เรื่องตรรกะเพี้ยน หรือบิดเบือนเหตุผล
ที่ติดมาแต่หลังทหารยึดแย่งการปกครองและสถาปนา คสช. จนมาต่อยอดในยุคสืบทอดอำนาจนี้
ชักหนักกันไปใหญ่
ตั้งแต่ระดับชาติลงไปถึงชีวิตประจำวันชาวบ้าน
เริ่มด้วย ห้ามขายของเมา ๑๐ วัน ทำให้คนแห่ไปตามห้างขนซื้อตุนกันก่อนถึง ๑๐ เมษา พอๆ
กับตอนเข้าคิวรอลงทะเบียนรับเงินเยียวยา ๕ พันบาท ชนิดมีคนถามว่า “เพื่ออะไร?
เราไม่ใช่คนกินเหล้าก็จริง แต่ไม่เข้าใจ” (Lin Okabe @Byakuren29)
“ตลกคือบางคนไม่ดื่มก็ไปซื้อตุน
กลัวไม่มีของ” BP @Mademoiselle_BP ทวี้ตตอบสนทนากับ @Incognito_me ขณะผู้จัดรายการดัง @kamphaka
ย้อนว่า “แก้ผิดจุด...หยุดเชื้อโรค ไม่ใช่แข่งกันถือศีลห้า”
ทั้งๆ ที่มีคนแนะว่า เฮ้ย
เมืองนนทฯ ยังซื้อหาได้ไม่ได้ห้ามนะ ประมาณใกล้เคียงกับราชกิจจานุเบกษา “คลัง
(สรรพสามิต) ประกาศลดภาษีน้ำมันเครื่องบินภายในประเทศช่วงโควิด-๑๙”
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว
ซึ่ง อกาลิโก @loving_friday ตั้งคำถาม ‘ซิมเปิ้ล’ ง่ายๆ “มึงรณรงค์ให้คนอยู่บ้าน
แต่ลดภาษีน้ำมันเครื่องบินโดเมสติก” เพื่อ ‘กระตุ้นท่องเที่ยว’
“ประสาทแดกเหรอ” เออ ใช่
แล้วนี่ “ผู้ใช้เฟชบุ๊ครายหนึ่งโพสต์ตำหนิการจับกุมพ่อและแม่ของตนในข้อหาฝ่าฝืนเคอร์ฟิว
จากการขับรถส่งยาโรงพยาบาลสายแม่ฮ่องสอน ทั้งที่มีใบอนุญาตฯ” แล้วตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ได้โพสต์ชี้แจงว่า
การจับกุมกระทำเมื่อทั้งสองส่งยาเสร็จแล้ว
อ้าง “ตำรวจผู้จับกุมได้พิเคราะห์เห็นว่าสามารถพักค้างคืนได้
ไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเดินทางฝ่าฝืนเคอร์ฟิว” ที่ขณะนั้นเวลาห้าทุ่ม ก็เขากำลังเดินทางกลับไปเชียงใหม่
“เพื่อรับยาจากบริษัทและนำไปส่งที่อื่นต่อไป”
ก็นั่นมันอาชีพเขา
มีใบอนุญาต เจ้าพนักงานใช้ตรรกะห่านไรที่ไปวินิจฉัยว่าเขาควรพักค้างคืน
จะได้ไม่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว แล้วที่บอกว่า “ตระหนักในความจำเป็นที่อาจมีของบริษัทจำหน่ายยา”
ก็มาถูกทางแล้ว ไฉนจะบอกขอโทษรับผิดสักนิดไม่ได้หรือไร
หนักเข้าไปอีกเมื่อมาถึงกรณีตำรวจแถลงคดีกักตุนหน้ากากอนามัย
รายที่ออกคลิปเปิดรับออร์เดอร์จำนวนมาก อ้างว่ามีในสต็อค ๒๐๐ ล้านชิ้น
แล้วกลายเป็นพัวพันขบวนการ ‘คนใน’ กระทรวงพาณิชย์ นักการเมืองบางพรรค และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อาจรู้เห็นเป็นใจกับการเปลี่ยนวิกฤตเป็น
‘กำไร’ ส่วนตน ของผู้ค้าขายตามช่องทางเลี่ยงกฎหมายก็ได้
เพราะผลแห่งคดีมาลงเอยที่ มีการจับกุมเครือข่ายกักตุนหน้ากากอนามัยขายเกินราคากว่า
๖ แสนชิ้น และดำเนินคดีกับนายหน้าที่ออกคลิปโฆษณา
“สามารถจับกุมนายพันธ์ยศ
อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพได้...ที่เป็นผู้ส่งหน้ากากอนามัยให้กับนายศรสุวีย์
ภู่รวีรัศวัชรี หรือ ‘เสี่ยบอย’ ที่โพสต์ขายหน้ากากอนามัย ๒๐๐ ล้านชิ้น” รายหลังนี่โดนข้อหาผิด
พรบ.คอมพิวเตอร์
“ขณะนี้ได้ปล่อยตัวชั่วคราวนายพันธ์ยศแล้ว”
แต่ขยายผล “เร่งสืบหาตัวตนเจ้าของเพจ ‘แหม่มโพธิ์ดำ’ ที่มีการแชร์เฟชบุ๊คการไล้ฟ์ขายหน้ากากอนามัย ๒๐๐ ล้านชิ้นของเสี่ยบอย
ซึ่งถือเข้าข่ายความผิดนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ”
นี่ละ ‘ตรรกะวิบัติ’ แทนที่จะประกาศหาแหม่มโพธิ์ดำเพื่อสมนาคุณ
ที่เปิดเผยความจริงให้ทราบทั่วกันว่ามีขบวนการโกงกินจากวิกฤต
กลับออกล่าหาตัวคนที่ให้เบาะแสมาลงโทษ ‘ฐาน’ ช่วยคนผิดกระจายข้อมูลเท็จ โดยที่ยังไม่มีการจับกุมเสี่ยบอย
เข้าไคล้เป็นการใช้ พรบ.คอมฯ เล่นงานคนทำเพจด่ารัฐบาลและต่อต้านการใช้อำนาจอย่างเผด็จการ
แท้ๆ โดยที่ผ่านมาไอ้ พรบ. นี่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลทหารใช้จัดการคนเห็นต่างทางการเมืองมาเยอะแล้ว
ขนาดว่า Atukkit Sawangsuk
ยังบอก
“เหวี่ยงข้อหาแบบนี้...ตีความยังไงก็ไม่ใช่การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
ใช้กฎหมายปิดปาก ปิดกั้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร...อย่างนี้ฟ้องกลับได้นะ...ใช้อำนาจแบบไหนกันวะ...ข้องใจว่ามีใครอยู่เบื้องหลังเสี่ยบอย-พันธ์ยศ
หรือเปล่า”
จนมาถึงนี่ “จี้เบรก
‘ธปท.’ ควัก ๔ แสนล้าน ซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชน” ที่ซึ่ง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
ชักชวนเพื่อนร่วมอาชีพเดิม ‘เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย’
หลายคนรวมทั้งนายโอฬาร ไชยประวัติ นายศิริ การเจริญดี นายธีรชัย
ภูวนารถนรานุบาล ฯลฯ เป็นต้น
ว่าการให้แบ๊งค์ชาติออก พรก.สองฉบับเพื่อ “เข้าไปจัดสรรเงินจำนวน
๕ แสนล้านบาท เพื่อช่วยสภาพคล่องของวิสาหกิจเอกชนขนาดกลางและขนาดย่อม”
นั้นไม่ควรทำ เพราะเป็นช่องทาง ‘ไม่โปร่งใส’
เปิดให้ใช้ธนาคารกลางเอื้อต่อเอกชนบางรายได้
ดร.โกร่งให้เหตุผลว่าธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถดำเนินการผ่าน “สถาบันการเงินของรัฐบาล
เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ
และหรือธนาคารอาคารสงเคราะห์” ได้อยู่แล้ว
แบ๊งค์ชาติจะลงไปเล่นเองให้เปลืองตัวต่อข้อครหาทำไม
หรือว่ามีเลศนัยอะไรบางอย่างบางสิ่ง ที่เป็นประโยชน์ส่วนตนกันเหมือนดังกรณีใช้ตรรกะบิดเบี้ยววิบัติอื่นๆ
ที่กล่าวถึงข้างต้น