วันอังคาร, เมษายน 14, 2563

พอจะก้าวไปสู่มาตรการ 'ผ่อนคลาย' เอ๊ะ ชักไม่แน่ใจ ดูแล้วเหมือน 'อุ้มเจ้าสัว'


ดูท่าสถานการณ์ไวรัสระบาดในไทยกำลังคลำทางไปสู่โหมด ปลดล็อค เถลิงสงกรานต์ จุลศักราชใหม่ เริ่ม ๑๖ เมษา แม้นว่านางสงกรานต์ปีนี้ค่อนข้างจะเหี้ยม ชื่อ โคราคะเทวีถือไม้เท้ากับพระขรรค์ ขี่เสือมาเสียด้วย

ทำนายว่า “เกณฑ์ธัญญาหารได้เศษ ศูนย์...ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๙ ส่วน มหาชนร้อนใจด้วยอาหารแล เกณฑ์ธาราธิคุณตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย” ตรงตามชะตากรรมยุค โควิดและสภาพดินฟ้าอากาศ แล้งอย่างวายร้ายที่มาแน่

จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งว่า ระยะ คลี่คลายที่ตั้งตารอกันอยู่ จักต้องดูแลอย่างเหมาะเหม็ง ลองผิดลองถูกอย่างที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้วสำหรับรัฐบาล ไอทู้บ ๒จะทำปากเปรอะต่อไปก็ไม่ได้เช่นกัน เหมือนอย่าง ไอทรั้มพ์ ๑ ที่ล่าสุดออกมาแถลงด่าสื่อเสียนี่

(สำหรับเฮียตูบของเราก็มีหลงมาประปราย เที่ยวเดินส่ายเยี่ยมด่านตรวจโอกาสสงกรานต์ ดันแนะประชาชนเอาอย่าง ให้ออกมาตากแดดเสียบ้าง ว่าฆ่าเชื้อโรคได้ อย่าอยู่แต่ในห้องแอร์ ที่ไหนได้ศูนย์ข่าวของรัฐบาลเองบอกไว้นั่นเป็น เฟคนิวส์) 

การประชุมสถานการณ์โควิดของศูนย์ฉุกเฉิน ประยุทธ์ แบะท่าว่าจะมีการผ่อนสั้นผ่อนยาวมาตรการควบคุม “เริ่มพิจารณาผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาดำเนินการได้” เช่น การขนส่ง ห้างสรรพสินค้า และร้านเสริมสวย

ที่ยังต้องปิดเด็ดขาดคือสนามมวย สถานบันเทิง ซึ่งจะมีคนไปชุมนุมกันเปHนจำนวนมาก “ส่วนร้านค้า ร้านอาหาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ พิจารณาเปิดได้แต่ต้องจัดการใหม่ เช่นการจัดโต๊ะต้องห่างกัน”  รวมทั้งตู้เอทีเอ็มธนาคารก็ต้องเว้นช่องกันหน่อย

ก้าวไปข้างหน้า ปัญหาน่าห่วงก็จะมีแต่รัฐบาลนี้เศรษฐีมือเติบเหลือเกิ๊น เตรียมใช้เงินล่วงหน้าไว้แล้ว ๒ ล้านล้าน โดยครึ่งหนึ่งเป็นส่วนสำหรับเยียวยา เท่าที่ผ่านมาปัญหาตรึม แจกจ่ายไม่ทั่วถึง แล้วยังไม่ตรงตัว คนไม่ควรได้ก็ได้ พวกตกสำรวจเลยอดไปก็เยอะ

อย่างนี้ มีกลุ่มนักวิชาการ ๖-๗ คน ในนาม “โครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไป...ในภาวะวิกฤติโควิด-๑๙” ศึกษาข้อมูลโดยตรงพบความเหลื่อมล้ำและเลอะเทอะ จึงทำข้อเสนอเพื่อช่วยประคองให้ถูกทาง คือขอให้เจาะจงมุ่งหมายต่อประชาชน มากกว่า เจ้าสัว สักหน่อย

ประเด็นแรกที่ ๗ อาจารย์มหาวิทยาลัยเสนอเข้าตรงเป้าเผง ให้ “ปรับเปลี่ยนหลักคิดและวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน” จากการใช้วิธี คัดคนเข้า ไปรับสวัสดิการอันเป็นของทุกผู้ทุกนาม ไปสู่การ คัดคนออกจากมหาชนที่มีสิทธิเหล่านั้น

เนื่องจาก “มาตรการที่เข้มงวดของรัฐทำให้ผู้ประกอบอาชีพนอกระบบต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า...คงมีเฉพาะคนส่วนน้อยที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น ข้าราชการประจำ และพนักงานประจำรายเดือนที่ไม่ถูกลดชั่วโมงการทำงาน” เป็นต้น

ข้อเสนออื่นๆ นอกจากที่คิดตรงกันกับพรรคใหญ่ฝ่ายค้าน คือ “รัฐควรผ่อนปรนเปิดพื้นที่ค้าขายและการใช้พื้นที่สาธารณะ อย่างมีการจัดการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดได้คลี่คลายลง” แล้ว เจาะจงในส่วนของงบประมาณฟื้นฟู ๔ แสนล้าน

“รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณส่วนนี้จำนวนหนึ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชน คณะกรรมการกองทุนชุมชนและหมู่บ้าน สำหรับฟื้นฟูชีวิตของคนระดับรากหญ้า” แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางใช้เงินก้อนใหญ่ มันจะอ้อมวกกลับไปอุ้ม เจ้าสัว

โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้รับไฟเขียวให้ดำเนิน “มาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน วงเงินรวมไม่เกิน ๔ แสนล้านบาท” นั้น งบประมาณจากเงินกู้จำนวนมากจะไปตกแก่ หุ้นกู้ของบริษัทใหญ่ๆ

มีผู้สันทัดกรณีหลายแหล่งชี้ให้เห็นว่า เครือข่ายสองบริษัทเจ้าสัวยักษ์ใหญ่ ซีพีและไทยเบฟ จะกลายเป็นผู้ได้รับเงินเยียวยาไปเสียฉิบ ในเมื่อ “พบว่ามีตราสารหนี้ภาคเอกชน (หุ้นกู้) ที่จะครบกำหนดชำระและจะต้องต่ออายุ (roll over) มูลค่ารวม ๖.๒๕ แสนล้านบาท”
หุ้นกู้ดังกล่าวที่อยู่ในมือของเสี่ย ธนินท์ เจียรวนนท์ และเจริญ สิริวัฒนภักดี รวมกัน “ตัวเลขกลมๆราว ๑ ล้านล้านบาท ถ้า ธปท.ตั้งกองทุนอุ้มหุ้นกู้ขึ้นมา คาดว่าเงินที่จะไปซื้อหุ้นกู้ใหม่เพื่อมาใช้หนี้หุ้นกู้เก่า มันจะไหลไปไหน”

Thuethan Prasobchoke ตั้งข้อสังเกตุ “คนขายหุ้นกู้กับคนซื้อหุ้นกู้มีจำนวนเท่าไหร่ เป็นสัดส่วนเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ...และประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์อะไรกับคนสองกลุ่มนี้” ข้ออ้างตั้งกองทุนอุ้มหุ้นกู้ว่า ถ้า “คนกลุ่มนี้ล้มจะพาคนทั้งประเทศล้มไปด้วย” ใช่แน่หรือ

“ถ้าท่านเดือดร้อนจะเป็นจะตายกับการจำนำข้าว กับการอุ้มชาวนาซึ่งเป็นคนจำนวนมากกว่าครึ่งของประเทศ” เถือแถนถาม “ทำไมเวลาชาวนา ชาวสวนยางพารา ขายยางไม่ได้ราคา ประยุทธ์ทำไมบอกให้เลิกปลูก ให้ไปทำอย่างอื่น ทำไมไม่บอกบริษัทพวกนี้บ้างว่า ถ้าไม่ไหวก็เลิก”


นั่นละคือความ ไม่น่าไว้วางใจของรัฐบาลชุดนี้ ที่ไม่เพียงด้อยฝีมือ ไร้น้ำยาสะสมมาแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ยังไม่สามารถประสานการทำงานร่วมกับพรรคการเมืองที่ดูดๆ เข้ามา ปล่อยเละๆ เทะๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาลจนถึงจุดนี้กลายเป็น ไร้ประสิทธิภาพ ถ้วนหน้า