
ที่สุดแห่งปีของ ‘คดีทางการเมือง’ ปี 2568
30/12/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิในุษยชน
ตลอดปี 2568 ยังคงเป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย แม้ภายใต้การนำของรัฐบาลพลเรือน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองยังคงถูกลิดรอน สิทธิประกันตัวของผู้ต้องขังทางการเมืองยังเป็นปัญหา ประชาชนยังอยู่กับคดีความจากการแสดงออกจำนวนมากในชั้นศาลและชั้นพิจารณาต่าง ๆ อีกทั้งกฎหมายนิรโทษกรรมคดีความทางการเมืองที่ปัจจุบันหลังยุบสภาฯ ก็ต้องหยุดชะงักไป และยังต้องติดตามว่าจะมีการนำกลับมาพิจารณาใหม่หรือไม่ หลังมีรัฐบาลใหม่
เวลากว่า 5 ปี ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่การชุมนุมครั้งใหญ่เมื่อปี 2563 ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการออกมาชุมนุมและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองพุ่งทะลุไปไม่น้อยกว่า 1,987 คน ในจำนวน 1,341 คดี และยังมีผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ไม่น้อยกว่า 55 ราย ซึ่งเป็นยอดผู้ต้องขังที่สูงสุดตั้งแต่รอบปี 2563 ที่ผ่านมา
ในปี 2568 นี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขอนำเสนอ “ที่สุด” ในหลากหลายเรื่องในแต่ละช่วงเดือนของปฏิทินจากสถานการณ์คดีทางการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี เพื่อชวนทบทวนและเป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของสิทธิมนุษยชนไทย
ขอเชิญชวนประชาชนร่วมจดจำเรื่องราวของความ “ที่สุด” เหล่านี้ไปด้วยกัน

มกราคม: คดีละเมิดอำนาจศาล ‘อานนท์ นำภา’ เหตุถอดเสื้อประท้วงศาลไม่ออกหมายเรียกให้ต่อสู้คดี จุดเริ่มต้น “ห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี”
เมื่อเดือน ม.ค. 2568 อานนท์ นำภา ถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล จากเหตุที่ถอดเสื้อประท้วงศาลที่ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญในคดีมาตรา 112 #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 หลังคดีไต่สวนเพียง 1 นัด ซึ่งในนัดดังกล่าวอานนท์ถอดเสื้อประท้วงอีกครั้ง หลังศาลจะพิจารณาคดีลับ โดยการประท้วงดังกล่าวเป็นไปเพื่อรักษาเกียรติประชาชนที่มาติดตามการพิจารณาคดี ก่อนศาลยอมให้ประชาชนนั่งฟังในห้องพิจารณาต่อไป
หลังการไต่สวนเสร็จสิ้นในเดือน มี.ค. 2568 คดีถูกนัดฟังคำสั่งในเดือนเดียวกัน ในวันดังกล่าวศาลไม่เบิกตัวอานนท์ขึ้นไปที่ห้องพิจารณาคดีและเรียกทนายความไปฟังคำสั่งที่ห้องเวรชี้ ไม่ให้ประชาชนเข้าฟัง ซึ่งต่อมาทราบจากอานนท์ว่าศาลมีคำสั่งลงโทษจำคุก 6 เดือน รวมทั้งอานนท์ยังพยายามแสดงออกประท้วงการอ่านคำสั่งในลักษณะที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนดังกล่าว โดยการถอดเสื้อประท้วง และเตะขาซึ่งสวมโซ่กุญแจข้อเท้าสลับซ้ายขวาไปเรื่อย ๆ ระหว่างศาลอ่านคำสั่ง
ในวันที่ศาลอ่านคำสั่งในห้องเวรชี้ พบว่าศาลมีคำสั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี ระบุว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป” ลงในรายงานกระบวนพิจารณาคดี
ต่อจากนั้นเรื่อยมาการพิจารณาในหลายคดีของศาลอาญา โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 ถูกระบุเหมือนกันทุกตัวอักษรในแต่ละคดี แม้จะไม่ใช่องค์คณะผู้พิพากษาเดียวกัน จนถึงปัจจุบันมี 11 คดีแล้ว อาจสะท้อนว่าไม่ได้เกิดจากดุลยพินิจเฉพาะกรณีของผู้พิพากษาแต่ละราย แต่เป็นผลจากนโยบายจากผู้บริหารศาล หากเป็นเช่นนี้จริง ย่อมขัดต่อหลักการอิสระของตุลาการ (Judicial Independence) เพราะอำนาจในการออกคำสั่งจำกัดสิทธิควรอยู่ภายใต้การพิจารณาความเหมาะสมในแต่ละคดี มิใช่แนวนโยบายแบบเหมารวม
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ศาลอาญาเบิกตัวอานนท์ ไต่สวนคดี “ละเมิดอำนาจศาล” โดยไม่มีทนายความ ก่อนเลื่อนไปไต่สวนอีกครั้ง 5 มี.ค. 68
สถิติคดีที่ศาลมีคำสั่ง ‘ห้ามเผยแพร่’ เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี

กุมภาพันธ์: กรมราชทัณฑ์ออกนโยบายย้ายนักโทษในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นักโทษการเมืองถูกบังคับย้ายเรือนจำ 16 ราย
จากสถานการณ์โยกย้ายผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ ตามนโนบายของกรมราชทัณฑ์ในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2568 ได้กำหนดให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเรือนจำสำหรับรองรับควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ทุกประเภท
นโยบายดังกล่าวส่งผลให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทยอยย้ายผู้ต้องขังที่คดีเด็ดขาดแล้ว ไปควบคุมตัวที่เรือนจำอื่น ๆ แทน แต่ในความเป็นจริง กลุ่มผู้ต้องขังที่คดียังไม่สิ้นสุด อย่างผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาเองก็ถูกย้ายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
สำหรับผู้ต้องขังในคดีการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ บางส่วนถูกย้ายตัวไปคุมขังในเรือนจำอื่น ๆ พร้อมกับผู้ต้องขังทั่วไปด้วย โดยพบว่ามีผู้ต้องขัง 16 คน (เป็นผู้ต้องขังคดีถึงที่สุด 5 คน และผู้ต้องขังที่คดียังไม่สิ้นสุด 11 คน) ได้แก่ คเชนทร์, ขุนแผน, จักรี, วีรภาพ วงษ์สมาน, อัฐสิษฎ, พีรพงษ์, “ก้อง” อุกฤษฎ์ สันติประสิทธิ์กุล, สถาพร, “บุ๊ค” ธนายุทธ ณ อยุธยา, ขจรศักดิ์, ประวิตร, วีรวัฒน์, เมธี อมรวุฒิกุล, “วิจิตร”, อนุชา และทีปกร กระจายไปในเรือนจำ 4 แห่ง ได้แก่ เรือนจำกลางบางขวาง เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา และเรือนจำพิเศษธนบุรี
การย้ายดังกล่าวไม่มีการแจ้งญาติล่วงหน้า ทำให้เกิดปัญหาการติดตามไปขอเยี่ยมในช่วงต้น อีกทั้งส่งผลกระทบในหลายด้าน มีทั้งด้านดีที่บางคนพบว่าเรือนจำใหม่ไม่แออัดเท่าเรือนจำเดิม และอาหารพอจะมีคุณภาพมากกว่า แต่ก็มีด้านที่ต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกัน เผชิญกับการปรับตัวใหม่ รวมทั้งปัญหาเรื่องการเยี่ยมและการส่งจดหมายสื่อสารกับบุคคลภายนอก ซึ่งนำไปสู่คำถามเกี่ยวกับมาตรฐานของแต่ละเรือนจำของกรมราชทัณฑ์
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เปิด Map ใหม่ของผู้ต้องขังทางการเมือง: พบถูกบังคับย้ายเรือนจำ 16 ราย เผชิญปัญหาการเยี่ยม-ส่งจดหมาย

มีนาคม: ศาลปกครองสูงสุด สั่งเพิกถอนกฎกระทรวงปี 2518 ว่าด้วย “ทรงผมนักเรียน” ทันที ระบุจำกัดเสรีภาพ-ไม่สอดคล้องอัตลักษณ์ทางเพศ
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีที่ตัวแทนนักเรียน “กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท” รวม 13 ราย ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางตั้งแต่เมื่อปี 2563 โดยมีกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขอให้เพิกถอนกฎกระทรวงเกี่ยวกับการไว้ผมทรงผมของนักเรียนตั้งแต่เมื่อปี 2518 ที่ออกตามความในประกาศของคณะรัฐประหารยุคจอมพลถนอม กิตติขจร
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) เกี่ยวกับการไว้ผมทรงผม โดยเห็นว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ปี 2515 ออกโดยไม่ได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย และความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล จึงมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ จึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เปิดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดฉบับเต็ม ให้ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยทรงผมนักเรียนทันที ไม่เหมาะกับสมัยนิยม เป็นการละเมิดสิทธิบนเนื้อตัวเกินเหตุ

เมษายน: พอล แชมเบอร์ส ถูกจับกุม-คุมขังคดี ม.112 สองเดือนถัดมาอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2568 ดร.พอล เแชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน และอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรในขณะนั้น ได้เข้ามอบตัวตามหมายจับในคดีมาตรา 112 ที่ สภ.เมืองพิษณุโลก จากเหตุมีการเผยแพร่คำโปรยหรือข้อความแนะนำงานเสวนาวิชาการในเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ของประเทศสิงคโปร์ และมีแม่ทัพภาค 3 ในนาม ผอ.รมน.ภาค 3 มอบอำนาจให้นายทหารไปกล่าวหา
การถูกกล่าวหาดังกล่าว ตำรวจยังนำตัวพอลไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก และศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว 2 ครั้ง ทำให้ต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำในคืนนั้น
กระทั่งวันรุ่งขึ้น หลังการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งให้ประกันตัวระหว่างสอบสวน โดยให้วางหลักประกัน 300,000 บาท ให้วางหนังสือเดินทาง (Passport) ไว้ต่อศาล และติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) ในวันเดียวกัน พอลยังถูกเพิกถอนวีซ่า ทำให้จะต้องประกันตัวโดยวางเงินประกันไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลกอีก 300,000 บาท
จนเวลาผ่านมาเกือบสองเดือน อัยการสูงสุดมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ลงวันที่ 27 พ.ค. 2568 โดยสรุปแล้วเห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอว่า ดร.พอล เป็นผู้จัดทำข้อความตามเอกสารดังกล่าวหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าว จึงทำให้คดีของพอลสิ้นสุดลงแล้ว
กรณีนี้สะท้อนปัญหาการใช้มาตรา 112 ในหลากหลายด้าน ทั้งการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ทหาร ผลกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการ รวมทั้ง ดร.พอล ยังได้รับผลกระทบทั้งการถูกคุมขังในเรือนจำ 1 คืน การถูกให้ใส่กำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เป็นระยะเวลา 21 วัน การต้องสูญเสียงานที่มหาวิทยาลัยนเรศวร และความรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตทางวิชาการในประเทศไทย
หลังจากนั้นทนายความรับมอบอำนาจจาก ดร.พอล ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีทำให้ได้รับความเสียหายจากคำสั่งเพิกถอนวีซ่าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนมากกว่า 3.6 ล้านบาท
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
“พอล แชมเบอร์ส” นักวิชาการ ม.นเรศวร ถูกออกหมายจับคดี ม.112 เหตุกองทัพภาคที่ 3 กล่าวหา เตรียมเข้ารับทราบข้อหา 8 เม.ย.
สิ้นสุดแล้ว! อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ม.112 ‘พอล แชมเบอร์ส’ เห็นว่าไม่ปรากฏว่าเป็นผู้โพสต์
“พอล แชมเบอร์ส” มอบอำนาจยื่นฟ้องกลับตำรวจ ออกคำสั่งเพิกถอนวีซ่าไม่ชอบ เรียกค่าเสียหายกว่า 3.6 ล้านบาท

พฤษภาคม: สั่งฟ้อง ‘เนติวิทย์’ อารยะขัดขืนไม่เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ด้วยเหตุผลทางมโนธรรม สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วรอฟังคำพิพากษาปี 69
จากเหตุที่ ‘แฟรงค์’ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อ่านแถลงการณ์อารยะขัดขืน ไม่เข้าร่วมกับการบังคับเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรม (conscientious objection) เนื่องจากขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน ความเชื่อทางศีลธรรม ทั้งยังล้าสมัย ไม่มีประสิทธิภาพ และมีส่วนทำให้สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตย และการไม่เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารของเขานั้นเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ เพื่อสิทธิเสรีภาพของพลเมืองที่ดีขึ้น และเพื่อให้กองทัพที่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสมกับยุคสมัย โดยแถลงการณ์ดังกล่าวถูกอ่านในสถานที่ตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำการประจำปี 2567 (เกณฑ์ทหาร) ที่เทศบาลตำบลบางปู จ.สมุทรปราการ
หลังจากนั้นเนติวิทย์ถูกดำเนินคดีในข้อหา “หลีกเลี่ยงไม่เกณฑ์ทหาร” ตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 45 ซึ่งเมื่อเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีต่อศาลแขวงสมุทรปราการ ก่อนที่จะสืบพยานแล้วระหว่างวันที่ 10-11 ก.ย. 2568 จนเสร็จสิ้น โดยฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
คดีนี้ยังคงอยู่ในระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนศาลแขวงสมุทรปราการจึงจะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป ซึ่งคาดว่าอาจจะมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาออกมาในปีหน้า
คดีนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายในเรื่องสิทธิของพลเมืองในการปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลทางมโนธรรมครั้งแรกในประเทศไทย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สั่งฟ้อง “เนติวิทย์” กรณีอารยะขัดขืนไม่เข้ารับการเกณฑ์ทหาร -ชี้ปฏิเสธด้วยเหตุผลทางมโนธรรม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ก่อนศาลสั่งไม่ขัง
ย้อนดูเส้นทาง 11 ปี การปฏิเสธการบังคับเกณฑ์ทหารด้วยมโนธรรมของ “เนติวิทย์”

มิถุนายน: ‘วิจิตร’ ป่วย แพทย์วินิจฉัยปอดอักเสบเรื้อรัง เกิด #วิจิตรต้องได้รักษา ผลักดันการดูแลนักโทษในเรือนจำ
“วิจิตร” (นามสมมติ) ผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 10 ปี ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์ข้อความทางการเมืองในช่วงหลังรัฐประหาร ปี 2557-58 รวม 10 โพสต์ และศาลยังคงไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี ระยะแรกวิจิตรถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนภายหลังถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม
หลังถูกขังมาระยะหนึ่งในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 วิจิตรมีอาการป่วยวิกฤติ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจพบว่าเขามีภาวะปอดติดเชื้อและมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ต่อมาหลังอาการเริ่มทรุดลงและมีติดตามอาการจากสังคม วิจิตรถูกส่งตัวมาตรวจร่างกายและแอดมิทที่สถาบันโรคทรวงอก ผ่าตัดนำชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองส่งตรวจแล้วไม่พบเชื้อวัณโรค แต่วินิจฉัยว่าเป็นอาการปอดติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งต้องรับยาสเตียรอยด์
วิจิตรแอดมิทอยู่ที่สถาบันโรคทรวงอกเป็นระยะเวลารวม 10 วัน จนเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 จึงถูกส่งตัวกลับไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ปัจจุบันเขาถูกย้ายกลับมาขังที่เรือนจำกลางคลองเปรมแล้ว หลังอาการเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ยังคงไม่ได้รับสิทธิประกันตัว แม้คดีจะอยู่ในเกณฑ์ตามกฎหมายนิรโทษกรรม
ในช่วงที่วิจิตรมีอาการทรุดหนัก เกิดแฮ็ชแท็ก #วิจิตรต้องได้รักษา โดยประชาชนร่วมกันจับตาและผลักดันเพื่อเรียกร้องสิทธิการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมให้กับผู้ต้องขังอีกด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
แพทย์วินิจฉัย ‘วิจิตร’ ป่วยปอดอักเสบเรื้อรัง ต้องรักษาต่อเนื่อง 6 เดือน เตือนสภาพเรือนจำไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วย ล่าสุดถูกส่งตัวกลับ รพ.ราชทัณฑ์ แล้ว

กรกฎาคม: สภาผู้แทนราษฎรปัดตกกฏหมาย “นิรโทษกรรมประชาชน”
16 ก.ค. 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง โดยลงมติผ่านความเห็นชอบในวาระแรกต่อร่างจำนวน 3 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่เสนอโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน (เดิม) และพรรคภูมิใจไทย และไม่รับหลักการใน 2 ฉบับ คือร่างของพรรคก้าวไกล (เดิม) และฉบับของเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน
“นิรโทษกรรมประชาชน” คือร่างกฎหมายที่ภาคประชาชนกว่า 35,905 รายชื่อเสนอต่อรัฐสภา เพื่อนิรโทษกรรมประชาชนในคดีความที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ครอบคลุมทุกคดีรวมถึงคดีมาตรา 112 ตั้งแต่ช่วงเวลาหลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา
หากการนิรโทษกรรมเกิดขึ้นภายใต้ความผิดแนบท้ายตามร่างกฎหมายสามฉบับที่ผ่านมติเห็นชอบ ผู้ชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองในช่วงปี 2563 เป็นต้นมา จะได้รับประโยชน์เพียงบางส่วนเท่านั้น โดยจากการประมาณการของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีไม่น้อยกว่า 1,977 คน ใน 1,331 คดี จะมีคดีที่ถูกกล่าวหาในข้อหาซึ่งไม่มีในบัญชีแนบท้ายของร่างนิรโทษกรรมทั้งสามฉบับ อยู่อย่างน้อย 805 คดี คิดเป็นผู้ถูกดำเนินคดีค้างอยู่กว่า 1,218 คน ที่จะไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามกฎหมายทั้งสามฉบับ หรือได้ประโยชน์เพียงบางส่วน (ต่อมาในชั้นกรรมาธิการได้มีการเพิ่มเติมข้อหาในบัญชีแนบท้ายเพิ่มเติม)
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2568 หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ส่วนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขฯ ที่ค้างการพิจารณาอยู่ในกรรมมาธิการของวุฒิสภาต้องตกไป แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 147 วรรคสองเปิดช่องให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง ร้องขอต่อรัฐสภาให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่ตกไปภายใน 60 วัน นับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองในยุคหลังปี 2563 จำนวนกว่า 1,218 คน อาจไม่ได้ประโยชน์จากร่างกฎหมายนิรโทษกรรม 3 ร่าง ที่สภารับรอง
หากอนุทินรีบยุบสภาหนี ร่างแก้รัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรม-อากาศสะอาดฯ ร่างกม.รวม 106 ฉบับอาจ “ตกไป” ทันที

สิงหาคม: ปล่อยตัว ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’ สิ้นสุดการคุมขังคดี ม.112 นาน 8 ปี 4 เดือน 19 วัน
เดือน ส.ค. 2568 มีผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองถูกปล่อยตัวจากเรือนจำทั้งสิ้น 6 คน ได้แก่ อัญชัญ ปรีเลิศ, สมบัติ ทองย้อย, สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ, ธนายุทธ ณ อยุธยา, ธนพร และทีปกร หลังเข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2568
สำหรับกรณีของ อัญชัญ ปรีเลิศ ที่ถูกปล่อยตัวในเดือน ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา เป็นผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในผู้อัปโหลดและเผยแพร่คลิปเสียงของ “บรรพต” ดีเจผู้จัดรายการวิทยุใต้ดิน รวมทั้งหมด 29 ครั้ง เป็นความผิด 29 กระทง นับเป็นการสิ้นสุดการคุมขังรวมทั้งสิ้น 8 ปี 4 เดือน 19 วัน
หากย้อนกลับไปในช่วงปี 2563 อัญชัญเคยนับเป็นผู้ถูกพิพากษาจำคุกคดีมาตรา 112 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น จากนั้นเธอก็ตัดสินใจไม่อุทธรณ์คดีอีก ทำให้อัญชัญกลายเป็นผู้ต้องขังคดีถึงที่สุดตั้งแต่นั้นเรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ต้องขังได้รับการปล่อยตัวในครั้งดังกล่าว แต่เป็นผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้วและเข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ เท่านั้น แต่ยังคงมีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองอีกหลายคนยังคงถูกคุมขังอยู่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ปล่อยตัว “อัญชัญ ปรีเลิศ” สิ้นสุดการคุมขังคดี ม.112 นาน 8 ปี 4 เดือน 19 วัน

กันยายน: ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคดี ม.110 ลงโทษสูง จำคุก ‘เอกชัย’ 21 ปี 4 เดือน อีกสี่คน 16 ปี ด้าน ‘ไผ่-ครูใหญ่’ ก็ถูกพิพากษาจำคุกคดี ม.112 ทั้งหมดถูกคุมขัง
ในช่วงเดือน ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดี “ประทุษร้ายต่อเสรีภาพพระราชินี” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 ของ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ, “เก่ง” ชนาธิป และ “ขวัญ” ภาณุภัทร์ จากเหตุถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีและเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและอัยการโจทก์อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นเห็นว่าการกระทำของทั้งห้าคนเป็นความผิด ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี ส่วนเอกชัยจำคุก 21 ปี 4 เดือน ไม่รอการลงโทษ ทำให้ทั้งห้าคนถูกนำตัวไปคุมขังอยู่ในเรือนจำจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัวออกมาต่อสู้คดีในชั้นฎีกา
นอกจากนั้นแล้วในเดือนเดียวกัน ยังมีคดีมาตรา 112 ของ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ จากกรณีปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในการชุมนุมหน้าโรงเรียนภูเขียวและ สภ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 เพื่อเรียกร้องให้ตำรวจ สภ.ภูเขียว ขอโทษ กรณีไปคุกคามนักเรียนที่บ้าน
ศาลจังหวัดภูเขียวได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจตุภัทร์ 2 ปี 12 เดือน และจำคุกอรรถพล 2 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าการหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์ย่อมกระทบถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แม้คำปราศรัยไม่เอ่ยถึงกษัตริย์องค์ใด แต่จำเลยเกิดใน ร.9 และอยู่ในช่วง ร.10 เชื่อว่าเจตนาสื่อถึง ร.9 – ร.10 หลังศาลปฏิเสธการให้ประกันตัว ทำให้ปัจจุบันทั้งสองคนยังถูกคุมขังอยู่ และคดียังอยู่ในระหว่างชั้นฎีกา
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา คดี ม.110 เชื่อว่า 5 จำเลย พยายามขัดขวาง “ขบวนเสด็จ” ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี ส่วน “เอกชัย” เพิ่มโทษรวม 21 ปี 4 เดือน รอลุ้นประกันชั้นฎีกา
พิพากษายืน จำคุก “ไผ่” 2 ปี 12 เดือน “ครูใหญ่” 2 ปี คดี 112 ศาลอุทธรณ์ชี้ แม้คำปราศรัยไม่เอ่ยถึงกษัตริย์องค์ใด แต่จำเลยเกิดในรัชกาลที่ 9 – อยู่ในรัชกาลที่ 10 เชื่อว่าเจตนาสื่อถึง ร.10
ตุลาคม: ต้องถูกขังจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิด “แดง ชินจัง” ถูกขัง 1 ปีเศษจนปล่อยตัว หลังยกฟ้องครบ 5 คดี
“แดง ชินจัง” หรือยงยุทธ ผู้ถูกดำเนินคดีเกี่ยวเนื่องกับวัตถุระเบิดฯ จากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 2557 จำนวน 5 คดี ถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นช่วงภายหลังที่ศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องและไม่อนุญาตให้ประกันตัวเรื่อยมา
ถึงแม้ยงยุทธจะพยายามยื่นคำร้องขอประกันตัวในทุกคดีรวมกันถึง 49 ฉบับ (แยกเป็นการยื่นขอประกันตัวในศาลชั้นต้น 38 ฉบับ และยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันตัวต่อศาลอทุธรณ์ 11 ฉบับ) และระบุเหตุผลประกอบเรื่องพยานหลักฐานในคดีที่ถูกกล่าวหามาจากการที่จำเลยถูกซ้อมทรมานไปด้วยก็ตาม อีกทั้งเมื่อศาลอาญาทยอยมีคำพิพากษายกฟ้องออกมาแต่ละคดีแล้ว ก็ยังคงปฏิเสธการให้ประกันตัวในคดีที่เหลืออยู่
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2568 ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องครบทั้ง 5 คดีที่เขาถูกคุมขังอยู่ เป็นผลให้เขาถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ หลังถูกขังระหว่างพิจารณายาวนานถึง 415 วัน หรือประมาณ 1 ปี 1 เดือนเศษ โดยที่ไม่เคยได้รับสิทธิประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีแม้แต่ครั้งเดียว
ในทางหลักการ มาตรการของศาลในการขังผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ระหว่างพิจารณาคดี มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อควบคุมไม่ได้ผู้กระทำความผิดหลบหนี ไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ก่อเหตุอันตรายอื่น อาจเกิดอุปสรรคหรือความเสียหายต่อการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งยงยุทธถูกแจ้งข้อกล่าวหาและได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน ไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี อีกทั้งยืนยันต่อสู้คดีถึงที่สุด รวมทั้งก่อนหน้านี้เขาก็เคยถูกกล่าวหาและคุมขังในคดีอื่น ๆ ในช่วง คสช. แต่ก็ต่อสู้คดีจนสิ้นสุดเรื่อยมาโดยไม่ได้หลบหนี
แต่ก็พบว่าศาลก็ไม่ได้พิจารณาคุ้มครองสิทธิในการได้รับประกันตัวเพื่อออกมาสู้คดีของจำเลยตามบทบัญญัติของกฎหมายอย่างชัดเจนมากนัก คำถามสำคัญจึงอยู่ที่มาตรฐานการพิจารณาคำสั่งให้ประกันตัวของศาลว่า จำเลยในคดีที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความมั่นคง’ หรือเพียงแต่ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาที่มี “ความร้ายแรง” แม้พยานหลักฐานจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะต้องถูกคุมขังจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิดหรือไม่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ศาลอาญายกฟ้อง “แดง ชินจัง” 2 คดีสุดท้ายเหตุระเบิดชุมนุม กปปส. ปี 57 รอปล่อยตัวค่ำนี้ สิ้นสุดการคุมขัง 415 วัน โดยไม่ได้สิทธิประกันตัว
ต้องถูกขังจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิด: “แดง ชินจัง” ผู้ถูกคุมขังนาน 415 วัน และคำร้องขอประกันตัวที่ถูกปฏิเสธถึง 49 ฉบับ

พฤศจิกายน: สั่งฟ้อง ม.112 ‘เจ๊จวง – เจ๊เทียม’ ติดป้ายหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว เรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา และ ‘ยาใจ’ ชูสามนิ้วต่อหน้าพระเทพฯ
เมื่อเดือน พ.ย. 2568 มีคดีมาตรา 112 ถูกสั่งฟ้องต่อศาล 3 คดี ซึ่งในจำนวนนั้น มีคดีของ “เจ๊จวง” และ “เจ๊เทียม” สองแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว ซึ่งถูกดำเนินคดีจากเหตุติดป้ายไว้บริเวณหน้าร้าน มีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112, งบประมาณแผ่นดิน และเรียกร้องให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” จำนวน 2 ป้าย เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 โดยคดีนี้มี ทรงชัย เนียมหอม สมาชิกกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส.) เป็นผู้กล่าวหา
คำฟ้องของอัยการระบุว่าป้ายที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว มีประชาชนทั่วไปเดินผ่านไปมาและพบเห็นข้อความได้ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ส่วนอีกคดีหนึ่ง เป็นคดีมาตรา 112 ของ “ยาใจ” ทรงพล สนธิรักษ์ ซึ่งถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ‘ชูสามนิ้ว’ ต่อกรมสมเด็จพระเทพฯ ระหว่างพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2565 และเผยแพร่โดยการให้สัมภาษณ์ต่อเพจ “ทะลุมข” และ “The Isaan Record” โดยถูกสั่งฟ้องเป็น 3 กรรม
ในคดีนี้คำฟ้องของอัยการระบุว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพฯ ซึ่งเป็นผู้แทนองค์พระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงออกถึงข้อเรียกร้องทางการเมืองต่อต้านอำนาจเผด็จการให้หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่ได้แสดงความเคารพสักการะและปฏิบัติตามขั้นตอนการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์
การสั่งฟ้องคดีลักษณะนี้ ยังทำให้ต้องติดตามสถานการณ์การต่อสู้คดีมาตรา 112 ในปีต่อไป
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
อัยการสั่งฟ้องคดี ม.112 “เจ๊จวง – เจ๊เทียม” สองแม่ค้าบะหมี่ กรณีติดป้ายหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา
สั่งฟ้องคดี ม.112 ‘ยาใจ ทะลุฟ้า’ กล่าวหาชูสามนิ้วต่อหน้าสมเด็จพระเทพฯ ในพิธีรับปริญญา มข. โดยไม่แสดงความเคารพสักการะ

ธันวาคม: ศาลฎีกาพิพากษา ‘บัสบาส’ จำคุกสูง 46 ปี คดี ม.112 ด้านผู้ต้องขังการเมือง 55 คน ถูกขังข้ามปี ไม่มีโอกาสได้ฉลองปีใหม่กับครอบครัว
เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2568 ศาลจังหวัดเชียงรายอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีของ “บัสบาส” หรือมงคล ถิระโคตร ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 27 โพสต์ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2564 แก้จากเดิมในชั้นอุทธรณ์ ถูกลงโทษจำคุก 50 ปี เป็นลงโทษจำคุก 46 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากให้แก้เป็นยกฟ้องในความผิด 2 กระทง แต่โทษจำคุกของศาลฎีกาในคดีนี้ ยังนับได้ว่าเป็นคดีมาตรา 112 ที่โทษสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ในช่วงวันหยุดยาวนี้ หลาย ๆ คนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวหรือคนรัก พร้อมกับการเฉลิมฉลองและเสียงนับถอยหลังต้อนรับปีใหม่ 2569 ผู้ต้องขังทางการเมืองทั้ง 55 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต้องผ่านพ้นปีใหม่โดยห่างไกลจากบรรยากาศเหล่านั้น
28 คน ซึ่งเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของผู้ต้องขังทางการเมืองทั้งหมด เป็นผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี ยังคงรอคอย “สิทธิประกันตัว” เพื่อที่จะได้รับ “อิสรภาพ” และออกมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
ด้าน “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร ถูกคุมขังมาจวนครบ 2 ปี และอาจจะต้องอยู่ในเรือนจำอีก 44 ปี กว่าจะได้ออกมาฉลองปีใหม่กับครอบครัว ทั้งนี้เขายังมีคดีมาตรา 112 ที่รอคำพิพากษาในศาลฎีกาอีก 1 คดีด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
รายชื่อผู้ต้องขังทางการเมือง 2568
ยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ศาลฎีกาพิพากษาแก้คดี ม.112 “บัสบาส” เป็นลงโทษจำคุก 46 ปี จากเดิมชั้นอุทธรณ์ลง 50 ปี
https://tlhr2014.com/archives/80797
