วันพฤหัสบดี, กันยายน 04, 2568

เคยคิดบ้างมั้ย ปัญหาเหนือไปกว่า รักษาการนายกฯมีอำนาจยุบ หรือ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจ คือ เราท่านทั้งหลายต้องการให้พระราชอำนาจนั้นมีอยู่เพื่อปกป้องอะไร? อยากได้ความสถิตสถาพรระยะยาว หรือ ความถูกใจระยะสั้นแต่สร้างบาดแผลแก่สังคมระยะยาว ทุกท่านต้องตรองดูในโมงยามนี้


Kongsatja Suwanapech 
14 hours ago
·
พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรมีอยู่เพื่ออะไร?
พระราชอำนาจในการยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นตัวแทนประชาชาติ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (impartial party) และทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎรของพระองค์ในฐานะตัวแทนมหาชน (King in Parliament) ดังนั้น การยุบสภาฯจึงเป็นพระราชอำนาจเชิงสัญลักษณ์เพื่อให้การยุบสภาฯมีความหมายว่า ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของฝ่ายใด แต่เป็นการ คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและรัฐสภา โดยหลัก ถ้าฝ่ายบริหารแนะนำให้ยุบ ก็ต้องทรงอนุโลมตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร
ธรรมเนียม (convention) เช่นนี้ เกิดจากความขัดแย้งทางการการเมืองศตวรรษที่ 17 ที่ในอดีต พระมหากษัตริย์มีอำนาจเปิด–ปิดสภาตามพระราชอัธยาศัย พระเจ้า Charles I ทรงไม่เรียกประชุมสภาเลยหลายปี เพื่อปิดกั้นการตรวจสอบ ทำให้เกิดวิกฤตความขัดแย้งระหว่างสภาผู้แทนฯ​กับองค์กษัตริย์จนเป็นชนวนให้เกิด English Civil War และตามมาด้วย Glorious Revolution 1688 ในรัชกาลต่อๆมาที่รัฐสภาลิดรอนพระราชอำนาจทางการเมืองลง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ให้กษัตริย์ไม่สามารถทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ได้อีก
หลังศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา สภาผู้แทนฯ มีอำนาจเพิ่มขึ้น และ King ทรงถอยลงจากการบริหารราชการ พูดง่ายๆ ไม่ทรงนั่งเป็นนายกฯ เพราะเกิดตำแหน่งนายกฯขึ้นมานำการบริหารราชการแผ่นดินแทน แต่ยังทรงมีสิทธิธรรมและสถานะของประมุขแห่งรัฐแทนมหาชนหรือประชาชาติอยู่ เพราะฉะนั้น การยุบสภายังคงมีอยู่และกลายเป็นกลไกของฝ่ายบริหารในการจัดการความขัดแย้งกับสภา ทว่ายังต้อง อาศัยพระบารมีและสถานะเหนือการเมืองของกษัตริย์เพื่อให้การยุบสภาดูเป็นการกระทำที่เป็นกลางและชอบธรรม
เมื่อไม่ใช่ “เรื่องส่วนพระองค์” แต่เป็นเรื่องของการบริหาราชการแผ่นดินเพื่อมหาชน หากรัฐบาลแนะนำให้ยุบ ก็ต้องยุบตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร แต่ยังทรงสงวนไว้ซึ่งพระราชอำนาจดั้งเดิม เป็นประกาศิตสุดท้าย (last resort) สำหรับกรณีที่ การยุบสภาจะทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุลของรัฐสภา และ บ่อนทำลายความเป็นสูงสุดของรัฐสภา (Parliamentary Sovereignty) เอง เช่น รัฐบาลพยายามยุบเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือสร้างความได้เปรียบทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม
ทั้งนี้เพราะ The Crown มีอยู่เพื่อมหาชน และเป็นบ่อเกิดความชอบธรรมและอำนาจของทุกสถาบันการเมืองแห่งรัฐ กษัตริย์จึงต้องทรงอำนวยการให้สถาบันเหล่านี้ดำรงอยู่ต่อไปได้ และจะทรงใช้พระราชอำนาจเพียงเพื่อ ปกป้องระบบรัฐสภา ไม่ใช่เพื่อกำหนดผลการเมืองเองในยามวิกฤติเท่านั้น
ในไทยเรา มักมีนักนิติศาสตร์หัวใสมักหยิบโมเดล Westminster มาอธิบายแบบผิดฝาผิดตัว โดยเข้าใจว่า เพราะพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือพระราชอำนาจยุบสภา และไม่มีบทบัญญัติกำหนดไว้ชัดแจ้ง จึงมีพระราชอำนาจปฏิเสธหรือยุบตามพระราชอัธยาศัย
แต่ในความเป็นจริงของอังกฤษ ดังกล่าวไปแล้วว่า แม้พระราชอำนาจยุบสภาจะคงอยู่ในทางทฤษฎี เพื่อให้การยุบสภาเป็นการกระทำที่ เป็นกลาง และให้ทุกฝ่ายยอมรับผล ทว่าฝ่ายบริหารเป็นผู้ใช้อำนาจจริงเพราะเป็นผู้จัดการความขัดแย้งกับสภา กษัตริย์จะทรงปฏิเสธได้เฉพาะในกรณีที่จะทำลายรากฐานระบอบรัฐสภาที่รัฐบาลกำลังใช้อำนาจยุบสภาเพื่อ ทำลาย ระบอบรัฐสภาจากการเลือกตั้งเอง
เมื่อเราตีความกลับด้านให้พระราชอำนาจเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย พระมหากษัตริย์จึงเท่ากับผลักให้พระมหากษัตริย์ทรงเข้ามาชี้ขาดทางการเมือง ระคายเคืองเบื้องพระบาทยุคลเป็นอย่างยิ่ง และอันตราย กลไกยุบสภาควรเป็นเครื่องมือรักษาระบบรัฐสภาและประสิทธิภาพในการบริหารแผ่นดิน และยืนยันว่าราชอาณาจักร สถาบันพระมหากษัตริย์ และองคาพยพมีอยู่เพื่อมหาชน กลับกลายเป็น อาวุธทางการเมือง ที่สร้างวิกฤติและดึงสถาบันกษัตริย์เข้าสู่ความขัดแย้ง การอ้างแบบนี้คือเบือนหลักการมาเป็นหลักกู (หลักที่กูอยากได้)
ปัญหาเหนือไปกว่า รักษาการนายกฯมีอำนาจยุบ หรือ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจ คือ เราท่านทั้งหลายต้องการให้พระราชอำนาจนั้นมีอยู่เพื่อปกป้องอะไร?
ระบอบที่อำนาจไม่เป็นของกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่คุยกัน ต่อรองกันโดยสันติ ที่เราเรียกว่า ระบอบรัฐธรรมนูญ โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงปกปักรักษาไว้ให้มหาชนทั้งหลาย (Constitutional guardian) หรือ ระบอบที่อาศัยอำนาจสูงต่ำไม่ยั้งมือเป็นอาวุธจู่โจม สั่งสมความขัดแย้งยิ่งขึ้นไปทุกที
อยากได้ความสถิตสถาพรระยะยาว หรือ ความถูกใจระยะสั้นแต่สร้างบาดแผลแก่สังคมระยะยาว ทุกท่านต้องตรองดูในโมงยามนี้
ปล. ผมพยายามแปลความคิดที่มีรากฐานจาก Two bodies of King ให้เข้าใจได้ในกรอบความคิดของภาษาไทย พูดง่ายๆ คือ แปรนมเป็นกะทิ อาจแปลเอ้อเร่อเอ้อเต่อไปบ้าง ขออภัยอย่างยิ่งครับ หากสำนวนอ่านไม่เข้าใจนัก

https://www.facebook.com/kongsat/posts/10234746485836339
.....