
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร - Veerayooth Kanchoochat
17 hours ago
·
เวียดนาม vs ไทยแลนด์ : การไล่กวดแห่งศตวรรษที่ 21

ถ้าดูแบบ “ภาพนิ่ง” เวียดนามยังตามหลังไทย ทั้งในด้านขนาดเศรษฐกิจและรายได้ประชากรต่อหัว
คนเวียดนามตอนนี้มีรายได้เฉลี่ย 4,490 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ของไทยคือ 7,120 ดอลลาร์ หรือ 200,000 กว่าบาทต่อปี สูงกว่าเวียดนามเกือบสองเท่าตัว
งานที่ศึกษาเชิงลึกก็ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของเวียดนามหลายด้าน โดยเฉพาะการพึ่งพาตลาดส่งออกและบริษัทข้ามชาติสูงมาก จนต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้สหรัฐฯ ยอมลดภาษีนำเข้า ในขณะที่กิจการท้องถิ่นมักเป็นรัฐวิสาหกิจหรือกลุ่มทุนที่ได้รับการปกป้อง แต่ยังพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ค่อยได้

แต่ผู้กำหนดนโยบายของเวียดนามกล้ายอมรับความจริง กล้าตัดสินใจเรื่องยากๆ อย่างการปฏิรูประบบราชการ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น “ประเทศรายได้สูง” ในปี 2045 หรืออีก 20 ปี
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เวียดนามปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ปรับโครงสร้างกรม-กอง-กระทรวง รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น แม้แต่หน่วยงานใต้พรรคคอมมิวนิสต์เอง
แต่ก็เป็นจังหวะที่เหมาะทางการเมือง เพราะการ “ลดคน” ตอนที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู ทำให้มีโอกาสงานภาคเอกชนเปิดกว้างรอรับอยู่ ไม่ได้ทำตอนเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมายัง “เล่นใหญ่” เพื่อดึงดูดความสนใจของโลกที่กำลังปั่นป่วนกับสงครามการค้า ด้วยการประกาศลงทุนมหาศาล ใหญ่ขนาด 10% ของจีดีพี เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน 250 โครงการ
“โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ว่าไม่ได้มีแค่ถนนกับสนามบิน แต่รวมถึงการสนับสนุน R&D ในอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างเซมิคอนดักเตอร์ สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด โรงพยาบาลเฉพาะทางเพื่อรักษามะเร็ง การพัฒนาแรงงานจริงจัง
เวียดนามรู้ว่าตัวเอง “เปราะบาง” เพราะพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกสูงเกินไป โจทย์ในระยะ 5–10 ปีข้างหน้าจึงมุ่งเพิ่มศักยภาพและความสำคัญของตลาดภายใน
แต่ไม่ใช่ “รัฐนำ” เท่านั้น มีการประสานกับภาคเอกชนด้วย โครงการก่อสร้างชุดใหญ่ที่ว่าก็ใช้เงินรัฐราว 37% เท่านั้น ที่เหลือมีภาคเอกชนร่วมลงทุน เช่น Sumitomo ของญี่ปุ่นร่วมลงขัน 4,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสมาร์ทซิตี้แห่งใหม่ทางเหนือของกรุงฮานอย
ตั้งเป้าไว้ 20 ปี แต่ถ้าโตได้ปีละ 7% กว่าแบบนี้ อีกแค่ 15 ปี เวียดนามก็จะกลายเป็นประเทศรายได้สูง

“การพัฒนาคน” เป็นหัวใจความสำเร็จของเสือเอเชียตะวันออกมาตั้งแต่ยุคเกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์
นโยบายอุตสาหกรรมหรือมาตรการเศรษฐกิจจะสวยหรูอย่างไร ก็ไม่มีทางออกดอกผล ถ้าคนไม่พร้อม
อันที่จริง ภาพนิ่งด้านการศึกษาของเวียดนามก็ยังแพ้ไทย เวียดนามมีแรงงานเพียง 13% เท่านั้นที่จบการศึกษาระดับอาชีวะหรือปริญญาตรี ในขณะที่ของไทยมีสัดส่วน 21%
แต่ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ คือเวียดนามฝันใหญ่และทำจริง
รัฐบาลตั้งเป้าผลิตคนด้านเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คนภายใน 5 ปีข้างหน้า
แยกประเภทชัดเจน ว่าเป็นส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบ 30% ส่วนอีก 70% ทำด้านการผลิตและทดสอบ แล้วก็เริ่มจากการเทรนครูจำนวน 1,300 คนก่อน เพื่อจะได้ไปสอนตามมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ไม่อยากให้คิดถึง “เซมิคอนดักเตอร์” ราวกับชิปสุดล้ำที่แยกจากขาดจากอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เราคุ้นเคย
ในความเป็นจริง เซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนในเวียดนามระยะแรก คือการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม
บริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมเก่าต่างกำลังยกระดับตัวเองด้วยเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในยานยนต์ที่ต้องขยับจากสันดาปไปสู่ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์
เพราะต้นทุน 1 ใน 5 ของยานยนต์ไฟฟ้า 1 คัน คือเซมิคอนดักเตอร์ – การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ก็คือการทำให้อุตสาหกรรมเก่าได้ไปต่อในโลกยุคใหม่
เช่นเดียวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะของเวียดนามก็ไม่ใช่ “รัฐนำ” ล้วนๆ แต่ทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Samsung (เกาหลีใต้) Marvell (สหรัฐฯ) Alchip (ไต้หวัน) โดยเฉพาะส่วนที่เน้นพัฒนาแรงงานหัวกะทิเพื่อทำงานวิจัยแห่งละ 200–500 คน

ประเทศไทยเราไม่ได้ขาดงบประมาณนะครับ
แต่ละปี เรามีงบด้านพัฒนาคน (ต่อยอดจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน) หลายหมื่นล้านบาท ไม่แพ้เวียดนาม
ปัญหาคือ ในขณะที่ทุกคนพูดถึงคน พูดถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ แต่กลับไม่ค่อยมีใครลงมาดูรายละเอียดของการใช้งบประมาณเลย
เช่นงบ 69 ที่เพิ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรไป การพัฒนาทักษะแรงงานไทยปีนี้ถูกตั้งเป้าไว้ 900,000 กว่าคน – สูงกว่าของเวียดนามเสียอีก
โดยความหวังสูงสุดไปฝากไว้กับ “โครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะรายบุคคลระดับอุดมศึกษา” (Skill/Credit Portfolio) เริ่มต้นโครงการในปีงบ 69 ด้วยเงิน 773 ล้านบาท และจะทำต่อเนื่องไปอีก 4 ปี ใช้งบประมาณรวมทั้งโครงการ 5,400 ล้านบาท
แต่ในรายละเอียด โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ “จัดเก็บ บูรณาการ และแสดงข้อมูลทักษะการเรียนรู้ของบุคคล” ซึ่งได้แก่นักศึกษาปริญญาตรีปีการศึกษา 2567 จำนวน 1.6 ล้านคน โดยจะทำคลิปวีดิโอที่เน้น “การช่วยให้รู้จักและเข้าใจตนเอง อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้” จำนวน 447 คลิป ความยาวคลิปละ 15 นาที
เราะจะฝากความหวังในการแก้ปัญหาวิกฤตทรัพยากรมนุษย์และทักษะแรงงานไทย ไว้กับโครงการนี้ได้แค่ไหน มีประโยชน์เพิ่มจากระบบที่เรามีอยู่แล้ว และทำงานค่อนข้างดีอย่าง Thai-MOOC ได้จริงหรือ
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่ใช่ทุกทักษะที่ยกระดับกันได้ผ่านระบบออนไลน์ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่กำลังสาหัส ยังไงก็ต้องมีโครงการที่ลงไปพัฒนาคนหน้างานอย่างจริงจัง
คนไทยเคยรวยกว่าคนเกาหลีใต้ แต่ก็จนถึงปี 1968 หรือ พ.ศ. 2511 เท่านั้น
วงการเศรษฐศาสตร์โลกที่ศึกษาเศรษฐกิจช่วง 1970–2000 จึงมักใช้ไทยกับเกาหลีใต้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเปรียบเทียบ
ทั้งในด้านนโยบายเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับทุน บทบาทของปัจจัยภายนอกต่อเส้นทางการพัฒนา
พอมาถึงศตวรรษที่ 21 เวียดนามจะกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญประเทศหนึ่งอย่างแน่นอน ว่าในฐานะ "ผู้มาทีหลัง" ได้ทำอะไรที่เหมือนหรือต่างไปจากเสือเอเชียตะวันออกยุคก่อน และได้ผลลัพธ์อย่างไร
ถ้าเรากลัวเวียดนามจะแซงจริงๆ ก็ต้องจริงจังกับการพัฒนาคน พัฒนาทักษะกันมากกว่านี้
ต้องเปลี่ยนจากการพูดคุยระดับวิสัยทัศน์ มาให้ถึงรายละเอียดระดับโครงการ ว่าควรออกแบบประสานระหว่างรัฐกับเอกชนอย่างไรในแต่ละอุตสาหกรรม จัดสรรงบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม
ถ้าจะแปลงเงินภาษีให้กลายเป็นอนาคตประเทศได้ มีแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการใช้งบและวิธีกำหนด KPI ของกลไกราชการเท่านั้น
https://www.facebook.com/Veerayooth.Kanchoochat/posts/122204403824124432