วันอาทิตย์, เมษายน 12, 2563

คืนนั้น เมื่อสิบปีที่แล้ว บทสรุปสุดท้าย ครบรอบสิบปี เมษาเลือด ๒๕๕๓





Somchai Makmee
22 hrs ·

บทสรุปสุดท้าย ครบรอบสิบปี เมษาเลือด ๒๕๕๓

บทเรียนที่ยากจะลืม (ไม่น่าจดจำ) ผมเคยเขียนเรื่องนี้ ไว้ สามถึงสี่ครั้ง แต่เป็นการเขียนในลักษณะ นาที ต่อนาที กับความทรงจำ ในเตนท์ พบาบาลนิรนาม แต่เมื่อครบรอบวันนี้ของทุก ๆ ปี ภาพฝันร้ายนั้น ก็กลับมาหลอกหลอน พวกเราอยู่เสมอ ในอนาคตข้างหน้า ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น จะได้รับการชำระ เอาความจริงมาตีแผ่ว่า คืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ผมขอสรุปจากความทรงจำในมุมที่ต่างไปจากการเขียนความทรงจำเดิม ๆจากทุกปี ดังนี้นะครับ

๑ การพยายามเอาชนะ ด้วยมิจฉาฐิถิ หรือ อยากโชวพาว ของฝ่ายรัฐ

ก่อนวันที่ ๑๐ เมษา เป็นอันรู้กันว่า นปช. จะเปลี่ยนยุทธศาสตร์ จากชุมนุมที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปอยู่ที่ราชประสงค์ สภาพ โดยรวมของราชดำเนิน ตอนนั้นเกือบจะร้างแล้ว หลายเตนท์ มูฟไปจับจอง ที่ราชประสงค์แทนหลายที่ เหลือข้าวของเล็กน้อย ทยอยขน รวมทั้งเตนท์ พยาบาลนิรนาม ก็ แพคสัมภาระ รอการเคลื่อน หลังจากเรากำหนดจุด ว่า ได้ตรงไหน ในราชประสงค์ ผมมั่นใจว่าฝ่ายข่าวทหารรู้ ว่า ไม่ต้องสลายเราก็คืนพื้นที่แน่ ๆ แล้วจะมาทำพ่องงง ?

ก่อนการบุก เราได้รับข่าว ทุกวันว่า บุกแน่ บุกแน่ ให้เตรียมพร้อมไว้ ซึ่งผมมักจะสบถทุกวันว่า ไอ้บ้านั่นมันใครวะ ตระโกนโหวก ๆ บนเวที ให้เตรียมพร้อมตลอดเวลา เช้าวันที่สิบ ผมตื่นจากฟุตบาท (นอนบนไม้พาเลท ปูทับด้วยเสื่อน้ำมัน) ประมาณ หกโมงเช้า เพราะไอ้บ้าคนนึง ขับปิคอัพประกาศ ว่า เตรียมตัวไว้ เขาจัดกำลังแล้ว มันจะมาสลาย บลา ๆ ใครจะไปหลับได้วะ ทั้งที่พึ่งจะหลับไปตอนตีสาม ลุกขึ้นมาเจอสหายลูกชาวนาไทย นอนอยู่บนเปล ผมบ่น ๆ ไปว่า ปล่อยข่าวกันแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เลยบอกว่าผมไปนอนบ้านดีกว่า ห้าโมงเย็นผมเข้ามาต่อเวร แพคของ คืนเตนท์ (รถจะเข้ามาขน มารื้อ) ก็คิดว่า มันเป็นข่าวประสาทแดกเหมือนเดิมไม่น่าจะมีใครบ้ามาสลาย เตนท์เปล่า ๆ

๒. ผมกลับมาอาบน้ำ นอนที่โซฟาข้างล่าง เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยได้นอน หลับเป็นตายไปซักพัก โทรศัพท์ดัง สายลมอยู่ไหน มาที่เตนท์ด่วน ทหารจะสลายแล้ว (พยาบาลอาสาศึก นางนึงเสียงเครียดมาตามสาย) น้ำไม่อาบ เช้าอาบแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อยืดคอปกขาว กางเกงยีนต์ รองเท้าผ้าใบ (ตอนนั้นไม่มีกับใจถึง ๆ) คว้าเป้ สนามประจำกาย ข้างในเวชภัณฑ์ ขึนรถได้ ขับจากพุทธมนทล ขึ้นปื่นเกล้า ระหว่างนั้น โคตรโทรศัพท์ ดังรัว ๆ แบบ กูเป็นเซเลป เปล่าครับ เพราะผมเป็นคีย์แมนคนหนึ่งในการขับเคลื่อน กลุ่มพยาบาลนิรนาม ( ลักษณะ แจ้งข่าวกันเอง คือโทรเช๊คนี่แหละ)

บ่ายสามมั้ง ผมขึ้นปิ่นเกล้าไม่ได้ เจอรถบรรทถกทหาร สองคันขวางกลางสะพาน สภาพล้อไม่มี น่าจะโดนประชาขนถอด แล้วก็มีรถอีกหลายคัน มาจอดขวางไว้ ผมตระโกนบอก ไปได้มั้ยเลื่อนหน่อย (มีการ์ดชาวย้าน) ถามเป็นคนในวงการแพทย์หรือเปล่า นี่เคอร์ฟิวส์นะ อ้อไม่ใ่ช่ มันจำหน้าผมได้ ว่าผมอยู่เตนท์อะไร ไม่ได้พี่ ตรงนี้ เขาจะกันทหารจากเมืองกาญจน์ (เข้าใจว่าหมายถึง พล ๙ จาก กาญจนบุรี) พี่จอดริม ๆ ถนนบนสะพานแล้วเดี๋ยวผมเอารถไปส่ง (มอเตอร์ไซด์) พี่ดำดูแล้ว ถ้าประทะกันตรงนี้ รถกูไฟไหม่แน่ เอางี้ ขับตามพี่มาคันนึง พี่จะไปจอด พาต้าปิ่นเกล้า น้องมันก็ให้เด็กขับรถตามมา ผมก็จอดในพาต้า คว้าเป้ ซ้อนรถ เข้าไปที่ราชดำเนิน

๓ ซ้อมแผน ตอนนั้น เราประทะเป็นหย่อม ๆ แต่ไม่หนัก ลักษณะ กระจัดกระจาย (ประทะรอบแรกไปแล้ว เล่นกันตามกติกา คือ กระบอง และแกส ไม่มีของหนัก ข่าวทั้งปวง มาจากปากคนในม๊อบนะครับ เพราะเราไม่รู้ห่าอะไรเลยสมัยนั้น หมอปิ ปรึกษาว่า แผนฉุกเฉิน มีดังนี้

๓,๑ เข้าทางเดียว ออกทางเดียว คือเรา จะเอาคนเจ็บเข้าทางนี้ ส่วนทางออกออกทางนี้ วันเวย์นะ คุณสายลมต้องเคลียพื้นที่การมูฟ รวมทั้งดู บริเวณพักรอ หากเยอะ โดยต้องดูว่าใครต้องก่อน(รักษา) ใครรอได้

๓.๒ หนึ่งถุงมือ หนึ่งเคส ทุกคนจะต้องเปลี่ยนถุงมือ กรณีทำแผลสด ตอนนั้น ผมแม่งแม่มโคตรเก่งเลยหวะ เรื่องทำแผลเนี่ย เพราะผ่านสมรภูมิ ศึกทำเนียบมาแล้ว ในปี ๕๑ อุปกรณ์การทำแผลกรรไก ผ้าพัน ล้าง ห้ามเลือด กูนี่เต้ย (ตอนนั้นทำแผลทุกวัน วันนึงเป็นสิบ ๆ คน) จะมีลูกมือผมประมาณ สามสี่นาง ส่งอุปกรณ์ให้เวลาผมเรียก

๓.๓ พื้นที่หมอ เราต้องจัดให้หมอนิรนาม สองท่าน มีอาจารย์จาก รพ.เด็ก (ที่เคยเล่าว่า แกหอบชุดผ่าตัดเล็ก มาวางโครมแล้วแกบอกว่า โต๊ะนี้เผมขอใครห้ามใช้ พอเปิดผ้าเขียวมา มีทุกอย่างมีด กรรไกร เป็น สิบ ๆ ชิ้น แกคงเอามาจาก รพ.เอง แกจองปีกซ้าย หมอปิ หมออายุกรรม รพ.พระมงกุฎ รับผิดชอบปีกขวา

ทีมปูเตียง คือ ผ้าพลาสติค ปูทับไปบน เตียงสนามมีสามเตียง หมดเคสต้องล้างทันที ด้วยน้ำเกลือขวด เสร็จแล้วปูทับใหม่

๓.๔ ทีมเย็บสด อันนี้พยาบาลวิชาชีพ จาก สห โรงพยาบาล พวกนี้ ของจริง มาครบ ศิริราช จุฬา ระยอง จำไม่ได้หมด มาสมัครงานใต้ดินกันทั้งนั้น

๓.๕ ทีมส่งต่อ นเรนทร์ หนึ่งคัน ร่วมกตัญญู หนึ่งคัน รถตู้ พร้อมพลขับ และพนักงาน

๔ เจอของจริง แผนไม่เป็นดังคาด พอฟ้ามืด (เราอยู่เยื้องกับ แยกคอกวัว) อยู่อีกฝั่งนึง ตอนนั้นเสียงปืน เสียงด่า เสียงตีกัน เสียงประทะ มาถึงเตนท์ เรียกได้ว่า ฟังซาวแทรค เต็มสองหู ปับ ปับ ปับ ปับ เสียงปืน ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง พองานเริ่มเข้า มอเตอร์ไซด์ ห้าถึงหกคัน จากคอกวัว เข้ามาร์คเราเป็น สถานีรบ ก็เริ่มทยอยเอาคนเจ็บเข้ามา

๔.๑ มากจน พับแผน ทีแรกก็ทันนะ แต่หันไปอีกที เก้าอี้รอคิวหน้าเตนท์ มันไม่ทันคนเจ็บ คือมันมาเยอะมาก เราใช้วิธี ใครว่าง มาช่วยทีมที่หนัก จากที่แบ่งกันทำ เป็น สหบาทา จากหนึ่งถุงมือ ต่อหนึ่งคน เป็น ผมต้องจัดทีมราดน้ำเกลือ คือพอเสร็จเคส ผมจะกางมือออก น้องจะยกน้ำเกลือ ราดถุงมือ (ล้างเลือด) ถามว่ามันยากหรา ถุงมือมันยากนะเมิง เพราะมันรัดแนบเนื้อ ถอดไม่เท่าไหร่ แต่ใส่ มันเสียเวลาฉิบหาย ทำไปได้ยี่สิบคน กูเลิก สั่้ง น้อง ก. เอาลังน้ำเกลือมารอเลย เสร็จหนึ่งเคส ราดมือพี่เลยนะ

๔.๒ หนักสุดโดนประสุนยาง ตาดำมองไม่เห็นเลยอะ ไอ้ตี๋ ไม่ใช่ธนาธรนะ เด็กอายุซักยี่สิบ รายนี้ เอาเปลหามมา ผมรับที่หน้าเตนท์ บอกแซงเข้าไปเลย (คนหามมาบอกโดนยิงตา) หมอดูอาหารเบื้องต้น รับมือไม่ไหว แกบอก เอาไปโรงพยาบาลด่วน ส่วนรายที่ครวญคราง โดนตามลำตัว กูว่ามันหนักนะ คือแต่เปิดดู ก็ดิ้นคือมันคงสะท้านข้างใน ทั้ง ๆที่มันเป็น วง ๆเหมือนโดนบุหรี่จี้ แต่มันเป็นรอยเขียวรอบ บางคนถอดเสื้อไม่ไหว พี่ดำเอากรรไกร ตัดออก (เสื้อ) ให้หมอได้วินิจฉัย

๔.๓ คืนนั้น ทุกคนละเลงเลือด หัวแตก คิ้วแตก มาโคตรเยยอะ แขนห้อย (โดนฟาด) เราใช้วิชาพันมือ ทำผ้าคล้องคอ เอาแขนห้อยไว้ ตามที่ฝึกมา ส่วนมาก รายการแบบนี้ บอกเสร็จแล้วใช่ปะ ขอ พาราสองเม็ด จะไปตีกับมันต่อ (แม่เจ้าเว้ยย แขนข้างเดียวนี่นะ)

๕ ปิดทองหลังพระ ผมให้ เด็กแว้นซ์ สิบเต็มสิบ รถ นเรนทร์กู รถร่วมกู ไปรอบเดียวกลับมาอีกทีตอนเลิก ไม่ได้อู้ โดนสั่งไปรับคนเจ็บรายอืน

พี่ดำตระโกนลอย ๆ ขอรถอาสาพาคนส่ง รพ.ครับ มาจอดกันร่วมสิบคัน ทันที (ซึ้งมากมาย) แถมบางคันมีไฟแวบ ๆ ทีเป็นสีแดง สีน้ำเงิน ติดตรงไฟหน้า แล้วรอบคอบนะ คนขับ คนเจ็บซ้อน คนประกบหลัง ไปรพ. แล้ววิ่งกลับมารับเคสใหม่ คืนนั้นถ้าไม่ได้คนพวกนี้ ผมบอกเลยว่า เละ

ตอนนั้น ไม่ได้คิดอะไรเลยนะ หายใจยังแทบไม่ทัน จำได้ว่า เสียงนัฐวุฒิ ประกาศว่า ขอให้ทหารถอย เราก็จะถอย เพื่อหยุดการสูญเสีย (นัฐวุฒิมาจากราชประสงค์)

พี่ดำคุกเข่าเหมือนแข่งบอลจบ ร้อยยี่สิบนาที แบบบอกไม่ถูกว่า เกือบสามชั่วโมง นรก ที่คอกวัว แม่งทำไมเหนื่อยแบบนี้วะ หันมามองแขนตัวเอง เลือดใครไม่รู้ เต็มแขนเต็มเสื้อ เต็มกางเกง มันเหมือนเอาเลือดมาพรม น้ำมนต์

สงครามจบแล้ว ถอดถุงมือทิ้ง มองไปที่พื้นเตนท์ มันเปียกไปด้วย น้ำเกลือ ผสมกลิ่นเลือด เต๊นท์ เหมือนฝนตก เสียงประทะจบลง เราหลายคนหายใจโล่งอก

จนมอเตอร์ไซด์ หัวหน้าทีมส่งคนเจ็บจากคอกวัว ขับมาบอกว่า พี่ ๆ ของเราตายสองคนนะ (ฟังไม่ผิดหรอกครับ น้องเขาบอกว่าตายสองคน) เพราะแกก็เห็นเท่าที่แกเห็น แกก็นึกว่าตายแค่นั้น

หมอปิร้องไห้โฮ เลย แกเบะ แบบไม่อายใคร ปากแกก็พร่่ำว่าทำไมต้องฆ่า ทำไมต้องมีคนตาย (ถ้าตอนนั้นแกรู้ว่ายี่สิบคน สงสัยแกเป็นลมแน่ ๆ )

คืนนั้น ผมไม่รู้นะว่าผมทำอะไรที่ ราชดำเนิน ผมไม่มีเวลาคิด ไม่มีเวลาถามตัวเองว่า กูมาทำอะไรที่นี่

พี่น้องทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ก็คงถามตัวเองเหมือนกูนี่แหละ

เราช่วยกันเพราะเราไม่มีใคร เราผูกพัน เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เรารู้ว่าใครเสียสละ ใครของจริง ใครของปลอม

หลังจากเก็บกวาด น้องเอาเสื้อเอี้ยมมาให้ผมใส่กลับ ผมไม่รับไปเอาเสื้อเพื่อน(ยืม) มาใส่แทน ส่วนตัวที่ใส่ไป ทิ้ง ไม่ได้รังเกียจนะ ซักไม่ไหวหรอก จนห้าทุ่มกว่า หลังจากที่เชคแล้วว่า แพทย? พยาบาลอาสา นักรบนิรนามในเตนท์ ทุกคนปลอดภัย ผมก็ขอแรงน้อง ขับมอเตอร์ไซด์มาส่งที่พาต้าหน่่อยวะ

ขับรถแบบไร้วิณญาณ กลับบ้าน พร้อมคำถามในใจว่า มึงจะสลายการชุมนุมทำไม อีกสองวันก็ย้ายหมดแล้ว

ถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน ต้องค่อย ๆ ย่องเข้าทางประตูหลัง กลัวแม่ได้กลิ่นเลือดจากกางเกง เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ เอากางเกงมัด ๆ ใส่ถุงก๊อปแก๊บสามชั้น ไปทิ้งถังขยะ

ครับ นี่คือคืนนั้น เมื่อสิบปีที่แล้ว