วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 08, 2561

ถลกหนังเสือดำป่าสงวน "รูปคดีสาวถึงตัวนายเปรมชัยได้ยาก” ขณะตลาดประชารัฐงบฯ เพิ่ม


ช่วงนี้สองบิ๊ก สบายใจ ตอบคำถามนักข่าวง้ายง่าย “ต้องเป็นไปตามกฎหมาย” คนน้องที่ใหญ่กว่าเพิ่มเติมด้วยว่า “ใครเข้าไปช่วยต้องถูกลงโทษ”

นั่นละคดีความถลกหนังเสือดำในเขตคุ้มครองสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร มีข้อมูลใหม่ๆ ออกมาพรึ่บ ล้วน Sensational หวือหวาน่าสนใจกลบข่าวอื่นๆ ไปเสียสิ้น

ล่าสุดนี่อธิบดีกรมอุทยานฯ ไม่ยอมตอบคำถามเรื่องมีอดีตข้าราชการในกรมไปนั่งเป็นที่ปรึกษาของบริษัทอิตาเลี่ยนไทย (ที่ไม่ใช่อันเดียวกันหรือกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา กับ อิตัลไทย) บอกแค่ “ส่วนตัวรู้จักเพราะถือเป็นรุ่นพี่”

หลังจากที่มีเสียงจากแหล่งข่าว นสพ.เดลินิวส์ บอกว่ามี “ระดับอดีตบิ๊กกระทรวงเกษตรฯ ช่วยคุยผู้ใหญ่กระทรวงทรัพยากรฯ ในการอำนวยความสะดวกเพื่อเข้าไปศึกษาธรรมชาติ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าตรวจค้นรถยนต์” คณะของนายเปรมชัย กรรณสูต

นอกนั้นยังมีข่าวทางลึกด้วยว่า “เจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงปืนแล้วเข้าไปตรวจพื้นที่ แจ้งว่านายเปรมชัยไม่ได้อยู่ในพื้นที่แรกที่มีการล่าสัตว์ มีแต่ลูกน้องนายเปรมชัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาพบนายเปรมชัยอยู่อีกที่หนึ่ง ดังนั้นรูปคดีสาวถึงตัวนายเปรมชัยได้ยาก”


 
ไม่ต้องสาว แต่เล่นเอาเข่งครอบ และจับยัดคุกได้ง่ายๆ นั่นเป็นคดี มบค. ๓๙หรือ MBK 39 ล้อเลียนกลุ่มสาวประสานเสียง BNK 48 ที่กำลังดังโลด

ผู้ต้องหามี ๓๙ คน โดนฟ้องความผิดฐานชุมนุมกันเกิน ๕ คน ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ กับความผิดตาม พรบ. ชุมนุมฯ มาตรา ๗

บางคนโดนสามเด้ง ตำรวจยัดข้อหา ยุยงปลุกปั่น ตามความผิดมาตรา ๑๑๖ ประมวลกฎหมายอาญาเข้าไปอีก เช่น บก.ลายจุด ที่บอกว่าข้อหานี้เพิ่มมาได้อย่างไร ไม่ได้ขึ้นปาฐกถาเสียหน่อย

มีเสียงเรียกร้องมากมายจากทั้งในและนอกประเทศ (ในประเทศก็เป็น เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง หรือ คนส. ซึ่งไปอ่านแถลงการณ์หน้าสถานีตำรวจวันนี้) ว่าบ้าหรือไร เขาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน กลับโดนตั้งข้อหาหนักหน่วงอาจติดคุกเป็นสิบปี

ทีคดีบุกรุกป่าฆ่าสัตว์สงวน ถ้าคดีไปถึงศาลแล้วเห็นว่าผิด อาจโดนปรับแค่ ๕๐๐ บาท แล้วรูปการณ์ดูเหมือนจะฮืออากันอยู่สักพัก ถ้าไม่เงียบเป็นคลื่นกระทบฝั่งซึมหายไปบนทราย ก็สงสัยจะรอดเรื่องบุกป่าล่าสัตว์ แต่ติดกักมีอาวุธปืนยาวครอบครองตั้ง ๔๓ กระบอก

ที่คาดหวังว่าจะเสียงดังเหมือนน้ำซัดโขดหิน เป็นการนัดหมายชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ อาจจะอึกทึกกว่าคาดคิด ถ้าวันนี้ มีผู้ต้องหา มบค.๓๙ ที่ชื่อติดปากชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็น โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา รังสิมันต์ โรม สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ อานนท์ นำภา และเนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล ต้องถูกควบคุมตัวกัน โดยศาลไม่ยอมให้ประกัน หรือไม่สามารถระดมเงินประกันได้ทัน

เหล่านี้ได้บดบังความใส่ใจเรื่องการบริหารบ้านเมืองอย่างห่วยแตกของ คสช. ไปหลายวัน ดังเช่น รายงานข่าวที่ว่า กระทรวงมหาดไทยกำลังดันโครงการ ตลาดประชารัฐให้ขยายพื้นที่เดิมเพิ่มมากขึ้น หรืออาจเปิดพื้นที่ใหม่ ๖,๔๔๗ แห่ง

ทั้งนี้เพราะมีเม็ดเงินลงมาตรงนี้ ตามที่สำนักงบประมาณจัดสรรไว้ให้แล้วสำหรับปี ๖๑-๖๒ ในวงเงิน ๕๖๒ ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการในสองเดือนของโครงการที่ดำเนินอยู่ ยังมองไม่เห็น ซ้ำร้ายมีรายงานว่าผุ้เข้าร่วมโครงการพากันถอนตัวระนาว
ปั๊มน้ำมันประชารัฐ แห่งละ ๕ แสน ได้แค่เนี้ย
ข้อมูลเมื่อ ๑ กุมภาพันธ์ จากจำนวนผู้สนใจเข้าร่วมตลาดประชารัฐ ๑๒๐,๗๑๖ ราย “แต่กลับมีผู้สละสิทธิ์แล้ว ,๙๘๒ ราย” ผู้ที่ถอนตัวเหล่านี้ให้เหตุผลว่า

เนื่องจากตลาดประชารัฐในพื้นที่ไม่สามารถค้าขายได้จริง และสินค้าที่ผู้สละสิทธิ์จำหน่าย กลับมีสินค้าที่พบว่าซ้ำซ้อนกันหรือมีแผงขายอยู่แล้วจำนวนมาก”


หลักเกณฑ์การค้าง่ายๆ ในเมื่อผู้ค้าพากันถอนตัวอย่างนี้ มีแผงว่างเปล่าจำนวนมาก ไฉนเจ้าของตลาดยังจะสร้างแผงเพิ่มขึ้นอีก เพื่อใช้งบประมาณให้หมดกระนั้นหรือ