วันเสาร์, เมษายน 19, 2568

เขาว่านี่เป็น Collection 2025

มีคนทำกร๊าฟฟิคเป็น Collection 2025 เอาไว้ น่าใส่ใจเชียวละ

มีสี่อนงค์สามารถไว้ผมยาว พร้อมกับมี อาร์ม (ยอดชฎา) ประจำตัว นอกนั้นยังทรงสั้น ทรงบ็อบ หรือรองทรงกันอยู่ จนกว่าจะมีประกาศราชกิจจาฯ เปลี่ยนแปลง

ภาพสุดท้ายเขาว่า #เร็วๆ นี้ น่าคิด น่าติดตาม เหมือนละครหลังข่าว นี่ละลมหายใจรวยรินของแผ่นดิน

ใครไม่อยากจ่ายค่าไฟแพงให้เจ้าสัว อย่าง อ.พวงทอง ขอเสียงหน่อย... เหลือเวลาอีก 1 วัน...


พรรคประชาชน - People's Party 
4 hours ago
·
[ นายกฯ-รมว.พลังงาน อย่าเงียบ! เหลือ 1 วันชะลอเซ็นสัญญาซื้อไฟแพง ก่อนกลุ่มทุนสูบเงินประชาชนผ่านบิลค่าไฟอีก 25 ปี ]
.
พรุ่งนี้ 19 เมษายน จะถึงกำหนดวันที่รัฐบาลนัดเอกชนลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควรเป็นกว่า 1 แสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 25 ปี
.
ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า เหลือเวลาอีกเพียงวันเดียว ยังไม่เห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานออกมาพูดว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเงินในกระเป๋าของประชาชน
.
อย่างที่ตนพูดหลายครั้ง โครงการนี้ที่รัฐกำลังจะลงนามกับเอกชน เป็นโครงการที่กำหนดอัตรารับซื้อสูงกว่าที่ควรจะเป็น คือ 2.2 บาทต่อหน่วย ส่อแววทุจริตอีกหลายประการ ได้แก่ ไม่มีการเปิดประมูลแข่งขันราคา ไม่มีประกาศเกณฑ์คัดเลือก ศาลปกครองเองยังเคยวินิจฉัยว่าโครงการนี้เข้าข่ายส่อไปในทางทุจริต ทั้งหมดนี้ทำให้มองได้ว่าเป็นการล็อกประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มหรือไม่
.
หากปล่อยให้มีการลงนามสัญญาไปแล้ว การยกเลิกหรือแก้ไขจะเป็นไปได้ยาก เพราะตามระเบียบ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สามารถยกเลิกได้เฉพาะก่อนการลงนามสัญญาเท่านั้น ดังนั้นหากปล่อยให้มีการลงนามนี้เกิดขึ้น ข้อตกลงนี้จะกลายเป็นภาระผูกพันระยะยาวที่มีผลต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 25 ปี
.
ขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง 1 วันจะถึงกำหนดลงนามสัญญาครบทุกโครงการ ทั้งที่นายกฯ เคยสัญญากับประชาชนว่าจะลดค่าไฟทันทีเพื่อช่วยลดค่าครองชีพ แต่วันนี้พี่น้องประชาชนไม่เห็นนายกฯ เอ่ยปากถึงเรื่องนี้สักคำ
.
ส่วน รมว.พลังงาน ที่เคยให้คำมั่นในสภาฯ ว่าหากพบความผิดปกติจากการรับซื้อไฟฟ้า ท่านจะยกเลิกโครงการทันที วันนี้ท่านตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว อย่างน้อยในฐานะรองประธาน กพช. ควรชงวาระเข้าที่ประชุมเพื่อออกมติให้ชะลอการเซ็นสัญญาไว้ก่อน แต่จนถึงวินาทีนี้ รัฐมนตรียังไม่ทำ
...

ฉันไม่อยากจ่ายค่าไฟแพงให้เจ้าสัว
Puangthong Pawakapan


https://www.facebook.com/photo/?fbid=122148803018480817&set=a.122093105408480817


วุฒิชาติ กัลยาณมิตร "ผู้คุมเสียง" ของ "สว. สีน้ำเงิน" พูดถึง เนวิน-ข้อกล่าวหาฮั้วโหวต สว.


วุฒิชาติ กัลยาณมิตร เป็น 1 ใน 2 สว. ที่สมาชิกกลุ่ม "สีน้ำเงิน" บอกกับสื่อมวลชนคือตัวแทนชี้แจง "คดีฮั้วเลือก สว." ในช่วงที่ สว. ส่วนใหญ่ต่างพากันปิดปากเงียบในกรณีนี้

หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
18 เมษายน 2025

วุฒิสภาชุดที่ 13 จบ 2 สมัยประชุมแรกท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมภายนอก ทั้งเรื่องที่มาซึ่งถูกตั้งคดีอาญาจากข้อกล่าวหา "ฮั้วเลือก สว." และการทำหน้าที่ในสภาสูงซึ่งหลายครั้งไปสอดรับกับทิศทางของ "พรรคสีน้ำเงิน"

แม้มีการคาดการณ์ว่าสมาชิกกลุ่มใหญ่ที่ถูกขนานนามว่า "สว. สีน้ำเงิน" มีเสียงในสภาราว 3 ใน 4 ของ สว. ทั้งหมด 200 คน แต่น้อยคนนักจะมีโอกาสเปล่งวาจากลางห้องประชุมจันทราของวุฒิสภา

สังคมรับรู้การมีอยู่ของพวกเขาในเชิงปริมาณผ่านผลการลงมติซึ่งออกมาอย่างเป็นเอกภาพ จนกลายเป็นเวทีแสดงพลังของ "ผู้คุม" สีน้ำเงินตัวจริง และมีนัยสำคัญยิ่งในภาวะที่เสียงของ สว. มีส่วนวางกล-พลิกเกมการเมือง

นี่จึงได้เวลาที่บีบีซีไทยจะสนทนากับแกนนำ สว. ผู้มีบทบาทในการ "รวมเสียง-คุมเสียง" และยังเป็น "ปากเสียง" ของเพื่อนร่วมกลุ่มในการชี้แจงแสดงเหตุผลและแก้ข้อครหาต่าง ๆ ต่อสาธารณะ

แม้ออกตัวว่า "เป็นคนธรรมดา ไม่มีบารมี" แต่เมื่อเสียงของ วุฒิชาติ กัลยาณมิตร เลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการวุฒิสภา หรือวิปวุฒิสภา ดังขึ้นกลางสภา บรรดา สว. น้อยใหญ่ในเครือข่าย ก็จำต้องฟัง-ทำตาม

"ผมอาจจะพูดแล้วโดนใจมั้ง" วุฒิชาติ ออกตัวกับบีบีซีไทย ก่อนกล่าวว่า สว. แต่ละคนมีศักดิ์ศรีความเป็น สว. เหมือนกัน และมีโปร์ไฟล์ดีทั้งนั้น ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีบารมี

บีบีซีไทยชวนเขาย้อนเส้นทางก่อนเข้าสภาสูง สู่ สถานะทางอำนาจในปัจจุบัน

เส้นทางสู่สภาสูง ด้วยคะแนนสูงสุดของกลุ่ม


เอกสารแนะนำตัวผู้สมัครแยกเป็นรายกลุ่มอาชีพรวม 20 กลุ่มถูกติดไว้ที่บอร์ดหน้าสถานที่เลือก จากผู้สมัครในชั้นแรกราว 4.8 หมื่นคน เหลือเพียง 200 คนสุดท้ายได้เป็น สว. ตัวจริง และอีก 100 คนเป็นตัวสำรอง

สว. รายนี้เข้าสภาสูงด้วยคะแนนเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม 11 (กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ หรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว) โดยได้ 78 คะแนน

ในเอกสารแนะนำประวัติและประสบการณ์การทำงานที่เรียกว่า "สว. 3" ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้ผู้สมัครแนะนำตัวได้ไม่เกิน 5 บรรทัด ทว่า วุฒิชาติ เขียนเพียง 2 บรรทัด ระบุว่า ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กับผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งเขาเห็นว่า "เพียงพอแล้ว" เพราะในระยะเวลา 20 ปีที่เป็นหัวหน้า 2 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการประชาชน และเกี่ยวข้องกับการส่งคนกลับบ้านในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ทำให้เขามีโอกาสออกสื่อบ่อย จนเพื่อนผู้สมัครจำหน้าได้-เข้ามาทักทายเมื่อเห็นตัวจริง

ท่ามกลาง "กติกาพิสดาร" ที่ไทยนำมาใช้เลือก สว. เป็นครั้งแรกในโลก ผู้สมัครไม่เพียงต้องเรียนรู้ระบบใหม่ แต่ยังต้องแสวงหาเครือข่ายอย่างกว้างขวาง-ขอคะแนนจากผู้สมัครรายอื่น ๆ ซึ่งมีสถานะเป็นโหวตเตอร์ด้วย เพื่อให้ผ่านรอบเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ เลือกไขว้กลุ่มอาชีพ และเลือกแบบไต่ระดับ 3 ชั้น (อำเภอ จังหวัด ประเทศ)

แต่ถึงกระนั้น วุฒิสมาชิกจาก จ.หนองบัวลำภู ไม่ได้เอ่ยถึงที่ปรึกษาทางการเมือง และไม่ได้เปิดเผยเทคนิคส่วนตัวที่ใช้ขอคะแนนเสียง โดยบอกเพียงว่าก็เข้าไปแนะนำตัวตามปกติ

ในกลุ่ม 11 มีผู้สมัครทั้งสิ้น 1,177 คน โดย สว. ตัวจริง 10 คน ได้คะแนนตั้งแต่ 73-22 คะแนน ที่น่าสังเกตคือ 6 อันดับแรกมีคะแนนเกาะกลุ่มกันตั้งแต่ 51 คะแนนขึ้นไป ส่วนอีก 4 อันดับที่เหลือได้ 20 คะแนนเศษลงมา



ในฐานะโหวตเตอร์ วุฒิชาติ เล่าว่า เขาเลือกคนที่มีโปร์ไฟล์โดดเด่น และยอมรับว่าถือ "โพย" ที่เขียนด้วยตัวเองเข้าไปในคูหาการเลือกระดับประเทศเมื่อ 26 มิ.ย. 2567

"มันไม่มีใคร genius (อัจฉริยะ) ขนาด โอ้โห เห็นแล้วจำได้ทุกตัวหรอก กกต. เขาก็ให้เอาเข้าไป ผมก็ยังถือเข้าไปเลย ผมก็ไม่สามารถจดจำได้ทุกคนเหมือนกัน" วุฒิชาติ เปิดเผย

สว. กลุ่มใหญ่ vs ดีเอสไอ

แม้วุฒิสภาชุดที่ 13 ทำหน้าที่มา 2 สมัยประชุมแล้วนับจากเดือน ก.ค. 2567 แต่กระบวนการได้มาซึ่ง 200 สว. ยังเป็นปัญหาคาใจใครหลายคนและกำลังเขย่าอำนาจของคนในสภาสูงอย่างหนัก เมื่อ สว. อย่างน้อย 138 คน และตัวสำรอง 2 คน อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน จากข้อกล่าวหาเรื่อง "ฮั้วเลือก สว."

ถึงตอนนี้ยังไม่มี สว. รายใดถูกดีเอสไอเรียกไปให้ข้อมูล ตามความรับรู้ของ สว. วุฒิชาติ แต่คำว่า "ขบวนการอั้งยี่" คล้ายทำให้วุฒิสมาชิกเสื่อมเสียแล้ว

"สมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติถูกเรียกว่าเป็นอั้งยี่ซ่องโจร ผมว่ารับไม่ได้นะ หลายคนก็คงไม่พอใจกับฉายานี้แน่นอน" สว. จากหนองบัวลำภู กล่าว

จากการตรวจสอบของ วุฒิชาติ เพื่อนร่วมสภาเกือบทั้งหมดถูก กกต. เรียกไปสอบถาม-ให้ชี้แจง-แก้ข้อกล่าวหา คาดว่าไม่ต่ำกว่าคนละ 2 ครั้ง ไม่เว้นกระทั่งรองประธานวุฒิสภา

ส่วนตัวเขาต้องหอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ไปชี้แจงต่อ กกต. 5-6 ครั้ง แบ่งเป็น กกต. กลาง 3-4 ครั้ง ที่เหลือเป็น กกต.จว.หนองบัวลำภู หลังมีผู้ร้องว่าคุณสมบัติไม่ตรงกับสาขาที่ลงสมัคร และกล่าวหาว่าชักจูงและให้อามิสสินจ้างแก่ผู้ลงคะแนนเลือก

แกนนำ สว. "สีน้ำเงิน" ยืนยันว่า สว. ไม่เคยมีปฏิกิริยากับ กกต. ไม่ออกมาโวยวายหรือตีโพยตีพาย เพราะยอมรับกติกาว่า กกต. มีอำนาจหน้าที่โดยตรง แต่พอดีเอสไอเข้ามาแล้วมาตั้งข้อหารุนแรง-ตั้งคดีอาญา ทุกคนจึงมีปฏิกิริยา

"จู่ ๆ มีคนเอาไม้มาตีเรา เราจะยกมือป้องไหมหรือเราจะปล่อยให้เขาตี เราก็ต้องยกมือป้อง มันเป็นเรื่องปกติ เป็นการป้องกันตัวเรา" เขาเปรียบเปรย


การเลือก สว. ระดับประเทศเมื่อ 26 มิ.ย. 2567 ต้องนับคะแนนข้ามคืนไปเสร็จราวเวลา 04.00 น. ของวันถัดไป ท่ามกลางข้อสังเกตว่าคนหัวตารางของทุกกลุ่มได้คะแนน "สูงแบบเกาะกลุ่ม" ทิ้งห่างคนกลางและท้ายตารางลงมา

สว. กลุ่มใหญ่เกือบร้อยชีวิต นำโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร อีกแกนนำคนสำคัญของกลุ่ม "สีน้ำเงิน" ได้ลุกขึ้นมา "เอาคืน" โดยยืมดาบของ 2 องค์กรอิสระเอาผิดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)

ดาบแรก ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กล่าวโทษ 11 กรรมการ กคพ. เฉพาะคนที่ร่วมลงมติรับคดีฟอกเงินฮั้ว สว. เป็นคดีพิเศษ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ดาบสอง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธาน กคพ. และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธาน กคพ. สิ้นสุดลง โดยกล่าวหาว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อ 26 มี.ค. รับคำร้องไว้พิจารณา และให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 คนยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาล

แน่นอนว่า วุฒิชาติ ร่วมลงลายมือชื่อในทั้ง 2 คำร้องด้วย ทว่าเจ้าตัวกลับระบุว่า "ไม่คาดหวัง" ผลของคดี เพราะเมื่อหลุดจากมือ สว. ไปแล้ว ก็ให้คนกลางวินิจฉัยและพร้อมยอมรับผลไม่ว่า ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญจะบอกอย่างไรก็จบตามนั้น

จากวันที่ดีเอสไอยื่นมือเข้ามาทำคดีฟอกเงินเลือก สว. น่าสนใจว่า สว. กลุ่มใหญ่ยังเกาะกลุ่มกันดีหรือไม่ บรรดาคนธรรมดาที่พลัดหลงเข้ามาทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติรู้สึกหวาดกลัว-ถอดใจ-ได้รับข้อเสนอให้แปรพักตร์-เปลี่ยนสีเสื้อเพื่อแลกกับความปลอดภัยทางการเมืองหรือไม่

วุฒิชาติ ไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรง ๆ โดยบอกเพียงว่า ความรู้ด้านกฎหมายและประสบการณ์การทำงานของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน แต่ได้พูดคุยกันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็ว่าไปตามนั้น

"ถ้าเขามีหลักฐาน แล้วเราไม่ได้ทำ เราก็แก้กันไป เขามีความคิดว่าเขามีอำนาจก็ทำไป เราคิดว่าเขาไม่มีอำนาจ เราก็ทำหน้าที่ของเราแล้ว"


"สว. สีน้ำเงิน" นำโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภา เมื่อ 27 ก.พ. ขอให้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ กคพ. ว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่กรณีกล่าวหาฮั้วเลือก สว.

"เครื่องมือทางการเมือง" ของใคร?

วิเคราะห์ว่าอะไรทำให้ดีเอสไอลุกขึ้นมาทำคดีนี้ บีบีซีไทยถาม

วุฒิชาติ ปฏิเสธจะตอบโดยบอกว่า "ผมไปคิดแทนเขาไม่ได้"

แต่เขาแสดงทัศนะว่า ไม่อยากให้อะไรก็แล้วแต่เป็น "เครื่องมือที่ใช้ต่อรองทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเป็นอย่างนั้นนะ แต่สิ่งที่ผมมองคืออันนี้เราไม่ชอบ แล้ว กกต. มีไว้ทำไมครับ"

น่าสนใจว่าเวลาเอ่ยถึง "เครื่องมือทางการเมือง" บรรดา สว. คิดว่าดีเอสไอถูกใช้โดยใคร

นี่เป็นอีกคำถามที่ วุฒิชาติ หลีกเลี่ยงจะให้คำตอบ โดยระบุว่า ไม่แน่ใจ และไม่ไปก้าวล่วงคิดถึงขนาดว่าใครใช้ดีเอสไอ

"ท่านอาจจะมองด้วยความที่ว่าอยากจะมาปกป้องโน่นนี่นั่น ท่านก็เลยลุกขึ้นมาทำเองอะไรเอง วันนี้ใครคุมดีเอสไอครับ คนที่มีหน้าที่บังคับบัญชาดีเอสไอคือใคร" เขาพูดเพียงเท่านั้น

ในคำร้องของ 92 สว. ที่ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ ได้บรรยายพฤติการณ์ของ ภูมิธรรม-ทวี ว่าแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของ กกต. โดยใช้ดีเอสไอเป็น "เครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือก สว. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำ สว. ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม"


กคพ. มีมติเมื่อ 6 มี.ค. ให้รับทำคดีฮั้วเลือก สว. เฉพาะความผิดฐานฟอกเงิน ภูมิธรรม เวชยชัย แถลงมติว่า ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กกต. แต่ทำในฐานะที่ดูแลเรื่องคดีอาญาเท่านั้น

แต่ในมุมกลับกันมีข้อสังเกตว่า สว. ขั้วใหญ่ก็เป็น "เครื่องมือ" ของบางพรรคการเมืองหรือไม่ สะท้อนผ่านหลายวาระทางกฎหมายที่พรรคร่วมฯ เห็นขัดแย้งกับพรรคแกนนำรัฐบาล ก็มีการใช้ สว. เป็นตัวแสดงแทน

วุฒิชาติ แย้งว่า มันไม่ใช่ทุกเรื่อง สว. มองด้วยเหตุและผล

"ผมเพิ่งฟังข่าว ตอนนี้ก็มีคนบอกว่า สว. ไม่ได้อยู่ในอาณัติของสีน้ำเงินแล้วนะ เริ่มไม่ฟังแล้วนะ เพราะทางนั้นเป็นพรรคร่วมฯ ใช่ไหมครับ ให้การสนับสนุนเรื่อง พ.ร.บ.กาสิโน แต่ สว. บอกไม่เอา ไม่เห็นด้วย มันย้อนแย้งไหมครับ" เขาโยนคำถามกลับ

รัฐบาล "แพทองธาร" ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่บรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 9 เม.ย. ออกไปก่อน หลังเกิดแรงต้านจากหลายภาคส่วนทั้งในและนอกสภา ในจำนวนนี้มี สว. กลุ่มใหญ่ นำโดย พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกกลุ่ม "สีน้ำเงิน" นำทีมแถลงค้าน (8 เม.ย.) โดยประกาศว่า หากสภาโหวตรับร่าง พ.ร.บเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ วุฒิสภาจะเข้าชื่อยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช หรือศาลรัฐธรรมนูญ ในความผิดด้านจริยธรรมต่อไป


สว. "สีน้ำเงิน" พร้อมใจกันทำสัญลักษณ์กากบาท เพื่อสื่อว่าไม่เอากาสิโนในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อ 8 เม.ย.

สอดคล้องกับท่าทีของ ไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ประกาศกลางสภา (9 เม.ย.) ว่า "ผมนายไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของนายเนวิน และนางกรุณา ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน..." ร้อนถึง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. ต้องรีบออกมาชี้แจงว่าเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของ "ลูกเนวิน" ไม่ใช่มติพรรค พร้อมขอโทษนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร แบบด่วนจี๋ แต่ไม่อาจทำให้ภาพความขัดแย้งระหว่างพรรค พท. กับ ภท. เบาบางลง

สว. "สีน้ำเงิน" ยกคณะไปบุรีรัมย์

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง "สีน้ำเงินยึดสภาสูง" เกิดขึ้นตั้งแต่สังคมได้เห็นโฉมหน้าของ สว. โดยพบว่า ผู้สมัครจากจังหวัดที่อยู่ในเขตอิทธิพลทางการเมืองของ "พรรคสีน้ำเงิน" รวมถึงคนใกล้ชิด ต่างได้รับเลือกให้เข้าสภาอย่างพร้อมเพรียง โดยมีทั้งที่เป็น "คนดัง" และ "โนเนม"

จ.บุรีรัมย์ นำ สว. เข้าสภาได้มากที่สุดของประเทศรวม 14 คน กระจายอยู่ในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ โดยถือเป็นยอดที่มากกว่าเมืองหลวงของประเทศอย่าง กทม. ซึ่งมี สว. 9 คน

ที่ผ่านมา บรรดา สว. กลุ่มใหญ่ รวมถึง วุฒิชาติ ไม่มีใครปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่ "สว. สีน้ำเงิน" แต่คำจำกัดความ สีน้ำเงิน ในความหมายของพวกเขาคือสถาบันหลักของชาติ

"ผมค่อนข้างจะเป็นคนที่เรียกว่าจงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาก นามสกุลผมก็นามสกุลพระราชทาน เพราะฉะนั้นถ้าใครมาแตะต้องเรื่องของสถาบันฯ เป็นเรื่องที่เรายอมไม่ได้" เขากล่าวย้ำกับบีบีซีไทย

ไม่ว่าพวกเขาจะให้นิยามอย่างไร แต่ภาพที่สังคมเห็นและเชื่อมโยง "สว. สีน้ำเงิน" เข้ากับพรรค ภท. เกิดจากการที่ สว. ยกคณะกันไปเหยียบบุรีรัมย์หลายครั้ง อาทิ ไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดปีที่ 66 ของ "ครูใหญ่ภูมิใจไทย" เนวิน ชิดชอบ เมื่อ 4 ต.ค. 2567 และพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีน้ำเงินไปร่วมงาน "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ที่สนามช้างอารีนา อ.เมืองบุรีรัมย์ เมื่อ 19 มี.ค. 2568

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วุฒิชาติ ออกตัวว่า ไม่รู้เรื่องวันเกิดของ เนวิน แต่ยอมรับว่ามีความคุ้นเคยกับ เนวิน เมื่อครั้งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล "ทักษิณ" และได้รับมอบหมายให้ไปร่วมจัดระเบียบรถตู้ตามนโยบายของนายกฯ

"เราก็มีความคุ้นเคย ผมถือว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีเอกเทศทางความคิดทางการเมือง มีอะไรปั๊บ ถ้าเราไปแสดงเรื่องความเป็นเด็กกับผู้ใหญ่ได้ เราก็ไป ถามว่าผมเคยไปไหม ไป แต่ว่าไม่ได้ไปทุกปี ว่างก็คือไป ถ้าไม่ว่างก็ไม่ได้ไป ก็อยู่ที่จังหวะ" เขากล่าว

วุฒิชาติ ยังบอกด้วยว่า ไม่ได้ไปแค่งานวันเกิดของ เนวิน เท่านั้น แต่เคยไปร่วมงานวันเกิดของอดีตผู้บังคับบัญชาคนอื่น ๆ ด้วยหากมีเวลาว่าง และส่วนตัวก็รู้จักคนใน ครม. เกือบทั้งหมดโดยเฉพาะอดีต รมต.คมนาคม


สว. แห่ถ่ายรูปกับหัวหน้าพรรค ภท. ในระหว่างการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาล "แพทองธาร" เมื่อ 12 ก.ย. 2567

ส่วนการไปร่วมงานนิทรรศการผ้าไทยที่บ้าน "ชิดชอบ" เป็นเจ้าของสนามช้างนั้น เขากล่าวว่า สว. ไปร่วมรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนหลายหน่วยงานไปร่วมงาน แม้กระทั่งตัวนายกฯ ก็ยังไป

อย่างไรก็ตาม สว. วุฒิชาติ ยอมรับว่า เวลาใครไปบุรีรัมย์มักกลายเป็นประเด็นขึ้นมา ซึ่งเขาเห็นว่าจังหวัดในแดนอีสานใต้แห่งนี้มีความพิเศษ จากเคยเป็นจังหวัดยากจน ปัจจุบันเศรษฐกิจได้รับการพัฒนา "ด้วยความโดดเด่นของบรรดา สส. ที่เขาค่อนข้างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แล้วก็สามารถเอานั่นเอานี่มาสร้างความเจริญให้บุรีรัมย์ได้"

ถามตรง ๆ ว่าพรรค ภท. เคยชวนลงสมัคร สส. หรือไม่

"หลายพรรคเลยครับ ไม่ใช่แต่พรรคภูมิใจไทย" เขาตอบทันควัน ก่อนแจกแจงเพิ่มเติมว่า เป็นเพราะการทำงานซึ่งมีความโดดเด่นบ้าง ไม่ได้เก่งที่สุด แต่เวลารับผิดชอบอะไรแล้วจะทุ่มเท แม้แต่พรรคไทยรักไทยก็เคยชวน

สว. วัยย่าง 61 เปิดเผยด้วยว่า สนใจการเมืองมานานพอสมควร แต่ไม่เคยคิดลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะไม่ถนัดงานพื้นที่ แต่เมื่อกติกาการได้มาซึ่ง สว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เอื้ออำนวย สู้กับคนไม่มากเพราะเป็นการเลือกเฉพาะตามฐานอาชีพ จึงตัดสินใจลงสมัครเพราะคิดว่า "เราก็น่าจะมีดีพอไปสู้กับเขาได้ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตไป"

ผลโหวตทะลุร้อย "มันเป็นความบังเอิญที่อาจจะเกิดขึ้นได้"

เมื่อเข้ามาเป็นนักการเมืองเต็มขั้น บทเด่นที่ วุฒิชาติ ได้รับ หนีไม่พ้น การทำหน้าที่ "มือรวมเสียง-ควบคุมเสียง" เพื่อนร่วมสภาที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ การันตีผลงานด้วยคะแนนแบบ "ไม่แตกแถว" ราว 130-150 เสียงในการลงมตินัดสำคัญ

อะไรทำให้คนเป็น 100 คนตัดสินใจลงมติเหมือน ๆ กัน?

เลขานุการวิปวุฒิสภาบอกว่า วุฒิสภาไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองหลาย ๆ พรรค ซึ่งแต่ละพรรคมักมีความเห็นและจุดยืนไม่ตรงกัน สว. ใช้การพูดคุยกันว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้ แม้มีคนเห็นต่าง แต่พอคุยในวิปแล้วได้ข้อสรุป ได้ข้อตกลง ก็มาว่ากันตามนั้น

ในการลงมติแต่ละวาระ วุฒิชาติ ขอ "อย่าเอาความคิดของแต่ละท่านมาเป็นบรรทัดฐาน เพราะแต่ละท่านคิดแต่ละครั้งบางทีอาจจะไม่เหมือนกัน ถ้าบอกว่าบล็อกโหวต แล้วทำไมคะแนนมันไม่เท่ากันมาตลอดละ"

"มันเป็นความบังเอิญที่อาจจะเกิดขึ้นได้" เขาสรุป

ขาประจำตรวจสอบประวัติองค์กรอิสระ

นอกจากเป็น "วิปตัวจริง" วุฒิชาติ ยังครองแชมป์เป็น กมธ.ตรวจสอบประวัติผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระสูงสุด 8 เดือน รวม 8 ชุด ทำให้เพื่อนร่วมสภาอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า สว. รายนี้เชี่ยวชาญ-เก่งกาจด้านการสอบประวัติอะไรขนาดนั้น

"ขอบคุณสำหรับคำถามนี้เลยนะ" เขาตอบรับคำถามราวกับผู้เข้าประกวดนางงาม ก่อนอธิบายว่า ได้รับเลือกจากที่ประชุมวิปวุฒิสภา เพราะทุกคนเห็นว่าจะช่วยให้การประสานงานราบรื่นรวดเร็ว จึงเห็นควรให้เลขานุการวิปไปเป็นเลขานุการ กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ

"ในเมื่อผมเป็นวิป มันจะได้ประสานกันง่าย เวลาตรวจสอบมันมีกรอบระยะเวลา 60 วันเอง แล้วเราเคยทำ เราเห็นแล้วว่ามันต้องทำอย่างนี้ๆ ผมไปช่วยเซฟเรื่องเวลาการทำงานได้ค่อนข้างเยอะ ไม่ต้องขยายเวลา" ชายผู้เป็น "ขาประจำ" ครองเก้าอี้เลขานุการ กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ กล่าว


วุฒิชาติ ร่วมเป็น 1 ใน 15 กมธ.ตรวจสอบประวัติแคนดิเดตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่เสียงส่วนใหญ่ของวุฒิฯ จะตีตกชื่อไปเมื่อ 18 มี.ค.

ทว่าล่าสุดมี กมธ. ตรวจสอบประวัติฯ 2 ชุดที่เขาไม่ได้ร่วมวงด้วยคือ ชุดสอบประวัติกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) เนื่องจาก วุฒิชาติ เป็นประธานกรรมการสรรหาผู้สมัคร และชุดสอบประวัติกรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจาก วุฒิชาติ ร่วมลงชื่อในคำร้องขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบจริยธรรม กคพ. ด้วย จึงขอถอนตัวไปเพราะเกรงเกิดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

"ดังนั้นจะบอกว่า วุฒิชาติ เป็นเลขาฯ ทุกคณะไม่ได้แล้วนะ วันก่อนก็มีเพื่อนสมาชิกเสนอให้เปลี่ยนชื่อเป็น กมธ. คมนาคมและตรวจสอบองค์กรอิสระ ให้ผมแล้ว... ก็ถ้าเสนอเป็นญัตติ แล้วมีผู้รับรองครบ มีผู้ให้ความเห็นชอบ ก็เอาอะครับ" วุฒิชาติ ผู้เป็นประธาน กมธ.คมนาคม กล่าวทีเล่นทีจริง

แก๊งแจ็ค

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองวิเคราะห์ว่า เหตุที่ วุฒิชาติ ทำหน้าที่มือประสานได้ดี เป็นเพราะ "มีเพื่อนเยอะ" และ "มีทุนหนา" จนเป็นที่มาของกลุ่มก๊วนการเมืองและธุรกิจที่ถูกเรียกขานว่า "แก๊งแจ็ค"

สว. ผู้มีชื่อเล่นว่า "แจ็ค" ไม่รู้ความหมายของฉายานี้ โดยโยนให้ไปสอบถามคนที่ตั้งชื่อ

ทว่าก่อนมาทำงานการเมือง วุฒิชาติ ยอมรับว่า "ผมมีแต่พวก ศัตรูเราน้อยมาก ใครไหว้วานอะไรมา ถ้าเราทำให้ได้ก็ทำ" และเมื่อเข้ามาทำงานในสภาแล้ว ก็มีเพื่อนฝูงทั้งสภา เพราะค่าเฉลี่ยอายุไม่ได้สูงวัยมากไป น้อง ๆ สว. ก็มาคุยด้วยได้ อีกทั้งในฐานะเลขานุการวิปก็เป็นเหมือนศูนย์กลางที่ใครมีอะไรก็มาเสนอ มาแลกเปลี่ยนความเห็นตลอด

แต่เขาปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็น "ท่อน้ำเลี้ยง" ของใคร ไม่ได้ดูแลใคร เพราะต่างคนต่างมีเงิน "ถ้าไปกินไปเที่ยวกัน มื้อเล็ก ๆ ก็เลี้ยงกันได้ ถ้ามื้อใหญ่หน่อยก็ต้องแชร์ แต่ทุกคนก็สนุก ไปกิน ไปเที่ยวกัน... ไม่มีที่ไหนท่อน้ำเลี้ยง"

ชอบ "ครูใหญ่" ตรงไหน

เมื่อถามว่า ผ่านมา 2 สมัยประชุม สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในการทำหน้าที่ สว. คืออะไร

เขาทวนคำถาม-นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า สิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือได้ทำหน้าที่ของตัวเองแบบสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ถึงแม้จะไม่เป็นที่ถูกใจของใครก็ช่าง เข้าใจ การทำงานย่อมมีคนรักคนชอบ คนได้ก็ชอบ คนไม่ได้ก็อาจจะไม่ชอบ อาจจะเกลียด

"ผมเคยพูดเล่น ๆ นั่งทานข้าวกัน ครบวาระ 5 ปีถ้าอยู่ถึงนะ ก็คงไม่มีใครคบผมแล้วละ เหลืออยู่ผมคนเดียว"

"ทุกคนก็มองว่าผมเหมือนแบบอะไรอะ มาให้ผมชี้นำ ผมเป็นผู้มีบารมี ผู้มากบารมี จริง ๆ มันไม่ใช่อะไรเลย"


เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด พานายกฯ แพทองธาร ทัวร์สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมื่อ 3 เม.ย. โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรค ภท. ร่วมด้วย

บีบีซีไทยโยนคำถามหยั่งเชิงไปว่า คนเขาคิดว่าเป็น "ผู้ช่วยครูใหญ่" หรือเปล่า ทำให้ วุฒิชาติ ถึงกับร้อง "อูย มิบังอาจหรอกครับ ฝีมือแค่ผมนะคงมิบังอาจไปเป็นผู้ช่วยครูใหญ่ท่านได้หรอก"

"ท่านเป็นคนที่ระวังตัว แล้วท่านก็ไม่ได้ให้ใครเข้าไปอยู่ในวงในท่าน คนวงในท่านก็จะมีคนที่ทำงานการเมืองกับท่าน อะไรอย่างนี้ (ส่ายหัว) ไม่ใช่หรอกครับ ไม่ถึงอะ ความรู้ความสามารถไม่ถึงที่จะเป็นกุนซือให้" แกนนำ สว. สีน้ำเงินกล่าว

ทว่าในฐานะที่เคยร่วมงาน ได้เห็นวิธีคิด ก็ได้ลอกเลียนเคล็ดวิชาจาก "ครูใหญ่"

"เขาเป็นคนที่กล้าตัดสินใจ อันนี้ผมถือว่าโอเคเลย ไม่กลัวไม่อะไร คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น ผมชอบ" นี่คือสิ่งที่ สว. วุฒิชาติ รู้สึกประทับใจที่สุดในการทำงานการเมือง "สไตล์เนวิน"

https://www.bbc.com/thai/articles/c05n93ndp88o


ไอหยา ! พบขบวนการจีนเปิดรับทำบัตรประชาชนไทยผ่านโซเชียลจีน XHS เสี่ยวหงส์ชู – เสี่ยงกระทบความมั่นคง


รู้ทันจีน
Yesterday
·
พบขบวนการจีนเปิดรับทำบัตรประชาชนไทยผ่านโซเชียลจีน XHS เสี่ยวหงส์ชู – เสี่ยงกระทบความมั่นคง

ผู้ใช้งานบนโซเชียลจีนเผยแพร่โชว์ภาพบัตรประชาชนไทย พร้อมข้อความว่า “รับทำบัตรโดยพี่ซี” โดยบัญชีชื่อ “ร้านขายรังนกในไทย” โฆษณาว่าสามารถจัดทำบัตรประชาชนไทย พร้อมบริการตรวจสอบในระบบราชการจริง สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของขบวนการปลอมแปลงเอกสารหรือแทรกแซงข้อมูลภาครัฐ

จากการสนทนาในโพสต์ มีผู้สอบถามราคาทำบัตร และร้านแนะนำให้ติดต่อผ่านช่องทางส่วนตัว แสดงถึงลักษณะ “ธุรกิจใต้ดิน” ที่อาจเชื่อมโยงกับการเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือขบวนการแสวงหาสัญชาติไทยอย่างมิชอบ

กรณีนี้อาจกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ และควรได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานความมั่นคงและตรวจคนเข้าเมืองโดยเร่งด่วน

แปลไทยในภาพ

แปลเนื้อหาภาษาจีนในภาพ:
• ตัวหนังสือบนภาพ (สีแดง):
“西哥代办” – ซีเกอรับดำเนินการให้ (หมายถึงคนชื่อ “พี่ซี” รับจ้างดำเนินการทำบัตรให้)
• คำบรรยายโพสต์:
“2月21号 拍的公民证” – ถ่ายบัตรประชาชนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์
แฮชแท็ก: #护照 (พาสปอร์ต) #公证 (หนังสือรับรอง) #身份证 (บัตรประชาชน) #泰国入籍 (สัญชาติไทย) #泰国移民 (อพยพเข้าไทย) #第二国籍 (สัญชาติที่สอง)
• ความคิดเห็น:
1. “我估计很难拿到吧” – ฉันเดาว่าได้มายากมากแน่เลย
2. ร้านตอบกลับ: “你只管准备好 别的我们有人专门办理 办完查系统真假”
– คุณแค่เตรียมเอกสารให้พร้อม เรื่องอื่นเรามีคนจัดการให้ ตรวจสอบจริงปลอมในระบบก็ได้
3. ผู้ใช้ถาม: “价格多少” – ราคาเท่าไหร่
ร้านตอบกลับ: “私我 这个不在评论区说” – ทักส่วนตัวนะ เรื่องนี้ไม่พูดในคอมเมนต์



บทสรุปและข้อสังเกต (เบื้องต้น):
• โพสต์นี้แสดงภาพบัตรประชาชนไทยที่ดูเหมือนถูกจัดทำขึ้นอย่างผิดกฎหมาย พร้อมประกาศว่า “สามารถจัดทำได้” พร้อมการสนทนาเชิง “ซื้อขาย”
• มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็น ขบวนการปลอมแปลงเอกสารราชการไทย เพื่อขายให้คนจีน
• คำพูดจากร้านระบุว่ามี “คนเฉพาะทางดำเนินการ” และสามารถตรวจสอบกับระบบได้ ทำให้ต้องสงสัยว่าอาจมีการแอบอ้างหรือใช้ช่องโหว่ทางราชการ

แหล่งที่มา (เขาลบออกจากโซเชียลแล้วครับ )

ลิงข้อมูลเพิ่มเติมภาพที่แคปไว้ก่อน ต้นทาง จะลบ

https://www.facebook.com/share/p/15NuaUUS9r/?

ขอบคุณข้อมูลจาก ลูกเพจท่านนึง

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122137310204403461&set=a.122100270956403461



คลิปนี้ลบไปแล้ว แต่มีแคปเอาไว้ได้ มาจากเพจ อบจ.ลำพูน เป็นภาพประชาชนจังหวัดลำพูน ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ กำลังทำการแสดงท่ามกลางพายุฤดูร้อน ให้เหล่าคณะ อบจ.ลำพูน นั่งดูอยู่ในที่ร่ม คำถามถึง อบจ.ลำพูน ทำไมถึงปล่อยให้ประชาชนอยู่ในอันตราย ในขณะที่ตัวเองนั่งปรบมือชมการแสดงอย่างสนุกสนาน

https://www.facebook.com/100015857766962/videos/1056238566550933/


สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ชวนมองกองทัพไทยผ่านแนวคิด 'patrimonialism' หรือรัฐแบบอุปถัมภ์ ซึ่งช่วยอธิบายการดำรงอยู่ของกองทัพไทยในฐานะกองทัพแบบอุปถัมภ์หรือกองทัพราชสมบัติ


The101.world
18 hours ago
·
“ในโครงสร้างรัฐที่ผู้ปกครองถืออำนาจเสมือนเป็นสมบัติส่วนตัวเช่นนี้ กองทัพจึงถูกใช้เป็นกลไกสำคัญในการรักษาโครงสร้างดังกล่าว กองทัพไทยดำรงอยู่ภายใต้ระบบที่เอื้อให้ทหารระดับสูงสามารถใช้สถานะของตนเพื่อรักษาอำนาจของชนชั้นนำแทนที่จะทำหน้าที่รับใช้ประชาชนและรัฐตามหลักสากล”
.
“กองทัพไทยในบริบทนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องประชาธิปไตยหรือสนับสนุนรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับเป็นผู้กำหนดทิศทางของรัฐไทย ผ่านการรัฐประหารและการแทรกแซงการเมืองในรูปแบบต่างๆ และการดำรงสถานะพิเศษที่อยู่เหนือการตรวจสอบของสังคม”
.
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ชวนมองกองทัพไทยผ่านแนวคิด 'patrimonialism' หรือรัฐแบบอุปถัมภ์ ซึ่งช่วยอธิบายการดำรงอยู่ของกองทัพไทยในฐานะกองทัพแบบอุปถัมภ์หรือกองทัพราชสมบัติ (patrimonial military) ที่มีบทบาทหลักในการรักษาสมดุลอำนาจของชนชั้นนำ มากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนโดยรวม
.
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/patrimonial-army/
.
“อนุสนธิจากการเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร ทำให้ได้รับรู้ความจริงประการหนึ่งว่า กองทัพไทย ‘หวง’ ธุรกิจหรือกิจการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างมาก ราวกับว่ามันเป็นกิจการประจำเหล่าหรือหน่วยทหาร หรือในหลายกรณีเป็นของรุ่น เหล่า หรือ นายทหารบางกลุ่มบางพวกมากกว่าจะเป็นสมบัติของชาติซึ่งสามารถโอนย้าย ปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือแม้แต่ยุบเลิกไปเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรและประโยชน์สาธารณะ”
.
“ประกอบกับการได้อ่านงานของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (2483-2566) อีกครั้งในผลงานรวมเล่มล่าสุด ‘ทหารไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร’ ว่าด้วยวัฒนธรรมทหารในกองทัพไทยและกองทัพอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดความคิดว่า น่าจะลองใช้แนวคิด ‘patrimonialism’ เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์กองทัพไทยดูบ้าง เผื่อว่าจะได้แนวทางในการปฏิรูปกองทัพไทยให้ ทันสมัย เข้มแข็ง และที่สำคัญเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้วหันไปให้ความสำคัญกับหน้าที่หลักในการป้องกันประเทศเสียที”
.
“แนวคิด patrimonialism หรือ patrimonial state หรือ รัฐแบบอุปถัมภ์ ซึ่งคำนิยามที่นักวิชาการไทยนิยมใช้กัน เช่น รัฐราชสมบัติ (นิธิ เอียวศรีวงศ์) และ รัฐสมบัติ (ปิยบุตร แสงกนกกุล) นั้นมาจากมักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ซึ่งนิยามรัฐชนิดนี้ว่าเป็นรัฐที่ผู้ปกครองถือว่าอำนาจรัฐและกลไกรัฐทั้งหมดเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว และใช้อำนาจในการบริหารประเทศ เสมือนเป็นกิจการบ้านเรือนของตนเอง”
.
“รากเหง้าของกองทัพไทยสามารถสืบย้อนกลับไปถึงยุคก่อนรัชกาลที่ 5 ซึ่งกองทัพไม่ได้เป็นองค์กรอิสระ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจของกษัตริย์โดยตรง ระบบไพร่หลวงถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเกณฑ์แรงงานทางทหารเพื่อปกป้องราชอาณาจักร ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิด patrimonialism อย่างชัดเจน กล่าวคือ อำนาจทหารผูกขาดอยู่กับสถาบันกษัตริย์และชนชั้นปกครอง อันได้แก่ ขุนนาง เสนาอมาตย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นญาติพี่น้องของกษัตริย์ ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างรัฐกับบุคคลที่ปกครองรัฐ”
.
“การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารของกองทัพไทยทุกระดับเป็นไปตามระบบเส้นสายอุปถัมภ์และพวกพ้องมากกว่าจะเป็นไปตามระบบคุณธรรม (meritocracy) หรือความรู้ความสามารถ [...] สำหรับผู้สนใจกิจการทหารคงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะ narrative ที่สื่อมวลชนไทยใช้ในการอธิบายการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีหรือที่รู้กันดีในนามของ ‘โผทหาร’ นั้นล้วนเป็นคำบรรยายของระบบเส้นสายของนายทหารในกองทัพทั้งสิ้น เช่นนายทหารคนนี้ได้รับตำแหน่งนี้เพราะเขาเป็นนักเรียนทหารรุ่นนั้นและเป็นน้องรักของบิ๊กนั่นบิ๊กนี่ ทั้งที่ยังอยู่ในราชการและเกษียณอายุไปแล้วแต่ยังคงมีบารมีอยู่ นายทหารเหล่านั้นมักได้รับการวางตัวให้ขึ้นสู่ตำแหน่งเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องหรือเป็นการสืบทอดอำนาจต่อจากรุ่นพี่หรืออดีตผู้บังคับบัญชาที่โปรดปรานกันเป็นพิเศษ”
.
“กองทัพไทยได้รับมอบหมายให้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเป็นล่ำเป็นสันมาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพราะในสมัยนั้นภาคเอกชนยังไม่เติบโตก้าวหน้าหรือมีความพร้อมด้านเงินทุนเท่าใดนัก ถึงปัจจุบันการพัฒนาเศรษฐกิจก้าวหน้าและซับซ้อนมากขึ้น ภาคเอกชนเติบโต มีความพร้อมทางเทคโนโลยีและเงินทุน ธุรกิจกองทัพหลายกิจการมีอันต้องล้มหายตายจากไปเพราะไม่สามารถแข่งขันได้และกองทัพขาดทักษะในการดำเนินธุรกิจ แต่ถึงกระนั้นก็ตามกองทัพยังเก็บรักษาและดำเนินธุรกิจหลายอย่างต่อไปแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยหรือแม้แต่กระทั่งขาดทุนจนน่าจะอยู่ในสภาพที่ล้มละลาย เราจึงพบว่ากองทัพมีสนามกอล์ฟ ที่พักโรงแรม การบิน ท่าเรือ ไปจนถึงกิจการสื่อสารมวลชนและพลังงาน ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐบาลพลเรือน”
.
ภาพประกอบ: จิราภรณ์ บุญเย็น
.....


กองทัพไทยภายใต้รัชสมัย ร. 10 - BBC News ไทย

Jul 26, 2024

พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น “กษัตริย์นักการทหาร” โดยแท้ โดยถือเป็นเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในราชวงศ์จักรี ที่ทรงศึกษาการทหารในต่างประเทศ ทรงรับราชการทหารหลังจากเสด็จนิวัตประเทศไทย และทรงสนพระทัยในกิจการทหารยิ่ง 

บีบีซีไทยคุยกับ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร และเป็นผู้เขียนหนังสือ A Soldier King: Monarchy and Military in the Thailand of Rama X เพื่อหาคำตอบว่าโฉมหน้ากองทัพไทยเปลี่ยนแปลงไรอย่างไรภายใต้รัชสมัย ร.10

00:00 กระบวนการสร้างทหารพระราชา (Monarchization) 
00:19 กษัตริย์นักการทหาร 
00:39 หน่วยงานใหม่ (New Units) 
02:06 คอแดง = นายทหารต้นแบบ (Prototype Soldiers) 
04:21 การบังคับบัญชาโดยตรง (Direct Control) 
06:17 องคมนตรี (The Privy Council) 
08:18 การแปรบุคคลรอบข้างให้เป็นทหาร (Militarizing) 

อ่านต่อ https://bbc.in/3ya1cLr

https://www.the101.world/patrimonial-army/


ทรัมป์เดินเกมคานจีน ขึ้นภาษีบีบประเทศเล็ก ปูทางระเบียบโลกใหม่?


18 เม.ย. 2025
TNN Thailand

“ถ้าคุณเป็นฝ่ายทรัมป์ เขาก็ต้องบอกว่า แน่นอนเขามีแผนการนี้อยู่แล้ว” คือคำตอบแรกของ ผศ.ดร.กัลยา เจริญยิ่ง ที่สะท้อนการกลับลำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการชะลอการจัดเก็บภาษีสินค้าทั่วโลกออกไป 90 วัน

TNN The Innerview สัมภาษณ์พิเศษ อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงวิกฤตสมรภูมิภาษีสหรัฐฯ-จีน ที่ทั่วโลกจับตามอง
“สหรัฐฯ ต้องการคานจีน หลังม่านดุลการค้าที่เท่าเทียม”

ผศ.ดร.กัลยา อธิบายว่าแนวคิดเรื่องการกีดกันทางการค้าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทรัมป์ หากแต่เป็นสิ่งที่เขายึดถือมายาวนาน “ไปหาวิดีโอยูทูปดูก็ได้ ตั้งแต่ยุค 80s เขาก็จะพูดเกี่ยวกับภาษี การกีดกันทางการค้าเสมอ” เพราะทรัมป์เชื่อว่านโยบายลักษณะนี้จะสามารถ “เอางานกลับมา” และ “ปกป้องและพัฒนาอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ” ได้

แต่ในสายตาของนักวิชาการ “แนวคิดของทรัมป์มันมีอะไรที่ผิดรูป หรือผิดทฤษฎีเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศอยู่” ผศ.ดร.กัลยา ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่สามารถย้อนกลับไปเฟื่องฟูเสมือนยุค 1950 ได้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ก็เริ่มถดถอย และในปัจจุบัน “มีสัดส่วนแค่ประมาณ 10%” เท่านั้น

แม้สหรัฐฯ จะใช้ข้ออ้างว่า “ต้องการดุลการค้าที่เท่าเทียม” แต่ ผศ.ดร.กัลยา มองว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังจริง ๆ ของนโยบายภาษี คือการ “คานจีน” และการใช้การค้าระหว่างประเทศเป็นกลไกต่อรองด้านอำนาจมากกว่าทางเศรษฐกิจแบบเสรี “เมื่อมีนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรง ตลาดหุ้นก็ดิ่ง เขากลับลำตอนที่เขาเห็นว่าตลาดตราสารหนี้เริ่มดิ่งลง” ซึ่งบ่งบอกชัดเจนว่าการเปลี่ยนใจของทรัมป์ “ไม่ได้อยู่ในแผนการที่คิดจะกลับลำแต่แรก” แต่อยู่ที่ “การตอบสนองต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่กำลังแย่ลง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ ผศ.ดร.กัลยา หยิบยกเหตุการณ์หน้าทำเนียบขาว ซึ่งทรัมป์ไปปรากฏตัวพร้อมรถแข่ง และกล่าวถึงบรรยากาศว่า “ทุกคนกลัว” ด้วยคำพูดประหลาดอย่าง “Yippy” แม้แต่ในวาทกรรมของทรัมป์เอง “เขาเห็นภาพแล้วล่ะว่า ทุกอย่างมันกำลังแย่ลง เขาก็เลยกลับลำ” พร้อมให้เวลา 90 วันกับบางประเทศในการเจรจา ส่วน “ประเทศที่ไม่ได้ต่อรองหรือที่ตอบโต้กลับ อย่างเช่นจีน ก็เจอภาษี” โดยเฉพาะจีนที่ “ตอบโต้กลับ ทรัมป์ก็เลยไม่ยอม”

การต่อรองแบบ “หนึ่งต่อหนึ่ง” หรือ “ทวิภาคี” แทนที่จะใช้กลไกพหุภาคีแบบองค์การการค้าโลก (WTO) คือสิ่งที่ทรัมป์ต้องการอย่างชัดเจน “แต่ต้องเจรจากับสหรัฐฯ แบบที่สหรัฐฯ ต้องการนะ” ซึ่งในความเป็นจริง “มันก็จะไม่มีระเบียบที่ยึดถือร่วมกัน ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ใช้กันทั้งโลก”

“Weaponized Interdependence” – เมื่อการค้ากลายเป็นอาวุธทางอำนาจ

อีกหนึ่งคำสำคัญที่สะท้อนยุทธศาสตร์การค้าของสหรัฐฯ คือ Weaponized Interdependence หรือ “การพึ่งพากันที่ถูกใช้เป็นอาวุธ” ผศ.ดร.กัลยาอธิบายว่า “ความสัมพันธ์ทางการค้าและธุรกิจระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีความซับซ้อนมาก” โดยเฉพาะในห่วงโซ่การผลิตระดับโลก เช่น “สหรัฐฯ อาจมีบริษัทที่ออกแบบสินค้า แต่ถูกไปผลิตและประกอบที่จีนแล้วขาย” ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ทั้งสองประเทศมีพันธะผูกพันกันแน่นแฟ้น

แต่เมื่อสหรัฐฯ ใช้ข้อได้เปรียบนี้เป็นเครื่องต่อรอง หรือแม้กระทั่งเป็นแรงกดดันให้ประเทศอื่น “ทำตาม” ตัวเอง ก็เปลี่ยนบริบทของระบบการค้าเสรีเดิมโดยสิ้นเชิง “จากระบบที่เคยเปิดและมีระเบียบชัดเจน กลายเป็นระบบที่ไม่แน่นอน ขึ้นกับใครอยู่รอบข้างผู้นำ ณ เวลานั้น”

“WTO ในยุคที่อเมริกาทำลายกฎที่ตัวเองสร้าง”

เมื่อพูดถึง WTO ซึ่งสหรัฐฯ เคยเป็นหัวหอกในการก่อตั้ง ผศ.ดร.กัลยา สะท้อนว่า “สิ่งที่สหรัฐฯ ทำคือการทำลายกลไก WTO” ทั้งที่เป็นองค์กรที่ “มีหลักนิติธรรม ระเบียบ กฎเกณฑ์ทางด้านการค้า” ที่สหรัฐฯ เองเป็นผู้ริเริ่มหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

“พอทำลายเนี่ย มันก็ไม่มีระเบียบ” และนั่นทำให้ประเทศอื่น ๆ ต้องต่อรองกับสหรัฐฯ แบบรายประเทศ รายดีล โดยไม่สามารถพึ่งพาระบบระหว่างประเทศได้อีกต่อไป “เอาตรง ๆ ก็คือความอำเภอใจของ ไม่ทรัมป์ ก็คนที่ปรึกษารอบข้างเขา” ซึ่งนั่นคือความเสี่ยงทางโครงสร้างที่กระทบทั้งระบบเศรษฐกิจโลก

“ประเทศเล็กจะทำอะไรได้บ้าง?”

บนกระดานหมากทางเศรษฐกิจโลกที่มีมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนครองกระดาน ประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางอย่างไทยกำลังเผชิญกับทางเลือกที่ยากจะเดินอย่างเสมอภาค หากไม่รู้จักบทบาทและอาวุธที่ตนเองถืออยู่

“มันขึ้นอยู่กับว่า คุณขายอะไรให้กับสหรัฐฯ แล้วคุณมีความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจอย่างไรกับจีน” ผศ.ดร.กัลยาชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ถูก “ซื้อ-ขาย” ไม่ได้มีแค่สินค้า แต่ยังรวมถึงอิทธิพล ความเชื่อมโยง และจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศนั้น ๆ ด้วย “ลองดูประเทศเล็ก ๆ ในภูมิภาคเราที่โดนขึ้นกำแพงภาษี เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมา กลับโดนหนักกว่าไทยอีก ทั้งที่พวกเขาแทบไม่มีอำนาจการต่อรองเลย สหรัฐฯ อาจจะมองว่า จีนมีบทบาททางเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้สูงเกินไป จึงใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือกดดัน”

ในมุมนี้ “เกมการค้า” ไม่ได้เล่นกันอย่างเสรี แต่ผูกกับความสัมพันธ์ซับซ้อนในห่วงโซ่อำนาจ และประเทศเล็ก ๆ ที่จะเดินเกมให้รอดได้ต้องมีทั้ง “พันธมิตร” และ “วิสัยทัศน์ร่วม”

“ถามว่าอาเซียนสามารถเป็นพลังในการต่อรองได้ไหม? ได้ ถ้ามีผู้นำที่สามารถรวบรวมประเทศสมาชิกเข้าด้วยกันอย่างจริงจัง แต่ความจริงคือ หลายประเทศในอาเซียนยังเอาผลประโยชน์แห่งชาติเป็นตัวตั้ง แล้วก็ไปเจรจากับสหรัฐฯ กันแบบรายประเทศ” ผศ.ดร.กัลยาหยิบยกตัวอย่างสหภาพยุโรป “EU เขาออกมาพูดชัดเลยว่า ‘ในฐานะ EU’ พวกเขาไม่เห็นด้วยกับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ นี่แหละคือพลังของความเป็นกลุ่ม และการมีจุดยืนเดียวกันในการเจรจา”

แต่ความลำบากของประเทศขนาดกลางยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ผศ.ดร.กัลยา ย้ำว่า “อย่าลืมว่าในเกมนี้ ต่อให้เป็นการเจรจาแบบทวิภาคี เราก็สู้สหรัฐฯ ไม่ได้ เพราะเขาเป็นมหาอำนาจ ต่อรองยังไงก็ไม่เท่าเทียมอยู่ดี และที่สำคัญคือ นโยบายการค้าของทรัมป์มันไม่มีกฎ มันไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบทฤษฎีอะไรทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับความอำเภอใจล้วน ๆ”



อเมริกาเอง…อาจต้องเป็นฝ่ายถอย?

คำตอบของ ผศ.ดร.กัลยา สะท้อนมุมมองที่ไม่ค่อยได้ยินในสื่อกระแสหลักมากนัก “คิดว่า…ต้องถอยแหละ” เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา “เพราะถ้าเล่นกันแบบนี้ทั้งสองฝ่ายก็เจ็บกันหมด สหรัฐฯ ก็ไม่มีสินค้าถูกใช้ ส่วนจีนก็ขายไม่ออก…”

อาจารย์อธิบายว่า เมื่อจีนตัดสินใจ “เพิ่มภาษีนำเข้า 125%” และเริ่ม “ขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ” ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินสำคัญที่สะท้อนสถานะความเชื่อมั่นในสหรัฐฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนชี้ชัดว่า จีนไม่เพียงตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ แต่กำลังใช้ “อำนาจจริง” ในการพลิกเกม

“ถ้าเล่นกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายมันไม่ใช่แค่เรื่องของจีนกับสหรัฐฯ แต่มันจะกลายเป็นว่าประเทศที่ซื้อขายกับทั้งสองประเทศต้องเลือกข้าง แล้วจะเข้าสู่ภาวะแบ่งขั้ว กลายเป็นบล็อกทางการค้า” และสำหรับประเทศเล็กอย่างไทย “จะเลือกข้างใดข้างหนึ่งชัดเจนไม่ได้ เพราะจะเจอทั้งภาษีและการกีดกัน”

เมื่อบทบาทของประเทศมหาอำนาจกำลังเปลี่ยน จาก “คุมเกม” ไปเป็น “ผู้เล่นที่ต้องหาทางประคองตัว” นั่นหมายความว่า เวลานี้อาจเป็น “โอกาส” สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่จะยื่นข้อเสนอใหม่ต่อระเบียบเศรษฐกิจโลกที่เคยไม่เป็นธรรมกับพวกเขามาตลอด



เมื่อความปั่นป่วนกลายเป็นโอกาสของประเทศเล็ก

“การที่ทรัมป์ทำลายระเบียบการค้าเสรีแบบเดิม มันเป็นทั้งวิกฤติและโอกาส” ผศ.ดร.กัลยา วิเคราะห์ต่อ “เพราะในที่สุด เราต้องตั้งคำถามว่า ทำไมระเบียบแบบเก่าไม่เคยให้ประโยชน์กับประเทศเล็ก ๆ จริง ๆ เลย?”

ระเบียบการค้าโลกที่อิงอยู่กับแนวคิดเสรีนิยมใหม่และ WTO กลับกลายเป็นระบบที่ “ประเทศพัฒนาแล้วได้เปรียบตลอด” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎทรัพย์สินทางปัญญา หรือบริการต่าง ๆ ที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถแข่งขันได้เลย “ตอนนี้แหละคือจุดเปลี่ยน ที่ประเทศเล็ก ๆ ควรร่วมมือกันเพื่อนำเสนอว่าระเบียบใหม่ควรหน้าตาเป็นอย่างไร”

อาจารย์ยังเสนอว่า การกำหนดกติกาโลกยุคใหม่ควรดึงประเด็นสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางเพศ และแรงงานเข้ามาเป็น “มาตรฐานกลาง” เพื่อป้องกันไม่ให้ระเบียบเศรษฐกิจโลกตกอยู่ภายใต้อำเภอใจของผู้นำประเทศเดียว

“เพราะสุดท้ายแล้ว…เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทรัมป์เขาใช้ทฤษฎีไหนในการคิดเรื่องการค้า นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่มันคือการเมืองระหว่างประเทศในยุคที่ทุกอย่างคาดเดาไม่ได้เลย” ผศ.ดร.กัลยา ทิ้งท้าย

คำตอบของ ผศ.ดร.กัลยา จึงไม่ใช่แค่คำอธิบายวิชาการ แต่คือเสียงสะท้อนจากมุมมองที่เข้าใจโครงสร้างเชิงอำนาจ และห่วงโซ่ของผลประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง พร้อมเสนอว่า หากประเทศเล็กจะยืนอยู่ในเกมนี้ได้ ต้องไม่เล่นตามเกมของคนอื่น แต่ต้องรวมกลุ่มขึ้นมาเป็นผู้ตั้งกติกาเสียเอง



https://www.tnnthailand.com/world/196381/


มารู้จักคนที่อยู่เบื้องหลังการทำ Culture War ของรบ.ทรัมป์ Christopher Rufo เป็นนักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการยุบกระทรวงศึกษาฯ การระงับเงินสนับสนุนหลายพันล้านของฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยชั้นนำ เกิดมาในครอบครัวคอมมิวนิสต์ ตัวเขาเองเดิมเป็นฝ่ายซ้าย ถึงซ้ายจัด


Pipob Udomittipong
5 hours ago
·
แนะนำคนที่อยู่เบื้องหลังการทำ Culture War ของรบ.ทรัมป์ Christopher Rufo 41 ปี ซึ่งแต่งงานกับดาราสาวชาวไทย มีลูกด้วยกันสามคน เป็นนักคิดฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการยุบกระทรวงศึกษาฯ การระงับเงินสนับสนุนหลายพันล้านของฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยชั้นนำ
เขาเป็นแกนนำต่อต้านนโยบาย DEI การออกกม.ห้ามสถาบันการศึกษาพูดและสอนเรื่อง critical race theory ห้ามพูดคุยว่า “เชื้อชาติ” เป็นสาเหตุของปัญหาเชิงโครงสร้างในอเมริกา ต่อต้าน LGBT สุดโต่ง เขาอยู่เบื้องหลังการกดดันจนอธิการบดีหญิงผิวดำคนแรกของฮาร์สวาร์ดต้องลาออก
จัดว่าคริสโตเฟอร์ รูโฟ เป็นนักคิดสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมากกับรบ.ทรัมป์ ตั้งแต่สมัยทรัมป์ 1 ที่น่าแปลกคือ เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอันโตนิโอ กรัมชี (1891-1937) นักคิดคอมมิวนิสต์ชาวอิตาลี ซึ่งควรเป็นปรปักษ์กับกลุ่มอนุรักษ์นิยมอเมริกัน โดยเฉพาะการทำ “สงครามทางวัฒนธรรม” ซึ่งทำให้กรัมชีแตกต่างจากนักคิดฝ่ายซ้ายในรุ่นเดียวกันที่เน้นเรื่อง “เศรษฐกิจ”
รูโฟบอกว่า Culture War เป็นพื้นฐานที่ทำให้เขาเสนอนโยบายที่จะกวาดล้าง “วัฒนธรรมฝ่ายซ้าย” ซึ่งเขามองว่าฝังรากลึกมากในระบบการศึกษาและการทำงานของอเมริกา และเป็นที่มาของนโยบายการยุบก.ศึกษาฯ การสั่งระงับเงินทุนสนับสนุนมหาวิทยาลัยที่ woke เกินไปในสายตาของเขา และการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจด้านการศึกษาและวัฒนธรรมจากสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำทั้งหลาย
วิวัฒนาการของคริสโตเฟอร์ รูโฟน่าสนใจมาก เขาเกิดมาในครอบครัวที่สมาทานคอมมิวนิสต์ พ่อเป็นคอมมี่ชาวอีตาเลียน ตัวเขาเองเดิมเป็นฝ่ายซ้าย ถึงซ้ายจัด เกิดและเติบโตในเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งแถวนั้นผู้คนมีแนวคิดค่อนไปทางซ้ายมากกว่าขวา เขามีอาชีพเป็นนักทำหนัง filmmaker เคยทำสารคดีเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำในสังคมอเมริกาให้ PBS และอื่น ๆ
ภาวะตาสว่างที่เปลี่ยนจุดยืนจากซ้ายไปขวาของเขา เกิดขึ้นในช่วงที่เขารายงานข่าวการประท้วง BLM และ George Floyd ซึ่งเขามองว่าพวกซ้ายมีอำนาจคับแผ่นดิน ขนาดตำรวจที่ซีแอตเติล ต้องเปิดทางให้นักกิจกรรมสร้างพื้นที่ของตัวเองในเมืองได้ Capitol Hill Autonomous Zone เป็นพื้นที่ของฝ่ายซ้ายเต็มตัว เขาเห็นว่ามันเป็นอำนาจที่ไม่ชอบธรรม
ต้องยอมรับว่าคริสโตเฟอร์ รูโฟเป็นนักเคลื่อนไหวอนุรักษ์นิยมที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในอเมริกา เขามีบทบาทต่อต้าน woke ต่อต้าน DEI และฝ่ายซ้ายตั้งแต่ช่วงปลายรบ.ทรัมป์ 1 ในปี 2020 เมื่อปีที่แล้ว เขาเป็นผู้นำการรณรงค์กดดันจนกระทั่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดต้องลาอก เพราะ Claudine Gay ผิวดำคนแรกที่ได้เป็นอธิการบดีฮาร์วาร์ด เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ DEI ในระดับอุดมศึกษา
ปัจจุบัน หนังสือขายดีของเขาก่อนหน้านี้คือ America's Cultural Revolution ช่วงที่ผ่านมา เขาอยู่ระหว่างการเขียนหนังสือเล่มใหม่ "How the Regime Rules" ซึ่งเขาประกาศว่าเป็น "ปฏิญญาสำหรับฝ่ายขวาใหม่" และได้รับแรงบันดาลใจมาจากอันโตนีโอ กรัมชี The New York Times สัมภาษณ์เขาเป็นพอดแคสต์ 2 ครั้งช่วงเดือนมี.ค.และเม.ย. ไปหาฟังดูครับ
https://www.wsj.com/.../meet-magas-favorite-communist...
https://www.nytimes.com/.../chris-rufo-trump-anti-dei...

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162398759581649&set=a.10150096728651649


เรื่องเล่าจากวงสนทนาคนไทยในโอซาก้า เรื่อง Thailand Pavilion ใน EXPO2025


Pongsuk Hiranprueck
4 hours ago
·
ณ ขณะนี้ เมื่อผมพบคนไทยในโอซาก้า พวกเขาชวนผมสนทนาแต่เรื่อง Thailand Pavilion ใน EXPO2025
ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ผม "รู้อะไรมา" เลยเล่าเบา ๆ ให้พวกเขาฟัง ปรากฏพวกเขา "ตาโต" กันทุกคนกับหัวใจดวงใหญ่โตนี้
จะดีที่สุด ผมก็ไม่ควรเก็บเรื่องดี ๆ นี้ไว้คนเดียว ...สังคมเรามีเรื่องฉาวมากพอแล้วขณะนี้
...มานั่งพักฟังเรื่องน่ารัก ๆ พร้อมกันครับ
…..
…..
เมื่อคืนนี้ผมมีโอกาส ร่ำบรรยากาศ กับ กลุ่มคนจิตใจดี
ก็ได้พบเจ้าของวลี "ดีไซน์เอกชน- คอนเทนต์ราชการ" ที่แทบทุกเพจข่าวหยิบไปพาดหัวกันรึ่มร่ำ
เธอย้ำว่า "พวกเราทำแค่ตำหนิเขาไม่ได้นะ …เราต้องเสนอ 'โซลูชัน' ให้เขาด้วย ...ถึงจะถูกต้อง !"
มีผู้เสนอ 'วิธีแก้ปัญหา' ในวงสนทนามากมาย ได้ไอเดียพรั่งพรู ...อะไรก็ตามที่เราไม่ได้ทำเอง มันง่ายเสมอแหละครับ
...ส่วนตัวผม ได้รับฟังข้อมูลมามากมาย ทั้งข้อจำกัด ข้อล่าช้า ข้อเสียเวลา ข้อเสียเปรียบด้านค่าก่อสร้างในประเทศญี่ปุ่นที่สูงกว่าปกติ 3 เท่า
และด้วยข้อกฎหมายที่ ’ต้องใช้คนงานญี่ปุ่น‘ จึงเกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน
มีการแก่งแย่งแรงงานโดยการ ‘จ่ายแรง’ เพื่อให้งานเสร็จ บางประเทศเตรียมตังค์มาไม่พอ พาวิลเลี่ยนก็ไม่เสร็จ เปิดงานแล้วก็ เลี่ยน สมชื่อ
เท่าที่ตาผมเห็น มี อินเดีย อินโด ฯ เนปาล …เป็นที่เล่าขานโจษจันกันในงาน ดั่งโศกนาฏกรรม ทำพาวิลเลี่ยนไม่ทัน ก็ล้อมรั้วเอาไว้พร้อมเศษซาก จะสร้างต่อตอนกลางวัน เค้าก็ไม่ให้ !
ส่วน Thailand Pavilion จะดีจะร้าย แต่ ”งานเราเสร็จ“ สง่างามตามตาทุกคนเห็น คิวยาวเหยียดเพราะภายนอกสุขสกาว ใคร ๆ ก็อยากเข้าชม
แต่ภายใน เสร็จตามแบบ ตรงตาม TOR แต่ดราม่าที่เกิดขึ้น คือคิดไม่ตรงกัน คิดเห็นกันไม่ตรงสากลศักราช ระหว่างคนทำกับคนมาชม …ก็เกิดรสขมขึ้น
ยุคนี้เป็นยุคของการทำนิทรรศการแบบ Immersive คือไม่ต้องอ่านอะไรมาก แต่มีเหตุการณ์มาห่อหุ้มให้ผู้ชม “รู้สึก” ตามเป้าหมายที่ต้องการ
แต่คนทำบอก เขาอ่านผลวิจัยมาว่า “ชาวญี่ปุ่นชอบอ่าน ชอบสแกน QR เอาข้อมูลเพิ่มเติม“ ก็เลยเคาะออกมาเป็นบอร์ดนิทัศน์ตามที่เห็น
ผมเล่าทั้งหมดให้กลุ่มสนทนาฟังไป เพราะตนเองฟังมามากพอ สัมผัสทุกฝ่าย ฝ่ายซื้อ ฝ่ายขาย ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายนโยบาย ฝ่ายหนังหน้าไฟ อดหลับอดนอน ตากแดดตากฝน ก็อดทนแก้ปัญหากันไปในระยะสั้น
ส่วนระยะยาว ผมได้เสนอโซลูชันไปแล้ว ตามโพสต์ก่อนหน้านี้ ไม่เล่าซ้ำ และได้ย้ำความคิดนี้กับผู้ปฏิบัติงาน เขาให้การรับฟังดี
…อันนี้ต้องบอกให้ทราบว่า ผู้จัดเขารับฟังดี แต่มีเหตุผลรองรับทุกผลงานที่ประจักษ์ออกมาแก่ตา ผมคุยสายสนทนา Roaming จน Data Package เกือบหมด !
ปรากฏ มีพี่ท่านหนึ่งในวงสนทนา ... จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
===========
"เมื่อได้วิธีแล้ว...
ผมประสงค์ออกตังค์นะ ...แต่ไม่ประสงค์ออกนาม
ผมขอมอบ 10 ล้านบาท ให้ทีมเขาได้แก้ไขงาน
ไม่ต้องเอาแบบที่ผมชอบ แต่ให้เป็นไปตามมติของคนเก่ง ๆ ของชาติที่มาช่วยกันคิด
และไม่ต้องบอกชื่อผม ไม่ต้องขึ้นโลโก้ขอบคุณด้วย
ผมขออย่างเดียว ขอทำให้ Thailand Pavilion มันเจ๋งจริง ๆ ไม่เสียโอกาสประเทศไทยในอีก 6 เดือนต่อจากนี้ในงาน EXPO ที่ชาวโลกกำลังทะยอยเดินทางมาดู“
===========
.... แน่นอนเมื่อท่านให้น้ำเสียงจริงระดับนี้ ผมไม่มีขวาง ผมประสานไปทางผู้จัดในเรื่องนี้เรียบร้อย
ได้รับคำขอบคุณกลับมามาก ๆ โดยฝั่งนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
ซึ่งหากจะปรับใหญ่กันจริง ๆ เขาก็ต้องไปผ่านขั้นตอนอีกมาก ราชการเจ้าของงานจะยอมไหม ? ซึ่งต้องพูดคุยกันต่อไป
อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ นายกรัฐมนตรีจะมาดู รัฐมนตรีกระทรวงต้นเรืองก็จะมาด้วย
จะออกหัวหรือก้อยยังไม่ทราบได้
แต่ก็ถือเป็น จุดเริ่มต้นที่ต่อไปนี้ "แบรนด์ไทยแลนด์" หากจะทำการใดบนแผนที่โลกอีก ก็ขอให้เป็นคอนเซ็ปต์
ราชการให้โครงสร้าง แล้วให้เอกชนมาร่วมกันดูแลเนื้อใน
จะถูกใจ ถูกรสนิยม ไม่ก่อดราม่าใด ๆ กันอีก
เจ็บปวดแล้วต้องเรียนรู้ครับ เราถึงจะเรียกว่า "เดินไปข้างหน้า ...โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง"
ราชการและเอกชน แม้คนละ VIBE แต่ต้องเดินด้วยกันครับ เพราะไม่ว่าหมวกไหน "เราก็คนไทย" ใช่ไหมล่ะ ?

https://www.facebook.com/photo?fbid=10160869294161976&set=a.37459806975


มาดูคอนเซปต์และงบประมาณของแต่ละ Pavilion ในงาน Expo 2025 ณ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น โดยแต่ละ Pavilion ในงาน Expo 2025 จะนำเสนอแนวคิดที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และวิสัยทัศน์ของแต่ละประเทศในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน


BT Beartai แบไต๋
Yesterday
·
มาดูคอนเซปต์และงบประมาณของแต่ละ Pavilion ในงาน Expo 2025 ณ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น โดยแต่ละ Pavilion ในงาน Expo 2025 จะนำเสนอแนวคิดที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และวิสัยทัศน์ของแต่ละประเทศในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

ไทย – Thailand Connecting Lives for Greatest Happiness
นำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่นและนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากภูมิปัญญาไทย ภายใต้แนวคิด ‘ภูมิคุ้มกัน’ รวมไว้ซึ่งภูมิแบบไทยในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งภูมิจากธรรมชาติ ภูมิจากวิถี วัฒนธรรม นวัตกรรม จนถึงภูมิคุ้มกันจากศักยภาพและความพร้อมด้านสาธารณสุข เพื่อให้ชาวโลกรู้ว่าประเทศไทยมีดีที่ ‘ภูมิ’ เป็นประเทศแห่งการกินดี อยู่ดี มีภูมิคุ้มกัน

สหรัฐอเมริกา – Imagine What We Can Create Together
มาจินตนาการถึงอนาคตร่วมกันผ่านนิทรรศการที่เน้นด้านเทคโนโลยี การสำรวจอวกาศ การศึกษา วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันในสังคม

ฝรั่งเศส – A Hymn to Love
นำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ของอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยความรักในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การรักตนเอง รักผู้อื่น และรักธรรมชาติ

สิงคโปร์ – Where Dreams Take Shape
พื้นที่แห่งการสำรวจวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของสิงคโปร์ผ่านงานศิลปะ การแสดง และอาหารท้องถิ่นที่กระตุ้นทุกประสาทสัมผัส

สเปน – The Kuroshio Current
ได้รับแรงบันดาลใจจากกระแสน้ำคุโรชิโอะ และเล่าถึงสานสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศของญี่ปุ่นและสเปน

อิตาลี – Art Regenerates Life
แนวคิดการสร้างมาจากการตีความเมืองในอุดมคติจากยุคเรอแนซ็องส์ ผ่านงานศิลปะ ตั้งแต่งานฝีมือ แฟชั่น การออกแบบ วิศวกรรม งานวิจัย และนวัตกรรม

ออสเตรเลีย – Chasing the Sun
นำเสนอความหลากหลายและความอบอุ่นของผู้คน และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่งดงาม

เยอรมนี – Circular Economy
นำเสนอแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและเนื้อหานิทรรศการ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมีคุณค่า

ลักเซมเบิร์ก – Doki Doki – The Luxembourg Heartbeat
นำเสนอประสบการณ์ผ่านสถาปัตยกรรมล้ำสมัย โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับโลก และมุ่งมั่นที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนกลายเป็นจริงจากการร่วมกันของสังคม

ญี่ปุ่น – Between Lives
ประเทศเจ้าภาพงาน Expo 2025 นำเสนอประสบการณ์และกระบวนการผลิตพลังงานชีวภาพ พร้อมทั้งเทคโนโลยีการรีไซเคิลคาร์บอนสุดล้ำเพื่อสร้างระบบหมุนเวียนและสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต

#BTbeartai #Expo2025 #BTxExpo2025 #BTThailandPavilionOfficialMediaCreator

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1178203220770564&set=a.169927811598115



#อาจารย์โต้ง กางตำราแนะ " 2 พ่อ ลูก" "ก่อนจะไปดูแลประชาชน ควรดูแลตัวตนเราก่อนมั้ย!!! ขณะ "หนุ่มBMW หัวร้อน" สวนกลับ "จะทำการเมืองต่อ เพราะเรื่องขับรถชน กับเรื่องดูแลประชาชนไม่เกี่ยวกัน!!! ส่วนพ่อที่สุดอกตรม กลั้นน้ำตา ขอโอกาสสังคมกลับไปดูแลลูกให้ดีขึ้น!!!


https://www.facebook.com/watch/?v=1258341409056314

ศูนย์รวมข่าวดี ศูนย์รวมข่าวดีปทุมธานี
4 hours ago
·
#อาจารย์โต้ง กางตำราแนะ " 2 พ่อ ลูก"
"ก่อนจะไปดูแลประชาชน ควรดูแลตัวตนเราก่อนมั้ย!!!
ขณะ "หนุ่มBMW หัวร้อน" สวนกลับ "จะทำการเมืองต่อ เพราะเรื่องขับรถชน กับเรื่องดูแลประชาชนไม่เกี่ยวกัน!!!
ส่วนพ่อที่สุดอกตรม กลั้นน้ำตา ขอโอกาสสังคมกลับไปดูแลลูกให้ดีขึ้น!!!
(คลิกฟัง) รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ พูตระกูล หรือ “อาจารย์โต้ง” ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาฯ มหาวิทยาลัยรังสิต
และนายกเบี้ยว-กฤษฎา หลีนวรัตน์ - พีช หลีนวรัตน์


มองมุมฮานะ นายกเบี้ยวก็คงจะปรารถนาดีแหละ แต่รูปยิ้มจับมือป้ารับของถ่ายรูป ไม่ละครไปหน่อยเหรอ


เรื่องเล่าเช้านี้
11 hours ago
·
“คุณป้า” ผู้บาดเจ็บจากเหตุบีเอ็มชนกระบะ เผย “นายกเบี้ยว” พ่อของ “พีช” หอบกระเช้า-ถ่ายรูป มาเยี่ยมโรงพยาบาลแบบจู่โจมโดยที่ไม่ทันตั้งตัว วันเกิดเหตุยกมือไหว้ขอโทษจนร้องไห้แล้ว แต่ “พีช” ก็ยังชี้หน้าด่า
.
คุณป้า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ โฟนอินในรายการโหนกระแส เผย นายกเบี้ยว กฤษฎา หลีนวรัตน์ พ่อของ “พีช” หอบกระเช้าเข้ามาเยี่ยมในห้องพักที่โรงพยาบาลแบบจู่โจม ไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่รู้มาก่อนว่าจะมาขอเยี่ยม ตอนนี้เจ็บซี่โครงช้ำข้างขวา เจ็บตรงไหปลาร้า เพราะกระแทกกับสายเบลต์ เจ็บตรงหน้าอก คอเคล็ด ขณะที่คุณลุงตอนนี้ซี่โครงหัก 6 ซี่ ปอดข้างขวาช้ำ กระดูกตรงกลางอกร้าว ยังต้องอยู่ในไอซียู
.
“เราไม่รู้ตัวเลย จู่โจมเข้ามาเลย ไม่ได้มาขอก่อนว่าจะมาเยี่ยม พยาบาลบอกว่านายกอยู่หน้าประตูแล้วทำยังไง เราบอกไม่ให้เข้าได้ไหม ไม่รู้จะพูดยังไง เขาเข้ามาเองเลย พยาบาลเปิดประตู เขาก็เข้ามาเอง ที่จริงพยาบาลเขาก็กันไว้เหมือนกัน วันนั้นเขาเปิดกระจก ป้าก็ยกมือไหว้ขอโทษถ้าทำอะไรผิด เขาก็ชี้หน้าด่า” ป้า ผู้บาดเจ็บ กล่าว...

#เรื่องเล่าเช้านี้ #ข่าวช่อง3 #โหนกระแส #พีช

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1170232588480423&set=a.668507231986297



“นายกเบี้ยว” บอกยอมรับผิดทั้งหมด ยันไม่ได้สนิท ผบ.ตร. อย่าเอาท่านมาแปดเปื้อน แต่ลูกชายที่เป็นกรณีอยู่บอกว่า "ผมเป็นหลานน้าต่าย-ผบตร...!!! ถ้าพวกพี่รู้ว่า ผมเป็นลูกใคร พวกพี่จะไม่กล้าหือกับผม!!! สังคมรอพิสูจน์ #ความศักดิ์สิทธิ์กฎหมาย เพราะจากวลีเด็ดข้างต้น







ศูนย์รวมข่าวดี ศูนย์รวมข่าวดีปทุมธานี
17 hours ago
·
"ผมเป็นหลานน้าต่าย-ผบตร...!!!
ถ้าพวกพี่รู้ว่า ผมเป็นลูกใคร พวกพี่จะไม่กล้าหือกับผม!!!
สังคมรอพิสูจน์ #ความศักดิ์สิทธิ์กฎหมาย เพราะจากวลีเด็ดข้างต้น
ทำให้ผู้คน มีการตั้งคำถามถึง ผบตร. คนปัจจุบัน อย่างน่าฉงน???
เพราะเมื่อวาน(17เมย.2568)เพจมาดามแหม่ม MadamQueen โพสต์ระบุ
"ลูกชายนักการเมืองปทุมธานี มีเบ่งใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยอ้างว่า
1.ผมเป็นหลานน้าต่าย ผบ.ตร.
2.งานบวช ผมอดีตนายกฯก็ยังต้องมา
3.ถ้าพวกพี่รู้ว่า ผมเป็นลูกใครพวกพี่จะไม่กล้าหือกับผม
4. นั่งไขว่ห้างแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อหน้าร้อยเวรในขณะให้ปากคำ 5.ถามชื่อนามสกุลตำรวจทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
แถมก่อนหน้าในทางสาธารณะ "ฟลุ๊ค" มนัสนันท์ หลีนวรัตน์ ลูกชายคนโต #นายกเบี้ยว ก็เคยโพสต์ภาพคู่หลากอิริยาบท หลากเวลา กับผบตร.
ตั้งแต่ยังไม่รับตำแหน่ง อันแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีมาอย่างยาวนาน ใช้สรรพนามว่า "อาต่าย"....!!!!
#บทบริภาษ ของผบ.ตร. ต่อพฤติกรรมชายซิ่ง BMW ชนกระบะ ว่า
“น่ารังเกียจ-ไร้วุฒิภาวะ”
จะเป็นเพียงสคริปที่ตีบทแตก ระหว่างความสัมพันธ์อา-หลาน !!!
หรือมาจากส่วนลึกหัวใจผู้พิทักษณ์สันติราษฎร์ ที่ดำรงตำแหน่งผบตร.
ต้องการเห็นว่า #ความยุติธรรม ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอเหมือน และเท่าเทียม ตรงไปตรงมา ไม่เลือกคนรวย คนจน นักการเมือง หรือ ยาจก
คนชื่อ "พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธ์เพชร"วันนี้ในวัย 60ปีเท่านั้นว่า จะเป็นคนลงมือพิสูจน์มันกับมือตัวเอง
ทางสองแพร่ง ระหว่าง #สร้างตำนาน กับ #สร้างรอยด่าง ในแวดวงสีกากี เป็นเส้นบาง ๆ ในการเลือกเดิน
ท่านคนเดียวเท่านั้น คือ คนเลือกมัน!!!ในวันที่นับถอยหลังถอดหัวโขนผบตร.
#ศูนย์รวมข่าวดีปทุมธานี #เวทีพื่อการพัฒนาเมืองและชุมชน

https://www.facebook.com/PathumThaniGoodNews/posts/pfbid07nV8hVtjciiPxnv2XxY3sbqS4oZiZd86mkj6Ja6AgVWqu64AjFvzXDP6ad6qQBc5l
https://x.com/TNAMCOT/status/1913180222998086001
.....



ศูนย์รวมข่าวดี ศูนย์รวมข่าวดีปทุมธานี
Yesterday
·
#อาต่ายทำเข้ม?"ภาพซ้ายอาต่าย-ภาพขวาหลานพีช"
ผบ.ตร.จวกพฤติกรรมชายซิ่ง BMW ชนกระบะ
“น่ารังเกียจ-ไร้วุฒิภาวะ”
สั่งดำเนินคดีทุกข้อหา แม้เป็นลูกหลานนักการเมืองดังไม่มีละเว้น
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผย กรณีโลกโซเชียลแชร์คลิปเหตุการณ์รถยนต์ BMW ป้ายแดง ขับปาดหน้ากับรถกระบะ ก่อนรถกระบะเสียหลักพุ่งชนขอบทางบนถนนมอเตอร์เวย์ ช่วงทางออกรังสิต-นครนายก ส่งผลให้คนขับกระบะเป็นชายสูงอายุ ได้รับบาดเจ็บซี่โครงหัก ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู ขณะที่ผู้โดยสารหญิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง โดยผู้ขับ BMW มีรายงานว่าเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) และมีความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง
ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีนี้ โดยกล่าวว่า ได้ดูคลิปเหตุการณ์ที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลแล้ว และเห็นว่าพฤติกรรมของผู้ขับรถ BMW เป็นสิ่งที่ “น่ารังเกียจ” และไม่สมควรเกิดขึ้นในสังคม “ผมเสียใจที่ยังมีคนขับรถแบบนี้บนถนน ถ้ารถคันที่เสียหายมีเด็กเล็กอยู่ จะเกิดอะไรขึ้น? พฤติกรรมเช่นนี้อยู่ในสังคมยาก” ผบ.ตร. กล่าว
พร้อมย้ำว่า ก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตนเคยฝากประชาชนให้มีสติและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันในการใช้รถใช้ถนน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่สังคมรับไม่ได้ ต้องดำเนินคดีทุกข้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด
ผบ.ตร. ยังกล่าวถึงผู้กระทำผิดว่า ไม่เพียงแต่ทำผิดกฎหมาย แต่ยังแสดงออกถึงความไร้จิตสำนึก โดยเฉพาะการอวดอ้างความสัมพันธ์กับนักการเมืองชื่อดังในพื้นที่ เพื่อหวังให้ตนเองดูมีอิทธิพล ผู้กระทำผิดยังไม่สำนึกผิด ยังแอบอ้างโอ้อวดไปทั่ว แสดงให้เห็นว่าไม่มีวุฒิภาวะและจิตสำนึกที่ดีเลย ถ้าเป็นลูกชายผมเอง ทำผิดผมก็ไม่ช่วย ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมาย ไม่ใช่ทำตัวใหญ่กร่างอวดอ้างไปเรื่อย พร้อมย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นธรรมและเท่าเทียม ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่มีชื่อเสียงหรือมีสายสัมพันธ์ทางการเมือง
ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานจากคลิปวิดีโอและคำให้การพยาน เพื่อเตรียมดำเนินคดีต่อผู้ขับ BMW รายนี้ในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง โดยสังคมกำลังจับตามองว่า คดีนี้จะเป็นบททดสอบความยุติธรรมและความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรมไทยอีกครั้ง
เนื่องจากเหตุเกิดบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เบื้องต้นคดีนี้เป็นคดีจราจรที่สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 ตำรวจทางหลวง ต้องรับผิดชอขสอบสวนก่อนครับ และผู้เสียหายสามารถที่จะไปแจ้งความดำเนินอาญากับตำรวจพื้นที่คือสภ.ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีได้ครับ ผมได้เน้นย้ำไปทางตำรวจทางหลวงและตำรวจพื้นที่ปทุมธานีแล้วว่า การดำเนินคดีต้องเป็นไปตามพยานหลักฐานอย่างตรงไปตรงมา จะไม่มีการช่วยเหลือใครเด็ดขาด
Cr.POLICETV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-ศูนย์รวมข่าวดีปทุมธานี

ที่มา เพจ
ศูนย์รวมข่าวดี ศูนย์รวมข่าวดีปทุมธานี
https://www.facebook.com/PathumThaniGoodNews



วันศุกร์, เมษายน 18, 2568

ถึงขณะนี้ยังไม่มีมาตรการสู้ศึกกำแพงภาษีสหรัฐออกมา เพราะ “วันนี้ยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะดำเนินมาตรการใด” แน่ๆ แบ๊งค์ชาติบอกแล้ว มาเมื่อไรเริ่มเจ๊งเมื่อนั้น

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีมาตรการสู้ศึกกำแพงภาษีสหรัฐออกมา จากรัฐบาลของลูกสาว ทักษิณ ชินวัตร ถ้อยแถลงของอุ๊งอิ๊งหลังการพูดคุยอย่างทางการกับ อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซียและประธานอาเซียน แค่ว่าจะรวมพลังในอาเซียนเท่านั้น

รายละเอียดต่างๆ ยังไม่ได้คุยกัน ขณะที่ รมว.คลัง/รองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร ซึ่งจะเป็นคนนำทีมไปเจรจาในวันที่ ๒๓ เมษานี้ ก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน “วันนี้จึงยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะดำเนินมาตรการใด และคงต้องมอนิเตอร์ติดตามต่อไป”

นั่นจากการตอบนักข่าวเมื่อ ๑๖ เมษา หลังการประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย อันมีทั้งผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฟพฒิ กับรองฯ สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ เข้าประชุม นายพิชัยกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้คงไม่มีใครบอกได้ว่าหยิบมาตรการไหนดี”

แต่ก็คุยเสียด้วยว่า “ซึ่งมาตรการต่างๆ ในอดีตมีเยอะ” ที่เป็นโล้เป็นพายเห็นจะเป็นที่บอกว่าต่อนี้ไปจะทำงานร่วมกับแบ๊งค์ชาติอย่างใกล้ชิด โล่งอกไปนิดที่พวก ไอแบ๊ก อีแข๊ก คงหยุดระดมโจมตีผู้ว่าแบ๊งค์ชาติกันเสียที ไม่ปล่อยให้สำรอกกันเหมือนที่ผ่านมา

พร้อมกันนั้นฝ่ายแบ๊งค์ชาติได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย จากผลของภาษีศุลกากร ๓๗% ที่ทรั้มพ์ประกาศว่าจะจัดการกับไทย ถึงแม้ตอนนี้รัฐบาลยังใจชื้นร่มๆ ดังนายกฯ บอกว่ากำแพงภาษียังไม่ได้เริ่ม

แน่ๆ จาก ธปท.ก็คือ “ในระยะสั้น ตลาดการเงินผันผวนขึ้น เริ่มเห็นการผลิต การค้า และการลงทุนบางส่วนชะลอ” เงินบาทค่าแข็งขึ้นเล็กน้อย “สอดคล้องกับภูมิภาค” การลงทุนยังมีความไม่แน่นอนสูง ร้ายที่สุด “อาจเห็นการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย”

การส่งออกซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำแพงภาษี ก็ยังต้อง “wait and see” จนกว่าจะครบ ๙๐ วันที่ทรั้มพ์เปลี่ยนใจมาผ่อนผัน ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก เคมีภัณฑ์ และอาหารแปรรูป เหล่านี้จะต้องเจออุปสรรคใหม่ เมื่อมีการแข่งขันจากประเทศอื่นเพิ่มเข้ามา

แบ๊งค์ชาติแนะว่า นอกจากการไปเจรจากับสหรัฐแล้ว ไทยควรออกมาตรการรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจที่จะตามมาไว้ด้วย “ทั้งการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศ และป้องกันการนำเข้าสินค้ามาเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ผ่านไทย”

ทักษิณพร้อมสำหรับแพทองธารหรือยัง อย่ามัวแต่ทำตัวเป็น ‘peace promoter’ จนทำท่าจะเป็นสบู่ฟอกขาวให้แก่ ‘มินอ่องหล่าย’ เรื่องการจัดเลือกตั้งในพม่า ซึ่งมีผลต่อประชากรเพียง ๒๐ กว่าเปอร์เซนต์ โดยไม่สามารถดึงรัฐอิสระต่างๆให้มาร่วมได้

(https://prachatai.com/journal/2025/04/112644, https://www.nationtv.tv/politic/378960049=IwY2xjawJtB3 และ https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/cvwtnuFpjiw)


 

ภาพของน้องมะห์มุด อัจจูร์ วัย 9 ขวบ เด็กชาวปาเลสไตน์ที่เสียแขนทั้งสองข้าง ระหว่างพยายามช่วยครอบครัวให้หลบหนีจากการโจมตีของทหารอิสราเอลในกาซา ได้รับรางวัล World Press Photo ประจำปี 2025 จากภาพที่ส่งเข้าประกวดกว่า 6 หมื่นชิ้น


https://www.facebook.com/watch/?v=1707476653478991
.....

Pipob Udomittipong
7 hours ago
·
ภาพของน้องมะห์มุด อัจจูร์ วัย 9 ขวบ เด็กชาวปาเลสไตน์ที่เสียแขนทั้งสองข้าง ระหว่างพยายามช่วยครอบครัวให้หลบหนีจากการโจมตีของทหารอิสราเอลในกาซา ได้รับรางวัล World Press Photo ประจำปี 2025 จากภาพที่ส่งเข้าประกวดกว่า 6 หมื่นชิ้น
ผู้ถ่ายภาพคือ ซามาร์ อาบู เอลอฟ ช่างภาพชาวปาเลสไตน์ ทำงานกับ The New York Times ตัวเธอเองสูญเสียญาติไปกว่า 30 ชีวิตในสงครามครั้งนี้ เธอบอกว่าไม่ได้มีความสุขที่ภาพถ่ายของเธอได้รางวัล เธอต้องการให้ภาพถ่ายของน้องมะห์มุดช่วยนำไปสู่การยุติสงครามทันที พอกันทีกับการฆ่าฟันพลเรือนที่ป้องกันตัวเองไม่ได้
น้องเป็นเพียงหนึ่งในเด็กพิการที่ถูกตัดแขนขาหลายพันคนในฉนวนกาซา ปัจจุบันน้องได้รับความช่วยเหลือให้ไปอยู่ที่กาตาร์ “หนึ่งในเรื่องยากที่สุดที่แม่ของมะห์มูดอธิบายให้ดิฉันฟังก็คือ ตอนที่มะห์มูดรู้ว่าแขนของเขาถูกตัด ประโยคแรกที่เขาพูดกับแม่คือ ‘แล้วผมจะกอดแม่ได้อย่างไร” ช่างภาพบอก
https://www.aljazeera.com/.../portrait-of-amputee...


.....


World Press Photo of the Year: Samar Abu Elouf | 2025 Contest

World Press Photo Foundation

Apr 17, 2025

‘Mahmoud Ajjour, Aged Nine’ by Samar Abu Elouf for The New York Times, is the World Press Photo of the Year in 2025.

 
Mahmoud Ajjour (9) was injured during an Israeli attack on Gaza City in March 2024. As his family fled the Israeli assault, Mahmoud turned back to urge others onward. An explosion then severed one of his arms and mutilated the other. The family were evacuated to Qatar where, after medical treatment, Mahmoud is learning to use his feet to play games on his phone, write, and open doors. Aside from that, he needs special assistance for most daily activities, such as eating and dressing. Photographed here in Doha, Qatar on 28 June 2024.

 
In this video, photographer Samar Abu Elouf talks about why and how she made this photograph, and her relationship with Mahmoud. Coming from Gaza herself, Samar Abu Elouf was also evacuated in December 2023 and lives in the same Doha apartment complex as Mahmoud in Qatar. 

Additionally, Lucy Conticello, global jury chair of the 2025 World Press Photo Contest and Director of Photography for M, Le Monde's weekend magazine, shares why she finds this work important.

 
📸 Learn more about this photograph: worldpressphoto.org/collection/photo-contest/2025/Samar-Abu-Elouf/1

 — 

The annual World Press Photo Contest recognizes and celebrates the best photojournalism and documentary photography produced over the last year. 

Discover all the winners: worldpressphoto.org/

https://www.facebook.com/watch/?v=1707476653478991
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162395200121649&set=a.10150096728651649
https://www.youtube.com/watch?v=j1mYna_audE


‘ฟอกขาว’ ให้เผด็จการ บ่อนทำลายอาเซียน APHR ออกแถลงการณ์เป็นห่วง ปม ‘อันวาร์’ หารือ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ในไทย


The Momentum
13 hours ago
·
‘ฟอกขาว’ ให้เผด็จการ บ่อนทำลายอาเซียน
APHR ออกแถลงการณ์เป็นห่วง
ปม ‘อันวาร์’ หารือ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ในไทย
.
เมื่อวานนี้ (16 เมษายน 2025) สมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (ASEAN Parliamentarians for Human Rights: APHR) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลกรณี อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เชิญ พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ผู้นำกองทัพเมียนมา มาประชุมในประเทศไทย พร้อมเรียกร้องให้มาเลเซียในฐานะประธานการประชุมสุดยอดอาเซียนปี 2025 ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตย และปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมให้ความชอบธรรมกับผู้นำเผด็จการ
.
ทั้งนี้แถลงการณ์ระบุว่า การที่มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน พยายามเจรจาพูดคุยกับมิน อ่อง หล่าย ถือเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ผู้นำในระบอบการปกครองอันเลือดเย็น และบั่นทอนความพยายามของภูมิภาคที่พยายามสร้างสันติภาพ ระบอบประชาธิปไตย และหลักนิติธรรมในเมียนมา ไม่ว่าการพบกันจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขอะไรก็ตาม​
.
APHR ย้ำว่า องค์กรยอมรับความเป็นผู้นำของมาเลเซีย แต่การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำที่ก่อเหตุรัฐประหาร ย้อนแย้งกับหลักการทางการทูต และความเป็นผู้นำทางศีลธรรมที่มาเลเซียยึดถือมาตลอด อีกทั้งยังบ่อนทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียน ที่กำลังเปราะบางอยู่แล้วจากวิกฤตในเมียนมา โดยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 2021 เป็นต้นมา กองทัพเมียนมากระทำการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ทั้งจำคุก ทรมาน เข่นฆ่า และทิ้งระเบิดใส่พลเรือนมากกว่า 3 ล้านคน อีกทั้งยังปฏิเสธหลักการฉันทมติทั้งห้า (Five-Point Consensus) หรือวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามแนวทางของอาเซียน
.
ชาร์ลส์ ซานติอาโก (Charles Santiago) ประธานร่วมของ APHR ย้ำในแถลงการณ์ว่า การทูตไม่ควรแลกมาด้วยผลลัพธ์ราคาแพง ที่สร้างความชอบธรรมให้ระบอบเลือดเย็นและอาชญากรรม โดยในฐานะประธานอาเซียนในปี 2025 มาเลเซียควรเป็นผู้นำที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับภูมิภาค ยืนหยัดในแนวทางที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นแก่นแท้ของความยุติธรรม ไม่ใช่การยึดหลักประนีประนอมกับเผด็จการ
.
ขณะที่ รังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และสมาชิกกรรมการ APHR ออกแถลงการณ์ร่วมว่า ตั้งแต่เมียนมาเกิดเหตุรัฐประหาร 2021 เป็นต้นมา ไม่มีประธานอาเซียนคนไหนพบปะผู้นำเผด็จการเลย ซึ่งเป็นท่าทีทางการทูตที่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครยอมรับและให้ความชอบธรรมระบอบเผด็จการ พร้อมย้ำว่า การกระทำของอันวาร์จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของอาเซียน และทำให้ฉันทมติของภูมิภาคที่ร่วมกันสร้างมานานมากกว่า 3 ปีถดถอย
.
ในต้นสัปดาห์นี้ อันวาร์เปิดเผยต่อหน้าสื่อว่า เขาจะเดินทางมาที่ไทย เพื่อถกปัญหาน้ำท่วมกับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน ขณะเดียวกันยังเชิญมิน อ่อง หล่าย มาเจรจาความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม และข้อตกลงหยุดยิงในระหว่างช่วงฟื้นฟูประเทศจากเหตุแผ่นดินไหว
.
ภาพ: AFP
.
อ้างอิง
- https://aseanmp.org/.../aphr-alarmed-by-asean-chairs.../
- https://www.irrawaddy.com/.../malaysia-pm-says-to-meet...
.
#TheMomentum #StayCuriousBeOpen #GlobalAffairs #อันวาร์ #มินอ่องหล่าย #สมาชิกรัฐสภาอาเซียน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1108794917961224&set=a.654659416708112