ความน่าเศร้าของรัฐประหาร 2557 คือ แทบทุกนโยบาย "ลอก"มาจากรัฐบาลก่อนหน้า
แต่นโยบายเดียวที่กลับหลังหันคือนโยบายแก้ปัญหาชายแดนใต้ แทนที่จะใช้การเจรจาที่ดำเนินการมาก่อนหน้า รัฐบาลของคณะรัฐประหาร กลับใช้วิธีการติดอาวุธและเพิ่มกำลังทหารลงพื้นที่
เอาเข้าจริงทิศทางนี้ก็พอจะเห็นตั้งแต่ การตั้ง ปณิธาน วัฒนายากร เป็น ที่ปรึกษารองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้ว
สงครามคงยังไม่จบแต่ ได้นับศพกันต่อไปเรื่อย ๆ
http://www.thairath.co.th/content/460996
Thanapol Eawsakul
...
ที่มาเรื่อง ประชาไท
2014-11-04ภาพจาก FB Phattita Cheraiem |
4 พ.ย.2557 นางคอรีเยาะ หะหลี แกนนำสตรีบ้านส้ม ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ผู้สูญเสียบิดาในเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 และเคยเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 ในฐานะผู้นำเยาวชนจากชายแดนภาคใต้ และชวน "บิ๊กตู่" ทำท่า"ซารางเฮโย"ซึ่งแปลว่า"ฉันรักเธอ"ในสไตล์เกาหลีจนเป็นข่าวฮือฮามาแล้ว ได้เขียนจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
พร้อมกันนี้ยังเผยแพร่จดหมายดังกล่าวต่อสื่อมวลชนบางส่วนด้วย โดยเรียกร้องให้ทบทวนการตั้งกรมทหารพรานและการจัดอาวุธปืนให้กับอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ในพื้นที่ เนื้อหาในจดหมายดังกล่าวมีดังนี้
ฝากถึงอดีต ผบ.ทบ.
"กราบเรียนท่าน ผบ.ทบ.ที่เคารพรัก (หมายถึง พล.อ.ประยุทธ์) ในนามเหยื่อใต้ ขอแสดงความห่วงใหญ่ในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่ผลออกมาว่าจะจัดงบเป็นพันๆ ล้านมาจัดตั้งกรมทหารพราน จัดหาอาวุธปืนให้กับอาสาสมัคร เราในฐานะเหยื่อ ขอให้ท่านทบทวนว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องเพิ่มงบ เพิ่มกำลัง เพิ่มอาวุธปืนลงไปในพื้นที่มากขนาดนี้
อยากทราบว่าทุกวันนี้กองกำลังที่มีอยู่เดิม ถ้าลดการใช้อาวุธปืนแล้วมาใช้อาวุธทางปัญญา ใช้จิตวิทยาเอาชนะคนในพื้นที่ จะดีกว่าไหม เพราะการใช้อาวุธปืนมันจะทำให้เกิดการท้าทายอำนาจกันมากขึ้น อาจทำให้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น คนทำงานก็ขาดความรู้ความรอบคอบ ในบางเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเองทำงานบนความหวาดระแวง ประมาท ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
ในกรณีที่ท่านจะจัดหาอาวุธให้อาสาสมัครก็เช่นกัน เราไม่เชื่อว่าการที่อาสาสมัครมีอาวุธปืนแล้วจะสามารถป้องกันตัวหรือเหตุต่างๆ ได้ สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดมันท้าทายอำนาจ คนถืออาวุธไม่มีประสบการณ์อาจใช้ปืนไปในทางที่มิชอบ สร้างปัญหามากขึ้น
กรณีทหารพรานหญิงก็เช่นกัน เราไม่อยากเห็นผู้หญิงสามจังหวัดโดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นมุสลิมเข้าไปอยู่ในวงจรความขัดแย้ง ผู้หญิงควรที่จะทำหน้าที่ของความเป็น เป็นลูก เป็นพี่ เป็นพี่น้อง ผู้หญิงที่เป็นมุสลิมต้องแต่งตัวตามหลักของอิสลามอย่างเคร่งครัด แต่เท่าที่เห็นผู้หญิงมุสลิมที่ได้เข้าไปเป็นทหารพรานหญิง ถูกบังคับไม่ให้สวมฮิญาบ ทำให้ภาพลักษณ์ของความเป็นอัตลักษณ์มันดูไม่ดี และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผ่านมาทหารพรานหญิงถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิต
จึงอยากให้ทบทวนว่าสิ่งที่พยายามทำอยู่ มันใช่วิธีแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ เราในฐานะเหยื่ออยากเห็นใต้สงบ แต่ไม่ใช่วิธีนี้ จึงอยากขอร้องให้ทบทวน
ปัจจุบันพี่น้องสามจังหวัดมีความเดือดร้อนเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพไม่พอใช้ รายได้ลดลง เยาวชนติดยา ไม่เรียนหนังสือ ไม่มีงานทำ ความรัก ความอบอุ่นหายไปจากครอบครัว เด็กกำพร้ามีมากขึ้น สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นสูงที่รัฐควรหาวิธีแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เราเหยื่อใต้ขอความเป็นธรรม ให้ทุกฝ่ายเห็นความเป็นคนไทย หาวิธีแก้ปัญหาแบบสันติวิธี เปิดวิธีพูดคุย ยอมถอยให้คนละก้าว หาข้อยุติที่รับได้ทั้งสองฝ่าย อะไรยอมได้ก็ขอให้ยอมๆ เพื่อพี่น้องในพื้นที่ อย่าได้สร้างปัญหาหรือเพิ่มปัญหาให้กันอีกเลย
ทุกชีวิตไม่ว่าชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนไม่ควรสูญเสีย ทุกคนมีค่ามีความหมาย รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น จึงขอวิงวอนให้ใช้สันติวิธีแก้ปัญหาร่วมกัน จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด สุดท้ายของให้ท่านและคณะโชคดี ขอบคุณค่ะ"
....
ถ้าสังเกต สิ่งที่ทหารทำตอนนี้เปนการบริหารจัดการเชิงอำนาจแทบทั้งนั้น นโยบายแบบ กวาดล้าง ,ปิดล้อม, ตรวจค้น, เพิ่มโทษ นี่งานถนัดพี่เขาเลย เช่น ทลายบ่อน, จับผู้ลักลอบค้าไม้พยุง, จัดระเบียบรถตู้วินมอไซค์เถื่อน, จัดการเด็กแว๊นเด็กพานิชย์ตีกัน ฯลฯ หลายอย่างที่ทำค่อนข้างคาบเกี่ยว ทับซ้อนกับหน้าที่ของตำรวจ พูดตรงๆ หลายอย่างที่ทำส่วนใหญ่เปนอำนาจเชิงใช้กำลังแก้ปัญหา
ยิ่งวันนี้ประกาศชัดเจนในการ เลิกการเจรจาบนโต๊ะเปลี่ยนมาคุยด้วยปืน แล้วคณะกรรมการแก้ปัญหาชายแดนใต้ (คปต.) ก็เตรียมแจกปืนให้อาสาสมัครอีก 2,700 กระบอก กับเพิ่มกำลังพลลงพื้นที่ มันก็มีอยู่ 2 เรื่องแหล่ะ 1.งบประมาณในจำนวนมหาศาล(ใครได้) 2.ดับไฟด้วยการเติมฟืน (รึเปล่า)
คิดถึงเรื่องเล่าจากเพื่อนทหารคนนึง เขาเล่าว่า ในปีนั้นถึงคราวกองพันเขาได้ลงไปปฏิบัติราชการชายแดนใต้ มีน้องทหารรายหนึ่งอาจจะได้เบอร์สาวมาจากการออกฐานไปลาดตระเวน คุยโทรศัพท์ตลอดเวลา เขาเคยโดนผู้กองคนนึงกระโดดถีบเข้าที่ยอดหน้าโทรศัพท์แตกกระจายเพราะการเอาแต่คุย มันมีสำนวนของทหารว่า “ไอ้พวกหูติดหี” ว่ากันตามตรง มือถือคือสิ่งสำคัญของทหารมาก มันมีอยู่ 2 อย่าง คือ เอาไว้คุยกับแฟนเวลาเหงา คุยทีหลายชั่วโมงจนสายแทบไหม้ กับอีกอย่างเอาไว้ดูคลิปโป๊ ในยุคนั้นนี่บางคนโหลดเก็บไว้ในเมมโมรี่ที่มีความจำถึงเจ็ดชั่วโคตรเลยทีเดียว บางเวลาก็จะมีพวกจ่านี่แหล่ะเอาหนังโป๊มาขายให้ทหารหนุ่มๆได้บรรเทาความเครียดจากการสู้รบ คิดถึงพลทหารคนนึง น่าสงสาร ไม่มีตังค์แต่อยากดูหนังโป๊ ก็คงจะสุดๆแล้ว ก็เลยขอจ่าว่า จ่าครับ ผมไม่มีเงิน ผมขอแค่หน้าปกหนังได้ไหมครับ555 มึงจะอาวหน้าปกไปทามมาย555
ไอ้ห่า กลัวตายก็กลัว บางเวลาก็เครียด ออกนอกฐานจะตายวันนี้วันพรุ่ง บางคนก็ใช้ความเงี่ยนดับ คือเซ็กซ์กับความตายมันไปด้วยกัน
มีน้องทหารคนนึงที่เอาแต่คุยโทรศัพท์กะสาวมุสลิมที่คงไปได้เบอร์มาตอนออกฐานไปลาดตระเวน น้องคนนี้ คุยกะแฟนที่เพิ่งรู้จักตลอดเวลา ออกเวรก็โทร ว่างๆ เปนหยิบโทรมาคุย คืออยากจะอวดสาวไงว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร ก็ไปโม้ให้สาวที่เพิ่งรู้จักกันฟังว่า “เนี้ย พรุ่งนี้เช้ามืดหน่วยพี่จะไปปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้านต้องสงสัยตรงนั้น เขาว่าเปนที่ซ่องสุมโจรมีอาวุธเปนคลัง” ครับ พอเช้ามืดหน่วยเคลื่อนที่เร็วหน่วยนี้ไปเท่านั้นแหล่ะ ไม่เจอห่าอะไรเลย คนก็ไม่มี ปืนก็ไม่เจอ ข้าศึกเปิดตูดเผ่นไปไหนก็ไม่รู้ การข่าวรั่ว วันนั้นทั้งหน่วยหัวเสียกันใหญ่ งงว่าข้าศึกรู้ได้ไง
มีเพื่อนทหารด้วยกันที่รู้ว่าข่าวมันรั่วได้ไง และจากใคร แต่ไม่ยอมบอก เพราะความผิดมันร้ายแรงนัก หากแต่เพื่อนได้เตือนเพื่อนว่า มึงรู้ใช่มั้ย ผู้หญิงของมึงนั่นแหล่ะสายโจร ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ล่อมึงออกไปปาดคอด้วยการบอกว่าจะให้เย็ด ตายมึงคนเดียวก็พอว่า นี่มึงจะทำให้ตายทั้งหน่วยเพราะความเงี่ยนของมึงไอ้สัส
ที่เล่าเรื่องนี้จากประสบการณ์ของทหารตัวเล็กตัวน้อยก็เพราะว่า คนในพื้นที่หลายคนก็ไม่ได้มองว่าเราปลอดภัย เขาไม่ได้มีความหวังกับทหาร เพราะหลายครั้ง เราก็ไปรังแกเขา จับเขาโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมใดๆทั้งสิ้น เราฆ่าพ่อแม่เขาแล้วยังจะไปเย็ดลูกสาวเขา เราเอาเปรียบเขาเยอะ เราเปนส่วนหนึ่งของความเกลียดชัง
Baipatt Nop