วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 24, 2561

เหมือนมีปากไว้ขากถุย ริจะสอนอาจารย์ ควรฟังที่เด็กแนะ "อ่านหนังสือเยอะๆ การเรียนรู้น้อยเป็นเรื่องที่น่าอันตราย”

เหมือนมีปากไว้ขากถุย นะคนที่จบ จปร.มาแล้วก็เป็นตะหานเลย ไม่เห็นเคยทำงานการอื่นใด

บอกอยากนำแนวคิดจีนมาศึกษา ไม่รู้หรอกว่าแต่ไหนแต่ไรเมืองไทยมีจีนโพ้นทะเลมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว ไม่ต้องไปศึกษาไกล

ประยุทธ์พูดพล่ามตามเคยถึงเรื่องนักศึกษาเคลื่อนไหว อยากเลือกตั้งหาว่าไปเอาหลักการต่างประเทศเข้ามา อ้างเปลี่ยนอย่างนั้นสูญเสียมากมาย ต้องสงบราบคาบให้กับ คสช. จึงจะดีกว่า แล้วไปแขวะครูอาจารย์ นักวิชาการ

“อย่าสอนเด็กเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งหลายท่านเองก็ไม่เคยทำงานทำการ จบด้านวิชาการออกมาแล้วก็ไปสอน”


ไม่รู้เอาอะไรมาใช้อ้างข้างตัวเรื่องทำงานทำการ หลังจากจบจนกระทั่งเป็น ผบ.ทบ. ได้แต่คอยติดสอยห้อยตามขบวนเสด็จฯ พระนางเจ้าฯ

ที่เด็กเขาออกมาสอนวิธีสร้างภูมิปัญญานั่นควรต้องสำเหนียกไว้แน่นๆ เช่นที่นายกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ มธ. ให้สัมภาษณ์หลังจากศาลยกคำร้องของพนักงานสอบสวนขอฝากขัง ฐานขัดคำสั่งคสช. จากการจัดชุมนุม อยากเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์
 
“อาจารย์ผมสอนในสิ่งที่ถูกต้อง สอนตามหลักยุติธรรมและสากลทุกประการ ตามหลักประเทศที่มีสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเขาทำกัน ขอให้ท่านนายกอ่านหนังสือเยอะๆ การเรียนรู้น้อยเป็นเรื่องที่น่าอันตราย

นายกาณฑ์เป็น ๑ ใน ๖ ผู้ต้องหาที่ถูกคนของ คสช. (พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำทัพบก) แจ้งความกล่าวโทษไว้ที่ สน.นางเลิ้ง ข้อหาสร้างความปั่นป่วนตาม ก.ม.อาญามาตรา ๑๑๖ และขัด คำสั่ง คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ มั่วสุมทางการเมืองเกิน ๕ คน

เขาไปรายงานตัวพร้อมกับผู้ต้องหาอีกสองคน คือนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และนายสุกฤษณ์ เพียรสุวรรณ สำหรับผู้ต้องหาอื่นๆ เช่น น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา รายงานตัวไปแล้ว ส่วนนายรังสิมันต์ โรมและน.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ได้ขอเลื่อนวันรายงานตัว ขณะที่นายอานนท์ นำภา ไปรายงานตัวภายหลัง

ผู้ต้องหาเหล่านี้ยืนยัน “เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติ ตรงนี้คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เราต้องการให้เลือกตั้งให้ได้ภายในปีนี้”


เพราะถ้าการเลือกตั้งต้องยืดเยื้อออกไปอีกนานเท่าไร ก็จะเป็นสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินที่คณะ คสช. นั่งกินนอนกินกันมาจะสี่ปี ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอะไร

ล่าสุดนี่ก็มีช่องทางเปิดให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากเดือนกุมภาพันธ์ ๖๒ ได้อีก เมื่อ สนช. หรือองค์กรออกกฎหมายที่ คสช. ตั้งขึ้นไว้สร้างความชอบธรรมในการออกคำสั่งบังคับต่อประชาชนตามต้องการของตน เพิ่งปฏิเสธไม่รับกรรมการเลือกตั้งชุดใหม่ทั้งหมด ๗ คน เท่ากับกระบวนการจัดหาจะต้องเนิ่นช้าไป

สนช. นี้เองเพิ่งผ่านกฎหมายให้พวกตนสามารถลากิจไปทำธุรกิจส่วนตัวขณะที่ยังรับเงินเดือนต่อไปได้ ขนาด น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว. ที่เคยให้ท้าย คสช. ก็ยังอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์ว่า

“สนช.และคสช.ผู้เสียสละมาบริหารบ้านเมืองในวาระพิเศษจนจะครบสี่ปีแล้ว...ควรทำเรื่องที่เป็นประโยชน์เพื่อปฏิรูปบ้านเมืองที่แท้จริง เพราะท่านไม่ได้มาบริหารบ้านเมืองให้ฟรีๆ แต่มีค่าใช้จ่ายที่เป็นภาษีของประชาชน”

รสนายกตัวอย่างสมัยเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่กำหนดให้ข้าราชการที่ดำรงสองตำแหน่งให้เลือกรับเงินเดือนครึ่งเดียวของตำแหน่งหนึ่งใดในสอง ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งมีตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอธิการบดี มธ. เลือกที่จะรับเงินเดือนเต็มในตำแหน่งค่าจ้างน้อยกว่าคืออธิการบดี แล้วรับแค่ครึ่งเดียวในตำแหน่งผู้ว่าฯ แบ๊งค์ชาติ

รสนาชี้ด้วยว่าสำหรับผู้นำทั้งหลายของ คสช. นั้นมากมายหลายคนมีตำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วย “ถ้าขยับเวลาออกไปอีก ก็จะได้เงินเดือนสองเท่าต่อเนื่องไปอีกเรื่อยๆ ใช่หรือไม่” เอถามแทงใจดำ

นิตยสารออนไลน์ เดอะ แม้ตเตอร์ จัดระเบียบตัวเลขรายได้สมาชิก คสช. ตัวเอ้ๆ หลายคนเอาไว้ พบว่าตั้งแต่ ประยุทธ์ ลงมาพวกนายพล คสช. รับเงินเดือนสองเด้งกันรวมแล้วกว่าสองแสนต่อเดือน ตลอดจะสี่ปีที่ผ่านมาแต่ละคนกวาดงบประมาณเป็นค่าตอบแทนคนละไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านบาท

The MATTER เขาให้ข้อคิดน่าทึ่งว่า “ถ้าเป็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำงานในระยะเวลาเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบัน (คือ ๔๑ เดือน) จะได้รับเงินเดือนเพียง ๕.๑๔ ล้านบาท”


โอว ค่าตอบแทนคนที่มากำจัดยิ่งลักษณ์นี่แพงกว่าถ้าปล่อยเธออยู่ในตำแหน่งต่อไปถึงเท่าตัว