ส.ส.ก้าวไกล ชี้ “อนุทิน” ควรกราบประชาชนมากที่สุด เพราะต้องทนกับการบริหารผิดพลาด
23 เมษายน พ.ศ.2564
มติชนสุดสัปดาห์
สุทธวรรณ ก้าวไกล ชี้ รัฐ สธ. บริหารล้มเหลว ปม การจัดหาเเละกระบวนการรับวัคซีน ผิดพลาดซ้ำรอยเดิม ตอกย้ำ สร้างความไม่เชื่อมั่นต่อปชช. ซัดเเรง สิ่งที่อนุทินควรกราบไม่ใช่ต่างชาติ เเต่คือประชาชนเจ้าของประเทศ
วันที่ 23 เมษายน 2564 สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.พรรคก้าวไกล จ.นครปฐม กล่าวต่อสื่อมวลชนว่าเป็นเวลากว่าหนึ่งปีที่ประเทศไทยได้เผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) จนถึงวันนี้ 23 เมษายน 2564 ผู้ติดเชื้อสะสมของไทยเกิน 5 หมื่นรายแล้ว และวันนี้ก็มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดถึง 2,070 ราย การบริหารงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในสถานการณ์เช่นนี้ เรียกได้ว่าสอบตกซ้ำซ้อน บริหารงานด้วยความประมาทและไม่เคยสำนึกว่าตนเองมีความผิดพลาด นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เหตุผลที่สั่งซื้อวัคซีนมาน้อย เพราะในช่วงนั้นสามารถบริหารสถานการณ์ดี นี่เป็นความประมาทอย่างร้ายแรง เอาแต่โทษประชาชนว่าการ์ดตก โดยไม่เคยนึกถึงความผิดพลาดของตนเองเลย
สุทธวรรณ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์และนายอนุทินไม่เคยฟังเสียงประชาชน หรือฟังสิ่งที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลพูดแม้แต่น้อย ท่านอาจจะคิดว่าการฟังสิ่งที่ฝ่ายค้านพูดและนำไปปรับใช้ ทำให้เสียหน้า ซึ่งมันไม่ใช่ นี่เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่นายอนุทินไม่เคยฟัง แถมยังมีความมั่นใจในตนเองและบอกว่าการเลือกวัคซีนนี้เป็นการแทงม้าเต็ง การจัดหาวัคซีนเลยได้มาแค่ AstraZeneca และ Sinovac อย่างทุกวันนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้ง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ถึงแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไปแล้ว พยายามบอกให้พวกท่านกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน แต่พวกท่านก็ไม่ฟัง ไม่สนใจ ไม่รับรู้
โดยก่อนหน้านี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ก็เคยออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ยกตัวอย่างการจัดการวัคซีนในประเทศอื่นๆ พร้อมตั้งคำถามว่า รัฐบาลฝากอนาคตไว้ที่สยามไบโอไซเอนซ์มากเกินไปหรือไม่ หากมีอะไรผิดพลาด รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า “วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายประเทศจัดหาวัคซีนได้มากกว่าจำนวนประชากร ขณะที่ประเทศไทยเราแค่ 21.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ซึ่งความเสียหายคือ ถ้าประเทศไหนสร้างภูมิคุ้มกันเสร็จก่อนก็มีโอกาสฟื้นตัว ฟื้นฟูประเทศได้เร็ว ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวกลับมา ทำให้การเจรจากับต่างประเทศ การนำเข้าส่งออกกลับมา ประชาชนใช้ชีวิตเป็นปกติเร็วกว่าคนอื่น แต่ถ้าช้ากว่านี้สัก 6 เดือน ประชาชนต้องทนกันต่อไป และก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าอาจเกิดการระบาดรอบ 3 รอบ 4 รอบ 5 ได้ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ซึ่งประชาชนก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวต่อไป และนี่คือเหตุผลที่เราต้องออกมาบอกรัฐบาล ออกมาพูดกับประชาชนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น” แต่สิ่งที่นายธนาธรได้รับ คือการกล่าวหาว่าผิดมาตรา 112 ทั้งๆ ที่การออกมาพูดของนายธนาธร คือการเตือนให้รัฐบาลทำในสิ่งที่ควรทำ โดยไม่ได้ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
“และในวันนี้การระบาดรอบ 3 ก็เกิดขึ้นจริง ซึ่งหนักกว่ารอบที่ผ่านมาด้วย ในขณะที่รัฐบาลเพิ่งเริ่มเจรจาจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ เช่น Pfizer หรือ Sputnik V จึงอยากตั้งคำถามว่าทำไมต้องรอจนวิกฤติขนาดนี้แล้วค่อยสั่ง ทำไมต้องรอจนเจ้าสัว บริษัทเอกชน ประชาชน ออกมาตำหนิ ออกมาก่นด่าถึงเริ่มดำเนินการ ในเมื่อที่ผ่านมามีเวลาตั้งมากมายก่อนเกิดการระบาดรอบ 3 นี่เป็นความประมาทและเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย จนถึงตอนนี้ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าวัคซีนยี่ห้อใดดีที่สุด แต่สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ การสำรองวัคซีนที่หลากหลาย กระจายความเสี่ยง และเร่งหาวัคซีนมาให้เร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของประชาชน“ สุทธวรรณ กล่าว.
ทั้งนี้ สุทธวรรณ กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ อยากฝากบอกนายอนุทินว่า ที่บอกว่าไปคุยกับ Pfizer หวังเร่งส่งวัคซีนให้เร็วที่สุด ให้กราบก็จะทำนั้น คนที่คุณควรกราบมากที่สุดในตอนนี้ คือพี่น้องประชาชนคนไทย ที่ต้องมาทนกับการบริหารงานที่ผิดพลาดของคุณ ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”