาบาลของผู้ต้องขังที่ รพ.ตำรวจ ในช่วง 6 เดือน (ส.ค. 2566 - ก.พ. 2567) ซึ่งปรากฏรายการ "ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด" จำนวน 9 ฉบับ จากทั้งหมด 27 ฉบับ
  • ภาพถ่ายทักษิณขณะรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ 2 ภาพ
เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้ ขนเอกสารประกอบการพิจารณาคดีเข้าไปยังพื้นที่ศาล

10. นอกจากคู่ความ สื่อมวลชน ยังมีนักวิชาการ อดีตนักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายต่อต้านนายทักษิณ เป็นกลุ่ม "ขาประจำ" ร่วมรับฟังการไต่สวนคดีนี้ ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อสรุปสาระสำคัญในแต่ละนัด และให้ความเห็นเพิ่มเติมในฐานะแพทย์ ทำให้ทนายความของนายทักษิณยื่นคำร้องต่อองค์คณะหลายครั้ง โดยมีทั้งขอให้ไต่สวนลับ หรือขอจำกัดผู้เข้าฟังการไต่สวนในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากศาลคงไว้ซึ่งหลักการในการพิจารณาโดยเปิดเผย

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่เกาะติดการไต่สวนคดีนี้ เนื่องจากเขาเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณโดยมิชอบ แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล อย่างไรก็ตามศาลได้เปิดไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีนี้เอง

ศาลสั่งให้คู่ความและผู้เข้ารับฟังการพิจารณาคดี "งดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน" ในการไต่สวนนัดที่สอง เมื่อ 4 ก.ค. จากนั้นในการไต่สวนนัดที่สี่ 15 ก.ค. ศาลแจ้งว่า "ไม่อนุญาตให้จดบันทึกคำเบิกความ" แต่อนุญาตให้เข้าฟังได้ ทำให้สื่อมวลชนและผู้สนใจติดตามกระบวนพิจารณาคดีนี้ต้องอาศัยความจำล้วน ๆ ยกเว้นให้เฉพาะคู่ความที่จดบันทึกได้


คมสัน โพธิ์คง, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, นิติธร ล้ำเหลือ (จากซ้ายไปขวา) คือ "ขาประจำ" ในห้องไต่สวนคดีชั้น 14

ที่มา บีบีซีไทย
ส่วนหนึ่งของบทความ
10 เรื่องน่าสนใจจาก 20 ชั่วโมง ของการไต่สวน "คดีชั้น 14" ที่จำเลยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

https://www.bbc.com/thai/articles/cm2z0j84gzvo


วาสนาบอกก่อนหน้านั้นมีดีลจริง แต่ตอนนี้น่าจะหมดแล้วป่ะ? ล่าสุดเขาเตรียมพื้นที่สถานพยาบาลราชทัณฑ์ไว้ให้แล้ว






https://x.com/Js_live2/status/1965055040475082832


  

วันโอวัน สนทนากับ จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิชาการจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วยทิศทางการเมืองและประเทศไทยในยุคของอนุทิน ตลอดจน ‘การเมืองแห่งความหวัง’ ที่ดูใกล้จะมอดดับ



ประเทศไทยในยุคประชาธิปไตยร่างทรง : จันจิรา สมบัติพูนศิริ

8 Sep 2025
101 World

การลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมาสิ้นสุดลง ด้วยการที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศ

ก่อนหน้านี้ การเมืองไทยอยู่ในช่วงฝุ่นตลบ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคประชาชนประกาศลงคะแนนให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าและแคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ ด้วยเงื่อนไขว่าจะยุบสภาภายในสี่เดือนและทำรัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่ฟากพรรคเพื่อไทยส่ง ชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ พร้อมข้อเสนอว่าหากพรรคประชาชนเลือกชัยเกษม เพื่อไทยจะยุบสภาทันที

และผลการโหวตนายกฯ ก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อยว่า อนุทินได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ คนล่าสุดด้วยคะแนนเห็นชอบ 311 เสียง ขณะที่ชัยเกษมได้ 152 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 27 เสียง

วันโอวัน สนทนากับ จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิชาการจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าด้วยทิศทางการเมืองและประเทศไทยในยุคของอนุทิน ตลอดจน ‘การเมืองแห่งความหวัง’ ที่ดูใกล้จะมอดดับในห้วงเวลาเช่นนี้

มองการโหวตเลือกนายกฯ อย่างไร ผิดคาดไหม

จริงๆ อยากชวนถอยออกมามองภาพกว้าง ว่าเรากำลังเห็นสมการประชาธิปไตยอีกแบบ

กล่าวคือระบอบประชาธิปไตยแบบที่เรามีคือประชาธิปไตยร่างทรง ถ้าเรามองย้อนกลับไปยังการรัฐประหารปี 2557 และการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา จะพบว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เรามีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากคนที่วนเวียนกับระบอบ ประยุทธ์ จันทร์โอชา (อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่รัฐประหาร และอดีตนายกฯ) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฝ่ายบริหารก็ไม่เคยมีเสถียรภาพเลย และอาจเป็นการสะท้อนว่าช่วงแปดปีระหว่างปี 2557 ถึง 2565 นั้น ฝ่ายบริหารอยู่ได้เพราะเขามีร่างทรงที่ถูกตัว

แต่หลังจากการเลือกตั้งปี 2566 เราจะพบว่าฝ่ายบริหารตะกุกตะกักตลอด เพราะฝ่ายอำนาจ -ที่ใช้อำนาจทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง- กำลังหาร่างทรงใหม่ ทำให้มีการใช้อำนาจตุลาการและนิติสงครามเพื่อเปลี่ยนร่างทรงเสมอ ดังนั้น วิกฤตทางการเลือกนี้คือวิกฤตที่ถูกปั้นขึ้นมา ไม่ใช่วิกฤตจริง

การโหวตเลือกนายกฯ ที่ผ่านมาก็เป็นความพยายามอีกครั้งที่จะหาร่างทรงของฝ่ายบริหาร แต่คำถามคือว่าร่างทรงนี้ ‘ตรงปก’ หรือยัง

ถ้าถอยกลับมามองภาพรวมเหตุการณ์ช่วงก่อนหน้าวันโหวตนายกฯ จะพบว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งการที่พรรคประชาชนประกาศจะลงคะแนนเสียงให้คุณอนุทิน, พรรคเพื่อไทยสูญเสียอำนาจ หรือแม้แต่การที่คุณทักษิณออกเดินทางไปนอกประเทศ อาจารย์มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร

มองในภาพย่อยลงมา เราจะพบว่า ไม่ว่าปรากฏการณ์นี้จะมีใครอยู่เบื้องหลัง มันเป็นการทำลายพรรคที่เป็นหรือเคยเป็นปฏิปักต่อฝ่ายอนุรักษนิยม ที่แน่ๆ พรรคเพื่อไทยสู้เพื่อลมหายใจสุดท้าย และส่วนตัวก็คิดว่าพรรคเพื่อไทยเดินหมากพลาดด้วย คงรู้สึกว่าถ้าให้พรรคภูมิใจไทยคืบคลานทางอำนาจเข้ามาในพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเองจะเสียเปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงเลือกเดินหมากอันตราย และผลก็เป็นดังที่เราเห็น

หลังจากนี้ ส่วนตัวคิดว่าเพื่อไทยคงไม่สูญพันธุ์ แต่จะกลายเป็นพรรคการเมืองทางประวัติศาสตร์ และคงไม่กลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม อาจไม่ใช่พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากเท่าเดิม หรือมีอำนาจในการต่อรองเข้าร่วมมากเหมือนเมื่อก่อน ที่สำคัญคือตระกูลชินวัตรจะไม่เหมือนเดิมด้วย

ส่วนพรรคประชาชน ส่วนตัวรู้สึกว่าการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นการเมืองที่ยากของตัวพรรค เพราะเล่นในกติกาถูกออกแบบไว้ให้เล่นอย่างไรก็แพ้ พรรคประชาชนถูกบังคับให้เลือก โอเค เขาอาจไม่เลือกนายกฯ คนใดก็ได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าพรรคประชาชนไม่ใช่พรรคที่ทำอะไรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคเพียงอย่างเดียว ตัวเลือกที่เกิดขึ้นนี้คงเป็นตัวเลือกที่พรรครู้สึกว่า อาจพาประเทศขยับไปได้สักที่หนึ่ง แม้จะไม่รู้ว่าไปไหน แต่ก็ดีกว่าติดหล่มอยู่กับที่

ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจและน่าติดตามคือผลต่อพรรคประชาชนและแรงศรัทธา ต้องอย่าลืมว่าถ้าไล่ไปตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่, พรรคก้าวไกลจนมาถึงพรรคประชาชน การเมืองของเขาคือการเมืองของความหวังและอุดมคติ ทั้งหมดนี้ พรรคเอาการเมืองเรื่องความหวังและอุดมคติมาเดิมพันกันด้วยการบอกว่า จุดนี้คือจุดที่เราต้องเล่นการเมืองเชิงปฏิบัติ (pragmatics) ต้องเห็นผลประโยชน์ของส่วนรวมเบื้องหน้า ทำอย่างไรให้ไปต่อถึงการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่

พูดภาษาชาวบ้านคือตอนนี้ พรรคประชาชนถูกทำให้มาอยู่ในระนาบเดียวกับพรรคการเมืองเชิงปฏิบัติอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ซึ่งอาจบั่นทอนการเมืองเรื่องความหวังของพรรค ที่เป็นเหมือนป้ายยี่ห้อและทำให้พรรคได้คะแนนเสียงในช่วงที่ผ่านมา

เรื่องนี้น่าสนใจและน่ากังวลด้วย เพราะไม่รู้ว่าประชาธิปไตยแบบร่างทรง หรือการเล่นในกติกาที่ออกแบบมาให้แพ้จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทางไหน รวมทั้งจะขยับประชาธิปไตยไปในทางไหนด้วย

อย่างนั้นแล้ว ประชาชนมีสิทธิผิดหวังทิศทางที่พรรคประชาชนเลือกไหม

ผิดหวังได้ กระนั้นก็เป็นความผิดหวังที่เข้าใจได้ เพราะหลังจากพรรคถูกยุบไปแล้วสองรอบ พรรคคงเห็นความเป็นจริงทางการเมืองไทย และในฐานะพรรคการเมือง ถ้าจะสร้างความเป็นสถาบันให้พรรค พรรคก็ต้องรอดชีวิตก่อน ลองดูประวัติศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยก็ได้ ว่าการถูกยุบพรรคหลายรอบก็ส่งผลกับตัวพรรคเหมือนกัน เพราะมันจะกร่อนเซาะแกนกลางของพรรคไปเรื่อยๆ

กลับมาที่ความผิดหวัง ก็คงผิดหวังได้ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าการเมืองเชิงปฏิบัติเป็นเรื่องธรรมดา คือเป็นการเมืองแห่งการต่อรอง เป็นการเมืองที่ความเป็นจริงคือแบบนี้ จะให้ทำอย่างไร เราจึงอยากให้ถอยออกมาแล้วดูภาพการเมืองประเทศไทย ว่ามันเป็นภาพการเมืองของการทำลายความหวัง กติกามันถูกสร้างมาแบบนี้

ด้วยระเบียบการเมืองนี้ ส่วนตัวคิดว่าเราเห็นคลื่นใต้น้ำเยอะ เพราะตัวระเบียบการเมืองใหม่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้อำนาจผ่านใครได้ และเครือข่ายอำนาจรวมใครมาได้บ้าง ดังนั้น มันจึงการเมืองรัฐสภา กับการเมืองที่เป็นระเบียบการเมือง

ถ้าพูดเชิงนามธรรม ก็ต้องบอกว่าฝ่ายอำนาจเก่า แต่ถ้าใช้คำของอาจารย์ เกษียร เตชะพีระ (อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) คือนี่เป็นฉันทามติ 112 เรียกว่าเป็นระเบียบการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง ปี 2557 แทนที่ฉันทามติเดิมคือฉันทามติภูมิพล


เราจะพบว่าพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย มีเหตุผลด้านรักษาประชาธิปไตยเพื่อสร้างความชอบธรรมทิศทางที่ตัวเองเลือก ในฐานะที่อาจารย์ศึกษา democratization ข้ออ้างนี้ฟังขึ้นไหม

ถ้านับว่าระบอบประชาธิปไตยคือการได้รับการเลือกตั้ง ก็ฟังขึ้น เพราะพื้นฐานแรกสุดของประชาธิปไตยคือการมีการลงคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง

แต่ประชาธิปไตยก็มีกติกาของมัน เราเลือกตั้งน่ะใช่ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มันยุติธรรมไหม นี่เป็นปัญหาของประเทศไทย เพราะมีตัวละครที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่แทรกแซงนิติบัญฯญัติและบริหารมาโดยตลอด

พรรคเพื่อไทยเองพยายามต่อรองกับพลังอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และขั้นตอนการต่อรองกับพลังอำนาจ ก็บั่นทอนตัวพรรคในฐานะที่เคยเป็นแชมเปี้ยนของประชาธิปไตย รวมทั้งบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตยด้วย เช่น หลายเรื่องที่เป็นไปเพื่อการปฏิรูปเพื่อให้รัฐธรรมนูญดีขึ้น เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ทำ

คิดว่าการเมืองไทยใต้การนำของคุณอนุทิน จะทำให้ฝ่ายขวาทะยานขึ้นไหม

ตัวพรรคภูมิใจไทยเป็นนาฎกรรม หลายคนในพรรคแสดงความเป็นอนุรักษนิยม แสดงความรักชาติ แสดงความหวงแหนแผ่นดิน แต่การแสดงเหล่านั้นมันเป็นเครื่องมือในการเกาะกุมอำนาจบางอย่าง

ภูมิใจไทยเป็นเสมือนยานพาหนะที่มีคนจำนวนหนึ่งกระโดดเข้ายาน บางคนทำเพื่ออำนาจ บางคนทำเพื่ออุดมการณ์ ซึ่งไม่รู้ว่าคนที่ทำเพื่ออำนาจอันตรายกว่าหรือไม่ ที่ผ่านมา 7-8 ปี เราเห็นองคาพยพของความคลั่งชาติเข้มแข็งขึ้น พร้อมระดมคนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งเชื่อมโยงกัน จะพบว่า เวลาเกิดวิดฤตการณ์ที่มีความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน ก็มีการเชื่อมโยงฝั่งภาครัฐมาสะกิดมวลชนว่า ได้เวลาออกมาชุมนุมหรือไล่ล่าแรงงานต่างด้าว ได้เวลาออกไปม็อบชนม็อบที่ชายแดนแล้ว เป็นต้น

ส่วนตัวคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคลื่นใต้น้ำที่พรรคภูมิใจไทยเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลัก

อย่างนั้นแล้ว เป็นไปได้ไหมว่ากระแสฝ่ายขวาอาจไม่ได้ยั่งยืน

อันที่จริง ประเทศไทยเป็นผู้มาก่อนกาลในเรื่องนี้ เพราะฝ่ายขวาเราไม่เคยหายไปไหน ขณะที่ฝ่ายขวาในการเมืองโลกยังมีช่วงที่หายไปบ้าง คือช่วงปี 90s แล้วปะทุขึ้นมาใหม่

ตอนนี้กลายเป็นว่า ขวาโลกจับกับกลุ่มทุน จับกับมวลชนและจับกับพรรคการเมือง จนได้เข้าไปอยู่ในกลไกภาครัฐ กับเรื่องนี้ ประเทศไทยเองก็มาก่อนกาลเหมือนกัน แค่ว่าฝ่ายขวาในไทยเป็นฝ่ายขวาที่มากับกลุ่มอำนาจเดิม ไม่ได้ไปไหน

พูดถึงกลุ่มอำนาจเดิม จากนี้จะมีบทบาทอย่างไรในรัฐบาลของคุณอนุทิน

กลุ่มอำนาจเดิมก็จะใช้ร่างทรง และมองผลประโยชน์โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจแน่ๆ อาจมีนโยบายแบบใหม่ในแก้วเก่า หรือคือหลายอย่างที่พรรคภูมิใจไทยทำแล้วได้รับการยอมรับจากสมัยรัฐบาลประยุทธ์ ก็จะได้ไปต่อ และนี่แหละที่เราจะได้เห็นความต่อเนื่องในการใช้ร่างทรง

เราอาจเห็นบ้านเมืองในยุคที่คล้ายกับสมัยรัฐบาลประยุทธ์ โดยที่ไม่มีประยุทธ์

มองว่าข้อเสนอที่พรรคประชาชนยื่นนั้นเป็นไปได้จริงแค่ไหน หลายคนมองว่าตัวพรรคไร้เดียงสาเกินไป

(ถอนหายใจ) ไร้เดียงสาไหมก็ไร้เดียงสาแหละ แต่มันไม่มีทางเลือก เราคิดว่าภายใต้กรอบเวลา เงื่อนไข กติกาที่มันเลือกไม่ได้ ความไร้เดียงสานี้ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ประเด็นคือว่า พรรคประชาชนน่าจะคาดหวังให้ผู้คนกดดันพรรคภูมิใจไทยด้วย แต่มันก็ลักลั่นอีก เพราะเมื่อพรรคประชาชนเลือกเดินทางนี้ หลายคนที่สนับสนุนพรรคก็ผิดหวัง แล้วเมื่อผิดหวัง ใครล่ะจะไปกดดันภูมิใจไทย คนอาจมีภาวะเฉย เนือยจนไม่มีแรงกดดันที่มากพอได้ สิ่งนี้เป็นเรื่องของภาคประชาชนจริงๆ



อย่างนั้นแล้ว ภาคประชาชนต้องปรับตัวอย่างไร

กลับไปที่ประเด็นเรื่องความผิดหวัง เราสามารถผิดหวังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ได้ ทั้งความผิดหวังจากตัวพรรคประชาชน ความผิดหวังจากสิ่งที่เราเรียกว่าขบวนการฝ่ายก้าวหน้า แต่อย่าให้ความผิดหวังนั้นมปกคลุมไปในอนาคต จะอย่างไรเสีย การต้องสู้เพื่อเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยเพื่อแก้รัฐธรรมนูญและเพื่อปรับกรอบกฎหมายต่างๆ ให้สอดคล้องกับหลังประชาธิปไตย ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องสู้ต่อไป

พรรคการเมืองจะสู้ต่อไปได้ ก็ต้องมีแรงสนับสนุนจากประชาชน ถึงเวลาเลือกตั้งก็คงต้องแสดงพลังออกไปเลือกตั้ง ส่วนตัวเรากังวลเล็กน้อยว่าตอนนี้ประชาชนอาจรู้สึกผิดหวัง จนถ้าเกิดการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ คนจะไม่ไปใช้สิทธิ เพราะที่ผ่านมา มันเป็นการเมืองแห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลงจริง คนจึงออกไปใช้สิทธิเยอะ แต่ในเวลาแบบนี้ คยอาจสิ้นหวังกับกระบวนการเลือกตั้งไปด้วย ซึ่งเราไม่อยากให้ภาคประชาสังคมเป็นแบบนั้นเลย

นอกจากนี้ เรายังคงต้องกดดันให้รัฐบาลและแกนนำรัฐบาลทำตามสัญญา อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมารับประกันหรอก ไม่ว่าจะลงนามสัญญาอะไรก็ฉีกได้ทั้งนั้น มันไม่มีข้อผูกมัดอะไร แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้รัฐบาลทำตามคำมั่นสัญญาได้คือแรงกดดัน ฉะนั้น ภาคประชาสังคมก็ต้องเดินไปพร้อมกัน เห็นเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวไปพร้อมๆ กัน

เป้าหมายระยะสั้นคือการกดดันให้รัฐบาลทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในสี่เดือน ระยะกลางคือเมื่อมีการเลือกตั้ง ก็ต้องออกไปเลือกตั้ง และระยะยาวคือทำอย่างไรให้ระบบรัฐสภามีเสถียรภาพ และหาทางจัดการอำนาจนอกระบบ ซึ่งนับเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคม

https://www.the101.world/janjira-sombatpoonsiri-amd-new-prime-minister/


“ดีลปีศาจ” ผ่าทางตันประเทศ หรือ โซ่ตรวนพันธนาการ ”ประชาธิปไตย” - Jom Voice Channel


Jom Petchpradab
Yesterday
·
"ดีลปีศาจ" เปิดประตูอำนาจ"กษัตริย์นิยม"หรือไม่..?

ร่วมฟังเสวนา ดีลปีศาจ“เท้ง/หนู”ประตูสู่อำนาจกษัตริย์นิยม.หรือไม่.? โดย..อธึกกิต แสวงสุข (ใบตองแห้ง). เบญจา แสงจันทร์ อดีตส.ส.พรรคประชาชน. สมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย. วรา จันทร์มณี นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน. และสราวุทธิ์ เซียนแว่น นักเคลื่อนไหวทางการเมือง. คืนวันที่ 8 กันยายน 2568 เวลาสองทุ่มครึ่งเป็นต้นไป ผ่านทางไลฟ์สด เฟสบุ๊ค Jom Petchpradab และทาง ยูทูป Jom Voice Channel ..ห้ามพลาด


“ดีลปีศาจ”ผ่าทางตันประเทศหรือโซ่ตรวนพันธนาการ”ประชาธิปไตย”

Streamed live 3 hours ago

https://www.youtube.com/watch?v=abwWhmuX_A0


อ.จรัล สรุป ผู้มีบทบาททำให้อนุทิน ชาญวีระกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมตรี


Jaran Ditapichai 
11 hours ago
·
สรุป ผู้มีบทบาททำให้อนุทิน ชาญวีระกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมตรี
สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราขเลขาฯ
ศิริวรรณวลี เจ้าหญิง
พรรคประชาชน พรรคการเมือง
ประวิต วงศ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรึ และรมต.กลาโหม

https://www.facebook.com/jaran.ditapichai/posts/24197499986598943


ละคอนไทย ๆ จบไปอีกหนึ่งตอน

https://www.facebook.com/watch/?v=1509029406803714
ติ่งข่าว เวิร์คพอยท์ 
September 5
·
ละคอนไทย ๆ จบไปอีกหนึ่งตอน
แล้วก็จะดำเนินต่อไป
และจะระทึกอก ระทึกใจมากกว่านี้
(โปรดติดตามชม ทั้งจริง ทั้งปลอม)
Shakespeare's "All the world's a stage,
and all the men and women merely players.
They have their exits and their entrances;
And one man in his time plays many parts."
โลกนี้ คือละคอนโรงใหญ่
ชายหญิงไซร้ เปรียบตัวละคอนนั่น
ต่างมียามเข้าออกอยู่เหมือนกัน
คนหนึ่งนั้น ย่อมเล่นตัวนานา...(ร.๖ ทรงแปล)
.....


สุรพศ ทวีศักดิ์ 
Yesterday
·
จำได้ว่าพวกส้มก็เคยเอาภาพแบบนี้ของอุ๊งอิ๊งมาล้อ พอตอนนี้มีอีกฝ่ายขุดภาพแบบเดียวกันของเท้งมาล้อบ้าง พวกส้มก็เข้าไปด่าและแก้ต่างให้เท้งกันใหญ่
จริงๆ ภาพแบบนี้ก็แค่ “การแสดง” ของนักการเมืองเท่านั้นแหละ ยังสรุปว่าเป็นภาพสะท้อนอุดมการณ์ทางการเมืองที่แท้จริงของพวกเขาไม่ได้หรอก
.....





วันจันทร์, กันยายน 08, 2568

เอาจนได้ วันนี้ศาลจำคุก ‘ชลธิชา’ ๒ ปี ๘ เดือน (ลดให้แล้วนะ) ขณะศาลฎีกาไม่ให้ประกัน ๕ ผู้ต้องหา ม.๑๑๐ ที่โทษสูง ๒๑ ปี ก็เลยต้องลุ้นพรุ่งนี้ ‘ทักษิณ’ จะโดนเหมือนกันไหม

อ้า มาแล้วตามคำมั่นที่พูดไว้ก่อนออกเดินทาง เครื่องบินส่วนตัว ทักษิณ ลงจอดที่สิงคโปร์เช้าวันนี้ (๘ กันยา ๖.๕๐ น.) แล้วจะไปศาลพรุ่งนี้เช้า รับฟังข้อหา ม.๑๑๒ ขณะสายวันเดียวกัน ศาลอาญา พิพากษาคดี ดูหมิ่นสถาบัน

อันนี้ Pavin Chachavalpongpun บอกว่า “ท่านแวะทานบะกุ๊ดเต๋ ที่สิงคโปร์แป๊ปนึงค่ะ” แล้วอีกสี่ชั่วโมงต่อมา แกถามเซ้าซี้อีกว่า “พอเครื่องแลนด์ที่กรุงเทพ คุณทักษิณจะก้มกราบธรณีหรือกราบรูปในหลวงอีกไหมคะ”

แต่สำหรับ ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.พรรคประชาชน อดีตนักกิจกรรม โดนข้อหา ม.๑๑๒ และ พรบ.คอมพิวเตอร์ ม.๔(๓) หลัง ๑๐.๐๐ น. วันเดียวกัน ศาลลงโทษจำคุก ๔ ปี และลดโทษให้เหลือคุก ๒ ปี ๘ เดือน ไม่รอลงอาญา

แถมด้วย “ศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกัน ๕ จำเลย คดีความผิดตาม ม.๑๑๐ 'ขัดขวางขบวนเสด็จ' ชี้ว่าหากปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจะหลบหนี” คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องไปแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ ที่เขาว่าเป็นมือฟันสำหรับคดีหมิ่นกษัตริย์ดึงกลับ

เอามาเพิ่มโทษเป็นจำคุก เอกชัย หงส์กังวาน ๒๑ ปี ๔ เดือน กับพวกอีกสี่คน โดนคนละ ๑๖ ปี ก็เลยน่าลุ้นคดีของทักษิณวันพรุ่งนี้ จะพลิกล็อค โดนโทษหนักคุกนานเหมือนผู้ต้องหา ๑๑๒ คนอื่นๆ ไหม

(https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2881404#goog_rewarded และ https://www.facebook.com/ThaiNews.co/posts/2B6tE9PL) 

วุ้ย รักแรกนายกฯ หนู มีคนลอบรู้เอามาเผย

ดร.คนนี้ มีเบื้องลึกประวัติศาสตร์ ของหัวหน้ารัฐบาลไทยคนใหม่สุด

ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์

Sept.8 at 7:21AM

รักแรกนายกฯ หนู-ตอนนี้สื่อก็นำเสนอแง่มุมไลฟสไตล์ด้านต่างๆของนายกฯใหม่ รวมทั้งคู่รักของท่าน โดยมักรายงานถึงรักแรก ตอนนี้รักสุดท้าย

อย่างไรก็ตามวงในบอกว่า มีน้อยคนจะรู้ว่า รักแรกจริงๆของท่านนายกฯหนู เป็นชาวต่างชาติ เธอชื่อลิซ่าครับ เป็นสาวเกาะกวม มาเรียนเมกาช่วงเดียวกันกับอนุทิน เวลานั้นเสี่ยหนูพบรักคุณลิซ่า เลยออกจากหอพักย้ายมาอยู่บ้านในนิวยอร์กของญาติห่างๆผู้มีตระกูลมหาเศรษฐีเมืองไทย

เรียนจบเสี่ยหนูกลับบ้านเมืองไทย ส่วนลิซ่าก็กลับไปเกาะกวมบ้านเกิด

ทั้งคู่รักกันมาก แต่ด้วยพื้นฐานที่ต่างชาติต่างวัฒนธรรม และการปรับตัวเข้าหาครอบครัวแต่ละฝ่ายก็เลยลำบากที่จะไปกันได้ต่อ จึงเหลือแต่เยื่อใยไมตรีกันไว้

ผมคิดว่าลิซ่าคงยินดีที่เสี่ยหนูได้ก้าวมาถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมืองไทยในเวลานี้แหล่งข่าวผู้รู้เรื่องดีเผย

รูปภาพ:คุณอนุทิน ขณะเรียนที่เมกา ส่วนรูปสาวเกาะกวมนั้น ไม่ใช่คุณลิซ่า แต่หน้าตาผิวพรรณคงจะมีสัณฐานประมาณนี้

https://www.facebook.com/natsetcall/posts/pfbid0gnoNrqWE5RQea4qVG4UBFFuVhwbu2veHjHXfW8x54J592BPaY43rLQHVt6HMnsb2l 

บรรดา "ส้ม" ควรอ่านอย่างยิ่ง


The101.world
20 hours ago
·
แม้สถานการณ์การเมืองไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอาจทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิด เซ็ง โกรธ หรือกระทั่งหมดหวัง แต่หากตัดอารมณ์เหล่านี้ออกไปก็ต้องยอมรับว่าการเมืองไทยเต็มไปด้วยความเข้มข้น ดุเดือด และน่าติดตามไม่แพ้ซีรีส์ชั้นดี เราได้เห็นทั้งการกำหนดประเด็น (framing) การสร้างข้อเสนอทางการเมือง จังหวะจะโคนของเกม การชิงไหวชิงพริบ การบลัฟ การโต้ และการแก้เกม แบบไม่มีใครยอมใคร - ถ้าเป็นซีรีส์จริง ก็ไม่น่าจะแพ้ชาติไหนในโลก
.
แกนกลางของเรื่องทั้งหมดอยู่ที่การตัดสินใจของพรรคประชาชน ที่เลือกโหวตให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 การตัดสินใจครั้งนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยทั้งสองฝั่งเป็นจำนวนมาก
.
สำหรับคนที่เห็นด้วยและสนับสนุนคงไม่ต้องพูดถึงมากนัก เพราะเหตุผลในการอธิบายน่าจะพอเหมาสรุปได้ว่าไม่แตกต่างจากสิ่งที่พรรคประชาชนนำเสนอมากนัก แต่ที่น่าสนใจคือ ความเห็นของคนที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพรรค โดยเฉพาะกลุ่มที่มองจากฐานประชาธิปไตย
.
ในบรรดาข้อถกเถียงอันหลากหลายที่เกิดขึ้น ข้อถกเถียงที่แหลมคมที่สุดน่าจะเป็นคำถามที่ว่า การโหวตให้อนุทินและพรรคภูมิใจไทย ในบริบทที่รัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทยถูกปฏิเสธอำนาจยุบสภาเป็นการตัดสินใจที่ยังสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยหรือไม่?
.
ที่ว่า ‘ผิดหลักการ' เพราะ การปฏิเสธอำนาจยุบสภาของรัฐบาลรักษาการพรรคเพื่อไทยเป็นเรื่องใหญ่ -เป็นการประกาศยึดอำนาจอธิปไตยที่ควรอยู่กับฝ่ายบริหารด้วยเหตุผลเทคนิคกฎหมาย ถ้ายึดหลักการนี้อย่างเคร่งครัด ทางออกจึงควรเป็นการหันไปสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเลือก ‘ชัยเกษม นิติศิริ’ มายุบสภาทันที เพื่อยืนยันว่าอำนาจยุบสภาเป็นสิทธิของรัฐบาล ไม่ใช่ของ ‘รัฐพันลึก’
.
ในทางกฎหมาย ประเด็นนี้มีความคลุมเครืออยู่และนักกฎหมายก็มีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งเรื่องนี้โดยหลักย่อมอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะตีความ อย่างไรก็ตาม การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจวินิจฉัยจำเป็นต้องมีวัตถุแห่งคดี โดยต้องมีการกระทำหรือกฎหมายที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญเสียก่อน ปัญหาจึงไม่จบ เพราะตราบใดที่ไม่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้ยุบสภา ก็ถือว่ายังไม่มีวัตถุคดี กลายเป็นช่องว่างทางกฎหมาย
.
อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคเพื่อไทยแสดงเจตนาอย่างชัดเจนแล้วว่าต้องการยุบสภา (แม้ต่อให้มีจุดประสงค์เพื่อการแก้เกมทางการเมือง) ฝ่ายการเมืองก็ควรต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเพื่อยืนยันหลักการ โดยไม่ต้องเถียงกันในเชิงหลักกฎหมาย
.
อย่าลืมว่าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง มีข่าวทั้งที่ออกสื่อและข่าวลือว่า มีความพยายามทำสารพัดดีลทางการเมือง (ทั้งสีแดงและสีน้ำเงิน) กับชนชั้นนำ แต่ดีลเหล่านี้ต่อให้จริงก็เกิดขึ้นในพื้นที่การเมืองอย่างไม่เป็นทางการ คุยกันหลังม่าน และยากที่จะพิสูจน์ได้ในทางสาธารณะ การที่รัฐบาลถูกปฏิเสธอำนาจยุบสภาอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะด้วยเทคนิคกฎหมาย จึงเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเลยเส้นประชาธิปไตยที่ไม่อาจปล่อยผ่าน
.
แม้พรรคประชาชนจะยืนยันว่า รัฐบาลรักษาการมีอำนาจยุบสภา โดยแสดงออกผ่านทั้งแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ และการพูดผ่านแกนนำพรรค แต่ในขั้นตอนของการตัดสินใจประเด็นถกเถียงของเรื่องนี้กลับถูกให้น้ำหนักไปกับ ‘ความจริงจังและจริงใจ’ หรือ 'การเล่นเกม' ของพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก (ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคเพื่อไทยมีปัญหาในเรื่องนี้จริง) ซึ่งเป็นการให้เหตุผลที่ออกจะผิดฝาผิดตัว และน่าผิดหวัง
.
เพราะการเลือก ‘หลักการ’ เฉพาะตอนที่คิดคำนวณแล้วว่ามันน่าจะเป็นไปได้จริง ก็ไม่น่าจะเรียกได้ว่า ‘หลักการ’
.
อย่างไรก็ดี การจะบอกว่าพรรคการเมืองใดหรือใครสักคน ‘ไร้หลักการ’ คงไม่อาจตัดสินได้จากเหตุการณ์และการเลือกเพียงครั้งเดียว หากแต่ต้องชั่งน้ำหนักจากภาพรวมในระยะยาว เพราะในสถานการณ์ที่ซับซ้อน โจทย์ยาก และแหลมคม การจะตัดสินใจให้ถูกต้องทุกครั้งย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นักวิเคราะห์ นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งที่แม้ไม่เห็นด้วยกับการเลือกของพรรคประชาชน ก็เลือกที่จะดีเฟนด์พรรคในแง่มุมนี้
.
‘ไม่มีหลักการ’ หรือแค่ ‘เลือกผิด’ การตัดสินใจหลายครั้งต่อจากนี้จะเป็นคำตอบ
.
และไม่ต้องห่วง ขึ้นชื่อว่าการเมืองไทย บททดสอบใหม่ๆ ไม่เคยมาช้า
.
สมคิด พุทธศรี
บรรณาธิการอำนวยการ The101.world



อ่านผลงานใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของวันโอวันและ Subscribe รับ Newsletter ได้ที่:
https://mailchi.mp/baae4674064c/101-this-week-12872095



101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ
ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1323365265824943&set=a.523964969098314



" อาจารย์คะ หัวหน้าเผด็จการเขายึดองค์กรอิสระและตำแหน่งนายกมานานแล้วคะ เอาตรงๆคะถึงพรรคส้มไม่โหวตให้ใครเขาก็ไม่ยุบสภา หัวหน้าเผด็จการเขาก็ตั้งนายกได้"

.....

สาธิต ชีวะประเสริฐ 
Yesterday
·
" อาจารย์คะ
หัวหน้าเผด็จการเขายึดองค์กรอิสระและตำแหน่งนายกมานานแล้วคะ
เอาตรงๆคะถึงพรรคส้มไม่โหวตให้ใครเขาก็ไม่ยุบสภา หัวหน้าเผด็จการเขาก็ตั้งนายกได้
1.ตกลงกันไม่ได้ไอ้อ้วนก็รักษาการตำแหน่งนายกจนกว่าไอ้แม้วจะตกลงกับหัวหน้าเผด็จการใหม่ได้อีกครั้ง
ก็จะไม่มีการยุบสภาหรือแก้รธน.เหมือนเดิม
2.อดีตพรรคร่วมรัฐบาลเขาก็ต้องหันมาจับมือกันตั้งรัฐบาลจนได้
นายกก็ต้องเป็นไอ้หนูหรือพรรคไอ้แม้วเหมือนเดิม
ก็จะไม่มีการยุบสภาหรือแก้รธน.เหมือนเดิม
3.หนักกว่านั้นถ้าอดีตพรรคร่วมรัฐบาลตกลงกันไม่ได้
ก็ต้องไปเชิญไอ้ตู่มาเป็นนายก
ก็จะไม่มีการยุบสุภาและการแก้รธน.เหมือนเดิม
4.ไอ้หนูมาขอเสียงพรรคส้ม
นั้นแสดงว่าได้ไฟเขียวจากหัวหน้าเผด็จการแล้ว
ตอนแรกก่อนหน้านี้เสนอให้พรรคส้มร่วมรัฐบาลด้วยแต่พรรคส้มไม่ยอมร่วม มันจึงเกิดเงื่อนไขของพรรคส้มขึ้นมา มันมีการเจรจากันมาเป็นเดือนแล้วคะ จนเจรจาสำเร็จหัวหน้าเผด็จการถึงเขี่ยตระกูลชินทิ้ง
ตอนนี้ไอ้หนูยอมรับเงื่อนไขรัฐบาลเสียงข้างน้อยของพรรคส้ม
ก็แสดงว่าหัวหน้าเผด็จการไฟเขียวให้รับเงื่อนไขของพรรคส้ม
เพราะไม่จำเป็นเลยคะที่หัวหน้าเผด็จการต้องยอมรับเงื่อนไขพรรคส้ม-หัวหน้าเผด็จการจะชี้ให้ใครเป็นนายกก็ได้อยู่แล้ว
ถึงแม้พรรคส้มจะไม่โหวตให้ใคร
5.คำถาม : ทำไมหัวหน้าเผด็จการถึงไฟเขียวให้ไอ้หนูยอมรับเงื่อนไขแก้รธน.และยุบสภาภายใน4เดือนของพรรคส้ม
ยอมแม้กระทั่งให้พรรคส้มร่วมรัฐบาลถ้าพรรคส้มต้องการ
ตรงนี้พรรคส้มและฝ่ายประชาธิปไตยต้องหาคำตอบให้ได้
6.ตรงนี้ต่างหากที่พรรคส้มต้องเก็บเอามาคิดว่าทำไมหัวหน้าเผด็จการถึงยอมหลับตาข้าง1ให้พรรคส้ม
ทั้งๆที่จะยุบพรรคส้มเหมือนในอดีตก็ได้
การเมืองถ้ามันยังต่อรองเพื่อผลประโยชน์ให้ประชาชนได้
มันก็ต้องลองทำดูคะ จะสำเร็จหรือไม่กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
อยางน้อยสถานะการณ์ระหว่างหัวหน้าเผด็จการกับพรรคส้มก็ดีขึ้น
เพราะตอนนี้หัวหน้าเผด็จการเลือกสส.ในสภาเป็นนายก(ไอ้ตู่ ไอ้เจ้าของบ้านจัดสรร นายกลูกคุณหนู ไม่มีใครเป็นสส.นะคะ)และยอมรับข้อเสนอแก้รธน.และยุบสภาของพรรคส้ม(จะทำตามข้อตกลงหรือไม่ก็ต้องลองดูคะ)
อย่างน้อยในตอนนี้หัวหน้าเผด็จการก็สู้กับพรรคส้มด้วยกลไกลของระบอบรัฐสภา
การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยที่ผ่านมามันจึงไม่สูญเปล่าคะ
เพราะหัวหน้าผด็จการเริ่มกลัวว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะพังไปมากกว่านี้แล้ว
เริ่มกลัวว่าธุรกิจของตัวเองจะฉิบหายไปด้วยแล้ว "


https://www.facebook.com/sathit.chiwa.praserith/posts/24766356429647853


”โรคซึมเศร้า”กับชีวิตที่ต้องดิ้นรนเพื่อพิสูจน์ตัวเองของ "หมิว" สิริลภัส กองตระการ


”โรคซึมเศร้า”กับชีวิตที่ต้องดิ้นรนเพื่อพิสูจน์ตัวเองของ "หมิว" สิริลภัส กองตระการ.

Jan 19, 2024

สังคมไทยเอื้อให้”โรคซึมเศร้า”มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

คนไทยรู้หรือไม่ว่า..ในแต่ละปี สังคมไทยต้องสูญเสียบุคลากรวัยทำงาน ที่มีอยู่ระหว่าง 20 - 35 ปี ไปถึง 4000 คนต่อปี จากการฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้า. กรมสุขภาพจิต บอกว่า ทุก ๆ 2 ชั่วโมงมีคนวัยทำงานพยายามฆ่าตัวตายเพราะความเครียดและโรคซึมเศร้าอย่างน้อย 1 คน และส่วนมากฆ่าตัวตายสำเร็จ.

ดังนั้น "โรคซึมเศร้า(Depression)"จึงไม่ใช่อาการคิดไปเอง หรือวิตกไปเองของผู้ป่วย แต่มีเหตุปัจจัยมากมายที่ส่งผลให้คนที่มีความคาดหวัง มีความมุ่งมั่นกับความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อม ที่อาจจะเริ่มมาตั้งแต่การเลี้ยงดู การปลูกฝังค่านิยมความเชื่อ หรือแม้แต่ระบบการศึกษา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และสภาพแวดล้อมทางสังคมในยุคที่สื่อโซเชี่ยลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ชีวิตคนไทยวัยทำงาน ต้องยิ่งจมปรัก นำชีวิตดิ่งลงไปเรื่อย ๆ กับความสิ้นหวังที่จะให้เป็นไปตามที่คาดคิด ตั้งใจเอาไว้

"โรคซึมเศร้า" จึงเป็นเหมือนมัจจุราชที่ขี่อยู่บนหลังของคนทำงานในสังคมไทยอยู่ตลอดเวลา. สังคมไทยจะช่วยกัน ผลักมัจจุราชตัวนี้ให้หลุดไปจากบ่าของคนไทยได้อย่างไร
 
มาทำความรู้จักกับ "โรคซึมเศร้า" ว่ามันคืออะไร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค และอาการป่วยของโรคชนิดนี้เป็นอย่างไร รวมไปถึงการบำบัดเยียวยารักษาจะเป็นแบบไหนได้บ้าง "คุณหมิว" หรือ คุณสิริลภัส กองตระการ สส.พรรคก้าวไกล. จะมาอธิบายในทุกประเด็นเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าในสังคมไทย 

ติดตามได้ทั้ง เฟสบุ๊ค Jom Petchpradab และทาง youtube - Jom Voice Channel ..ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=v-9DvRQeN4Y


สถานีเสียงสำราก



Kasian Tejapira
13 hours ago
·
สถานีเสียงสำราก
%%%%%
อำนาจอืดเต็มท้องคะนองปาก
จึงไอ้อีสำรากเสียงดังลั่น
ความเจ็บป่วยใครบ้างช่างหัวมัน
หัวร่อต่อกระซิกกันปากผายลม
เรอระบายทางปากตกยากแล้ว
เก้าอี้แคล้วคลาดครานาวาล่ม
ยามซึมเศร้าเหงาหงอยค่อยจ่อมจม
ฟังเสียงสมน้ำหน้าสถานี
https://www.hfocus.org/content/2024/01/29428

https://www.facebook.com/kasian.tejapira/posts/10238682504824169
.....

“หมิว สิริลภัส” ร้องไห้กลางสภา ของบ-เพิ่มสิทธิดูแลผู้ป่วยจิตเวช



สส.กทม.พรรคก้าวไกล ร่ำไห้หลังพบข้อมูลสุขภาพจิตถูกหั่นกว่า 69.4% สวนทางคนป่วยพุ่ง 1.6 ล้านกว่าคน ซึมเศร้า 3.6 แสนคน สุดห่วง ฆ่าตัวตายสำเร็จสูงถึงวันละ 14 คน ท้าสลับตัวผู้ป่วยซึมเศร้า

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ในการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดย น.ส.สิริลภัส กองตระการ สส.กทม.พรรคก้าวไกล กล่าวถึงงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข ว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ได้ยกปัญหาสุขภาพจิตและยาเสพติดให้เป็น 1 ใน 13 นโยบายสำคัญ ในการยกระดับ 30 บาท Plus แต่อาจจะให้น้ำหนักไปผู้ป่วยจิตเวชที่มาจากยาเสพติด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญแต่ก็ให้มากกว่า ปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นๆ ที่เป็นวิกฤตเหมือนกัน ซึ่งจากข้อมูลผู้ป่วยสุขภาพจิตที่เกิดจากยาเสพติดมีประมาณ 2 แสนกว่าคน ส่วนผู้ป่วยสุขภาพจิตด้านอื่นๆ รวม 1 ล้านกว่า คนแตกต่างกันกว่า 5 เท่าโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคซึมเศร้า อยู่ที่ประมาณ 360,000 คน ตนจึงขอตั้งคำถามว่ารัฐบาลชุดนี้ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตของประชาชนจริงๆหรือไม่

ทั้งนี้ ปัญหาสุขภาพจิตอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิดโดยความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากผู้ป่วยจิตเวชที่ขาดยา รวมถึงการฆ่าตัวตายสำเร็จข้อมูลในปี 2565 อยู่ที่ 7.97 ต่อแสนประชากร หรือ 5,260 คน หรือทุกๆ วันมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ 14 คน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่น่ากังวลคือวัยรุ่นพยายามฆ่าตัวตายสูงถึง 224 ต่อแสนประชากร วัยทำงานพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ 45 ต่อแสนประชากร และจากเอกสารกรมสุขภาพจิตระบุข้อมูลการศึกษาทางการแพทย์พบว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 9 ใน 10 คน มีอาการป่วยทางจิตเวชอย่างใดอย่างหนึ่งขณะลงมือทำ และสาเหตุสำคัญมาจากภาวะซึมเศร้าและการติดสุรา จะเห็นว่าปัญหารุนแรงขึ้น แต่การเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างค่อนข้างจำกัด ขาดแคลนบุคลากร ทั้งจิตแพทย์ และนักจิตวิทยา อีกทั้งยังมีปัญหาการกระจายตัว จะพบปัญหามาที่ภาคอีสาน มีจิตแพทย์หรือ นักจิตวิทยาไม่ถึง 1 ต่อแสนประชากร

นอกจากยังขาดแคลนจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ซึ่งมีเพียง 295 คนเท่านั้น ซึ่งมี 17 จังหวัด ที่มีจิตแพทย์ประจำแค่คนเดียว และ 23 จังหวัด ไม่มีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นประจำเลย ขณะที่ พยาบาลที่จะต้องเป็นหนึ่งในทีมสหวิชาชีพ ไม่อยากทำงานทางด้าน จิตเวชแล้วเพราะภาระงานหนักและไม่มีระบบที่สนับสนุน

นอกจากนี้ยังให้สิทธิ์ในการเข้าถึงการรักษาไม่ครอบคลุมเพียงพอทำให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ป่วย โดยพบผู้ป่วย 1 ใน 3 ผู้ป่วยเลือกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง และต้องจ่ายเองเฉลี่ยอย่างน้อย 21% ของรายได้ เพื่อรับบริการจากจิตแพทย์หรือการบำบัดที่เหมาะสม เช่นในการรักษาออกแบบให้พบจิตแพทย์ควบคู่กับนักจิตวิทยา แต่สิทธิ์ครอบคลุมเพียงจิตแพทย์เท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจจะทำให้อาการแย่ลงไปอีก อีกทั้งยังให้สิทธิยารักษาโรคไม่ครอบคลุม เพราะผู้ป่วยบางคนต้องใช้ยานอกบัญชียาหลัก ผู้ป่วยจึงต้องจ่ายส่วนต่างเอง ดังนั้น นี่คือวิกฤตสุขภาพจิตประชาชน แต่งบประมาณที่จัดสรรให้กับกรมสุขภาพจิตได้เพียง 1.8% ของงบกระทรวงสาธารณสุข โดยขอไป 4,300 ล้านบาทได้มาแค่ 2,990 ล้านบาท โดนตัดไปถึง 69.4%

เมื่อดูรายละเอียดพบว่ามีงบฯ จัดสรรเกี่ยวกับโครงการดูแลสุขภาพจิตอยู่ที่ 693 ล้านบาท แต่เมื่อเจาะราย มีเพียงโครงการเสริมสร้างศักยภาพวัยเรียนและวัยรุ่น 3,651,000 บาท โครงการเสริมสร้างสุขภาพจิตวัยทำงาน 2,813,300 บาท และโครงการเสริมสร้างสุขภาพจิตวัยสูงอายุ 7,630,000 บาท ซึ่งผู้สูงอายุมีสถิติการฆ่าตัวตายถึง 9.47 ต่อแสนประชากร ดังนั้น หากอยากให้เข้าถึงโครงการนี้ทุกคนเฉลี่ยต่อหัวไม่ถึง 10 บาท ด้วยซ้ำ ขณะที่โครงการประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่อปัญหาจิตเวช และยาเสพติดที่ได้เงินสนับสนุนถึง 100 ล้านบาท



น.ส.สิริลภัส กล่าวอีกว่า ส่วนงบประมาณจัดสรรใหม่สำหรับผู้มีปัญหาสุขภาพจิต ผ่านสายด่วน 1323 ได้เพิ่ม 21 ล้านบาทสมทบจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอีก 5 ล้านบาท รวมเป็น 26 ล้านบาทขยายคู่สายได้กว่า 520,000 สาย แต่ให้ค่าตอบแทนผุ้ให้คำปรึกษาเพียงครั้งละ 50 บาท และต้องเป็นรายที่สามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งถ้าตอบแทนแบบนี้กับภาระงานของบุคลากรที่ต้องแบกรับชีวิตและความรู้สึกของคน จึงขอให้ทบทวนค่าตอบแทนส่วนนี้ ขณะที่งบสปสช.ที่จัดสรรมา 882 ล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงการรักษาสุขภาพจิตใกล้บ้าน ซึ่งตนอยากให้รัฐคำนึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงกับผู้ใช้บริการและปัญหาภาระงานบุคลากรทางการแพทย์ จึงควรจัดสรรงบเพิ่มบุคลากรด้านหน้าและสร้างแรงจูงใจด้านค่าตอบแทนค่าบริการสายด่วนสุขภาพจิต อุดหนุนการผลิตนักบำบัดกลุ่มคนที่มีปัญหา หรือกลุ่มเสี่ยง และจัดสรรงบเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ ในการพบนักจิตวิทยา ประชาชนไม่ต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม เพิ่มประเภทยาเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติให้ครอบคลุม

น.ส.สิริลภัส กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2566 กลุ่มเพื่อนผู้ป่วยซึมเศร้าเคยยื่นหนังสือถึง นพ.ชลน่าน เพื่อเสนอแนวทางดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งความจริงอยากให้รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับทุกปัญหาเท่ากันไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่เกิดจากยาเสพติด หรือ ปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นวิกฤตอยู่

เมื่อถึงช่วงท้าย น.ส.สิริลภัส กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือและร้องไห้ว่า ตัวเลขที่ตนอภิปรายมานั้นคือชีวิต คนที่เป็นลูกที่รักของครอบครัว หรือเป็นพ่อแม่ที่กำลังเลี้ยงดู ลูกให้เติบโตมาเป็นบุคลากรของประเทศ เป็นเพื่อนที่รักของทุกคนบุคลากรเหล่านี้ จะเติบโตมาขับเคลื่อนประเทศในมิติต่างๆ ตั้งแต่การ จะไปของเขาเหล่านี้สร้างความแตกสลายสร้างบาดแผลให้คนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน คนที่จบชีวิตจากโรคนี้ไปเขาไม่ได้คิดสั้นแต่เขาคิดดีและคิดมากไปแล้ว อยากให้ท่านลองมาสลับตัวกับคนที่ต่อสู้กับโรคนี้อยู่ ว่า วันหนึ่งถ้าสารเคมีในสมองผิดปกติทำงานไม่เท่ากัน จะมีอาการเจ็บปวดทรมานขนาดไหน ส่วนตัวมีรอยกรีดอยู่ที่แขนทั้งสองข้าง รอยนี้ยังกรีดไปที่หัวใจของพ่อแม่ จึงไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับครอบครัวอื่น ส่วนตัวผู้ที่พยายามจบชีวิตมากกว่า 3 ครั้ง แต่ก็บำบัด ต่อสู้กับโรคนี้มาหลายปี จนวันนี้สามารถลุกขึ้นมา ได้อาสาเป็นผู้แทนราษฎรผู้แทนประชาชน ดังนั้นหากรัฐให้ความสำคัญกับปัญหาเหล่านี้จะสามารถรักษาบุคลากรที่ขับเคลื่อนประเทศได้มาก

“ดิฉันในฐานะของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าขอพูดแทนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและผู้ป่วยจิตเวชอื่นๆ ที่อยู่ในประเทศไทย ให้ท่านช่วยพวกเราด้วย ให้ความสำคัญกับเราด้วย ให้คนที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ การรักษาสามารถเข้าถึงการรักษาที่ครอบคลุม เหมาะสม และขอแสดงความเสียใจ ต่อการจากไปของคนที่จากไปจากโรคนี้ และขอเรียกร้องอย่ามองข้ามคนกลุ่มนี้เพราะในทุกๆ วัน จะมีคนพยายามฆ่าตัวตายกว่า 85 คน ขอให้ช่วยทำให้เห็นว่า รัฐบาลนี้พร้อมที่จะยืนเคียงข้างเขาและจะทำทุกวิถีทางทำให้เขามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ โรคซึมเศร้าน่ากลัวกว่าที่คิดไม่มีเวลาให้เรา แม้กระทั่งการร่ำลา ไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่กำลังยิ้ม หัวเราะ มีความสุขด้วยกันอยู่ข้างๆ แต่มี ณ ขณะหนึ่ง เสี้ยววินาทีเท่านั้น หันหลังจากเราไป อาจเป็นการจากไปตลอดกาล” น.ส.สิริลภัส กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง : “หมอพงศ์เกษม” ขอบคุณ “สส.หมิว” กระตุ้นความสำคัญผู้ป่วยโรคซึมเศร้า