วันพฤหัสบดี, มกราคม 01, 2569

จอห์น ซิมป์สัน บรรณาธิการข่าวการเมืองโลกของบีบีซี วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปีนี้ว่า "ผมเคยทำข่าวสงครามมา 40 ครั้ง แต่ดูแล้วสถานการณ์ปี 2025 น่าห่วงที่สุด"



"ผมเคยทำข่าวสงครามมา 40 ครั้ง แต่ดูแล้วสถานการณ์ปี 2025 น่าห่วงที่สุด"จอห์น ซิมป์สัน

บรรณาธิการข่าวการเมืองโลก บีบีซีนิวส์
31 ธันวาคม 2025

คำเตือน : บทความนี้มีเนื้อหาที่อ่อนไหว รวมถึงคำบรรยายที่โจ่งแจ้งเกี่ยวกับความตาย ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านบางคนรู้สึกไม่สบายใจได้

ตลอดชีวิตการทำงานของผม ได้เคยผ่านการรายงานข่าวสงครามทั่วโลกมาแล้วกว่า 40 ครั้ง นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา ผมเคยได้เห็นสงครามเย็นในช่วงที่ความขัดแย้งตึงเครียดพุ่งขึ้นสูงสุด ก่อนมันจะสลายหายไปเฉย ๆ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมไม่เคยเจอปีที่สถานการณ์น่าห่วงกังวลอย่างยิ่ง เหมือนกับปี 2025 นี้มาก่อน

ไม่เพียงแต่ไฟสงครามครั้งใหญ่จะปะทุขึ้นทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเห็นได้ชัดเจนว่า หนึ่งในสงครามดังกล่าวกำลังลุกลาม และส่งผลกระทบสำคัญยิ่งทางภูมิรัฐศาสตร์ ในระดับที่ความขัดแย้งอื่น ๆ ไม่อาจเทียบได้

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน เคยกล่าวเตือนว่า สงครามที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเขา อาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงครามโลกได้ คำกล่าวนี้ถือว่าไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะประสบการณ์เกือบ 60 ปี ในการติดตามสถานการณ์สงครามของผม ทำให้สังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่าคำพูดของผู้นำยูเครนนั้นถูกต้องแล้ว


ประธานาธิบดียูเครนเคยเตือนว่า การสู้รบในยูเครนตอนนี้อาจยกระดับกลายเป็นสงครามโลกได้

รัฐบาลของชาติพันธมิตรนาโต (NATO) กำลังตื่นตัวระแวดระวังในระดับสูงสุด เพื่อคอยดูสัญญาณความเคลื่อนไหวของรัสเซีย ที่จ้องจะลอบตัดสายเคเบิลเชื่อมต่อการสื่อสารใต้ทะเล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ค้ำจุนให้สังคมของโลกตะวันตกดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่า โดรนของรัสเซียพยายามล่วงล้ำน่านฟ้าและทดสอบแนวป้องกันของชาติพันธมิตรนาโต ส่วนแฮกเกอร์ของรัสเซียนั้น ก็เร่งพัฒนาวิธีบ่อนทำลายขัดขวางการดำเนินงานของกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ รวมทั้งบริษัทใหญ่และหน่วยงานกู้ภัยฉุกเฉินของฝ่ายตรงข้าม

รัฐบาลของชาติตะวันตกต่างก็แน่ใจว่า สายลับรัสเซียได้ก่อเหตุฆาตกรรมและพยายามลอบสังหารบรรดาผู้เห็นต่าง ซึ่งพากันอพยพลี้ภัยการเมืองมาอยู่ในประเทศของพวกเขา โดยผลการสอบสวนคดีพยายามฆ่านายเซอร์เก สกรีปาล อดีตสายลับรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองซอลส์บรี (Salisbury) ของอังกฤษ เมื่อปี 2018 (และพลอยทำให้นางดอว์น สเตอร์เจสส์ หญิงชาวอังกฤษโดนวางยาพิษจนเสียชีวิต) ได้ข้อสรุปว่าคำสั่งฆ่าดังกล่าว ผ่านความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจระดับสูงสุดของรัสเซีย ซึ่งก็คือประธานาธิบดีปูตินนั่นเอง

สงครามครั้งนี้ดูเหมือนจะต่างออกไป

ปี 2025 ที่ผ่านมา มีสงครามใหญ่ที่สู้รบติดพันกันยาวนานถึง 3 เหตุการณ์ ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ก็เป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างมาก อันดับแรกคือสงครามยูเครน ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตไปแล้วถึง 14,000 คน ส่วนสงครามในฉนวนกาซา นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ลั่นวาจาว่าจะ "ล้างแค้นอย่างสุดกำลัง" หลังชาวยิวถูกกลุ่มฮามาสสังหารไปราว 1,200 คน ในการบุกโจมตีอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 ทั้งยังมีผู้ถูกจับเป็นตัวประกันอีก 251 คน ทำให้กองทัพอิสราเอลโจมตีตอบโต้ จนมีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปกว่า 70,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงและเด็กกว่า 30,000 คน ตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุขที่กลุ่มฮามาสเป็นผู้บริหาร ซึ่งทางยูเอ็นถือว่าตัวเลขสถิติดังกล่าวถูกต้องเชื่อถือได้

นอกจากสงครามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีสงครามกลางเมืองในซูดานที่กองกำลังสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือด ทำให้มีประชาชนถึงกว่า 150,000 คน ต้องสังเวยชีวิตไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนอีก 12 ล้านคน ต้องกลายเป็นผู้อพยพพลัดถิ่นเพื่อหนีภัยการสู้รบ

หากโลกในปี 2025 มีสงครามเพียงแค่ 3 เหตุการณ์ข้างต้น ประชาคมนานาชาติอาจขวนขวายที่จะช่วยหยุดยั้งสงครามกันมากกว่านี้ แต่สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราหวัง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เคยกล่าวอวดอ้างว่า "ผมจัดการคลี่คลายปัญหาสงครามได้เก่งมาก" ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบินโดยสาร ซึ่งกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปอิสราเอล หลังเขาเป็นตัวกลางเจรจาให้หยุดยิงในฉนวนกาซาได้สำเร็จ แม้จะเป็นความจริงว่าทุกวันนี้มีคนตายที่นั่นน้อยลง แต่ดูเหมือนว่าการหยุดยิงก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาความขัดแย้งในฉนวนกาซาหมดสิ้นไป

เมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสของผู้คนในตะวันออกกลางแล้ว การที่จะบอกว่าสงครามยูเครนนั้นมีความรุนแรงยิ่งกว่าในอีกระดับหนึ่ง อาจฟังดูแปลกประหลาดไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ


"ผมจัดการคลี่คลายปัญหาสงครามได้เก่งมาก" ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าว

นอกจากสงครามเย็นแล้ว สงครามส่วนใหญ่ที่ผมเคยพบเจอและได้รายงานข่าวมาในอดีต ล้วนเป็นความขัดแย้งในระดับเล็กน้อย แม้จะมีความโหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยอันตรายอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ก็ไม่ร้ายแรงพอจะสั่นคลอนสันติภาพของโลกทั้งใบ แม้สงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, และสงครามโคโซโวในบางครั้ง จะดูเหมือนร้ายแรงจนอาจลุกลามบานปลายไปเป็นสงครามโลกได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ชาติมหาอำนาจต่างหวาดกลัวกันว่า สงครามแบบดั้งเดิมที่เกิดขึ้นในสนามรบที่มีขอบเขตจำกัด จะกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ไปในที่สุด ดังจะเห็นได้ในกรณีของเซอร์ ไมก์ แจ็กสัน นายพลชาวอังกฤษ ที่ตะโกนใส่วิทยุสื่อสารขณะอยู่ในสนามรบที่โคโซโว เมื่อปี 1999 ว่า "ผมจะไม่เปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สามให้คุณ" เขากล่าวเช่นนี้เพราะผู้บังคับบัญชาในกองทัพพันธมิตรนาโต ออกคำสั่งให้กองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศส บุกเข้ายึดสนามบินแห่งหนึ่งในกรุงพริสตีนา หลังจากที่กองกำลังรัสเซียได้ไปถึงที่นั่นก่อนแล้ว

ในปี 2026 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ดูเหมือนรัสเซียจะสังเกตเห็นแล้วว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ไม่สนใจเรื่องปัญหาความมั่นคงของภูมิภาคยุโรปอีกต่อไป ทั้งยังดูมีความพร้อมเต็มเปี่ยม และกระเหี้ยนกระหือจะเดินหน้าผลักดันให้รัสเซียขึ้นครองความเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้อีกด้วย โดยเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีปูตินถึงกับบอกว่า เขาไม่มีแผนจะทำสงครามกับยุโรป แต่ก็ "พร้อมแล้วในตอนนี้" ที่จะเปิดฉากการสู้รบ หากชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคยุโรปต้องการ

ในเวลาต่อมา ปูตินยังกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ว่า "จะไม่มีปฏิบัติการทางทหารใด ๆ หากพวกท่านปฏิบัติต่อเราด้วยความเคารพ...หากพวกท่านเคารพผลประโยชน์ของเรา เช่นเดียวกับที่เราพยายามให้ความเคารพต่อผลประโยชน์ของท่านเสมอมา"


ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย บอกว่าเขาไม่มีแผนจะทำสงครามกับยุโรป แต่ก็ "พร้อมแล้วในตอนนี้" ที่จะเปิดฉากการสู้รบ หากชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคยุโรปต้องการ

ทว่ารัสเซียซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจอันดับต้นของโลก ได้รุกรานประเทศเอกราชในภูมิภาคยุโรปแห่งหนึ่งไปแล้ว สงครามนี้ส่งผลให้พลเรือนและทหารต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมหาศาล และยูเครนยังกล่าวหาว่ารัสเซียได้ลักพาตัวเด็กไปอย่างน้อย 20,000 คนด้วย ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ออกหมายจับประธานาธิบดีปูติน ซึ่งมีส่วนพัวพันกับการลักพาตัวเด็กยูเครนดังกล่าว แม้ทางการรัสเซียจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นเลยก็ตาม

เหตุผลที่รัสเซียยกมาอ้างในการรุกรานยูเครน ก็คือการป้องกันตนเองให้พ้นภัย จากการรุกคืบเข้ามาของกองกำลังพันธมิตรนาโต อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีปูตินได้เอ่ยถึงเหตุผลอีกข้อหนึ่งเอาไว้ด้วย นั่นคือความต้องการฟื้นฟูอำนาจแบบจักรวรรดิ เหนือเขตอิทธิพลดั้งเดิมของรัสเซียในภูมิภาค

สหรัฐฯ ขัดแย้งกับยุโรป

ผู้นำรัสเซียยังตระหนักรู้และอดรู้สึกขอบคุณไม่ได้ว่า ตลอดปี 2025 ที่ผ่านมา สิ่งที่ผู้นำชาติตะวันตกส่วนใหญ่คิดไม่ถึงว่าจะมีวันเกิดขึ้น อย่างเช่นการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะหันหลังให้กับระบบป้องกันทางยุทธศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เริ่มฉายแววความเป็นไปได้แล้วอย่างแท้จริง

ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ จะแสดงความลังเลใจออกมา โดยไม่แสดงท่าทีแน่ชัดว่าต้องการจะปกป้องยุโรปหรือไม่ ซ้ำยังแสดงความไม่เห็นด้วยต่อทิศทางของแผนการด้านความมั่นคง ที่ยุโรปกำลังเดินหน้าจะไปให้ถึง โดยรายงานยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ ระบุว่าขณะนี้ยุโรปกำลังเผชิญความเสี่ยงอย่างชัดเจนที่จะ "ถูกทำลายลบล้างทางอารยธรรม"

รัสเซียขานรับรายงานฉบับดังกล่าวของสหรัฐฯ ทันที โดยบอกว่าแผนยุทธศาสตร์ของชาวอเมริกันฉบับนี้ มีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของผู้นำรัสเซียอย่างยิ่ง แต่ภายในประเทศรัสเซียเอง ประธานาธิบดีปูตินกลับต้องลงมือปิดปากฝ่ายค้านผู้ต่อต้านตัวเขาและสงครามในยูเครนจำนวนมาก ซึ่งผู้รายงานพิเศษประเด็นสิทธิมนุษยชนในรัสเซียของยูเอ็นบอกว่า ปูตินกำลังเจอกับปัญหาเงินเฟ้อที่ส่อแววจะหวนกลับมาอีกครั้ง รวมทั้งราคาน้ำมันดิบก็ตกต่ำ ทำให้ขาดรายได้จนต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำสงครามรุกรานยูเครน


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ปะทะคารมกันระหว่างการพบปะที่ทำเนียบขาว เมื่อเดือนก.พ. ของปีนี้

แม้ระบบเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะใหญ่กว่าของรัสเซียถึง 10 เท่า และยิ่งห่างไกลกันมากกว่านั้น หากคิดรวมเอาขนาดของระบบเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักรเข้าไปด้วย นอกจากนี้ ประชากรของภูมิภาคยุโรปรวมกันก็มีถึง 450 ล้านคน มากกว่าประชากรของรัสเซียที่มีอยู่ 145 ล้านคน ถึงสามเท่า แต่ถึงกระนั้นชาติต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตก ยังดูจะหวาดหวั่นอยู่ว่าตนเองอาจต้องสูญเสียความอบอุ่นใจ และขาดความสะดวกสบายแบบผู้ได้รับการดูแลจากสหรัฐฯ ไป เมื่อไม่นานมานี้ยุโรปก็ยังคงแสดงท่าทีอิดออด ไม่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเสริมสร้างความมั่นคงของตนเอง ตราบใดที่ยังสามารถโน้มน้าวใจสหรัฐฯ ให้คอยพิทักษ์ปกป้องยุโรปต่อไปได้

สหรัฐฯ เองก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นกัน เนื่องจากเริ่มมีอิทธิพลลดต่ำลงในเวทีโลก ทั้งยังหันมาใส่ใจกับกิจการภายในมากขึ้นกว่าเก่า ทำให้สหรัฐอเมริกาในตอนนี้ ผิดแผกแตกต่างจากสหรัฐอเมริกาที่ผมเคยรู้จัก และได้เคยรายงานข่าวถึงมาตลอดชีวิต ปัจจุบันสหรัฐฯ ย้อนกลับไปเป็นเหมือนในยุคทศวรรษ 1920-1930 ที่มุ่งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติเหนือสิ่งอื่นใด

แม้คาดกันว่าทรัมป์อาจจะสูญเสียอำนาจความแข็งแกร่งทางการเมืองไปมาก ในการเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้านี้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ทรัมป์น่าจะได้สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้สหรัฐฯ โดยเดินหน้าเข้าหาการแยกตัวโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกไปมากแล้ว จนกระทั่งประธานาธิบดีคนใหม่ที่มีใจฝักใฝ่ในพันธมิตรนาโต ซึ่งอาจได้มาจากการเลือกตั้งในปี 2028 ก็ยังไม่อาจจะทวนกระแสกลับไปโอบอุ้มยุโรปได้ง่าย ๆ ผมไม่คิดว่าประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย จะไม่สังเกตเห็นแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงนี้เลย

สงครามเสี่ยงยกระดับความรุนแรง

ดูเหมือนว่าปี 2026 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน น่าจะยินยอมทำข้อตกลงสันติภาพตามหน้าที่ เพื่อรักษาดินแดนผืนใหญ่ของยูเครนเอาไว้ให้ได้ แต่ก็ยังคงมีคำถามว่า พวกเขามีหลักประกันมากพอที่จะหยุดยั้งกองทัพรัสเซีย ไม่ให้หวนกลับมารุกรานอีกในช่วง 2-3 ปี ต่อจากนี้หรือไม่ ?

นั่นคือคำถามสำคัญของยูเครนและชาติพันธมิตรในยุโรป ซึ่งต่างก็รู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในภาวะสงครามกับรัสเซียไปเรียบร้อยแล้ว ในอนาคตยุโรปจะต้องก้าวเข้ามาช่วยรับผิดชอบ โดยให้การสนับสนุนด้านความมั่นคงต่อยูเครนมากขึ้น แต่หากสหรัฐฯ เมินหน้าหนียูเครนไปจริง ตามที่ได้เคยพูดขู่เอาไว้หลายครั้ง ภาระที่ยุโรปต้องเข้ามาแบกรับแทนนั้นจะหนักหนาสาหัสยิ่ง


หากสหรัฐฯ เมินหน้าหนียูเครนไปจริง ภาระด้านความมั่นคงที่ยุโรปต้องเข้ามาแบกรับแทนนั้น จะหนักหนาสาหัสยิ่ง

ส่วนคำถามที่ว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในที่สุดจะกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ไปหรือไม่นั้น ? เราต่างทราบกันดีว่าประธานาธิบดีปูตินเป็นนักพนันตัวยง มีบุคลิกแตกต่างจากผู้นำที่มีความระมัดระวังรอบคอบ ซึ่งจะไม่คิดรุกรานยูเครนเหมือนที่ปูตินทำในเดือนก.พ. ปี 2022 อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้บรรดาขุนพลและผู้นำทางการเมืองเลือดร้อนของรัสเซีย ยังเคยกล่าวข่มขู่ชาติตะวันตกว่า จะใช้อาวุธใหม่ที่มีอานุภาพร้ายแรงลบสหราชอาณาจักรและชาติยุโรปอื่น ๆ ออกจากแผนที่โลก แต่โชคยังดีที่ปูตินค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ดีกว่าลูกน้องในเรื่องนี้

แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรนาโต และยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน แต่ขณะนี้ความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้การโจมตีแบบเดียวกันจากฝ่ายตรงข้าม มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับสูงลิ่วจนน่ากลัวเลยทีเดียว

บทบาทของจีนในเวทีโลก

หันมาดูสมรภูมิฝั่งเอเชียตะวันออกกันบ้าง ไม่นานมานี้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ลั่นวาจาเป็นเชิงข่มขู่ไต้หวันอยู่สองสามครั้ง ซึ่งฟังดูสอดคล้องกับรายงานข่าวกรองที่นายวิลเลียมส์ เบิร์นส์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางหรือซีไอเอ (CIA) ของสหรัฐฯ เคยเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสีได้สั่งการให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนเตรียมพร้อม เพื่อบุกยึดเกาะไต้หวันภายในปี 2027 ดังนั้นนับจากนี้หากจีนไม่มีความเคลื่อนไหว หรือไม่ได้ลงมือขั้นเด็ดขาดใด ๆ กับไต้หวัน ผู้นำตลอดกาลอย่างประธานาธิบดีสี ก็จะกลายเป็นคนโลเลอ่อนแอในสายตาชาวจีนไปในทันที ซึ่งเขาย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

คนส่วนใหญ่มองว่าประเทศจีนในปัจจุบันทรงอำนาจอิทธิพลและมั่งคั่ง จนรัฐบาลจีนไม่ต้องสนใจกับความคิดเห็นสาธารณะของพลเมืองเลยก็ได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่การลุกฮือขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตย และต่อต้านผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเติ้ง เสี่ยวผิง ในปี 1989 ซึ่งจบลงด้วยเหตุสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน บรรดาผู้นำจีนได้คอยจับตาเฝ้าดูปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อพวกเขา ด้วยความใส่ใจหมกมุ่นและระมัดระวังอย่างยิ่ง

ตัวผมเองเคยเป็นผู้สังเกตการณ์ในโศกนาฏกรรมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินมาแล้ว โดยเฝ้าปักหลักทำข่าวอยู่ที่นั่น และหลายครั้งก็อาศัยกินนอนอยู่ที่จัตุรัสแห่งนี้เสียเลย


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (กลาง) ได้ลั่นวาจาเป็นเชิงข่มขู่ไต้หวันอยู่สองสามครั้งเมื่อไม่นานมานี้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 มิ.ย. 1989 ไม่ได้มีเพียงแค่ทหารกราดยิงใส่นักศึกษาที่มาชุมนุมประท้วง แต่ยังมีการปะทะนองเลือดเกิดขึ้นในกรุงปักกิ่งและในเมืองใหญ่อีกหลายแห่งของจีน ชนชั้นกรรมาชีพหลายพันคนพากันออกมาเดินขบวนประท้วงตามท้องถนน โดยหวังจะฉวยโอกาสที่ทหารยิงนักศึกษา โค่นล้มการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ไปด้วยในคราวเดียวกัน

เมื่อผมขับรถสำรวจไปตามท้องถนนในสองวันต่อมา ผมเห็นสถานีตำรวจ 5 แห่ง และกองบัญชาการตำรวจส่วนภูมิภาคอีก 3 แห่ง ถูกไฟเผาจนเหลือแต่ซาก ที่ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง กลุ่มผู้ประท้วงที่โกรธเกรี้ยวจับตำรวจมาเผาทั้งเป็น แล้วตั้งซากศพที่ดำเกรียมพิงไว้กับกำแพง หมวกที่เป็นเครื่องแบบตำรวจสวมอยู่บนศีรษะของศพในมุมเอียงเหมือนล้อเลียน ในปากของเขามีบุหรี่เสียบอยู่มวนหนึ่ง

เหตุการณ์ข้างต้นทำให้ผมสรุปได้ว่า รัฐบาลจีนในยุคนั้นไม่เพียงแค่กำราบปราบปรามการประท้วงอย่างยาวนานของนักศึกษา แต่ยังปราบปรามการลุกฮือต่อต้านครั้งใหญ่ของประชาชนคนธรรมดาลงได้อย่างราบคาบอีกด้วย

ปัจจุบันเหล่าผู้นำทางการเมืองของจีน ยังคงไม่สามารถจะกลบฝังความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อ 36 ปีก่อนได้ ทำให้พวกเขาเฝ้ามองหาสัญญาณของการลุกฮือต่อต้านอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวจากลัทธิฝ่าหลุนกง คริสตจักรที่เป็นอิสระต่าง ๆ ความเคลื่อนไหวของขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง หรือแม้แต่การชุมนุมเล็ก ๆ เพื่อร้องเรียนเหตุทุจริตคอร์รัปชันในท้องถิ่น ทั้งหมดจะถูกปราบปรามอย่างรุนแรงไม่ต่างกัน

นับตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา ผมยังได้รายงานข่าวสถานการณ์จากจีนต่อไปอีกนานหลายปี ได้เห็นจีนก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง และยังได้รู้จักแม้กระทั่ง "ป๋อ ซีไหล" ผู้นำที่เป็นศัตรูคู่แข่งของสี จิ้นผิง มาอย่างยาวนาน เขาเป็นคนจีนที่ชื่นชมประเทศอังกฤษ และกล้าพูดคุยถึงเรื่องการเมืองของจีนอย่างเปิดเผย

ครั้งหนึ่งป๋อ ซีไหล บอกกับผมว่า "คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการออกเสียงเลือกตั้งของประชาชน รู้สึกหวาดระแวงและขาดความมั่นคงปลอดภัยขนาดไหน"

ป๋อ ซีไหล ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในปี 2013 หลังศาลไต่สวนพบว่ามีความผิดจริงฐานรับสินบน, ฉ้อโกง, และใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบ


หลังจากปี 1989 เป็นต้นมา จอห์น ซิมป์สัน ยังได้รายงานข่าวสถานการณ์จากจีนต่อไปอีกนานหลายปี

หากจะกล่าวโดยสรุปแล้ว สถานการณ์ทั้งหมดที่ได้เอ่ยถึงทำให้ปี 2026 ดูจะเป็นปีสำคัญที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง จีนจะเติบโตและทรงอิทธิพลยิ่งขึ้น และแผนยุทธศาสตร์เพื่อบุกยึดไต้หวันของสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันที่เขาภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จะเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่า สงครามในยูเครนอาจสงบลงชั่วคราวด้วยข้อตกลงหยุดยิง แต่ก็เป็นไปได้มากว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายประธานาธิบดีปูตินมากกว่า

ข้อตกลงที่ว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ปูติน สามารถกลับมารุกรานแย่งชิงดินแดนของยูเครนได้ในรอบใหม่เมื่อเขาพร้อม ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นตัวการที่ทำให้ประเทศของเขาเหินห่างกับชาติยุโรปมากขึ้น แม้อำนาจทางการเมืองของทรัมป์น่าจะลดลง หลังผลการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือน พ.ย. ของปีหน้า ประกาศออกมาก็ตาม ส่วนสถานการณ์ความมั่นคงในปี 2026 จากมุมมองของยุโรป แทบจะไม่มีสิ่งใดที่ดูหมองหม่นเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว

หากคุณคิดว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะเป็นการระดมยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่กัน คุณอาจคิดผิดถนัด เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะเป็นการทำสงคราม ที่ใช้ทั้งกลยุทธ์การทูตและการทหารผสมผสานกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ระบอบการปกครองแบบอัตตาธิปไตย ที่ผู้นำคนเดียวมีอำนาจตัดสินใจในทุกเรื่อง จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูและอาจมีชัยชนะเหนือพันธมิตรชาติตะวันตก ซึ่งดูเหมือนว่าจะต้องถูกบีบให้แตกสลายไปในที่สุด และกระบวนการที่ว่านี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

https://www.bbc.com/thai/articles/c74wj182dqeo