จำนวนลูกเรือขึ้นๆ ลงๆ รอด? บาดเจ็บ? สูญหาย? สุดท้ายคือ...? นี่คือระบบ...อะไร” ขณะบนหน้าทวิตเตอร์รายงานกันไปถึงกระบวนการช่วยเหลือลูกเรือ ‘รบหลวงสุโขทัย’ ที่อับปางกันแล้ว ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการยังยืนยันอีก
“ว่า ร.ล.สุโขทัย ไม่ได้อับปาง แต่เกิดการเอียง เนื่องจากกระแสคลื่นลมแรง ทำให้น้ำทะเลทะลักเข้าไปในตัวเรือ” จนกระทั่งห้าทุ่มครึ่งของคืนวันที่ ๑๘ ธันวา จึงได้ยอมรับว่า “จมลงใต้ผิวน้ำแล้ว” และบอกว่า “กำลังพลทั้งหมดปลอดภัย”
ทว่ารายงานอื่นก่อนหน้าบอกว่า มีการสั่งเรือหลวงอ่างทอง ภูมิพลฯ และกระบุรี พร้อมเฮลิค้อปเตอร์ซีฮ้อว์ค ๒ ลำ ไปช่วยกู้ภัยลูกเรือ ๑๐๖ คน ราวบ่ายสามโมงกว่าๆ “เก็บคนตกน้ำได้รวมแล้ว ๗๓” สุดท้ายตอนดึกตัวเลขว่าช่วยได้ ๗๕ คน
ยังเหลืออีก ๓๓ คนที่ยังตามหากันอยู่เมื่อ ๕ ทุ่ม กับรายงานที่ว่ามีลูกเรือ ๓ คนได้รับบาดเจ็บ และเป็นข่าวลือให้นักข่าวพยายามซักถามว่ามีลูกเรือเสียชีวิต ๓ คนหรือไม่ โฆษกทัพเรือตอบไม่ได้ เพราะ “ยังไม่ได้รับการยืนยัน”
แต่รวมความว่า ‘อุบัติเหตุ’ ครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างเรือรบหลวงสุโขทัย ออกลาดตระเวน...ไปเตรียมการงานพิธีครบ ๑๐๐ ปีสิ้นพระชนม์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ‘เสด็จเตี่ย’ ของกองทัพเรือ ที่จะมีในวันนี้ แต่ก็ยกเลิกไปเพราะเหตุที่เกิดกับ ร.ล.สุโขทัย
เหตุดังกล่าวก็คือ คลื่นลมแรง “ขณะอยู่ห่างจากฝั่ง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ๒๐ ไมล์ทะเล...ทำให้น้ำทะเลทะลักเข้าไปในตัวเรือ จนทำให้เรือเอียง” จาก ๓๐-๔๐ องศาไปถึง ๘๐ องศาเมื่อตอนสามทุ่ม น้ำเข้าเครื่องระบบต่างๆ ใช้การไม่ได้หมด
ชาวบ้านไม่ประสีประสาก้พากันงง ว่าเรือรบหลวงแล่นลาดตระเวนเฉยๆ ก็อับปางได้ เฉกเช่นกันกับเครื่องปั๊มหัวใจทำให้เซลร่างกายมีเลือดหล่อเลี้ยงประทังชีวิต แต่ว่าความเสียหายที่เกิดเมื่อสามวันก่อนนั้นอยู่ที่สมอง เส้นเลือดแตกกระจายออกไปหมดแล้ว
แพทย์ไหนๆ ถ้าให้ความเห็นอย่างสัตย์ซื่อต่อวิชาชีพ ย่อมรับว่าสมองสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไม่มีทางกู้คืนได้ ถึงจะมีเครื่องช่วยให้หัวใจเต้น ชีวิตที่มีอยู่ก็หมดความหมาย การสวดมนต์อาจช่วยด้านจิตใจของคนที่ยังตัดไม่ขาดไปพักหนึ่งเท่านั้น
