วันพุธ, ธันวาคม 10, 2568

แก้ไขรัฐธรรมนูญในชั้นกรรมาธิการ ก่อนวาระสองวันนี้ สาละวันถอยหลังนิดนึง เพื่อไทยไม่ชอบสูตร ๒๐ หยิบ ๑ ขอแค่ ๑๐ ยืนกรานกลับไปเลือก สสร.

แก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่วาระสองในชั้นกรรมาธิการ ก็ยังใช้จังหวะรำสาละวัน ก้าวหน้าแล้วถอยหลังสลับกันไป ก่อนเริ่มอภิปรายวาระสองวันนี้ พรรคเพื่อไทยมีข้อสงวนแปรญัตติ ๒ เรื่อง ยืนกรานให้กลับไปมี สสร. และขอแก้สูตร ๒๐ หยิบ ๑ เหลือแค่ ๑๐ หยิบ ๑

ชูศักดิ์ ศิรินิล บอกว่าสูตรยี่สิบหยิบหนึ่ง อาจทำให้เกิดความลำเอียงไปตามเสียงข้างมากของรัฐสภา “ใครคุมรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ได้ก็จะสามารถชี้นำรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ” ประเด็นนี้ ทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติเห็นแบบเดียวกัน

ซึ่งนั่นมาจากข้อเสนอของพรรคประชาชน ๑ ใน ๓ ข้อที่กรรมาธิการยอมรับจาก ๕ ข้อ อีกสองข้อที่ ปชน.ผลักดันสำเร็จก่อนเข้าสู่วาระสอง ได้แก่การวางกรอบเนื้อหารัฐธรรมนูญใหม่ให้รัฐสภาวินิจฉัย โดยไม่เปิดช่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปแทรกแซง

“เช่น สถาบันทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การป้องกันการทุจริต การกระจายอำนาจ” และในข้อที่สามเป็นกรณีเกณฑ์คะแนนเสียงสำหรับผ่านร่าง รธน.ในสภา ตามปกติเกินกึ่งหนึ่ง หรือ ๕๐% ไม่มีกั๊กต้องให้วุฒิสภาเห็นด้วยอย่างน้อย ๑/๓

ส่วนกรณีที่พรรคอื่นๆ เป็นห่วงกันเหลือหลายว่าจะขัดต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ห้ามประชาชนเลือกตั้งโดยตรงผู้เข้าไปทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ โดยใช้วิธีให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรงก่อน ๗๐ คน แล้วสภาคัดให้เหลือ ๓๕ คน นั้นเจอตอ

เสียงส่วนใหญ่ในกรรมาธิการเห็นว่าถึงแม้จะเลี่ยงไปใช้การเลือกตั้งทางอ้อม ประชาชนเลือก ๗๐ รัฐสภาตัดเหลือ ๓๕ ก็ยังจะถือว่าขัดคำสั่งศาลรัฐธรรมนวยอยู่ดี เรื่องนี้ พริษฐ์ วัชรสินธุ จากพรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่าง รธน. ให้ความเห็น

ว่า “ในมาตรา ๒๕๖/๑ ว่าด้วยการกำหนดองค์กรที่จะทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตนเองไม่เห็นด้วยกับมติของกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก” ที่ให้ตัดประเด็นการมีคณะกรรมาธิการยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงออกไป

สส.ไอติมให้อรรถาธิบายว่า การให้ประชาชนเลือกผู้ร่าง ๗๐ คนแล้วให้รัฐสภาคัดเหลือ ๓๕ คน ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงตามที่ รธน.๖๐ มาตรา ๘๕ ระบุ เฉกเช่นเดียวกับการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งประชาชนเลือก สส.ล้ว สส.ไปเลือกนายกฯ

สำหรับสภาที่ปรึกษาฯ ก็ไม่ใช่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ตาม “ที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า ให้ประชาชนเลือกมาโดยตรงไม่ได้...อีกทั้งอำนาจหน้าที่ของสภาที่ปรึกษา คือการรวบรวมและรับฟังความเห็นจากประชาชน โดยไม่มีอำนาจลงมติใด ๆ”

หากจะบอกว่าสภาที่ปรึกษาฯ เป็นผู้ให้ความเห็นแก่กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ จะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เข้าข่ายคำสั่งห้ามประชาชนเลือกโดยตรงนั้น ไอติม บอกว่า “ตีความเกินเลยไป”

(https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/2n1oPp4n2Qo, https://www.facebook.com/thai.udd.news/posts/ZdRBC92h2X และ https://www.facebook.com/permalink.php=100054162881442) 

ฟังเสียงผู้ต้องอพยพ "ในช่วงเวลาสงคราม...มันจะมีข่าวลือทำให้บั่นทอนจิตใจ... มันไม่มีความชัดเจน เราอยากให้ทางหน่วยงานหรือทางนักการเมืองทั้งหลาย ตัดสินใจเด็ดขาดให้มันจบ เพื่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านชายแดนทั้งหมด... ให้เห็นแก่ชาวบ้านบ้าง ...ถ้าต้องอพยพนาน ก็ขาดรายได้"



"ในช่วงเวลาสงคราม...มันจะมีข่าวลือทำให้บั่นทอนจิตใจ" ฟังเสียงผู้ต้องอพยพหลังเหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชาระลอกล่าสุด

8 ธันวาคม 2025
บีบีซีไทย

ความขัดแย้งรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค.) ล่าสุดการปะทะขยายวงกว้าง และทางการได้สั่งให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สุรินทร์ และศรีสะเกษ ต้องอพยพออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย

โดยในเวลา 6.00 น. ของวันนี้ (8 ธ.ค.) ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่าประชาชนในพื้นที่อำเภอตามแนวชายแดน อพยพออกจากพื้นที่แล้วประมาณ 70% โดยมีผู้ที่ลงทะเบียนเข้าศูนย์พักพิงชั่วคราวแล้ว จำนวน 35,623 ราย ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งเลือกไปพักอาศัยที่บ้านญาติ

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านบางรายที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใน จ.ศรีสะเกษ บอกว่า ตนเลือกไม่อพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากกังวลเรื่องขโมยและเป็นห่วงสัตว์เลี้ยง ขณะที่บางรายบอกด้วยว่ามีความกังวลเรื่องความพร้อมของศูนย์อพยพชั่วคราวในการรองรับผู้ป่วย

เกิดอะไรขึ้นหลังชาวบ้านได้แจ้งเตือนอพยพเมื่อวานนี้

"ตอนนั้นดูเฟซบุ๊กก็เห็นอยู่ว่ามีการปะทะกัน [ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา] แต่ก็ไม่ได้เอะใจ เพราะเข้าใจว่าเป็นการปะทะด้วยปืนเล็ก ยังไม่มีคำสั่งอพยพ พอสักพักก็มีข้อความจากหน่วยงาน แจ้งเตือนให้ตำบลชายแดนอพยพออกจากพื้นที่ทันที" นายสุเทียน ผิวจันทร์ ชาวบ้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บอกกับบีบีซีไทย

แต่เขาไม่ได้ตื่นตกใจอะไรมากนัก เพราะด้วยความที่เป็นคนชายแดนทำให้เขาเตรียมความพร้อมอพยพอยู่ตลอด ต่างกับลูกสาวคนโตวัย 13 ปีของเขา ที่ไม่สบายใจกับเรื่องนี้

"คำแรกที่เขาถามผมก็คือ จะรบกันอีกแล้วหรอ แล้วพ่อคิดว่าวันไหนมันจะจบ" นายสุเทียนเล่าให้ฟังตอนที่จะตอบคำถามที่เขาไม่มีคำตอบให้ลูกสาว จึงได้แต่ตอบไปเพียงว่า "เราต้องอยู่กับมันให้ได้"

เขาบอกด้วยว่า แม้ได้รับข้อความแจ้งเตือนในวันที่ 7 ธ.ค. แต่เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าความรุนแรงบริเวณชายแดนจะปะทุขึ้นอย่างรุนแรง แต่พอเข้าช่วงเช้าของวันนี้ เขาก็เริ่มกังวลใจว่าความรุนแรงระลอกใหม่นี้อาจใหญ่กว่าที่ตนคิดไว้

"คำสั่งอพยพออกมาแล้วแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งคืน ก็คิดว่ามันน่าจะเงียบ มันยังไม่ปะทุเต็มที่ แต่ก็พอตื่นเช้ามาสัก 7 โมงเช้า ก็ได้ยินเสียงปืนจากช่องอานม้าแล้วก็ค่อย ๆ ไล่มาเลย" นายสุเทียน เสริม

เกษตรกรวัย 49 ปีรายนี้บอกด้วยว่า สมาชิกครอบครัวของเขาห้าคน ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ ภรรยา และลูกสาวอีกสองคน ได้เก็บของไปอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวแล้ว

อย่างไรก็ตาม นายสุเทียนบอกว่า เขาตัดสินใจไม่ไปศูนย์อพยพ เพราะว่าเขาเป็นหนึ่งในชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จึงมีหน้าที่ต้องคอยดูแลบ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านที่อพยพออกไปแล้ว

"ผมก็ต้องป้องกันโจรขโมยอะไรพวกนี้ แล้วก็วัว ควาย ที่เจ้าของบ้านเขาไม่อยู่ เราก็ต้องไปเอาหญ้าเอาน้ำ ให้วัวกิน" เขาบอก

ชาวบ้านใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เริ่มอพยพออกจากพื้นที่แล้ว หลังความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ระลอกใหม่เริ่มต้นขึ้นวานนี้ (7 ธ.ค.)

ด้านนางปราณี ระงับภัย หนึ่งในทีมศูนย์ประสานงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.ศรีสะเกษ บอกว่าตอนที่มีแจ้งเตือนอพยพ เธออยู่ที่สนามกีฬาจังหวัด แต่ทุกคนรอบตัวก็ตื่นตัวกันมากเพราะนี่ไม่ใช่การอพยพครั้งแรก

"ช่วงประมาณบ่ายกว่า ๆ มันมีเสียงสัญญาณเตือนมาในโทรศัพท์ทุกคนที่อยู่ในสนาม หลังจากนั้นก็มีการประกาศให้ใครก็ตาม ที่ไม่ใช่นักกีฬาออกไปจากสนามแล้วก็กลับบ้านด่วน ซึ่งทุกคนมีประสบการณ์จากเหตุการณ์ครั้งที่แล้วเมื่อวันที่ 24 ก.ค. มันทำให้คนมีความตื่นตัวหลังจากได้รับสัญญาณเตือนแล้วก็รีบวิ่งกลับกัน" เธอบอก

นางปราณี บอกด้วยว่าในการอพยพของเทศบาลมีแผนการที่เคยซ้อม และนายกเทศมนตรี หรือผู้นำเทศบาลจะเป็นคนแจ้งผู้ใหญ่บ้านและคนในหมู่บ้านว่า เมื่ออพยพแล้วต้องไปอยู่ที่ศูนย์อพยพไหน อีกทั้งยังมีการเตรียมพร้อมยานพาหนะเพื่อเคลื่อนย้ายผู้คนด้วย

"ผู้นำจะมีแผนอพยพแล้วบอกว่า แต่ละหมู่บ้านจะต้องไปอยู่ศูนย์อพยพที่ไหน เขาจะโพสต์ลงโซเชียลเลย...ใครที่มีรถส่วนตัวจะออกไปก่อนก็ไปได้เลย ส่วนคนที่ไม่มีรถ ทางหน่วยงานก็พยายามจะหารถเพื่อที่รับส่ง เช่น รถโรงเรียน หรือไม่ก็รถเทศบาล รถหน่วยงานงาน" เธอกล่าวเสริม

ทั้งนี้ เธอยังคง "เข้า ๆ ออก ๆ" ศูนย์อพยพอยู่เพราะต้องคอยประสานงานช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง

สภาพศูนย์อพยพเป็นอย่างไร

นายสุเทียนบอกว่า ตนกังวลเรื่องความเครียดของชาวบ้านที่ต้องไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพ เพราะไม่รู้ว่าต้องไปอยู่นานแค่ไหน

"คนที่เคยอยู่บ้านตัวเอง ต้องไปอยู่รวมกัน จากวันแรกยังไม่เท่าไหร่ พอไป 4-5 วัน จะเริ่มคิดแล้ว ทั้งคิดถึงทรัพย์สิน บ้าน และเวลาต้องซักเสื้อผ้า มันก็ไม่มีความเป็นส่วนตัว" เขาบอก พร้อมกล่าวเสริมด้วยว่า ข่าวลือเรื่องสงครามในศูนย์ผู้อพยพก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้คนรู้สึกเครียด

"ในช่วงเวลาสงคราม เวลาเราจะไปอยู่รวมกัน มันจะมีข่าวลือทำให้บั่นทอนจิตใจ เช่น ลูกปืนลงตรงนี้แล้ว ลงตรงนั้นแล้ว คนในศูนย์เขาก็จะเริ่มวิตกกังวล" เขากล่าว

ด้านนางปราณี บอกกับบีบีซีไทยว่าตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือเรื่องการจัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียง เพราะมีความละเอียดอ่อนมาก

"ห่วงเรื่องผู้ป่วยติดเตียงหรือว่าผู้ป่วยที่ต้องใช้สาย อย่างเช่น ผู้ป่วยฟอกไต มันฉุกเฉินมากและในในการอพยพครั้งนี้ เราต้องวิเคราะห์ด้วยว่าศูนย์อพยพนั้น ๆ มันรองรับผู้ป่วยได้ไหม" เธอกล่าวเสริม พร้อมอธิบายด้วยว่า เป็นเรื่องจำเป็นก่อนส่งตัวผู้ป่วย ต้องตรวจสอบให้มั่นใจก่อนว่า "สถานที่เหมาะกับคนป่วยโรคไตที่ต้องล้างช่องท้องไหม หรือมีความสะอาดเพียงพอไหม"

อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าตอนนี้ศูนย์อพยพบางแห่งยัง "ไม่มีการรองรับในเรื่องนี้เลย" ทำให้ในบางครั้งผู้ป่วยต้องไปอาศัยอยู่บ้านญาติแทน หรือต้องให้เขาหาที่อื่นเองที่ไม่ใช่ศูนย์ฯ

ทั้งนี้ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยหลังการประชุมติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ากระทรวงสาธารณสุขเตรียมรับสถานการณ์แบ่งพื้นที่ความเสี่ยงเป็น 3 โซนหลัก ประกอบด้วย
  • พื้นที่สีแดง ระยะห่างจากเหตุปะทะราว 20 กิโลเมตร
  • พื้นที่สีชมพู ห่างออกมาราว 50 กิโลเมตร
  • พื้นที่สีส้ม ห่างออกมาราว 100 กิโลเมตร
โดยขณะนี้มีการอพยพผู้ป่วยใน จาก รพ.พื้นที่สีแดงแล้วใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย
  • โรงพยาบาลน้ำยืน โรงพยาบาลน้ำขุ่น โรงพยาบาลนาจะหลวย ใน จ.อุบลราชธานี
  • โรงพยาบาลกันทรลักษ์ โรงพยาบาลภูสิงห์ ใน จ.อุบลราชธานี
  • โรงพยาบาลพนมดงรัก โรงพยาบาลกาบเชิง ใน จ.สุรินทร์
  • โรงพยาบาลละหานทราย โรงพยาบาลบ้านกรวด ใน จ.บุรีรัมย์
ผลกระทบต่ออาชีพ

ก่อนที่จะต้องอพยพออกจากพื้นที่หลังจากที่มีการปะทะครั้งใหม่ ชาวบ้านบอกว่า พวกเขาก็ต้องอยู่ภายในความวิตกกังวลมานานระยะเวลาหนึ่งแล้ว ขณะที่บางส่วนกลับไม่เชื่อมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสองประเทศที่เคยลงนามไว้เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา

นายสุเทียนบอกว่า "คนชายแดนเขารู้กันว่ามันไม่สงบ มันไม่จบ ในห้องประชุมเขา [รัฐบาลไทยและกัมพูชา] ตกลงกัน แต่ในพื้นที่มันไม่ใช่ มันทะเลาะกันตลอด"

นั่นทำให้เขาเป็นกังวลเรื่องปัญหาชายแดนมาตลอดว่าความรุนแรงจะปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ เพราะเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น การงานอาชีพเขาก็จะได้รับปัญหาทันที

"ลงทุนทำอะไรไม่ได้ คิดจะลงทุนทำการเกษตรอะไร คนเขาก็ไม่กล้าลงทุน อย่างผมก็ตั้งใจว่าจะหว่านข้าววันนี้ แช่ข้าวไว้หมด เริ่มงอกแล้ว แต่พอเกิดเหตุการณ์ก็ต้องทิ้งพันธุ์ข้าวไป" เขาอธิบาย

ด้านนางปราณี ก็บอกกับบีบีซีไทยว่า ปัญหาในชายแดนที่ยังไม่สงบเสียที ก็ทำให้ชาวบ้านทุกข์ใจมาก และยังส่งผลกระทบต่อการทำมาหากิน

"ชีวิตอยู่ในความวิตกกังวล อย่าลืมว่าพื้นที่ที่เราอยู่คือชายแดน พื้นที่ทำการเกษตรก็อยู่ชายแดน บางคนเนี่ยไปกรีดยางในตอนกลางคืน ทำให้อยู่ด้วยความระแวง" เธอบอก

"มันไม่มีความชัดเจน เราอยากให้ทางหน่วยงานหรือทางนักการเมืองทั้งหลาย ตัดสินใจเด็ดขาดให้มันจบ เพื่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านชายแดนทั้งหมด ไม่แน่ใจว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่อยากให้เห็นแก่ชาวบ้านบ้าง อย่างน้อยชีวิตช่วงนี้ก็ได้รับผลกระทบ...ถ้าต้องอพยพนาน ก็ขาดรายได้" เธอกล่าวทิ้งท้าย

https://www.bbc.com/thai/articles/cx23x2llnw3o






สื่อไทย สื่อสงคราม ?


Pravit Rojanaphruk
18 hours ago
·
(English below)
อารมณ์แบบช่วยโปรโมทสินค้า พอดีสินค้าที่ช่วย Live ขายรัวๆคือความตายและพินาศ ที่เรียกว่าสงคราม ยิ่งยุให้ฆ่ากัน ยอดเอนเกจยิ่งดี กองทัพไทยซีเกมส์หรือจะสู้กองทัพที่ใช้ F-16 ปล. แล้วบรรดาสมาคมสื่อจะออกมาเตือนไหม? หรือเชียร์สงครามเหมือนกัน?
ปล. ผมเกรงว่าสื่อหลายคน หลายสำนัก แยกการทำข่าวกับการเชียร์สงครามไม่ออกแล้วเพราะพวกเขาสวมหมวกชาตินิยมสุดโต่งก่อนหมวกสื่อมวลชน
#ป #ไทยกัมพูชา #สื่อ #สื่อสงคราม #สื่อไทย
A former senior colleague complains on Facebook this morning that he found a newscaster behaving as if he's a guru teaching battle strategies to the Thai Army in order to "annihilate Cambodia."
He addded: "Warn him to come to his senses that he should be working [as a journalist] and waging war."
My take: The tone is like promoting a product. The “product” that boosts live-view sales nonstop is death and destruction — what we call war. The more you push people to kill each other, the higher the social media engagement. Can the 'Thai arny' of athletes at the SEA Games in Bangkok really compete with a Thai military equipped with F-16s?

P.S. Will Thai media associations come out to warn these journalists? Or are they cheering for more war as well?
P.S. I fear that many Thai journalists and media outlets can no longer differentiate their duty as journalists from that of being a warmonger because their subconscious hat as an ultra-nationalist is more powerful than their hat as a journalist.
Read more on Khaosod English here: https://www.facebook.com/share/p/1AGFouFy5p/
#ThailandCambodia #Thaipress
.....


Wara Chanmanee
19 hours ago
·
ยัยวาสนา นาน่วม นี่น่ารำคาญที่สุด
ทัศนคติ การสื่อสาร ล้ำมารยาทของสื่อมวลชนไปมาก
การออกมานำเสนอข่าวเชิงยุยง ชี้นำให้รบกัน ให้ปะทะกัน มันไม่ใช่การตัดสินใจของสื่อหรือทหารชั้นผู้น้อย
ผลกระทบที่เกิดจากสงคราม ทหารชั้นผู้น้อยรับผิดชอบไม่ได้ วาสนา นาน่วม รับผิดชอบไม่ได้

ยัยวาสนานี่ไม่รู้เหรอว่า จรรยาบรรณสื่อคืออะไร

สื่อมวลชนมีหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางและสมดุล โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้ง สื่อต้องหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาหรือนำเสนอข่าวในลักษณะที่ยุยง (Incitement) ให้เกิดความรุนแรง หรือชี้นำ (Advocacy) ให้เกิดการตัดสินใจทางการทหารหรือการเมืองอย่างเฉพาะเจาะจง

การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ว่าจะรบหรือเจรจา เป็นอำนาจของผู้บัญชาการระดับสูงและฝ่ายการเมือง ไม่ใช่หน้าที่ของสื่อมวลชนหรือทหารชั้นผู้น้อย

ปัญหาความวุ่นวายและการขาดธรรมาภิบาลในประเทศทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากสื่อมวลชนที่ไร้จรรยาบรรณ...
Jaruaypaun Chuengsatiansup

เข้าใจได้ว่า ทำไมวงการทหารจึงไม่สามารถปฏิรูปได้สำเร็จ เพราะไม่มีสื่อสายทหารที่เข้าใจปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีแต่ทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องเสียสละทุกสิ่ง
แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง ไม่เคยขุดคุ้ยโยงใยทหารสีเทาจนเอาคนผิดมารับโทษได้ ไม่เคยตรวจสอบการทุจริตและฉ้อฉลในวงการนี้ได้ ไม่เคยขุดคุ้ยการทำร้ายทหารเกณฑ์จนเสียชีวิตจำนวนมาก คนผิดยังลอยนวลในค่ายทหาร
จะมีสื่อสายทหารที่หัวก้าวหน้าบ้างไหม
...
อ่านความเห็นต่อ
https://www.facebook.com/photo?fbid=25285739371084691&set=a.505013726250599



แฟนตาซีชาตินิยมไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชา



แฟนตาซีชาตินิยมไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชา

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี 
9 Dec 2025
101 World

“ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 นอกจากเราจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวแล้ว ต้องเป็นการทวงคืนดินแดนที่เราได้สูญเสียไปในอดีตโดยปราศจากความชอบธรรมให้กลับคืนมาด้วย”

ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์

กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาเรียกร้องให้กองทัพไทยใช้โอกาสที่มีความขัดแย้งกันตามแนวชายแดนเมื่อกลางปี 2025 เพื่อยึดคืนเมืองพระตะบอง เสียมเรียบ (เสียมราฐ) และศรีโสภณ ให้กลับคืนสู่ความครอบครองของไทยอีกครั้ง โดยอ้างความชอบธรรมจากความบกพร่องของขั้นตอนในการให้สัตยาบันความตกลงวอชิงตัน ปี 1946 ทำให้การยกเลิกอนุสัญญากรุงโตกิโอ (กรุงโตเกียว) ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ที่ไทยทำกับฝรั่งเศสเพื่อโอนดินแดนบางส่วนของกัมพูชาให้ไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองเป็นโมฆะ

“ด้วยเหตุนี้ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ จึงยังคงเป็นดินแดนของประเทศไทย ที่เราสามารถสงวนสิทธิ์ในการยึดคืนกลับมาได้โดยชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ หรืออย่างน้อยประเทศไทยมีความชอบธรรมที่จะต่อสู้ในเวทีสากลระหว่างประเทศในการเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว” ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เขียนเอาไว้ใน Facebook ของเขาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ซึ่งเป็นวันที่กองทัพไทยเริ่มต้นปะทะกับกัมพูชาด้วยอาวุธหนัก

คนทั่วไปที่แม้ว่าจะเกิดไม่ทันสมัยสงครามโลกแต่หากได้เรียนรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ครั้งนั้นและเข้าใจหลักกฎหมายระหว่างประเทศตามสมควรก็อาจจะมองว่าข้อเรียกร้องทำนองนี้เป็นสิ่งที่เพ้อฝันหรือพลอยคิดไปว่าคนระดับศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านรัฐศาสตร์ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองถึงระดับรัฐมนตรีจะนำเสนอเรื่องราวที่เพ้อเจ้อขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

เป็นความจริงที่ว่า ‘อนุสัญญาโตเกียว’ ที่พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ลงนามร่วมกับ ชาลส์ อาร์แซน-อังรี (Charles Aesene-Henry) เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำญี่ปุ่น เพื่อทำการโอนดินแดนในอินโดจีนของฝรั่งเศสจำนวนมาก คือ มณฑลบูรพาหรือเมืองพระตะบอง เสียมเรียบและศรีโสภณในกัมพูชา และนครจำปาสัก-ไซยะบุลี ในลาว ให้มาเป็นของไทย[1] และดินแดนหรือเมืองเหล่านี้อยู่ในความครอบครองของประเทศไทยนาน 5 ปี (1941-1946) อันเป็นระยะเวลาระหว่างสงครามโลกซึ่งฝรั่งเศสในอินโดจีนอ่อนแอมากไม่อาจจะสู้รบต่อไปได้ จึงเปิดโอกาสให้ไทยซึ่งเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นที่กำลังบุกตะลุยทั่วเอเชียสามารถเข้าครอบครองดินแดนเหล่านั้นไว้ได้

รัฐบาลจอมพล ป. ในสมัยนั้นได้ปลุกกระแสลัทธิชาตินิยมอย่างขนานใหญ่ เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย เรียกร้องดินแดนที่เชื่อว่าเสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ให้มาอยู่ในความครอบครองของประเทศไทย เมืองเสียมเรียบถูกเปลี่ยนชื่อเป็น จังหวัดพิบูลสงคราม ตามนามสกุลของจอมพล ป. และให้ความรู้สึกว่า ‘เป็นไทย’ ขึ้นมาอย่างมาก

ต่อมาเมื่อประเทศไทยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามตามญี่ปุ่น ไทยกับฝรั่งเศสก็ต้องทำความตกลงกันใหม่ ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤศจิกายน 1946 ซึ่งข้อ 1 ในความตกลงนั้นเขียนเอาไว้ชัดเจนว่าให้ยกเลิกอนุสัญญากรุงโตกิโอไปเสียและให้สถานภาพก่อนอนุสัญญาฉบับนั้นกลับฟื้นคืนขึ้นมา ฉะนั้น อาณาเขตอินโดจีนที่บัญญัติเอาไว้ในอนุสัญญาดังกล่าวก็ต้องโอนกลับไปให้ฝ่ายฝรั่งเศสและเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชก็สืบสิทธิในการครอบครองเมืองและดินแดนเหล่านั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

โดยสามัญสำนึกทั่วไปแล้วข้อเรียกร้องให้ดินแดนเหล่านี้กลับมาอยู่ในความครอบครองของไทยไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงในศตวรรษที่ 21 เพราะในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศแล้วคงไม่มีประเทศใดสามารถอ้างความบกพร่องของกระบวนการหรือกฎหมายภายในประเทศมาเปลี่ยนแปลงความตกลงระหว่างประเทศได้ ประการต่อมาในแง่ของความเป็นจริง ประเทศไทยในยุคปัจจุบันแม้ว่าจะมีความเหนือกว่ากัมพูชาในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นขนาดพื้นที่ จำนวนประชากร ขนาดเศรษฐกิจ และศักย์สงครามของกองทัพ แต่ก็มองไม่เห็นทางเลยว่า รัฐบาลและกองทัพไทยในยุคนี้จะมีขีดความสามารถในการก่อสงครามเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบเพื่อบุกยึดดินแดนในกัมพูชาได้เหมือนอย่างกองทัพรัสเซียบุกยึดยูเครน

ในที่นี้ต้องการจะหาคำอธิบายว่า คนระดับศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ผู้มีประสบการในการบริหารงานราชการบ้านเมือง จะไม่สามารถวิเคราะห์ได้เชียวหรือว่าข้อเรียกร้องของเขาไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าเช่นนั้นแล้วเขายกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม เพื่อปลุกระแสชาตินิยมอย่างนั้นหรือ? และจะมีคนไทยที่ต่อให้นิยมชมชอบชาติของตัวเองขนาดไหนจะเชื่อถือคล้อยตามข้อเรียกร้องแบบแฟนตาซีอย่างนี้ไปทำไมกัน? เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องเพ้อฝันหรือออกจะเหลวไหลเกินกว่าจะมีผู้นำทางการเมืองคนใดหยิบเอามาทำเป็นนโยบายของรัฐบาลของตนได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วเรื่องราวอันเหลือเชื่ออันนี้ทำหน้าที่ในเชิงจิตวิทยาและอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร

ก่อนอื่นต้องขออธิบายคำว่า ‘แฟนตาซี’ (fantasy) เสียก่อนสักเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วเมื่อพูดคำว่าแฟนตาซีหรือเรียกอะไรว่าเป็นแฟนตาซีคนมักจะคิดถึงเรื่องความฝันลมๆ แล้งๆ ที่สดสวยโสภาแต่เป็นไปไม่ได้ในโลกของความเป็นจริง แต่แฟนตาซีในที่นี้จะหมายถึงแฟนตาซีที่เป็นอุดมการณ์ (ideological fantasy)[2] เป็นโครงสร้างของจิตวิทยาการเมืองประเภทหนึ่งเพื่อใช้กำกับ ‘ความปรารถนา’ และ ‘ความเจ็บปวดรวมหมู่’ ของสังคม เพื่อใช้กลบเกลื่อนความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้ (inconvenient truth) ผ่านเรื่องเล่าที่มอบความหมาย ความชอบธรรม และตัวตนของชาติให้แก่เรา แม้เราจะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่เป็นจริงก็ตาม

ในบริบทของความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งตอนนี้ fantasy ทำหน้าที่แปลงความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์และความบกพร่อง ความไม่สมเหตุสมผลของอัตลักษณ์แห่งความเป็นไทยให้กลายเป็นภาพลวงตา (illusion) ของดินแดนที่สมควรถูกทวงคืน ยิ่งเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ยิ่งทำให้ความรู้สึกเป็นชาติและความชอบธรรมทางศีลธรรมของผู้เรียกร้องมีพลังมากขึ้นเท่านั้น

เสาหลักแฟนตาซีชาตินิยมไทย

แฟนตาซีชาตินิยมไทยยุคปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความเข้าใจผิดหรือไม่รู้ข้อเท็จจริง หากแต่เกิดจากโครงสร้างเชิงอารมณ์-ความรู้สึกและประวัติศาสตร์ 6 ประการที่ทำงานร่วมกันในการจัดระเบียบความปรารถนา ความเจ็บปวด และความกลัวของสังคมไทย ซึ่งทำให้ข้อเรียกร้องที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การทวงคืนดินแดน หรือการใช้กำลังกับกัมพูชา ดูน่าชื่นชม หลงใหลและมีความสูงส่งทางศีลธรรมในสายตาผู้คน

ประการแรก ประวัติศาสตร์บาดแผลของสังคมไทยเกิดจากการเลือกหยิบเหตุการณ์ในยุคล่าอาณานิคมมาเป็นเรื่องเล่าเพื่อสร้างความเจ็บปวดรวมหมู่อันเกิดจากการถูกจักรวรรดินิยม (เฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศส) รุกราน มาแย่งชิงเอาดินแดนที่เคยเป็นประเทศราชของสยามไป ในเวลาต่อมาแม้ว่าบางยุคบางสมัยผู้นำของไทยจะไปยึดดินแดนเหล่านั้นมาได้ แต่ผลแห่งความพ่ายแพ้สงครามทำให้จำต้องปล่อยให้ดินแดนเหล่านั้นกลับคืนสู่สถานะเดิม แม้ว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาจะมีขนาดเล็กกว่า มีศักยภาพทางการทหารต่ำกว่าไทยหลายเท่าแต่ถึงกระนั้นบรรดาปัญญาชนสายชาตินิยมและนักเล่าเรื่องกระแสหลักก็จะพากันสร้างเรื่องเล่าว่า เพื่อนบ้านนั้นใช้ “มรดก” ของอาณานิคม เช่น สนธิสัญญา แผนที่ ประกอบกับการประจบประแจงเพื่อให้ประเทศใหญ่ทางตะวันตกใช้อำนาจและอิทธิพลมาแย่งชิงเอาดินแดนเหล่านั้นไปจากประเทศไทยอีกจนได้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ก็ไม่ได้สถิตไว้ซึ่งความยุติธรรมเหมือนชื่อเลยแม้แต่น้อย หากแต่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศตะวันตก (ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ) ใช้หลักกฎหมายปิดปาก Estopple อะไรก็ไม่รู้มายัดเยียดให้ไทยยอมรับแผนที่ 1:200,000 (ในสายตานักประวัติศาสตร์สายชาตินิยมบางคนเห็นเป็นแผนที่เก๊ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียว) ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาไปเสียเฉยๆ อย่างนั้น

แม้เหตุการณ์ในอดีตหลายเรื่องจะมีความซับซ้อนกว่าที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ยกกันขึ้นมาก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงเสียทั้งหมด แต่ความรู้สึกว่าชาติถูกกระทำย่ำยีได้กลายเป็นแก่นสารของสำนึกความเป็นไทย เรื่องความพ่ายแพ้กรณีปราสาทพระวิหารที่ไทยต้องคืนให้กัมพูชา เพราะคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 1962 และการตีความใหม่ในปี 2013 นั้นนับเป็นความอับอายขายหน้าแห่งชาติที่จะถูกนำมาตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เจ็บจำฝังลึกในจิตสำนึกไทยยุคปัจจุบัน

ประการที่สอง หลายคนอาจจะเห็นว่าอุดมการณ์ราชาชาตินิยมไม่ได้ถูกขับให้โดดเด่นมากนักในความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในยุคนี้ แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งนี้ไม่ได้หายไปจากสำนึกแห่งความเป็นไทยแต่อย่างใดเลย กองทัพในฐานะผู้สร้าง narrative หลักของชาติได้ผูกบทบาทสถาบันกษัตริย์เอาไว้กับความเป็นชาติไทยอย่างแน่นหนา นายทหารทุกคนจะต้องยึดมั่นในเรื่องเล่าหลักของกองทัพไทยที่ว่ากษัตริย์คือผู้นำกองทัพในการปกป้องผืนแผ่นดินนี้สืบต่อกันเรื่อยมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังปรากฏในคำบรรยายที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของ บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้โด่งดังจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งว่า

“…. พี่ทหารฝากมาว่า หากพี่น้องคนไทยสู้ ลูกหลานเราสู้ พี่ๆ ทหารก็สู้ พี่ๆ ทหารฝากบอกว่า ไม่ต้องห่วงพวกผมขอเพียงกำลังใจจากคนไทยเท่านั้น นี่คือทหารไทย เมื่อถึงเวลามีจิตวิญญาณของพระนเรศวร พวกเราไม่ต้องหวังว่าสถานการณ์ทหารไทยจะสู้หรือไม่ ชัดเจนอยู่แล้ว เพื่อแผ่นดินนี้ ที่บรรพบุรุษได้รักษาไว้เราจะต้องปกป้อง ใครรุกล้ำดินแดนของเรา ต้องผลักดันออกไป ยืนยันว่าเราไม่ได้รุกล้ำประเทศอื่น เรารบในประเทศไทยทั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยอยู่ตลอดเวลา ท่านได้สอบถามสถานการณ์ไปที่แม่ทัพทุกวัน โดยกองงานของพระองค์ ได้สอบถามสถานการณ์จากแม่ทัพ และได้รายงานทุกวัน สิ่งเหล่านี้คือจอมทัพไทย และตั้งแต่ประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์นำกองทัพ และปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นเดิม ดังนั้นทหารทุกคนพร้อมสละชีพ เพื่อชาติทุกคน และปัจจุบันเรายังอยู่ที่หน้าแนว แม้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราก็พร้อม ไม่ว่าจะยุติก็ได้ หรือจะรบต่อเราก็พร้อม”[3]

ดังนั้นเมื่อนายทหารระดับสูงหรือนักวิชาการชนชั้นนำอ้างว่า “ในรัชสมัยปัจจุบันเราต้องไม่เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” วาทกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อเรียกร้องเชิงนโยบายในเรื่องดินแดนเท่านั้น แต่เป็นการสร้างรากฐานทางศีลธรรมอันสูงส่งที่ผู้สนับสนุนจะได้รู้สึกว่าตนได้รักษาชาติผ่านการแสดงความจงรักภักดีไปพร้อมกัน

ประการที่สาม ชาตินิยมแบบใดก็ล้วนแล้วแต่ต้องการศัตรูด้วยกันทั้งนั้น ชาตินิยมไทย มักจะเลือกประเทศเพื่อนบ้านเป็นเป้าหมายเสมอ ในกรณีกัมพูชานับเป็นศัตรูของชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพราะมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในฐานะประเทศราชที่ทรยศ เนรคุณ เลี้ยงไม่เชื่องและชอบลอบกัดไทยเสมอๆ ในเวลาที่สยามหรือไทยอ่อนแอ ตำนานเรื่องพระยาละแวกถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าถูกกษัตริย์อยุธยาตัดหัวเอาเลือดมาล้างเท้า แม้นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายจะโต้แย้งและแสดงหลักฐานให้เห็นว่ามันไม่มีมูลความจริงอยู่เลยก็ตาม แต่คนที่ชอบเล่าเรื่องแบบนี้ก็จะหลับหูหลับตาเล่าอยู่อย่างนั้นตลอดไป

กองทัพและสื่อมวลชนกระแสหลักพากันสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในยุคปัจจุบัน ว่าเกิดจากผู้นำกัมพูชาต้องการใช้แนวทาง ‘ชาตินิยมกัมพูชา’ พิพาทกับไทยเพื่อหวังสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้ตนเองและลูกชาย เบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนผู้ทุกข์ยากเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำให้หันมาโทษไทย บางครั้งก็ว่าผู้นำกัมพูชาต้องการ ‘ฮุบ’ ดินแดนของไทย เฉพาะอย่างยิ่งปราสาทหินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มปราสาทตาเมือนและตาควาย พลันที่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น กองทัพไทยไม่รีรอเลยที่จะชักชวนให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปพากันติด hashtag #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire ยัดเหยียดความเป็นอริราชศัตรูให้กับเพื่อนบ้านอย่างฉับพลันทันที

ในหลายกรณี วาทกรรมเหล่านี้หมายรวมถึงคนกัมพูชาโดยรวมไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือประชาชนธรรมดาสามัญทั่วไปว่ามีนิสัยประจำชาติเหมือนกันหมด บรรดาสื่อมวลชนกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์ที่ผลิตจากข้อมูลและเรื่องเล่าจากกองทัพจะรายงานเหมือนกันหมดว่า ชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ที่ชุมชนจ๊อกเจย (ติดพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว) ว่าเป็นพวกเนรคุณแผ่นดินไทย

ความตอนหนึ่งใน Facebook SMART Soldiers Strong ARMY ความว่า “หนองจานจึงไม่ได้เป็นเพียง ‘ค่ายผู้ลี้ภัย’ แต่คือ ‘สะพานชีวิต’ (Land Bridge) ที่ยื่นมือจากไทยไปสู่มนุษยธรรมโลก และครั้งหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ยังได้เสด็จฯ มาทรงเยี่ยมผู้ลี้ภัยด้วยพระองค์เอง ‘หนองจาน’ คือสัญลักษณ์ของการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไทยแบ่งปันข้าวปลา อาหาร และที่พักพิง เพื่อให้เพื่อนบ้านที่หนีตายได้มีชีวิตรอด จากที่พึ่งชีวิตสู่วิกฤตอ้างสิทธิ์ดินแดน เมื่อสงครามสงบชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งกลับไม่ยอมกลับประเทศ เลือกตั้งถิ่นฐานถาวรในเขตฝั่งไทยและต่อมากลับอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา”

แม้ว่าจะมีข้อมูลเผยแพร่ทั่วไปว่าประเทศไทยและกองทัพไทยไม่ได้ใจดีขนาดนั้น ผู้อพยพในค่ายหนองจานในยุคแรกๆ ไม่ได้รับการปฏิบัติด้วยความเอื้ออารีอย่างที่กองทัพไทยกล่าวอ้าง[4] แม้ว่าเรื่องนี้จะได้รับการเผยแพร่ทั่วไป แต่เชื่อว่าสื่อมวลชนและคนไทยจำนวนน้อยนิดจะได้ดูสารคดีสะเทือนอารมณ์เรื่อง Ghost Mountain: The Second Killing Fields of Cambodia in Thailand – Preah Vihear Temple[5] ที่ผลิตโดย Preah Vihear Foundation อันเป็นเรื่องราวของผู้อพยพกัมพูชาจำนวนมากถึง 45,000 คนถูกผลักดันให้กลับไปพบกับหายนะแห่งชีวิตที่เขาพระวิหาร เพราะคนไทยและสื่อมวลชนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะจดจำว่า กัมพูชาเป็นศัตรู คนเขมรเป็นพวกเนรคุณ ส่วนคนไทยนั้นใจดีเป็นเหยื่อแห่งความเจ้าเล่ห์เพทุบายและการทรยศตลอดกาล

ประการที่สี่ อัตลักษณ์แห่งความเป็นไทยและความภาคภูมิใจในความเป็นชาติที่ยึดถือกันมานานกำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากความถดถอยทางการเมืองและเศรษฐกิจโดยรวม ปัญหาทางการเมืองนับแต่ต้นศตวรรษที่ 21 การรัฐประหารสองครั้งติดกันในรอบไม่ถึง 10 ปี (2006, 2014) ทำให้ความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มลายหายไปจนสิ้น ความแตกแยกทางการเมืองในระยะที่ผ่านมาและกำลังดำเนินอยู่ต่อไปในขณะนี้ ทำให้คุณค่าแห่งสังคมที่สามัคคีกลมเกลียวเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว สถาบันหลักของชาติและอัตลักษณ์ความเป็นไทยถูกท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ชนชั้นสูงของไทยและฝ่ายอนุรักษนิยมรู้สึกหวั่นไหวและไม่มั่นคงในจิตใจอย่างมาก

เหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้และใจกลางกรุงเทพมหานคร คือรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดของวิกฤตด้านอัตลักษณ์ของสังคมไทย เรื่องเล่าทำนองที่ว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสงบสุขร่มเย็นคลายมนต์ขลังลงไปอย่างมากเมื่อปรากฎว่ามีชาวมุสลิมมาลายูลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้เพื่อยืนยันอัตลักษณ์ของตัวเอง และปฏิเสธความเป็นไทยที่ถูกยัดเยียดมาเป็นเวลากว่า 2 ศตวรรษ บางส่วนแสดงความปรารถนาจะแยกตัวออกจากประเทศไทยด้วยซ้ำไป วาทกรรมการต่อสู้ระหว่างไพร่-อำมาตย์ที่คนเสื้อแดงสร้างขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2006 และล่าสุดการลุกฮือขึ้นของขบวนการเยาวชนเมื่อปี 2020 คือสิ่งที่ท้าทายคุณค่าและสถาบันทางจารีตประเพณีอย่างรุนแรงและเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าที่คนไทยร่วมสมัยเคยเห็น

ผลจากความถดถอยทางการเมืองทำให้ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทยพลอยตกต่ำลงไปด้วย ไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างรวดเร็ว อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมาเฉลี่ยเพียง 1.8 % ในขณะที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกลุ่มอาเซียนโดยรวมโตมากกว่า 3.7 % การสำรวจของ World Competitiveness Center ของสถาบัน International Institute for Management Development (IMD) ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยถดถอยลงในหลายด้าน เริ่มจากการตกลงของอันดับโดยรวม ปี 2025 ไทยร่วงจากอันดับ 25 เมื่อปีที่แล้วมาอยู่ที่ 30 จาก 69 เศรษฐกิจทั่วโลก ความสามารถในการแข่งขันทั้งในมิติของภาครัฐ (government efficiency), ภาคธุรกิจ (business efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ต่างได้รับผลกระทบ บางหมวดมีอันดับลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) เป็นหมวดที่ตกลงมากที่สุด บ่งชี้ปัญหาในเรื่องนโยบาย ความมั่นคงของกฎหมาย การบริหารราชการ และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อรัฐบาล เมื่อภาครัฐถูกมองว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็กลายเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนและลดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของเศรษฐกิจของไทยโดยรวม

ประการที่ห้า การที่กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาอ้างว่าสิ่งที่พวกเขานำเสนอเป็น “ความจริงหนึ่งเดียว” ในการเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับปี 2000 (MOU 43 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก) และ 2001 (MOU 44 ว่าด้วยการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน) หรือประณามผู้ที่เห็นต่างว่าขายชาติ ด่าทอนักสิทธิมนุษยชนที่ยกปัญหาการคุกคามชาวกัมพูชาอย่างสาดเสียเทเสียว่าเป็นคนไทยใจเขมรบ้าง แม่พระของชาวเขมรบ้าง เป็นการสร้างมาตรฐานทางศีลธรรมอันสูงส่งให้ผู้พูดหรือสร้างวาทกรรมนี้ ในทำนองเดียวกันก็เป็นการกีดกันผู้ที่โต้แย้งด้วยเหตุผล หลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หรือข้อกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ ให้ออกจากพื้นที่แห่งความรักชาติที่พวกเขาจงใจจะผูกขาดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

ในทำนองเดียวกัน หากมองในระดับชาติ การที่กองทัพไทยชักชวนประชาชนติด hashtag #TruthFromThai เพื่อทำสงครามข่าวสารโต้ตอบกัมพูชา หรือกรณีที่ใช้การตรวจสอบฝ่ายเดียวเพื่อกล่าวหาและกล่าวโทษฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพื่อทำร้ายทหารไทยที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนถึง 7 ครั้งในห้วงระยะเวลาที่มีเหตุการณ์ตึงเครียดและการปะทะที่ชายแดนโดยไม่ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอิสระหรือผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่ไหนเข้าไปยืนยัน ก็จัดได้ว่าเป็นความพยายามของกองทัพไทยที่จะยกระดับทางศีลธรรมของฝ่ายตนให้ดูสูงส่งกว่ากัมพูชา ชี้ให้เห็นว่าแม้กัมพูชาและไทยจะเป็นภาคี Ottawa Convention เหมือนกัน ทั้งสองประเทศถูกห้ามใช้และมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเหมือนกัน แต่ก็จะมีแต่ฝ่ายกัมพูชาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ละเมิดสนธิสัญญานี้

เช่นเดียวกันกับปัญหาสแกมเมอร์หรือคอลเซ็นเตอร์ แน่นอนว่ากัมพูชาถูกระบุเอาไว้ในรายงานของสหประชาชาติว่าเป็นแหล่งที่มีการปฏิบัติการของแก๊งหลอกลวงและอาชญากรรมออนไลน์ที่ใหญ่แห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ต่างจากพม่าเท่าใดนัก แต่ทางการไทยไม่พลาดที่จะนำเรื่องนี้มาใส่ลงในบริบทของความขัดแย้งทางชายแดน สร้างเป็นเงื่อนไขเรียกร้องให้รัฐบาลพนมเปญปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้โดยมีเรื่องการปิด-เปิดด่านชายแดนเป็นเครื่องต่อรอง แต่โชคร้ายตรงที่อาชญากรเหล่านี้ได้แฝงตัวเข้ามาอยู่ในโครงสร้างของชนชั้นนำไทยมาได้ระยะหนึ่งแล้ว จึงทำให้ผู้นำไทยไม่สามารถยกมาตรฐานทางศีลธรรมของพวกเขาให้สูงส่งไปกว่าผู้นำกัมพูชาได้ถนัดถนี่นัก แต่หากมองในมุมของการสร้างแฟนตาซีอาจจะนำเรื่องนี้ไปผสมปนเปไปกับเรื่องอื่น ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งพลอยเชื่อหรือทึกทักไปได้ว่า สแกมเมอร์ในกัมพูชาเกิดขึ้นภายใต้อุปถัมภ์ของผู้มีอำนาจในประเทศนั้นอย่างเดียว บรรดานักวิเคราะห์ชาวไทยจำนวนมากพากันแต่งเติมเรื่องไปในทำนองที่ว่า กองทัพกัมพูชาใช้เงินจากธุรกิจผิดกฎหมายหรือเสื่อมศีลธรรมเหล่านี้ปีละหลายแสนล้านบาทเพื่อไปซื้ออาวุธและเลี้ยงกำลังทหาร โดยเฉพาะในหน่วยที่เป็นกองกำลังส่วนตัวของผู้นำกัมพูชาที่รู้จักกันดีในชื่อ Bodyguard Headquarters (BHQ) เพื่อให้มาทำสงครามรุกรานไทย

ประการที่หก สิ่งที่ถือว่าเป็นสุดยอดของแฟนตาซีของอุดมการณ์ชาตินิยมไทยคือ ความรื่นรมย์อันเกิดจากความเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า คนที่เสนอให้ไทยเรียกร้องดินแดนบางส่วนของกัมพูชา เช่น เมืองพระตะบอง เสียมเรียบ (เสียมราฐ) ศรีโสภณ และปราสาทพระวิหาร ให้กลับคืนสู่ความครอบครองของไทยอีกครั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเพราะกองทัพไทยในยุคสมัยปัจจุบันไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น ฐานะทางเศรษฐกิจของไทยไม่เอื้ออำนวยให้รัฐบาลจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์และส่งกำลังบำรุงเพื่อการทำสงครามเบ็ดเสร็จเพื่อยึดพื้นที่จำนวนมากขนาดนั้น แต่พวกเขาก็จะเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าและพยายามจะทำให้ ‘ความฝัน’ เช่นนั้นให้ดูมีความหวังขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง

ในทำนองเดียวกัน อดีตแม่ทัพบุญสินพูดเรื่องการทวงคืนปราสาทพระวิหารก็เป็นเพียงการให้ความหวังในเชิงแฟนตาซีที่ทำให้ผู้ฟังของเขารู้สึกดีเท่านั้นเอง เขาพูดว่า “ส่วนประสาทพระวิหารเราแพ้คดีไปแล้วได้คุยนักกฎหมายมี 2 วิธีได้คืนมา 1. ยื่นต่อศาลโลกใหม่ว่าคำตัดสินนั้นไม่ชอบธรรมต่อฝ่ายไทย ให้ศาลโลกได้ทบทวนเนื่องจากมีปัจจัยเอื้อต่อไทยทั้งทางกายภาพเป็นของไทยฝั่งเขาเป็นหน้าผา แต่ต้องดูข้อกฎหมาย เพราะทั่วโลกยอมรับหมดแล้วว่าเป็นของกัมพูชา กับอีกแนวทางหนึ่งใช้กำลังเข้ายึด แต่ทั่วโลกตำหนิ ปัจจุบันกัมพูชาปิดตายปราสาทพระวิหาร แม้ทางขึ้นอยู่ฝั่งไทยแต่เขาไม่ให้ขึ้นและเขาทำทางขึ้นฝั่งเขาแต่คืบหน้าไม่มาก”[6]

ทั้งบุญสินและบรรดาผู้นำทางความคิดชาตินิยมทั้งหลายรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชาไปตั้งแต่ปี 1962 และเวลาในการอุทธรณ์ (ในกรณีที่พบหลักฐานใหม่) ก็หมดไปนานแล้ว อีกทั้งการตีความคำพิพากษาในปี 2013 ก็ได้ยืนยันสิ่งเดิมว่า พื้นที่ซึ่งเรียกว่า ‘เขาพระวิหาร’ นั้นก็หมายถึงภูเขานั้นทั้งลูก ขอบเขตของมันก็ให้เป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ระวางดงรัก วาทกรรมที่ว่าตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาแผ่นดินรองรับตัวปราสาทเป็นของไทยถูกทำลายป่นปี้ไม่มีชิ้นดีไปแล้ว ประเทศไทยไม่มีสิทธิอะไรอีกแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีการพูดถึงคดีปราสาทพระวิหาร ทหารไทยและผู้นำทางความคิดแนวชาตินิยมบางส่วนก็จะย้ำคิดย้ำทำอยู่อย่างนั้นว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศลำเอียง ไทยไม่เคยรับแผนที่ 1: 200,000 ประเทศไทยมีสิทธิทวงคืนปราสาทพระวิหารแน่นอนเพราะรัฐมนตรีต่างประเทศในเวลานั้นได้ไปแถลงสงวนสิทธิเอาไว้แล้วที่สหประชาชาติและสิทธิเช่นว่านั้นจะอยู่ชั่วกัลปาวสาน

ความสูญเสียอันชวนฝัน

แฟนตาซีของอุดมการณ์ชาตินิยมไทยยุคปัจจุบันทำหน้าที่ชวนฝันและกลบเกลื่อนความจริงอันแสนขมขื่น จนสามารถทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยมองข้ามความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของทหารชั้นประทวนและประชาชนพลเรือนตามแนวชายแดนระหว่างที่เกิดเหตุปะทะกันไปได้ง่ายๆ ชีวิตทหารชั้นผู้น้อย 17 คน พลเรือนอีก 14 คน ผู้ที่บาดเจ็บทั้งทหารและพลเรือนรวมกันอีกกว่า 300 คน รวมตลอดถึงประชาชนคนไทยอีกกว่า 180,000 คนที่ต้องอพยพหนีตาย เป็นเรื่องโศกนาฏกรรมที่สลดหดหู่ชวนแก่ความทุกขเวทนาที่ถูกนำมาปลุกเร้าให้แฟนตาซีแห่งชาตินิยมไทยลุกลามติดเชื้อไปในวงกว้าง

ขาของทหารที่ขาดไปทั้ง 7 ขาไม่ได้เป็นบทเรียนให้กองทัพได้ปรับปรุงยุทธวิธีเพื่อความปลอดภัยของกำลังพลแต่อย่างใดเลย แต่มันกลับถูกใช้เป็นความชอบธรรมให้กองทัพไทย ‘เปิดรอบสอง’ เพื่อเอาคืนให้ได้ ปัญญาชนชาตินิยมเรียกร้องให้กองทัพไทยใช้มันเป็นความชอบธรรมในการรุกชิงพื้นที่ปราสาทตาควายที่ไทยอยากได้มานานเสียที ไม่เคยมีใครฉุกคิดเลยว่าความพยายามที่จะเอาขาทหารคืนให้ได้หลังจากการเหยียบกับระเบิดก่อนการปะทะใหญ่วันที่ 24 กรกฎาคมนั้นทำให้มีทหารและพลเรือนอีกมากมายต้องเอาชีวิตไปเซ่นสังเวย กลับมีแต่การแสดงออกถึงความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะ ‘ปิดเกม’ให้มันจบๆ กันไป โดยที่ไม่ได้ยั้งคิดเลยว่าเมื่อฝ่ายไทยยิงไปฝ่ายกัมพูชาก็ต้องยิงสวนกลับมา แล้วมันจะจบกันได้อย่างไร แต่แฟนตาซีนี้ก็ทำให้คนจำนวนมากเคลิ้มไปว่ามีแต่กองทัพไทยเท่านั้นที่มีปืนใหญ่ จรวด และเครื่องบินรบ ที่จะถล่มกัมพูชาให้ราบคาบไปอย่างไรก็ได้

แฟนตาซีนี้นี่เองที่ทำให้กลุ่มนักชาตินิยมไทยและคนไทยจำนวนหนึ่งไม่แยแสต่อความเสียหายและการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย การศึกษาของหลายสำนักเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าความขัดแย้งตามแนวชายแดนส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ความเสียหายโดยตรงอยู่ที่กว่า 16,000 ล้านบาทต่อเดือน มาจากการหยุดชะงักของการค้าชายแดน การลดลงของผลผลิตอันเกิดจากการขาดแคลนแรงงานเพราะพวกเขาเดินทางกลับบ้านกันเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายของกองทัพในการปฏิบัติการทางทหารและของภาครัฐในการบรรเทาทุกข์ การเยียวยาผลกระทบอีกกว่า 10,000 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากภาคท่องเที่ยวและการเดินทางที่หดตัวต่อเนื่องที่ยังคำนวณได้ไม่ชัดเจน

ผลกระทบทางอ้อมและผลกระทบต่อเนื่องเพิ่มอีกกว่า 7,000 ล้านบาทต่อเดือน เกิดจากการติดขัดขาดตอนของห่วงโซ่อุปทาน การหดตัวของธุรกิจท้องถิ่นที่อยู่ในอำเภอชายแดน การสะดุดของการลงทุนจากต่างประเทศ และพฤติกรรมตลาดที่เปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากการต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชา ซึ่งทั้งหมดสร้างแรงกระเพื่อมลึกสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

ภายใต้สภาพปัจจุบัน ความสูญเสียสะสม 3 เดือนคาดว่าจะสูงถึง 56,973 ล้านบาท และหากความขัดแย้งยืดเยื้อ หนึ่งปีเต็ม ความสูญเสียจะเพิ่มเป็นเกือบ 200,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญคือการสูญเสียโอกาสจากผลคูณเศรษฐกิจและการเปลี่ยนเส้นทางการค้า-ท่องเที่ยวไปยังปลายทางใหม่แทนประเทศไทย

แต่ก็อีกนั่นแหละ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่เคยเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลมีความพยายามปรับทุกอย่างให้คืนสภาพปกติเลย ทั้งๆ ที่ความตึงเครียดตามแนวชายแดนหลายพื้นที่ก็ลดลงอย่างมาก ประชาชนที่เรียกร้องให้เปิดด่านเพื่อค้าขายและข้ามแดนเป็นปกติเสียทีกลับถูกด่าประนามว่าเห็นแก่ตัวบ้าง ขายชาติบ้าง เห็นแก่เขมรบ้าง อีกทั้งมีผู้เรียกร้องให้รัฐบาลคงปิดด่านต่อไปเพื่อกดดันให้กัมพูชา ‘ยอมจำนน’ เลิกท้าทาย เลิกทำตัวเป็นภัยคุกคามและหยุดกระด้างกระเดื่องต่อประเทศไทยเสียที

บทสรุป

แฟนตาซีชาตินิยมไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชาไม่ใช่เพียงความเพ้อฝันที่สวยงามไร้พิษภัย หากแต่เป็น ‘เครื่องจักรทางอุดมการณ์’ ที่ส่งเสริมให้เกิดการผลิตซ้ำความรุนแรงอย่างเป็นระบบ มันทำหน้าที่แปลงความล้มเหลวของรัฐให้กลายเป็นความชอบธรรมของสงคราม แปลงศพของทหารชั้นผู้น้อยให้กลายเป็นสัญลักษณ์เกียรติยศ และแปลงความพิการให้กลายเป็นเหรียญตราทางศีลธรรม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่คนซึ่งไม่เคยยืนอยู่หน้าแนว ไม่เคยเสียเลือดเนื้อ ไม่เคยสูญเสียลูกหลานบ้านช่องเรือนชาน ไม่เคยต้องตื่นตระหนกกับเสียงปืนเสียงระเบิด แต่กลับเป็นผู้ผูกขาดการนิยามคำว่ารักชาติไว้อย่างเบ็ดเสร็จ

แฟนตาซีชาตินิยมยังทำหน้าที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง คือการช่วยให้สังคมไทยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่าความถดถอยของประเทศไม่ได้เกิดจากกัมพูชา ไม่ได้เกิดจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และไม่ได้เกิดจากแผนที่ยุคอาณานิคม หากแต่เกิดจากโครงสร้างอำนาจที่ฉ้อฉล การเมืองที่เหลวแหลก และการผูกขาดศีลธรรมและความถูกต้องดีงามทั้งมวลของชนชั้นนำไทยเอง แต่เพราะความจริงเช่นนี้เจ็บปวดเกินไป จึงต้องมีศัตรูภายนอกไว้รองรับความคับแค้นทั้งหมด

สิ่งที่น่าวิตกไม่ใช่เพียงการที่แฟนตาซีชาตินิยมถูกใช้เพื่อปลุกเร้าสงคราม หากแต่คือการที่มันสามารถทำให้ความตายดูทรงเกียรติ ความสูญเสียดูเหมาะสม และความพังพินาศทางเศรษฐกิจกลายเป็นราคาที่ควรจ่าย ภายใต้กรอบความคิดเช่นนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดนจึงไม่ต่างจากทรัพยากรที่ถูกนำมาใช้เพื่อหล่อเลี้ยงศักดิ์ศรีทางการเมืองของคนบางกลุ่ม

ในท้ายที่สุด แฟนตาซีชาตินิยมไม่ได้พาประเทศไทยกลับไปสู่อดีตอันรุ่งโรจน์อย่างที่กลุ่มชาตินิยมกำลังขายฝัน ไม่มีวันและไม่มีทางที่ไทยจะได้ปราสาทพระวิหารหรือดินแดนในกัมพูชากลับคืนมา หากแต่มันกำลังหลอกล่อพาประเทศถอยหลังเข้าคลองและหมดอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม ถอยหลังด้วยศพของทหารและพลเรือน ถอยหลังเพราะด่านการค้าที่ปิดสนิท และถดถอยเพราะความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่สูญสลายไปลงอย่างรวดเร็ว

คำถามที่สังคมไทยควรถามจึงไม่ใช่ว่าเราจะทวงคืนดินแดนจากกัมพูชาได้หรือไม่ หากแต่คือเราจะปล่อยให้แฟนตาซีของชนชั้นนำเดินข้ามร่างของทหารชั้นผู้น้อยและคนธรรมดาที่ชายแดนไปได้อีกกี่ครั้ง ก่อนที่มันจะสร้างความสูญเสียจนไม่เหลืออะไรให้ภาคภูมิใจ นอกจากซากแห่งความฝันที่พังทะลายลงต่อหน้าต่อตา

[1] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประมวลสนธิสัญญา (กรุงเทพฯ:มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2554) หน้า 156

[2] สำหรับผู้ที่สนใจงานเชิงทฤษฎีเป็นพิเศษ แนะนำ Slavoj Zizek The Sublime Object of Ideology (London, New York, Verso, 1989)

[3] “แม่ทัพภาค2” เผยถวาย รายงาน“ในหลวง”ทุกวันทรงเป็น“องค์จอมทัพไทย”ทรงห่วงใยกองทัพสู้ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา” NBC Connext 14 สิงหาคม 2568 [https://thainews.prd.go.th/thainews/news/view/1348345/?bid=1]

[4] “Thai-Cambodian conflict revives tensions in sensitive border village” Thai PBS World August 29, 2025 [https://world.thaipbs.or.th/detail/thaicambodian-conflict-revives-tensions-in-sensitive-border-village/58705?fbclid=IwdGRzaAMgoIdjbGNrAyCghGV4dG4DYWVtAjExAAEeas7zl_JFgsV2eiuah-T-37aRVp6_E9pao9Vumq6NnDzo1SOFFrUcYQTqD_o_aem_sfwGfG_d61IjQj_JSHHA3g]

[5] YouTube: https://youtu.be/Vl-XbsKIfAQ?si=EnpfD0JK0OMeb2Wd

[6] “แม่ทัพกุ้ง” ย้ำล้อมลวดหนาม “ตาเมือนธม” ชั่วกัลปาวสาน เขมรอยากมาดูต้องขอวีซ่า-เผย 2 แนวทางทวงคืนปราสาทพระวิหาร” MGR Online 2 กันยายน 2568 [https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000083965]


https://www.the101.world/thai-nationalism-fantasy/



MADE in Ukrane WAR Test in Thailand ต่างชาติฮือฮามากที่เห็นรถถัง Oplot-T จาก #ยูเครน ในสนามรบจริง ไทย-กัมพูชา


Pipob Udomittipong
4 hours ago
·

ต่างชาติฮือฮามากที่เห็นรถถัง Oplot-T จาก #ยูเครน ในสนามรบจริง ระหว่าง #สงครามไทยกัมพูชา ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการใช้รถถังรุ่นนี้ในสนามรบ

บีบีซีไทย - BBC Thai เคยรายงานว่า กองทัพบกไทยเป็นลูกค้ารายแรกและรายใหญ่สุดของรถถังสัญชาติยูเครน และยังมีรถถัง Oplot มากกว่ากองทัพยูเครน ซึ่งไม่เคยใช้งานรถถังรุ่นนี้ในสนามรบเลย

การจัดส่งก็ล่าช้าไปหลายปี เพราะสั่งซื้อสมัยประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ. ทบ. แต่ได้รับรถถังสมัยที่เขาเป็นนายกฯ จากการทำรัฐประหาร โดยในปี 2554 มีการลงนามสั่งซื้อรถถังรุ่นนี้ 49 คัน วงเงิน 7,200 ล้านบาท ผ่านไปหกปี ยูเครนส่งมอบรถถังรุ่นนี้มาได้แค่ 10 คัน เพราะยูเครนมีสงคราม + โรงงานก็โดนรัสเซียถล่ม กว่าจะจัดส่งได้ครบ 49 คันก็ในปี 2561

ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่กัมพูชากลายเป็นสนามทดลองรถถังรุ่นที่ผลิตเพื่อขายให้ไทยเป็นการเฉพาะ ประเทศเดียวในโลก ไม่มีประเทศอื่นซื้อไปใช้งานเลย
https://www.bbc.com/thai/thailand-43552888

https://www.facebook.com/photo?fbid=10163443863646649&set=a.10150096728651649






 

10 ธันวาคมนี้ วันรัฐธรรมนูญ...มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนประวัติศาสตร์ #เดินเปลี่ยนอนาคต เพื่อส่งเสียงเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่แท้จริง เราจะเดินไปด้วยกัน เพื่อยืนยันว่าอนาคตของประเทศนี้ ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนด 🚩 จุดเริ่ม: 09:00 น. ที่หน้าอาคารรัฐสภา


iLaw
6 hours ago
·
10 ธันวาคมนี้ วันรัฐธรรมนูญ...มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนประวัติศาสตร์ #เดินเปลี่ยนอนาคต เพื่อส่งเสียงเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่แท้จริง

เราจะเดินไปด้วยกัน เพื่อยืนยันว่าอนาคตของประเทศนี้ ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนด

นัดหมาย: 10 ธันวาคม 2568
จุดเริ่ม: 09:00 น. ที่หน้าอาคารรัฐสภา
ปลายทาง: 14:00 น. อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

เตรียมรองเท้าให้พร้อมแล้วออกมาเดินด้วยกัน!

#WalkToTheFuture #วันรัฐธรรมนูญ #เขียนรัฐธรรมนูญใหม่

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1275531681287115&set=a.625664036273886
.....


iLaw 
8 hours ago
·
9 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 20:00 น. ที่ลานประชาชน รัฐสภา คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) แถลงข้อเรียกร้อง 3 ข้อเกี่ยวกับกระบวนการจัดการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
:
๐ ข้อที่ 1 เราต้องการให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ร่างโดยเผด็จการ คสช.
๐ ข้อที่ 2 เราต้องการให้เริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “ทั้งฉบับ” ไม่ว่าจะมีประชามติกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเข้าคูหากี่รอบ ไม่ว่าจะเสนอกี่ร่าง เราก็พร้อมจะเดินไปลุยทุกสนาม
๐ ข้อที่ 3 เราต้องการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง และไม่เห็น ด้วยกับเงื่อนไขข้อจำกัดใดๆ ที่สร้างขึ้นโดยศาลรัฐธรรมนูญ เราไม่เห็นด้วยกับการให้ สว. มีเสียงใหญ่กว่าประชาชน “กินรวบ” การเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
:
เรื่องใดที่ยังไม่ได้มาในวันนี้ เราก็ยืนยันที่จะเรียกร้องจนกว่าจะได้มาในสักวันหนึ่ง โดยขอให้ทราบไว้ว่า นักการเมืองคนใดพรรคการเมืองพรรคใดที่กล้าผลักดันตามแนวทางนี้ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากเราไปตลอดทาง
:
“รัฐธรรมนูญต้องเขียนใหม่ทั้งฉบับ สสร. ต้องเลือกตั้ง 100%”
อ่านทั้งหมด : https://www.ilaw.or.th/articles/56241
#เขียนใหม่ทั้งฉบับ #เลือกตั้งสสร.






ฉบับปรับปรุงใหม่ ?


พรรคประชาชน - People's Party and ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ - Natthaphong Ruengpanyawut
11 hours ago
·
[English below] เตือนอนุทินอย่าตกหลุมพรางฮุน เซน รบแนวเดียวไม่จบปัญหา ต้องใช้การทูต-ปราบสแกมเมอร์ควบคู่การทหาร
.
วันนี้ (9 ธ.ค.) ที่อาคารอนาคตใหม่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยกล่าวว่า สถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาดำเนินต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 3 ตนติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชน 6 จังหวัดที่ต้องอพยพแล้วกว่า 100,000 คน โรงเรียนและโรงพยาบาลจำนวนมากต้องปิดทำการ และต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของทหารอย่างน้อย 3 นาย ที่เสียชีวิตระหว่างการปะทะ และขอส่งกำลังใจให้ทหารอีกจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บ
.
ตนยืนยันว่าความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนและชีวิตของทหารไทย ไม่ควรต้องมาสูญเสียกับสงครามที่หลีกเลี่ยงได้นี้เลย เช่นเดียวกับชีวิตของพลเรือน 17 รายและทหาร 18 นายที่เสียชีวิตจากการสู้รบในระลอกแรกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนนับแสน คนแก่ เด็กเล็ก ไม่ควรต้องได้รับผลกระทบจากการต้องอพยพ ทิ้งวัวควาย ไร่นา บ้านเรือน หากรัฐบาลจัดการเด็ดขาดต่อปัญหาที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ นั่นคือขบวนการสแกมเมอร์ซึ่งหล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน
.
วันนี้เสียงเรียกร้องจากประชาชนคือต้องการจบปัญหาอย่างถาวร แต่ Endgame ฉากจบที่เรามองเห็น ตรงกันหรือไม่ การรบเพื่อชิงประเทศ รบให้จบเบ็ดเสร็จ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติในยุคปัจจุบัน เพราะจะเกิดความสูญเสียมหาศาลต่อทหารฝั่งเราเอง และประเทศไทยจะถูกโจมตีจากนานาชาติในฐานะผู้รุกราน
.
การจบปัญหาที่เป็นจริง จึงหมายถึงการคืนชีวิตปกติกลับสู่พี่น้องประชาชน ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงภัยสงคราม การทำมาค้าขายเป็นไปอย่างปกติสุขตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา
.
ตนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของรองแม่ทัพภาค 2 พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ที่ว่าไม่มีการรบใดไม่จบด้วยการเจรจา โจทย์ของเราในวันนี้ เพื่อนำไปสู่ฉากจบด้วยการเจรจา จึงมีดังนี้
.
(1) การใช้กำลังทางการทหารเพื่อดูแลปกป้องอธิปไตย ต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎการใช้กำลัง และการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อหยุดยั้งการคุกคามของกัมพูชา
(2) การดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ปฏิบัติการเกินหลักสากลจนประเทศไทยเพลี่ยงพล้ำไปตกหลุมพรางฮุน เซน ว่าเราเป็นฝ่ายรุกราน
(3) ใช้การทูตกดดันกัมพูชากลับเข้าสู่การเจรจา โดยร่วมมือกับนานาชาติ ใช้กลไกระหว่างประเทศให้เกิดประโยชน์กับไทยมากที่สุด โดยใช้เรื่องสแกมเมอร์เป็นธงนำ ดึงความร่วมมือจากชาติมหาอำนาจและทุกประเทศทั่วโลกในการอยู่ข้างประเทศไทย ชนะระบอบฮุนเซนด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์และการฟอกเงิน
.
[ ชี้ปัญหาที่แท้จริงคือสแกมเมอร์ ]
.
ณัฐพงษ์ตั้งข้อสังเกตว่าจุดเริ่มต้นของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมถึงสาเหตุการปะทะครั้งที่แล้วและครั้งนี้ ล้วนเกิดจากสาเหตุเดียวกัน คือความพยายามในการปกป้องเครือข่ายสแกมเมอร์ที่หล่อเลี้ยงระบอบฮุน เซน การปะทะครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นหลังจากการอายัดทรัพย์เบน สมิธ, ยิม เลียก, ก๊ก อาน, เฉินจื้อ ที่ปรึกษาคนสนิทของฮุน เซน ที่ดูแลอาณาจักรกาสิโนและสแกมเมอร์ทั้งในกัมพูชาและต่างประเทศ
.
ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีว่าการปะทะกันครั้งนี้ เป็นเพียงแผนการเบี่ยงประเด็นของฮุน เซนหรือไม่ และเหตุที่รัฐบาลทุ่มเทกับการสู้รบอย่างเต็มที่ กำลังกลายเป็นการเดินตามแผนการของฮุน เซน ที่ต้องการพลิกสถานการณ์จากที่โลกกำลังล้อมกัมพูชาด้วยประเด็นสแกมเมอร์ เป็นให้โลกมาล้อมไทยด้วยข้อหารุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่าหรือไม่
.
หากรัฐบาลต้องการคะแนนนิยม การไปตามกระแสชาตินิยม รบให้สุดซอยก็ตอบโจทย์นั้น
.
แต่หากเรามีเป้าหมายร่วมกันว่าต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงสันติภาพและความมั่นคงที่ถาวรและยั่งยืน เพื่อปกป้องประชาชนไทยตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา และเพื่อปกป้องชีวิตและขาของทหารทุกนายไม่ให้ต้องสูญเสียไปจากการรบที่ถูกปลุกปั่นโดยเป้าประสงค์ทางการเมืองของฮุน เซน วิธีออกจากปัญหานี้ย่อมไม่ใช่เพียงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร แต่คือการใช้ทั้ง 3 แนวรบที่ตนได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ และจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกครั้งในวันนี้
.
[ ข้อเสนอแนะ ]
.
(1) แนวรบทางการทหาร ตนยืนยันว่าการใช้กำลังทหารต้องเป็นวิธีการสุดท้าย (last resort) เมื่อเครื่องมืออื่นๆ ถูกใช้ไปจนหมดแล้วไม่ได้ผล และหากมีเหตุให้เกิดขึ้น ต้องดำเนินไปภายใต้กฎกติกาสากลและแนวปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องไทยไม่ให้ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน รังแกประเทศที่อ่อนแอกว่า ซึ่งเป็นประเด็นที่กัมพูชาใช้โจมตีไทยมาโดยตลอด
.
จากสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งกัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีตอบโต้ไทย รัฐบาลควรตัดสินใจทางการทหารโดยยึดหลักป้องกันตนเองและตอบโต้อย่างได้สัดส่วน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลว่าเราใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อจัดการภัยคุกคามเฉพาะหน้า ไม่ใช่เพื่อรุกราน
.
ตนขอให้รัฐบาลคำนึงถึงการจำกัดขอบเขตการรบ กฎการตอบโต้อย่างได้สัดส่วนเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการลดระดับความตึงเครียดทางการทหาร (de-escalation) ผ่านการใช้แนวรบที่ 2 คือแนวการทูตควบคู่กับการทหาร
.
(2) แนวรบด้านข่าวสารและการทูต ท่าทีของนายกรัฐมนตรีเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศไทย นั่นคือการบอกว่าไม่มีการเจรจาสันติภาพอีกต่อไป เพราะแม้แต่รองแม่ทัพภาค 2 ยังเคยยืนยันว่าไม่มีการรบใดไม่จบลงที่โต๊ะเจรจา ในทางกลับกัน การรบเป็นส่วนหนึ่งของการกดดันให้กัมพูชาซึ่งไม่ให้ความร่วมมือ ฝ่าฝืนข้อตกลง ยอมกลับมาร่วมการเจรจาและทำตามข้อตกลงสันติภาพที่ได้มีการลงนามกันไว้แล้ว แต่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กลับเป็นฝ่ายปฏิเสธการเจรจา ซึ่งทำให้ไทยกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นผู้กระทำผิดในสายตาประชาคมโลก ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือระบอบฮุนเซน
.
ในขณะที่การรบดำเนินอยู่ รัฐบาลต้องตระหนักว่าเป้าหมายของการรบคือการป้องกันตนเองและบังคับให้กัมพูชากลับมาทำตามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ โดยครั้งนี้ต้องมีการปรับการทำงานของ AOT หรือ ASEAN Observer Team ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่และมีความหมาย เป็นคนกลางที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการฝ่าฝืนข้อตกลงสันติภาพที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการกลับมาปะทะกันซ้ำอีกในอนาคต
.
นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรเดินหน้ากดดันกัมพูชาในเวที Ottava Convention เช่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เพิ่งดำเนินการไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
.
(3) แนวรบปราบสแกมเมอร์ รัฐบาลต้องเปิดแนวรบโลกล้อมกัมพูชาด้วยการปราบสแกมเมอร์ โดยเดินหน้าสุดซอยในการขุดรากถอนโคนขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบอบฮุน เซน
.
กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินแผนการประสานความร่วมมือกับแต่ละประเทศในการจัดการสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก โดยใช้การประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลักดันบทบาทไทยให้เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้ และประสานความร่วมมือกับนานาชาติให้ได้ ดังที่พรรคประชาชนและภาคประชาสังคมได้นำเสนอแนวทางเรื่องนี้ในช่วงที่ผ่านมา
.
นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องสั่งการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เดินหน้าอายัดทรัพย์บุคคลไทยที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ ไม่ใช่ตัดตอนแค่ชาวต่างชาติอย่างเบน สมิธ เฉินจื้อ ก๊ก อาน และยิม เลียก
.
หากรัฐบาลไม่จริงจังในเรื่องนี้ การให้กระทรวงการต่างประเทศประสานความร่วมมือกับนานาชาติในฐานะเจ้าภาพ ก็จะกลายเป็นเพียงปาหี่ตบตาชาวโลก ประเทศไทยจะกลายเป็นตัวตลกในสายตานานาชาติ
.
.
การยึดหลักการเช่นนี้ ไม่เพียงจะนำไปสู่การจบปัญหาในระยะยาว แต่ยังจะทำให้ไทยไม่เสียเปรียบในเวทีโลก สามารถตอบโต้ฮุน เซน ได้อย่างเหนือกว่าทั้งในระดับแนวรบการทหาร การข่าว การทูต และสุดท้าย ตนย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องตั้งหลักให้มั่นว่าแนวรบที่สำคัญในตอนนี้คือการทูตควบคู่การทหาร มุ่งเป้ากดดันกัมพูชากลับสู่การเจรจา โดยใช้การปราบสแกมเมอร์เป็นหัวใจในการดำเนินการ
.
“หยุดเดินอ้อม ต้องพุ่งตรงเข้าสู่แกนกลางของปัญหา คือการเดินหน้าจัดการสแกมเมอร์สุดซอย เราจะต้องพลิกวิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสในการกวาดล้างกลุ่มชนชั้นนำที่หากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน หยุดการสร้างสงครามเพื่อกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่ตัวเองก่อ ใช้เลือดเนื้อชีวิตของทหารและประชาชนเป็นตัวประกัน”
----------
.
English Translation: Thailand-Cambodia Conflict
.
The conflict between Thailand and Cambodia has continued for a third day, raising grave concerns for over 100,000 evacuated civilians across six provinces, as well as the closure of numerous schools and hospitals. We mourn the loss of at least four Thai soldiers and offer support to the many injured.
.
The lives of our civilians and soldiers should not be lost in this preventable war, which is a repeat of the violence last July. These losses are entirely preventable if the government decisively addresses the core issue: the scammer networks that support the Hun Sen regime.
.
[ The Real Endgame: Permanent Peace ]
.
While the public demands a permanent end to the conflict, a military victory is impractical due to the massive loss of life it would entail and the risk of international condemnation for Thailand as the aggressor.
.
The realistic goal is to restore normal life for the people along the border, free from the fear of war, through effective negotiation.
.
As Major General Nat Sri-in, Deputy Commander of the 2nd Army Region, stated: "No battle ends without negotiation."
.
[ Strategy for a Solution ]
.
Our path to ending the conflict requires a three-pronged approach:
.
1.Military Front:
- Protect Thai sovereignty with actions that adhere to international law, rules of engagement, and proportional response to deter Cambodian aggression.
- Crucially, avoid falling into Hun Sen's trap by acting as the aggressor.

2.Diplomatic Front:
- Immediately use diplomacy and international mechanisms to pressure Cambodia back to the negotiating table.
- The scammer issue should be the primary leverage point, positioning Thailand to win by combatting these networks and money laundering.
.
3.Anti-Scammer Front (The Core Issue):
- The recent and previous clashes are linked to Thailand's efforts to freeze or seize assets connected to the scammer networks that finance the Hun Sen regime (e.g., following the asset freeze of Hun Sen's close advisors).
- The government must ask if this conflict is a diversionary tactic by Hun Sen to shift global focus from the scammer issue to accusing Thailand of being an aggressor.
Adhering to these principles will not only lead to a long-term resolution of the issue but will also ensure Thailand maintains a dignified role on the global stage.
.
Finally, the Thai government must firmly establish its core strategy: the critical front now involves diplomacy coupled with military readiness. The focus must be on pressuring Cambodia back to the negotiating table.
.
We must stop indirect maneuvering and move directly to the core of the problem: aggressively tackling the scammers operating across the border. We must stop the fabrication of war to cover up international crimes, where the lives of soldiers and the general public are held as leverage.

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122179664438480817&set=a.122093105408480817



https://www.facebook.com/watch/?v=2249863655425195








ชวนทำความเข้าใจ เงื่อนไขในการอ้าง “สิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ" รัฐมีสิทธิใช้กำลังในการป้องกันตนเอง เพื่อทำลายอาวุธหรือขีดความสามารถทางทหารของรัฐอื่นได้แค่ไหน?

https://www.facebook.com/phil.sang/posts/10166164916214989

Phil Saengkrai
15 hours ago
·
รัฐมีสิทธิใช้กำลังในการป้องกันตนเอง เพื่อทำลายอาวุธหรือขีดความสามารถทางทหารของรัฐอื่นได้แค่ไหน?
คำตอบในมิติกฎหมายระหว่างประเทศ:
ใช้ได้ เท่าที่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่า รัฐนั้นๆ จะใช้อาวุธดังกล่าวหรือขีดความสามารถทางทหารเข้าโจมตีรัฐของตน หรือกำลังใช้โจมตีอยู่
คีย์เวิร์ดอยู่ที่ "การโจมตี" (attack) ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่กำลังเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง หรือการโจมตีที่มีหลักฐานทางการข่าวชี้่ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้น จะเป็นกรณีใด ก็ต้องการ "โจมตี" รัฐจึงจะใช้กำลังป้องกันตนเองตอบโต้กลับไปได้
สิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์ เพื่อยุติการโจมตีของรัฐอื่น (ในกรณีที่มีการโจมตีเกิดขึ้นแล้ว) และ เพื่อสะกัดมิให้มีการโจมตีที่กระชั้นชิดเกิดขึ้นตั้งแต่แรก (ในกรณีที่กำลังจะมีการโจมตีอย่างกระชั้นชิด)
ดังนั้น กรอบการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองของรัฐค่อนข้างมีขอบเขตที่แน่นอน จะใช้กำลังเกินไปกว่านี้โดยอ้างเป็นการป้องกันตนเองไม่ได้ ศาลโลกได้วางหลักไว้อย่างชัดเจนในคดี DRC v Uganda ว่า ข้อ 51 กฎบัตรสหประชาชาติ (ซึ่งรับรองสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐไว้) กำหนดเงื่อนไขและขอบเขตไว้อย่างเข้มงวด รัฐจะอ้างเหตุผลด้าน "ความมั่นคง" กว้างๆ มาเป็นเหตุในparameters. (Article 51 of the Charter may justify a use of force in self-defence only within the strict confines there laid down. It does not allow the use of force by a State to protect perceived security interests beyond these) ซึ่งในประเด็นนี้ ศาลได้ตอบ Uganda ซึ่งยกเหตุผลด้านความมั่นคงมาในเหตุในการรุกราน DRC สาเหตุที่กฎหมายระหว่างประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา กำหนดเงื่อนไขและกรอบในการใช้กำลังป้องกันตนเองไว้ค่อนข้างเคร่งครัด เนื่องจากรัฐและนักกฎหมายเกรงว่า หากปล่อยให้รัฐสามารถอ้างสิทธิป้องกันตนเองได้ง่ายๆ การสู้รบอาจจะทวีความรุนแรงและกระทบต่อความั่นคงและสันติภาพระดับภูมิภาคและระดับโลกได้
ในกรณีที่เป็นการใช้กำลังทำลายอาวุธ เพื่อสะกัดกั้นการโจมตีทื่กระชั้นชิดนั้น ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า การโจมตีดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงว่ากำลังจะเกิดขึ้น มิฉะนั้น รัฐก็ไม่อาจจะอ้างสิทธิในการป้องกันตนเองได้ ในประเด็นความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลกที่ยกร่าง Tallinn Manual ทั้งทหารและพลเรือน (ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิคนไทยด้วย) ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว ตามภาพ
ยกตัวอย่าง ในปี ค.ศ. 1981 อิสราเคยใช้กำลังโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิรัก โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง แต่ถูกประนามจากทั่วโลก แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกา ทั้งในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงและสมัชชาองค์การสหประชาชาติ ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ข้อหนึ่งคือ ณ เวลานั้น อิสราเอลพิสูจน์ไม่ได้ว่าอิรักจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาโจมตีตนเองอย่างแน่แท้ จริงๆ แล้ว โรงงานยังไม่ได้เริ่มกระบวนการด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะมีสิทธิในการป้องกันตนเองจากการโจมตีได้ การใช้กำลังโต้ตอบกลับไป ก็ต้องเข้าสองเงื่อนไขสำคัญ ได้แก่
(1) ต้องมีความจำเป็น (necessity) หมายความว่า ถ้าไม่ใช้กำลังทหารโจมตีกลับไป ก็จะไม่สามารถทำลายอาวุธ/ขีดความสามารถได้ หากปรากฏว่า รัฐยังสามารถใช้มาตรการทางการทูตหรือทางเศรษฐกิจได้อยู่ ก็แปลว่า ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร
(2) ต้องได้สัดส่วนกับการโจมตี (proportionality) หมายความว่า การใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันตนเองนั้น ต้องใช้เท่าที่จำเป็นต่อการยุติหรือสะกัดการโจมตีเท่านั้น โดยพิจารณาจากขนาด พื้นที่ ระยะเวลา และความรุนแรง ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า วัตถุประสงค์ของการใช้กำลังป้องกันตนเอง คือ เพื่อยุติหรือสะกัดการโจมตีของอีกฝ่าย ดังนั้น กฎหมายไม่ได้เรียกร้องว่า ให้ใช้กำลังเท่าๆ กันเสมอไป หากจำเป็นต้องใช้กำลังตอบกลับไปมากกว่าที่ถูกโจมตี แต่ทำให้ยุติการโจมตีได้ ก็ถือว่าได้สัดส่วนกับการโจมตีแล้ว ดูความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิที่ยกร่าง Tallinn Manual เป็นตัวอย่าง
ในกรณีของการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เมื่อการปะทะเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว รัฐบาลไทยอาจจะจำเป็นต้องแถลงกับนานาประเทศและประชาคมโลกอย่างละเอียดอีกครั้งว่า ปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้เป้าหมายคืออะไร การทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาจำเป็นแค่ไหน การใช้กำลังของไทยได้สัดส่วนหรือไม่ หากบอกว่าไทยต้องทำลายอาวุธหนักของกัมพูชา มิฉะนั้น กัมพูชาจะใช้โจมตีพลเรือน ก็ต้องหลักฐาน และอาจจะต้องแสดงพยานหลักฐานในทางการข่าวที่จำเป็นเท่าที่จะทำได้ เช่น ภาพถ่ายทางอากาศ ด้วย ที่สำคัญคือ พยานหลักฐานเหล่านี้ ต้องมีมา "ก่อน" การเริ่มปฏิบัติการของไทย ดูความเห็นของ Talinn Manual ที่อธิบายไว้อย่างชัดเจน
ในจังหวะนี้ ประเทศไทยกลับมาได้เปรียบในแง่ความชอบธรรมในเวทีโลกเป็นอย่างมาก ทั้งในกรอบอนุสัญญาออตตาว่าเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และในเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ข้ามชาติ
หากรัฐบาลไทยอธิบายปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้กับโลกไม่ได้ ความได้เปรียบที่มีอยู่ขณะนี้อาจจะค่อยๆ หายไป และไปเข้าเกมกัมพูชาอีกครั้ง ที่ว่า กัมพูชาต้องการเบี่ยงประเด็นและเบี่ยงความสนใจจากที่ถูกไทยเปิดโปงเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดและปัญหาสแกมเมอร์


ประวิตร โรจนพฤกษ์ วิเคราะห์ศึกไทยเขมร ทรัมป์ อาเซียนจะเอาไง วอนสื่อทำหน้าที่ ไม่ใช่สนับสนุนความรุนแรง


ประวิตร โรจนพฤกษ์ วิเคราะห์ศึกไทยเขมร ทรัมป์ อาเซียนเอาไง วอนสื่อทำหน้าที่ตัวเอง: Khaosod - ข่าวสด

Dec 9, 2025 
GeoPolitics

ประวิตร โรจนพฤกษ์ วิเคราะห์ศึกไทยเขมร ทรัมป์ อาเซียนจะเอาไง วอนสื่อทำหน้าที่ ไม่ใช่สนับสนุนความรุนแรง

https://www.youtube.com/watch?v=dCM8Drda5hY
.....


Khaosod - ข่าวสด
11 
·
"สื่อไทยควรจะต้องตัดสินใจเลือกแล้วนะครับ อยากจะเป็นกองเชียร์ กระหายสงคราม หรือจะทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนความจริง และเป็นตะเกียง ชี้นำไปสู่ทางออก เจ็บตัวน้อยที่สุด ตายน้อยที่สุด พังน้อยที่สุดนะครับ" ประวิตร โรจนพฤกษ์ กล่าวในรายการ GEOPolitics 9 ธ.ค.2568

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1361657529324325&set=a.648490497307702


https://www.facebook.com/votemarkharrington/posts/pfbid02ANTDtL1EXyWFF8j2waaHCf7Fkoo68GKVz9CXBhk7RuKxt6CT8qk1bujSjPcmbDVvl

Mark Harrington 
8 hours ago
·
[English below] “”ทหารไทยเสียชิวิต 4 ศพ แล้ว
.
(ยังไม่มีรวมทหารเขมรตาย เพราะกัมพูชาปิดข่าว แต่อ้างว่าพล้รือนตาย 7 เจ็บเกิน 20)
.
<<ถามจริง สะใจหายกระหายเลืดพวกเชียร์สงครามทั้งสื่อและภาคประชาชนหรือยัง?
.
หรือขออีก 100
.
อีก 1,000 ศพ?
.
จะต้องตาย
.
ต้องสังเวยความกระหายสงครามอีกกี่ศพสังคมถึงจะได้สติ? อีกกี่ครอบครัวจะต้องสูญเสียคนรัก? ดูหน้าตาพวกเขาไว้!
.
ปล. สื่อบอกให้จำชื่อพวกเขาไว้! แต่ถามจริง มีคนทั่วไปกี่คนที่ยังจำชื่อทหารที่ตายตอยปะทะเมื่อเดือนกรกฎาคมได้บ้าง? พวกเขาคือเหยื่อความกระหายสงครามที่ไม่จำเป็น
.
#ป #ไทยกัมพูชา #RIP
.
Four Thai soldiers have already been killed
.
(this does not include Cambodian soldiers, as Cambodia is suppressing the information, though they claim 7 civilians were killed and more than 20 injured).
.
Seriously — are the warmongers in the Thai media and among the public satisfied now?
.
Or do you want 100?
.
Another 1,000 deaths?
.
How many more people have to die before society comes to its senses?
.
How many more families must lose someone they love?
.
Look at their faces!
.
P.S. The media says we should remember their names. But honestly — how many ordinary people still remember the names of the fallen soldiers who died in the clashes back in July? They were victims of this senseless war.
.
#ThailandCambodia #RIP””
.
From Pravit Rojanaphruk one of my favourite writers anywhere and of all time.
.
Postscript - They tell us to remember the names, but outside of family, what names are actually remembered?
.
By the time you read this, the civilian death toll in Cambodia would already be in the 100s.
.
Very sad.
.
Very unnecessary.
.
The border has been decided by the UN, twice.
.
Get out the GPS. Show us where that line is. And then show us where these conflicts are happening.
.
Thatll tell you everything you need to know.
.
Case closed.
.
Thank you for reading.
.
We'll go forward together.



เอ๊าาา ชิมอาหาร ก็โดน ! อ.สมศักดิ์ โพสต์ " ปิยบุตร อย่ามัวแต่ชิมอาหาร ควรออกมาพูดว่าพรรคประชาชนทำผิดอะไร"

17 hours ago
·
Piyabutr Saengkanokkul Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
อย่ามัวแต่ชิมอาหาร
ควรออกมาพูดว่าพรรคประชาชนทำผิดอะไร

https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/25129272236699385
.....

Somsak Jeamteerasakul 
17 hours ago
·
พรรคประชาชน: #คุณออกมาต่อต้านทหารได้
ไม่ใช่การแถลงทุกอย่างทุกครั้งของกองทัพเป็นเรื่องจริง
ไม่ใช่การกระทำทุกอย่างของกองทัพเป็นเรื่องที่ต้องสนับสนุน
ไม่ใช่กองทัพเป็นผู้จัดการกับความขัดแย้งกับกัมพูชาอย่างที่เป็นอยู่นี้


ในหลวง โปรดเกล้าฯ พลตรีหญิง คุณหญิงปภัสสร วัชรหทัยพัทธ์ มอบปริญญาบัตร ม.ศรีปทุม รายละเอียดข้างล่าง

https://www.matichon.co.th/local/education/news_5495363


มหาวิทยาลัยศรีปทุม SPU Sripatum University
Yesterday
·
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
พลตรีหญิง คุณหญิงปภัสสร วัชรหทัยพัทธ์
เป็นผู้แทนพระองค์ มอบปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
มหาวิทยาลัยศรีปทุม ประจำปีการศึกษา 2567
วันที่ 20-22 ธันวาคม 2568
ณ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กทม.
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.spu.ac.th/graduate/

https://www.facebook.com/SPUsripatumuniversity/posts/1285797643582472



ข้อคิดยามบ่าย "ชนชั้นนำที่แท้จริง ไม่ได้ถูกนิยามด้วยอภิสิทธิ์ ชาติกำเนิด หรืออำนาจ หากแต่ถูกกำหนดด้วยความกล้าหาญในการยืนหยัดต่อหน้าความสะดวกสบายของชนชั้นตนเอง บุคคลเช่นนี้ยอมรับภาระที่เดียวดายที่สุด นั่นคือการพูดความจริงในที่ที่คำสอพลอได้รับรางวัล และความเงียบงันคือความปลอดภัย"


Pansak Vinyaratn 
11 hours ago
·
Musing for an afternoon…
ชนชั้นนำที่แท้จริง ไม่ได้ถูกนิยามด้วยอภิสิทธิ์ ชาติกำเนิด หรืออำนาจ หากแต่ถูกกำหนดด้วยความกล้าหาญในการยืนหยัดต่อหน้าความสะดวกสบายของชนชั้นตนเอง บุคคลเช่นนี้ยอมรับภาระที่เดียวดายที่สุด นั่นคือการพูดความจริงในที่ที่คำสอพลอได้รับรางวัล และความเงียบงันคือความปลอดภัย การเสียสละนี้ไม่ใช่เพียงทางสังคม หากแต่เป็นทางศีลธรรม การท้าทายผู้คนในกลุ่มเดียวกัน คือการยอมเสี่ยงต่อการถูกขับออก การสูญเสียชื่อเสียง และความมั่นคง แต่หากไร้ซึ่งความเสี่ยงนี้ ชนชั้นนำก็จะเสื่อมสภาพกลายเป็นวงปิดของการสรรเสริญซึ่งกันและกัน และภาพลวงตาที่ร่วมกันสร้างขึ้น
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ความหยิ่งผยองและความไม่รู้ คือยาพิษคู่แฝดของชนชั้นปกครอง เมื่อพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยเงาสะท้อนของตนเอง ก็จะค่อย ๆ สูญเสียความสามารถในการมองเห็นผลลัพธ์ หลงคิดว่าอำนาจคือปัญญา และชัยชนะคือความถาวร และนี่เองคือจุดที่ชนชั้นนำที่แท้จริงต้องก้าวเข้าไป ไม่ใช่ในฐานะศัตรูจากเบื้องล่าง แต่ในฐานะมโนธรรมจากภายใน การทำลายมนตร์สะกดแห่งความหลงตนเอง คือการมอบโอกาสสุดท้ายให้ชนชั้นของตนได้แก้ไขตนเอง
ในความหมายนี้ การเสียสละตนเองจึงไม่ใช่การทรยศ หากเป็นความภักดีในระดับสูงสุด เป็นความภักดีต่อการอยู่รอด มิใช่ต่อสถานะ ต่อความจริง มิใช่ต่ออภิสิทธิ์ และมีเพียงการยอมแบกรับราคาของความซื่อสัตย์เท่านั้น ที่จะช่วยให้ชนชั้นนำรอดพ้นจากการฆ่าตัวตายอย่างเชื่องช้าภายใต้อำนาจของความเย่อหยิ่งที่ไร้การควบคุม

https://www.facebook.com/pansak.vinyaratn/posts/25610938821836926