ดูท่าสถานการณ์ไวรัสระบาดในไทยกำลังคลำทางไปสู่โหมด
‘ปลดล็อค’ เถลิงสงกรานต์
‘จุลศักราชใหม่’ เริ่ม ๑๖ เมษา แม้นว่านางสงกรานต์ปีนี้ค่อนข้างจะเหี้ยม
ชื่อ ‘โคราคะเทวี’ ถือไม้เท้ากับพระขรรค์
ขี่เสือมาเสียด้วย
ทำนายว่า “เกณฑ์ธัญญาหารได้เศษ ‘ศูนย์’...ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๙ ส่วน
มหาชนร้อนใจด้วยอาหารแล เกณฑ์ธาราธิคุณตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย” ตรงตามชะตากรรมยุค
‘โควิด’ และสภาพดินฟ้าอากาศ ‘แล้ง’ อย่างวายร้ายที่มาแน่
จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งว่า ระยะ ‘คลี่คลาย’ ที่ตั้งตารอกันอยู่
จักต้องดูแลอย่างเหมาะเหม็ง ลองผิดลองถูกอย่างที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้วสำหรับรัฐบาล ‘ไอทู้บ ๒’ จะทำปากเปรอะต่อไปก็ไม่ได้เช่นกัน เหมือนอย่าง
‘ไอทรั้มพ์ ๑’ ที่ล่าสุดออกมาแถลงด่าสื่อเสียนี่
(สำหรับเฮียตูบของเราก็มีหลงมาประปราย เที่ยวเดินส่ายเยี่ยมด่านตรวจโอกาสสงกรานต์
ดันแนะประชาชนเอาอย่าง ให้ออกมาตากแดดเสียบ้าง ว่าฆ่าเชื้อโรคได้
อย่าอยู่แต่ในห้องแอร์ ที่ไหนได้ศูนย์ข่าวของรัฐบาลเองบอกไว้นั่นเป็น ‘เฟคนิวส์’)
การประชุมสถานการณ์โควิดของศูนย์ฉุกเฉิน ‘ประยุทธ์’
แบะท่าว่าจะมีการผ่อนสั้นผ่อนยาวมาตรการควบคุม “เริ่มพิจารณาผ่อนคลาย
เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาดำเนินการได้” เช่น การขนส่ง ห้างสรรพสินค้า
และร้านเสริมสวย
ที่ยังต้องปิดเด็ดขาดคือสนามมวย สถานบันเทิง
ซึ่งจะมีคนไปชุมนุมกันเปHนจำนวนมาก “ส่วนร้านค้า
ร้านอาหาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ พิจารณาเปิดได้แต่ต้องจัดการใหม่ เช่นการจัดโต๊ะต้องห่างกัน”
รวมทั้งตู้เอทีเอ็มธนาคารก็ต้องเว้นช่องกันหน่อย
ก้าวไปข้างหน้า
ปัญหาน่าห่วงก็จะมีแต่รัฐบาลนี้เศรษฐีมือเติบเหลือเกิ๊น
เตรียมใช้เงินล่วงหน้าไว้แล้ว ๒ ล้านล้าน โดยครึ่งหนึ่งเป็นส่วนสำหรับเยียวยา
เท่าที่ผ่านมาปัญหาตรึม แจกจ่ายไม่ทั่วถึง แล้วยังไม่ตรงตัว คนไม่ควรได้ก็ได้
พวกตกสำรวจเลยอดไปก็เยอะ
อย่างนี้ มีกลุ่มนักวิชาการ ๖-๗ คน ในนาม “โครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไป...ในภาวะวิกฤติโควิด-๑๙”
ศึกษาข้อมูลโดยตรงพบความเหลื่อมล้ำและเลอะเทอะ
จึงทำข้อเสนอเพื่อช่วยประคองให้ถูกทาง คือขอให้เจาะจงมุ่งหมายต่อประชาชน มากกว่า ‘เจ้าสัว’ สักหน่อย
ประเด็นแรกที่ ๗
อาจารย์มหาวิทยาลัยเสนอเข้าตรงเป้าเผง ให้ “ปรับเปลี่ยนหลักคิดและวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน”
จากการใช้วิธี ‘คัดคนเข้า’
ไปรับสวัสดิการอันเป็นของทุกผู้ทุกนาม ไปสู่การ ‘คัดคนออก’
จากมหาชนที่มีสิทธิเหล่านั้น
เนื่องจาก “มาตรการที่เข้มงวดของรัฐทำให้ผู้ประกอบอาชีพนอกระบบต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า...คงมีเฉพาะคนส่วนน้อยที่ไม่ได้รับผลกระทบ
เช่น ข้าราชการประจำ และพนักงานประจำรายเดือนที่ไม่ถูกลดชั่วโมงการทำงาน” เป็นต้น
ข้อเสนออื่นๆ นอกจากที่คิดตรงกันกับพรรคใหญ่ฝ่ายค้าน
คือ “รัฐควรผ่อนปรนเปิดพื้นที่ค้าขายและการใช้พื้นที่สาธารณะ อย่างมีการจัดการ
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดได้คลี่คลายลง” แล้ว เจาะจงในส่วนของงบประมาณฟื้นฟู
๔ แสนล้าน
“รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณส่วนนี้จำนวนหนึ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์กรชุมชน คณะกรรมการกองทุนชุมชนและหมู่บ้าน สำหรับฟื้นฟูชีวิตของคนระดับรากหญ้า”
แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางใช้เงินก้อนใหญ่ มันจะอ้อมวกกลับไปอุ้ม ‘เจ้าสัว’
โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้รับไฟเขียวให้ดำเนิน
“มาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน วงเงินรวมไม่เกิน ๔ แสนล้านบาท”
นั้น งบประมาณจากเงินกู้จำนวนมากจะไปตกแก่ ‘หุ้นกู้’
ของบริษัทใหญ่ๆ
มีผู้สันทัดกรณีหลายแหล่งชี้ให้เห็นว่า เครือข่ายสองบริษัทเจ้าสัวยักษ์ใหญ่
‘ซีพีและไทยเบฟ’
จะกลายเป็นผู้ได้รับเงินเยียวยาไปเสียฉิบ ในเมื่อ “พบว่ามีตราสารหนี้ภาคเอกชน
(หุ้นกู้) ที่จะครบกำหนดชำระและจะต้องต่ออายุ (roll over) มูลค่ารวม
๖.๒๕ แสนล้านบาท”
‘หุ้นกู้’ ดังกล่าวที่อยู่ในมือของเสี่ย
ธนินท์ เจียรวนนท์ และเจริญ สิริวัฒนภักดี รวมกัน “ตัวเลขกลมๆราว ๑ ล้านล้านบาท ถ้า
ธปท.ตั้งกองทุนอุ้มหุ้นกู้ขึ้นมา
คาดว่าเงินที่จะไปซื้อหุ้นกู้ใหม่เพื่อมาใช้หนี้หุ้นกู้เก่า มันจะไหลไปไหน”
Thuethan Prasobchoke ตั้งข้อสังเกตุ “คนขายหุ้นกู้กับคนซื้อหุ้นกู้มีจำนวนเท่าไหร่
เป็นสัดส่วนเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ...และประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์อะไรกับคนสองกลุ่มนี้”
ข้ออ้างตั้งกองทุนอุ้มหุ้นกู้ว่า ถ้า “คนกลุ่มนี้ล้มจะพาคนทั้งประเทศล้มไปด้วย”
ใช่แน่หรือ
“ถ้าท่านเดือดร้อนจะเป็นจะตายกับการจำนำข้าว
กับการอุ้มชาวนาซึ่งเป็นคนจำนวนมากกว่าครึ่งของประเทศ” เถือแถนถาม “ทำไมเวลาชาวนา
ชาวสวนยางพารา ขายยางไม่ได้ราคา ประยุทธ์ทำไมบอกให้เลิกปลูก ให้ไปทำอย่างอื่น ทำไมไม่บอกบริษัทพวกนี้บ้างว่า
ถ้าไม่ไหวก็เลิก”
(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1656088571196136,
https://www.prachachat.net/finance/news-446422 และ https://drive.google.com/file/d/1gYuoD9.BBRazzrk4)
นั่นละคือความ ‘ไม่น่าไว้วางใจ’ ของรัฐบาลชุดนี้
ที่ไม่เพียงด้อยฝีมือ ไร้น้ำยาสะสมมาแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ยังไม่สามารถประสานการทำงานร่วมกับพรรคการเมืองที่ดูดๆ
เข้ามา ปล่อยเละๆ เทะๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาลจนถึงจุดนี้กลายเป็น ‘ไร้ประสิทธิภาพ’ ถ้วนหน้า