วันอาทิตย์, มีนาคม 13, 2559

ช่วงนี้ ตะหานใหญ่ ‘พ่น’ น้ำลายกันเปรอะ โดยเฉพาะ คสช.





ช่วงนี้ ตะหานใหญ่ ‘พ่น’ น้ำลายกันเปรอะ โดยเฉพาะ คสช. พี่ใหญ่พูดเรื่องไฟ น้องใหญ่ว่าเรื่องน้ำ

พล.องประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกเกษตรกรต้องประยุกต์เข้ากับสถานการร์ขาดแคลน ให้ใช้น้ำเพาะปลูกแค่ ‘พอเพียง’

“ให้ทุกคนช่วยกันประหยัด ประหยัดทุกคน ประหยัดทุกส่วน อย่าให้ถึงขนาดต้องมากินน้ำวันละเท่านี้ อาบน้ำวันละครั้ง ผมว่าไม่ใช่ แค่อาบให้น้อยลงเท่านั้น อย่าขัดสีฉวีวรรณนานนัก”

(http://m.posttoday.com/politic/421056…)

เข้าใจพูดมากนะนี่ ทั้งๆ ที่มีรายงานไปทั่วว่าคนไทยได้สัมผัสภัยแล้งขยายออกไปเกือบทุกหัวระแหง

Jittra Cotchadet โพสต์รูปคลองมะขามเฒ่า อู่ทอง สุพรรณบุรี ว่าปีนี้น้ำแห้งขอด




“โทรไปถามสารทุกข์สุกดิบกับชาวนาสุพรรณ ปีนี้บอกว่าเรื่องทำนาไม่มีเสียหายเลย เพราะรับมือเป็นอย่างดีไม่มีข้าวตายเพราะรู้ว่าไม่มีน้ำทำนาเลยไม่ได้ทำ แต่ปลูกมะม่วงทดแทนตอนนี้กำลังเสียหาย มะม่วงกำลังจะตาย ต้องซื้อน้ำมาใส่ท้องร่อง ซื้อน้ำจากที่อื่นคันละ ๑,๒๐๐ บาท ซื้อทีหลายสิบคันเพราะต้องให้ท้องร่องมีพอรดมะม่วง...

น้ำที่มีอยู่ก็เอาไว้ทำน้ำปะปาและปล่อยเป็นเวลา บางวันก็ไม่มีน้ำอาบ นี่แหละปัญหาชาวนาจริงๆ”

อีกรายลงภาพคลองแม่มอก สวรรคโลก สุโขทัย สะพานโด่ติดดินไม่มีน้ำ มีแต่น้ำลาย คสช. กระจัดกระจายทั่วทั้งชั้นบรรยากาศไตแลนเดีย

แม้แต่อดีตนายกฯ ต้นตำหรับ ‘คนนอก’ จากกองทัพ ขุนพลคู่บัลลังก์ pre-Queen’s guards ก็ยังเอ็นจอย ‘วาทะ’ กับเขาเหมือนกัน

เมื่อวาน ‘ป๋าใหญ่’ (องคมนตรี) ไปงานสัมมนาเรื่องใช้ศาสนาต้านทุจริต บ่นว่าคอรัปชั่นยังไม่ลดลงเลย “แม้จะดีขึ้นแต่คะแนนไม่ขึ้นเลย" แต่ก็ยังเชื่อว่าศาสนานำมาใช้แก้ฉ้อฉลได้ “การถูกกล่าวหาว่าไทยเป็นชาติขี้โกงถือเป็นเรื่องน่าอาย”




พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พูดเรื่องคอรัปชั่นซ้ำซ้อนเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

“การโกงชาติตัวเองเป็นสิ่งที่น่าขายหน้าและเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เนื่องจากไทยปราบปรามการโกงช้า ช้าจนคิดว่าอาจทำให้บ้านเมืองแย่ลง”

คราวนี้ป๋าเพิ่มความตื่นตลึงไว้ในคำปาฐกถาด้วยว่า

“เราจึงควรแก้ที่ตัวเราเอง โดยเฉพาะเยาวชนที่จะต้องให้รับรู้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ถ้าเทคโนโลยีสามารถทำได้ ว่าเกิดมาต้องไม่โกง รวมถึงธรรมาภิบาลที่ทุกคนต้องมี”

(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1457778020)

กระทั่ง ‘พ่อใหญ่’ ถึงไม่ใช่ คสช. และก็เลิกเป็น ‘ลูกป๋า’ มานานพอควรแล้ว ไม่วายออกมาแถลงข่าวให้ข้อคิดทางการเมืองอีกครั้ง หลังพบความสำเร็จเมื่อคราวก่อน ฮือฮาน่าดู "ขอให้ คสช.ออกจากอำนาจ"

คราวนี้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ อดีต ผบ.ทบ. (สมยา ‘ขงเบ้งทัพบก’) และอดีตนายกรัฐมนตรี สไตล์ ‘อะไรก็ได้’ ยืนยันมั่นคง “ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ประเทศไทยก่อนหน้านี้”




ย้ำเสียด้วยว่าลาออกจากพรรคเพื่อไทยนานแล้ว เพราะไม่สอดสร้อยร้อยเรียงกับ ‘ชินดาวงศ์’ หรือสามตระกูลหลักของพรรคเพื่อไทย ชินวัตร ดามาพงษ์ และวงศ์สวัสดิ์

แต่ที่ออกมาครั้งนี้เพราะความรับผิดชอบต่อแผ่นดินในการนำ ‘กองกำลังที่สาม’ หรือ ‘Third Force’ มาทำหน้าที่แก้วิกฤต ยุติความขัดแย้ง

(http://www.matichon.co.th/news/68385)

บิ๊กจิ๋วอ้างว่ากองกำลังที่สามนี้จัดตั้งมาแล้ว ๓ ปี มีจำนวนมหาศาล ประกอบด้วยชาวไทยกลุ่มต่างๆ ไม่เจาะจงสีอะไร ทั้งไทยใหม่ ไทยภูเขา และไทยใต้

กองกำลังนี้มียุทธศาสตร์ “เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นการให้อภัยกัน สร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตย” ด้วยความเชื่อที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นความปรารถนาสูงสุด เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ

“ไม่มีประเทศประชาธิปไตยยากจน และไม่มีประเทศเผด็จการร่ำรวย” บิ๊กจิ๋วว่า

สำหรับหลักการต่อสถานการณ์ปัจจุบัน บิ๊กจิ๋วรับทุกท่า สว. สรรหาในช่วงเปลี่ยนผ่านนั้นมีได้ เพียงแต่ต้องสรรหาจริงๆ ไม่ใช่เอาเพียงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

กลไกพิเศษในรัฐธรรมนูญก็มีได้ไม่ว่าอะไร “น่าจะจำเป็น” จึงเห็นว่า “อะไรที่ดีก็ทำไปเลย”

แต่ว่าทั้ง สว.สรรหาและกลไกพิเศษ ล้วนเป็นวิธีการที่ขัดแย้งต่อประชาธิปไตย จึงไม่ใช่สิ่งดีที่ควรทำ และไม่น่าจะจำเป็นเลยสักนิด

เห็นที พล.อ.ชวลิตจะต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปช่วยป๋าเปรม หาทางฝังจีนหรือดีเอ็นเอเด็กในครรภ์ ให้เกลียดคอรัปชั่นเหมือนป๋าตั้งแต่ยังไม่เกิดดีกว่า ป๋าจะได้เรียกหาใกล้ชิดอย่างเคย