เปิดข้อกังวล-คำชี้แจง แพทยสภา-สภาเภสัชฯ หลังศาลปกครองรับฟ้องคดีโครงการจ่ายยา 16 อาการ บัตรทอง
28 พฤศจิกายน 2024
บีบีซีไทย
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับฟ้องคำร้องของแพทยสภา กรณีโครงการจ่ายยา 32 อาการ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หลังจากแพทยสภาแสดงความกังวลว่าการจ่ายยาโดยไม่ตรวจวินิจฉัย อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน ประเด็นนี้มีข้อถกเถียงอย่างไร และกระทบต่อประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพอย่างไรบ้าง
การดำเนินการให้บริการ “เจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการ รับยาที่ร้านยาคุณภาพ” เป็นบริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ดำเนินโครงการที่เริ่มนำร่องมาตั้งแต่ต้นปี 2562 ด้วยความร่วมมือของ สปสช. และสภาเภสัชกรรม
เดิมทีโครงการนี้ให้เภสัชกรร้านยาสามารถจ่ายยา 16 อาการเล็กน้อย แต่ปัจจุบันขยายเป็น 32 อาการ เมื่อเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้แพทยสภา ได้ยื่นคำร้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า โครงการดังกล่าวเป็นการก้าวล่วงวิชาชีพเวชกรรมจากวิชาชีพเภสัชกรรมหรือไม่ แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่รับข้อหารือไว้พิจารณา แต่ได้ให้ความเห็นว่าเป็นประเด็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามมาตรฐานวิชาชีพของตนภายใต้กรอบกฎหมายของแต่ละวิชาชีพ
หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับคำฟ้องของแพทยสภา เมื่อ 9 ต.ค. 2567 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ระบุว่า ประชาชนยังใช้สิทธิได้จนกว่าคำสั่งศาลจะสิ้นสุด
บีบีซีไทยคุยถึงเหตุผลและคำชี้แจงของแพทยสภาและสภาเภสัชกรรม ต่อประเด็นข้อพิพาทนี้
1. ความเสี่ยงของผู้ป่วย
แพทยสภา: แถลงการณ์แพทยสภา เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2567 ระบุว่า แม้โครงการจ่ายยาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในแง่การได้รับยารวดเร็ว และยังอาจช่วยลดความแออัดโนโรงพยาบาลได้ แต่แทนที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่เจ็บป่วยจะได้รับการตรวจ รักษา บำบัด เยียวยา อย่างถูกต้องและตรงตามสมมติฐานของโรคอันแท้จริง แนวทางของโครงการนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การให้ยาตามอาการแต่อาจไม่ตรงกับโรค ทำให้โรคซับซ้อนขึ้นจนอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จนถึงมีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงและเพิ่มโอกาสในการดื้อยาอันยากต่อการรักษา
แหล่งข่าวจากแพทยสภา ซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า อาการบางอย่างหรือยาบางชนิดเป็นข้อกังวลของแพทย์ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เนื่องจากข้อจำกัดหนึ่งของการรักษา บางอาการไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติอย่างเดียว อาการบางอย่างต้องลงรายละเอียด จะจ่ายยาบรรเทาเบื้องต้นไม่ได้ และบางอาการที่อยู่ในโครงการนี้ ไม่ใช่อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ
“แพทยสภาไม่ได้มีปัญหาว่า คุณจ่ายยา แต่ว่ายาบางตัวหรืออาการบางโรค มันอาจจะเกิดอันตราย โดยเฉพาะการใช้งบประมาณของประเทศมาจ่าย คือชั่งน้ำหนักแล้วอาจจะไม่ปลอดภัย”
แหล่งข่าวจากแพทยสภา ย้ำด้วยว่า กรณีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เป็นความต้องการแก้ไขนโยบาย สปสช. ที่ออกมาเท่านั้น ไม่ใช่ความเกลียดชังต่อวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเกิดการใช้ยาชนิดที่ว่าเพียงเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ใช้ยาก่อน ซึ่งใน 32 กลุ่มอาการไม่ใช่ว่าแพทยสภาจะไม่เห็นด้วยทุกกลุ่ม แต่บางกลุ่มเป็นความกังวลเรื่องอันตราย
“ถ้ามีการปรับว่าอาการพวกนี้ไม่ใช่เจ็บป่วยเล็กน้อยทั้งหมด แพทยสภาก็น่าจะพอใจ หรือไม่ก็ควรมีการทำงานร่วมกันโดยสหวิชาชีพ”
สภาเภสัชกรรม: รศ.พิเศษ เภสัชกร (ภก.) กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวกับบีบีซีไทยว่า สิ่งที่แพทยสภาพูดเป็นเชิงหลักการ เภสัชกรทราบดีว่า ยาบางอย่างมีอันตรายและกลุ่มอาการบางกลุ่มก็มีความอันตรายที่ไม่ควรรักษาด้วยการซื้อยากินเอง เภสัชกรวิชาชีพ ศึกษาเรื่องยาและโรคมาเป็นเวลา 6 ปี และจ่ายยาภายใต้กฎหมาย พ.ร.บ.ยา และ พ.ร.บ.สภาวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งมีการจ่ายยามาเป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว ดังนั้น จึงมีดุลพินิจต่อการดูแลผู้ที่มาซื้อยาได้
ส่วนกลุ่มโรคที่แพทย์ระบุว่าเป็นโรคอันตราย ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นส่วนของเภสัชกรของโรงพยาบาลที่ต้องเข้าใจกระบวนการวินิจฉัยของแพทย์ แต่โครงการจ่ายยา 32 กลุ่มอาการภายใต้งบประมาณของ สปสช. เป็นคนละส่วน
“กรณีร้านขายยาโครงการนี้มันคนละมิติ มันเป็นเรื่อง common illness (ความเจ็บป่วยธรรมดา) ซึ่งทุกคนเป็นกันประจําและก็ดูแลตัวเอง แต่เดิมประชาชนก็เจ็บป่วยเล็กน้อย ก็ดูแลตัวเองไปร้านยาซื้อยา อันนี้มันก็เหมือนกับลักษณะเดิม เพียงแค่ สปสช. จ่ายเงินให้ เพราะก็เป็นกลุ่มที่ควรจะได้สิทธิ์” ภก.กิตติ กล่าว
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับฟ้องคำร้องของแพทยสภา กรณีโครงการจ่ายยา 32 อาการ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หลังจากแพทยสภาแสดงความกังวลว่าการจ่ายยาโดยไม่ตรวจวินิจฉัย อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน ประเด็นนี้มีข้อถกเถียงอย่างไร และกระทบต่อประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพอย่างไรบ้าง
การดำเนินการให้บริการ “เจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการ รับยาที่ร้านยาคุณภาพ” เป็นบริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ดำเนินโครงการที่เริ่มนำร่องมาตั้งแต่ต้นปี 2562 ด้วยความร่วมมือของ สปสช. และสภาเภสัชกรรม
เดิมทีโครงการนี้ให้เภสัชกรร้านยาสามารถจ่ายยา 16 อาการเล็กน้อย แต่ปัจจุบันขยายเป็น 32 อาการ เมื่อเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้แพทยสภา ได้ยื่นคำร้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า โครงการดังกล่าวเป็นการก้าวล่วงวิชาชีพเวชกรรมจากวิชาชีพเภสัชกรรมหรือไม่ แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่รับข้อหารือไว้พิจารณา แต่ได้ให้ความเห็นว่าเป็นประเด็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินการของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามมาตรฐานวิชาชีพของตนภายใต้กรอบกฎหมายของแต่ละวิชาชีพ
หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับคำฟ้องของแพทยสภา เมื่อ 9 ต.ค. 2567 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ระบุว่า ประชาชนยังใช้สิทธิได้จนกว่าคำสั่งศาลจะสิ้นสุด
บีบีซีไทยคุยถึงเหตุผลและคำชี้แจงของแพทยสภาและสภาเภสัชกรรม ต่อประเด็นข้อพิพาทนี้
1. ความเสี่ยงของผู้ป่วย
แพทยสภา: แถลงการณ์แพทยสภา เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2567 ระบุว่า แม้โครงการจ่ายยาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในแง่การได้รับยารวดเร็ว และยังอาจช่วยลดความแออัดโนโรงพยาบาลได้ แต่แทนที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่เจ็บป่วยจะได้รับการตรวจ รักษา บำบัด เยียวยา อย่างถูกต้องและตรงตามสมมติฐานของโรคอันแท้จริง แนวทางของโครงการนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การให้ยาตามอาการแต่อาจไม่ตรงกับโรค ทำให้โรคซับซ้อนขึ้นจนอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จนถึงมีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงและเพิ่มโอกาสในการดื้อยาอันยากต่อการรักษา
แหล่งข่าวจากแพทยสภา ซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า อาการบางอย่างหรือยาบางชนิดเป็นข้อกังวลของแพทย์ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เนื่องจากข้อจำกัดหนึ่งของการรักษา บางอาการไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติอย่างเดียว อาการบางอย่างต้องลงรายละเอียด จะจ่ายยาบรรเทาเบื้องต้นไม่ได้ และบางอาการที่อยู่ในโครงการนี้ ไม่ใช่อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ
“แพทยสภาไม่ได้มีปัญหาว่า คุณจ่ายยา แต่ว่ายาบางตัวหรืออาการบางโรค มันอาจจะเกิดอันตราย โดยเฉพาะการใช้งบประมาณของประเทศมาจ่าย คือชั่งน้ำหนักแล้วอาจจะไม่ปลอดภัย”
แหล่งข่าวจากแพทยสภา ย้ำด้วยว่า กรณีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เป็นความต้องการแก้ไขนโยบาย สปสช. ที่ออกมาเท่านั้น ไม่ใช่ความเกลียดชังต่อวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเกิดการใช้ยาชนิดที่ว่าเพียงเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ใช้ยาก่อน ซึ่งใน 32 กลุ่มอาการไม่ใช่ว่าแพทยสภาจะไม่เห็นด้วยทุกกลุ่ม แต่บางกลุ่มเป็นความกังวลเรื่องอันตราย
“ถ้ามีการปรับว่าอาการพวกนี้ไม่ใช่เจ็บป่วยเล็กน้อยทั้งหมด แพทยสภาก็น่าจะพอใจ หรือไม่ก็ควรมีการทำงานร่วมกันโดยสหวิชาชีพ”
สภาเภสัชกรรม: รศ.พิเศษ เภสัชกร (ภก.) กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวกับบีบีซีไทยว่า สิ่งที่แพทยสภาพูดเป็นเชิงหลักการ เภสัชกรทราบดีว่า ยาบางอย่างมีอันตรายและกลุ่มอาการบางกลุ่มก็มีความอันตรายที่ไม่ควรรักษาด้วยการซื้อยากินเอง เภสัชกรวิชาชีพ ศึกษาเรื่องยาและโรคมาเป็นเวลา 6 ปี และจ่ายยาภายใต้กฎหมาย พ.ร.บ.ยา และ พ.ร.บ.สภาวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งมีการจ่ายยามาเป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว ดังนั้น จึงมีดุลพินิจต่อการดูแลผู้ที่มาซื้อยาได้
ส่วนกลุ่มโรคที่แพทย์ระบุว่าเป็นโรคอันตราย ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นส่วนของเภสัชกรของโรงพยาบาลที่ต้องเข้าใจกระบวนการวินิจฉัยของแพทย์ แต่โครงการจ่ายยา 32 กลุ่มอาการภายใต้งบประมาณของ สปสช. เป็นคนละส่วน
“กรณีร้านขายยาโครงการนี้มันคนละมิติ มันเป็นเรื่อง common illness (ความเจ็บป่วยธรรมดา) ซึ่งทุกคนเป็นกันประจําและก็ดูแลตัวเอง แต่เดิมประชาชนก็เจ็บป่วยเล็กน้อย ก็ดูแลตัวเองไปร้านยาซื้อยา อันนี้มันก็เหมือนกับลักษณะเดิม เพียงแค่ สปสช. จ่ายเงินให้ เพราะก็เป็นกลุ่มที่ควรจะได้สิทธิ์” ภก.กิตติ กล่าว
2. เจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ ร้านขายยาทั่วไปจ่ายยาได้อยู่แล้ว เหตุใดเมื่ออยู่ในโครงการ สปสช. แพทยสภาจึงคัดค้าน
แพทยสภา: แหล่งข่าวจากแพทยสภา อธิบายกับบีบีซีไทยว่า การซื้อยากินเองตามร้านยาของประชาชน ตามข้อกำหนดเวชปฏิบัติของแพทยสภา ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น 6 ข้อ ที่ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย โดยถือว่าการซื้อยากินเอง คือ “การประกอบวิชาชีพเวชกรรมต่อตนเอง” นั่นคือการวินิจฉัยว่าตัวเราป่วยเป็นอะไร และเราไปซื้อยา อันนี้เป็นสิทธิที่พึงทำได้ โดยมีเภสัชกรให้คำแนะนำ
แต่เมื่อเป็นโครงการที่รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุน ความหมายของ “การประกอบวิชาชีพเวชกรรมต่อตนเอง" จะเปลี่ยนไป นั่นคือจะมีผลในทางพฤตินัยกว่า เมื่อมีอาการในกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ ให้ไปรับยาที่ร้านขายยาได้ ซึ่งอาการต่าง ๆ บางอย่างอาจไม่มีอันตราย แต่บางกลุ่มอาการมีข้อจำกัดในการจ่ายยาเพื่อรักษา
“เราไม่ขัดขวางการจ่ายยาของร้านขายยาสำหรับการเจ็บป่วยเล็กน้อย และเราเชื่อว่าการจ่ายยาร้านขายยาลดความแออัดในโรงพยาบาล แต่ว่าการจ่ายยาทุกอาการหรือการจ่ายยาบางไอเทมเรามีความกังวล”
นอกจากนี้แหล่งข่าวจากแพทยสภาชี้ด้วยว่า ระบบและแนวทางการจ่ายยาในลักษณะนี้จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานการใช้ยาของประชาชน
“ถ้าเราใช้เงินรัฐจะกลายเป็นว่าเราได้ตั้งเป็นเป็นนอร์ม (บรรทัดฐาน) ของประเทศว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการเล็กน้อย ดังนั้น ก็ต้องให้เป็นอาการเล็กน้อยจริง เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ และคนไข้จะได้ไม่ไปคุ้นเคยว่าเป็นแค่อาการเล็กน้อยก่อน จึงไปรับยาก่อน” กรรมการแพทยสภาคนหนึ่งกล่าวกับบีบีซีไทย
สภาเภสัชกรรม: รศ.พิเศษ เภสัชกร (ภก.) กิตติ กล่าวกับบีบีซีไทยในประเด็นนี้ว่า เป็นทัศนะของทางแพทยสภา แต่ย้ำว่า ประชาชนจะไปซื้อยาเขาต้องรู้สึกเจ็บป่วย จึงจะเดินทางมารับยาตามโครงการนี้ เพียงแต่ความแตกต่างมีเพียงการที่ สปสช. จ่ายเงินให้ตามสิทธิหลักประกันสุขภาพเท่านั้น
นายกสภาเภสัชกรรม ระบุด้วยว่า สำหรับกลุ่มอาการ 32 กลุ่ม ในโครงการนี้ก็เป็นกลุ่มอาการที่มีการจ่ายยาตามร้านยาอยู่แล้ว
“จริง ๆ ถ้ามองแบบเป็นกลาง ๆ มันก็คือพฤติกรรมเหมือนเดิม เพียงแค่ สปสช. จ่ายเงินให้ แทนที่เขาจะต้องจ่ายเองเท่านั้น เพราะถ้าไม่เจ็บป่วยก็คงไม่มา แล้วเจ็บป่วยจริง ๆ มันก็เหมือนกับปกติที่เขาไปร้านยาเสียเงิน เขาก็มาบอกว่าเขาจะเป็นอาการอย่างนี้ ก็อยากได้ยาอย่างนี้ และเภสัชฯ ก็เลือกที่เหมาะสมกับเขาให้”
3. กลุ่มอาการที่แพทยสภามีความกังวลและคำชี้แจงจากสภาเภสัช
แพทยสภา: จากการให้ข้อมูลของแหล่งข่าวจากแพทยสภา มีหลายกลุ่มอาการที่แหล่งข่าวรายนี้ยกตัวอย่างขึ้นมาได้แก่
- ยาที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์ เช่น ยาหยอดตา ยาหยอดหู
- ยาไมเกรนที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว แหล่งข่าวระบุว่าเคยมีกรณีที่ผู้ป่วยซื้อยาไมเกรนรับประทาน แต่เนื่องจากมีอาการอย่างอื่นร่วม จึงเกิดผลต่อกันที่ทำให้เส้นเลือดแตก "สรุปว่าการจ่ายยาบางประเภท เช่น ยาไมเกรน ทางแพทยสภาไม่เห็นด้วยเลย เพราะต้องมีการวินิจฉัยก่อน เพราะเป็นยาที่มีความอันตราย" แหล่งข่าวระบุ
- อาการปัสสาวะแสบขัด แหล่งข่าวระบุว่า หากคนไข้มาหาแพทย์แล้วแพทย์จ่ายยาเลย โดยไม่ตรวจน้ำปัสสาวะ ถือว่าผิดมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
- อาการอื่น ๆ ที่เห็นว่าควรต้องมีการพบแพทย์ เช่น อาการตกขาว อาการทางพยาธิ เป็นต้น
สภาเภสัชกรรม: รศ.พิเศษ เภสัชกร (ภก.) กิตติ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ไม่เห็นด้วยที่แพทย์จะหยิบเฉพาะบางจุดขึ้นมาอธิบายเป็นกรณีทั่วไป จึงควรดูที่ผลลัพธ์ของโครงการ พร้อมยืนยันว่าวิชาชีพเภสัชกรศึกษาเรื่องโรคมาเหมือนกัน รู้ว่าลักษณะไหนควรใช้ ไม่ควรใช้
นายกสภาเภสัชกรรม ได้นำผลการดำเนินโครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการโดยเภสัชกรร้านยา จากการให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2565 จนถึง 21 พ.ค. 2567 มีผู้รับบริการทั้งสิ้น 1,791,930 คน จํานวนครั้ง 4,985,145 ครั้ง โดย 90% อาการหายหรือทุเลา ไม่พบกรณีที่ผู้เข้ารับบริการเกิดปัญหารุนแรง หรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
4. การควบคุมความเสี่ยงต่อประชาชน
แพทยสภา: แหล่งข่าวจากแพทยสภา แสดงความกังวลว่า ระบบแพทย์ครอบครัวของประเทศไทยแตกต่างจากต่างประเทศ โดยในต่างประเทศจะมีหมอครอบครัวดูแล 24 ชั่วโมงดูแลหลังจากแพทย์จ่ายยา ทว่าในประเทศไทย แม้มีการระบุว่าให้เภสัชกรติดตามอาการหลังจาก 3 วัน ให้ไปพบแพทย์ แต่เห็นว่าระบบส่งต่อผู้ป่วยของประเทศไทยไม่ได้มีความชัดเจนเท่าตัวอย่างในต่างประเทศ โดยเฉพาะระบบเจ้าของไข้ที่ส่งต่อจากร้านยาไปโรงพยาบาล
สภาเภสัชกรรม: นายกสภาเภสัชกรรมยืนยันว่า ภายใต้โครงการนี้มีระบบติดตามอาการประชาชนที่ไปรับบริการ หากไม่ดีขึ้นใน 3 วัน ต้องส่งต่อไปยังหน่วยบริการปฐมภูมิ
“เรากำหนดว่า 3 วัน (ร้านยา) ต้องติดตาม ถ้าไม่ติดตาม คุณเบิกเงินไม่ได้ มันเป็นการบังคับเลย ฉะนั้น จะบอกว่าเราไม่สนใจความปลอดภัยผู้ป่วยคงไม่ใช่ เพราะกระบวนการเรามันชัดเจนอยู่แล้ว” ภก. กล่าวถึงการควบคุมร้านยาในโครงการนี้ทุกร้านที่เข้าร่วมต้องผ่านเกณฑ์การเป็นร้านยาคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 4,000 แห่ง
เภสัชกร กิตติ อธิบายมาตรการควบคุมร้านขายยาอีกด้วยว่า ทุกร้านขายยาต้องเข้ารับการฝึกอบรวมเพื่อทบทวนความรู้ และจะมีคู่มือสำหรับการอ้างอิงทบทวนความรู้การจ่ายยาว่าอาการแบบนี้เป็นอย่างไร กรอบยาที่ควรใช้ได้ และบัญชียาตามกฎหมายให้เภสัชจ่ายได้ ซึ่งในส่วนนี้จะมียากลุ่มที่ต้องรอแพทย์สั่ง เภสัชกรจะจ่ายเองไม่ได้
ส่วนในกระบวนการการดูแลคนไข้จะพิจารณาว่าหากลักษณะเป็นเจ็บป่วยเล็กน้อยหรือเจ็บป่วยไม่มากจริง เภสัชกรดูแลได้ แต่ถ้าอาการมีความซับซ้อนเภสัชกรจะส่งแพทย์ทั้งหมด นอกจากนี้ทางสภาเภสัชกรรม ยังอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลการส่งต่อผู้ป่วยหรือรีเฟอร์ (refer) จากร้านยาในโครงการไปยังสถานบริการทางการแพทย์ต้นสังกัดของผู้ป่วย เพื่อยืนยันว่า เภสัชกรมีการคัดกรองผู้ป่วย
“เราไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าจ่ายยาตลอดแล้วไม่ส่งต่อไปพบแพทย์” ภก.กิตติ ระบุ
เจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ มีอะไรบ้าง ?
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้มาจากเวทีการรับฟังความคิดเห็นทั่วไปในระบบบัตรทองฯ ปี 2560 ที่ได้มีข้อเสนอให้ขึ้นทะเบียนร้านยาคุณภาพ เป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิเข้ารับบริการ
นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจสถานการณ์การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน พบว่ามีประชาชนซื้อยากินเองในระหว่าง 1 เดือน เมื่อมีการเจ็บป่วย คิดเป็น 17.6% และผลสำรวจของประชาชนในปี 2561 ยังพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนไม่ใช้สิทธิบัตรทอง คือการรอรับบริการนานสูงถึง 51.9%
สำหรับการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ ได้แก่
1.เวียนศีรษะ 2.ปวดหัว 3.ปวดข้อ/ปวดกล้ามเนื้อ 4.ปวดฟัน 5.ปวดประจำเดือน 6.ปวดท้อง 7.ท้องเสีย 8.ท้องผูก/ริดสีดวงทวาร 9.ปัสสาวะแสบขัด 10.ตกขาว 11.แผล 12.ผื่นผิวหนัง 13.อาการทางตา 14.อาการทางหู 15.ไข้ ไอ เจ็บคอ
16.ติดเชื้อโควิด 17.น้ำมูก คัดจมูก 18.มีอาการแผลในปาก 19.ตุ่มน้ำใสที่ปาก 20.แผลน้ำร้อนลวกไม่รุนแรง
21.อาการคันผิวหนัง/ศีรษะ 22.อาการจากพยาธิ 23.อาการจากหิด เหา 24.ฝี หนองที่ผิวหนัง 25.อาการชา/เหน็บชา
26.อาการนอนไม่หลับ 27.เมารถ เมาเรือ 28.เบื่ออาหารโดยไม่มีโรคร่วม 29.คลื่นไส้ อาเจียน 30.อาการแพ้ยา/แพ้อาหารเล็กน้อย/แมลงกัดต่อย 31.อาการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่ 32.เหงือกอักเสบ/มีกลิ่นปาก
รศ.พิเศษ เภสัชกร (ภก.) กิตติ กล่าวว่า แต่ละกลุ่มอาการจะมีตัวยา 2-3 ตัวให้เลือก เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนอาจไม่เหมาะกับบางตัวยา ซึ่งเภสัชกรต้องซักประวัติเพื่อพิจารณาว่า ตัวยาใดเหมาะสม และแต่ละตัวยามีผลข้างเคียงใดบ้าง
สำหรับการจ่ายยากลุ่มนี้ รศ.พิเศษ เภสัชกร (ภก.) กิตติ ระบุว่า ยาตามแพทย์สั่งจะไม่อยู่ในกลุ่มยาของ 32 อาการนี้ เนื่องจากยาตามแพทย์สั่งมีกฎหมายควบคุมพิเศษที่ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น
“กลุ่มนี้จะไม่มีอยู่ในโครงการ เรามีการกำหนดชัดเจน เพราะเป็นกลุ่มยาที่ต้องการการกำกับดูแลเข้มงวด และส่วนใหญ่เป็นยาที่ใช้ในโรงพยาบาลมากกว่า”
https://www.bbc.com/thai/articles/ckgvr9zy347o