เหมือนมีปากไว้ขากถุย นะคนที่จบ
จปร.มาแล้วก็เป็นตะหานเลย ไม่เห็นเคยทำงานการอื่นใด
บอกอยากนำแนวคิดจีนมาศึกษา ไม่รู้หรอกว่าแต่ไหนแต่ไรเมืองไทยมีจีนโพ้นทะเลมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปศึกษาไกล
ประยุทธ์พูดพล่ามตามเคยถึงเรื่องนักศึกษาเคลื่อนไหว
‘อยากเลือกตั้ง’ หาว่าไปเอาหลักการต่างประเทศเข้ามา
อ้างเปลี่ยนอย่างนั้นสูญเสียมากมาย ต้องสงบราบคาบให้กับ คสช. จึงจะดีกว่า
แล้วไปแขวะครูอาจารย์ นักวิชาการ
“อย่าสอนเด็กเหมือนทุกวันนี้
ซึ่งหลายท่านเองก็ไม่เคยทำงานทำการ จบด้านวิชาการออกมาแล้วก็ไปสอน”
ไม่รู้เอาอะไรมาใช้อ้างข้างตัวเรื่องทำงานทำการ
หลังจากจบจนกระทั่งเป็น ผบ.ทบ. ได้แต่คอยติดสอยห้อยตามขบวนเสด็จฯ พระนางเจ้าฯ
ที่เด็กเขาออกมาสอนวิธีสร้างภูมิปัญญานั่นควรต้องสำเหนียกไว้แน่นๆ
เช่นที่นายกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ นักศึกษาชั้นปีที่
๔ มธ. ให้สัมภาษณ์หลังจากศาลยกคำร้องของพนักงานสอบสวนขอฝากขัง ฐานขัดคำสั่งคสช. จากการจัดชุมนุม
‘อยากเลือกตั้ง’ เมื่อวันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์
“อาจารย์ผมสอนในสิ่งที่ถูกต้อง
สอนตามหลักยุติธรรมและสากลทุกประการ
ตามหลักประเทศที่มีสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเขาทำกัน
ขอให้ท่านนายกอ่านหนังสือเยอะๆ การเรียนรู้น้อยเป็นเรื่องที่น่าอันตราย”
นายกาณฑ์เป็น ๑ ใน ๖
ผู้ต้องหาที่ถูกคนของ คสช. (พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำทัพบก)
แจ้งความกล่าวโทษไว้ที่ สน.นางเลิ้ง ข้อหาสร้างความปั่นป่วนตาม ก.ม.อาญามาตรา ๑๑๖
และขัด คำสั่ง คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ มั่วสุมทางการเมืองเกิน ๕ คน
เขาไปรายงานตัวพร้อมกับผู้ต้องหาอีกสองคน
คือนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และนายสุกฤษณ์ เพียรสุวรรณ สำหรับผู้ต้องหาอื่นๆ เช่น
น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา รายงานตัวไปแล้ว ส่วนนายรังสิมันต์ โรมและน.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว
ได้ขอเลื่อนวันรายงานตัว ขณะที่นายอานนท์ นำภา ไปรายงานตัวภายหลัง
ผู้ต้องหาเหล่านี้ยืนยัน “เราไม่ได้ทำอะไรผิด
เราทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติ ตรงนี้คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
เราต้องการให้เลือกตั้งให้ได้ภายในปีนี้”
(https://www.prachatai.com/journal/2018/02/75561 และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_766807)
เพราะถ้าการเลือกตั้งต้องยืดเยื้อออกไปอีกนานเท่าไร
ก็จะเป็นสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินที่คณะ คสช. นั่งกินนอนกินกันมาจะสี่ปี
ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอะไร
ล่าสุดนี่ก็มีช่องทางเปิดให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากเดือนกุมภาพันธ์
๖๒ ได้อีก เมื่อ สนช. หรือองค์กรออกกฎหมายที่ คสช.
ตั้งขึ้นไว้สร้างความชอบธรรมในการออกคำสั่งบังคับต่อประชาชนตามต้องการของตน
เพิ่งปฏิเสธไม่รับกรรมการเลือกตั้งชุดใหม่ทั้งหมด ๗ คน เท่ากับกระบวนการจัดหาจะต้องเนิ่นช้าไป
สนช.
นี้เองเพิ่งผ่านกฎหมายให้พวกตนสามารถลากิจไปทำธุรกิจส่วนตัวขณะที่ยังรับเงินเดือนต่อไปได้
ขนาด น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว. ที่เคยให้ท้าย คสช. ก็ยังอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์ว่า
“สนช.และคสช.ผู้เสียสละมาบริหารบ้านเมืองในวาระพิเศษจนจะครบสี่ปีแล้ว...ควรทำเรื่องที่เป็นประโยชน์เพื่อปฏิรูปบ้านเมืองที่แท้จริง
เพราะท่านไม่ได้มาบริหารบ้านเมืองให้ฟรีๆ แต่มีค่าใช้จ่ายที่เป็นภาษีของประชาชน”
รสนายกตัวอย่างสมัยเผด็จการสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ที่กำหนดให้ข้าราชการที่ดำรงสองตำแหน่งให้เลือกรับเงินเดือนครึ่งเดียวของตำแหน่งหนึ่งใดในสอง
ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งมีตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอธิการบดี มธ.
เลือกที่จะรับเงินเดือนเต็มในตำแหน่งค่าจ้างน้อยกว่าคืออธิการบดี
แล้วรับแค่ครึ่งเดียวในตำแหน่งผู้ว่าฯ แบ๊งค์ชาติ
รสนาชี้ด้วยว่าสำหรับผู้นำทั้งหลายของ
คสช. นั้นมากมายหลายคนมีตำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วย
“ถ้าขยับเวลาออกไปอีก ก็จะได้เงินเดือนสองเท่าต่อเนื่องไปอีกเรื่อยๆ ใช่หรือไม่”
เอถามแทงใจดำ
นิตยสารออนไลน์ เดอะ
แม้ตเตอร์ จัดระเบียบตัวเลขรายได้สมาชิก คสช. ตัวเอ้ๆ หลายคนเอาไว้ พบว่าตั้งแต่ ประยุทธ์
ลงมาพวกนายพล คสช. รับเงินเดือนสองเด้งกันรวมแล้วกว่าสองแสนต่อเดือน ตลอดจะสี่ปีที่ผ่านมาแต่ละคนกวาดงบประมาณเป็นค่าตอบแทนคนละไม่ต่ำกว่า
๑๐ ล้านบาท
The MATTER เขาให้ข้อคิดน่าทึ่งว่า “ถ้าเป็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ทำงานในระยะเวลาเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบัน (คือ ๔๑ เดือน)
จะได้รับเงินเดือนเพียง ๕.๑๔ ล้านบาท”