วันพฤหัสบดี, กันยายน 04, 2568

สีส้ม: จากสีแห่งความหวัง สู่สีสันแห่งโลกอันล่มสลาย (เขียนดีนะ)


GROUNDCONTROL
17 hours ago
·
สีส้ม: จากสีแห่งความหวัง สู่สีสันแห่งโลกอันล่มสลาย
.
สีส้มเป็นสีที่มีความหลากหลายทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การปรากฏของสีนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความงามทางศิลปะเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อ ศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจของผู้คนในแต่ละยุคสมัย การเดินทางของสีส้มตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงพลังของสีในการสื่อสารอารมณ์ ความคิด และภาพสะท้อนของสังคมได้อย่างชัดเจน
.
รากฐานของสีส้มในยุคโบราณ
.
ก่อนศตวรรษที่ 16 ในยุโรป สีส้มมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีคำเฉพาะเรียกสีนี้ ผู้คนจึงมักอธิบายว่าเป็น “เหลือง-แดง” (yellow-red) ชื่อ “ส้ม” หรือ “orange” เพิ่งปรากฏขึ้นภายหลัง เมื่อพ่อค้าโปรตุเกสนำต้นส้มและผลส้มจากเอเชียเข้าสู่ยุโรป คำว่า nāraṅga จากภาษาสันสกฤตได้แพร่กระจายไปในหลายภาษา เช่น naranja ในภาษาสเปน, laranja ในภาษาโปรตุเกส และกลายเป็น orange ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสในที่สุด
.
ในวัฒนธรรมโบราณ สีส้มถูกสกัดจากแร่ธาตุและวัสดุต่าง ๆ เช่น อียิปต์โบราณใช้แร่ realgar สีแดงอมส้มสำหรับทาฝาผนังหลุมฝังศพ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุใช้หินและอัญมณีสีส้มอย่าง carnelian ทำเป็นเครื่องประดับและวัตถุพิธีกรรม
.
ในจีนและอินเดียโบราณมีการใช้แร่ orpiment เพื่อสร้างสีส้มในงานศิลปะและต้นฉบับโบราณ (manuscript) โดยสีส้มไม่ได้เป็นเพียงความงาม แต่ยังสื่อถึงพลัง ความศักดิ์สิทธิ์ และความรู้แจ้ง ศาสนาพุทธเชื่อมโยงสีส้มกับการตรัสรู้ ขณะที่ศาสนาฮินดูใช้สีส้มเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าบางองค์ เช่น พระกฤษณะ
.
นอกจากนี้ สีส้มที่ได้จากพืช เช่น รากไม้ ดอกไม้ หรือหญ้าสีเหลืองแดง ก็ถูกนำมาใช้ในเอเชียเพื่อย้อมผ้า ทำจีวรพระสงฆ์ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สีเหล่านี้จึงกลายเป็นรากฐานสำคัญของการใช้สีส้มในงานศิลปะและการตกแต่ง ก่อนที่จะมีการพัฒนาสีสังเคราะห์ในยุคหลัง
.
สีส้มในยุโรปยุคกลางและการเมือง
.
ในศตวรรษที่ 16 ราชวงศ์ Orange-Nassau แห่งดัตช์เริ่มมีบทบาทสำคัญในยุโรป แม้ชื่อ Orange จะมาจากแคว้นเล็ก ๆ ในฝรั่งเศสตอนใต้ที่ตกเป็นมรดกแก่ตระกูล Nassau โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับผลไม้ส้ม แต่ตระกูลนี้กลับเลือกใช้ “สีส้ม” เป็นสัญลักษณ์ประจำตน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเครื่องหมายทางการเมืองและศาสนาที่ทรงพลัง
.
วิลเลียมที่ 1 แห่งออเรนจ์ หรือที่รู้จักกันว่า วิลเลียมผู้เงียบงัน (William the Silent) เป็นผู้นำการลุกฮือของชาวดัตช์ในการทำสงครามแปดสิบปี (1568–1648) ต่อต้านจักรวรรดิสเปนที่ปกครองดินแดนต่ำ (Low Countries) สงครามครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการแสวงหาเอกราช แต่ยังเชื่อมโยงกับศาสนาโดยตรง เพราะสเปนเป็นคาทอลิก ขณะที่ดัตช์จำนวนมากหันไปนับถือโปรเตสแตนต์ สีส้มจึงกลายเป็นธงนำทางของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเชื่อใหม่
.
ในเวลาต่อมา อิทธิพลของราชวงศ์ออเรนจ์แผ่ไปยังอังกฤษและไอร์แลนด์ โดยเฉพาะในช่วงวิลเลียมที่ 3 แห่งออเรนจ์ (ผู้ขึ้นครองบัลลังก์อังกฤษพร้อมพระนางแมรีที่ 2 หลังการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ปี 1688) ทำให้สีส้มถูกผูกเข้ากับอัตลักษณ์โปรเตสแตนต์ในเกาะอังกฤษ กลุ่ม Orangemen ในไอร์แลนด์เหนือจึงนำสีนี้มาใช้แสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ออเรนจ์และศาสนาโปรเตสแตนต์ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นรากฐานของความขัดแย้งทางศาสนาและการเมืองในภูมิภาคนี้
.
ผลจากการเชื่อมโยงเหล่านี้ สีส้มจึงไม่ใช่แค่สีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ แต่ยังถูกสถาปนาเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชาติเนเธอร์แลนด์ ปรากฏอยู่ในธงชาติยุคแรก ๆ และกลายเป็นสีประจำชาติที่ชาวดัตช์ใช้มาจนปัจจุบัน ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย เสื้อทีมกีฬา ไปจนถึงการเฉลิมฉลองวันกษัตริย์ (King’s Day)
.
การแพร่ขยายของจักรวรรดิดัตช์ยังทำให้สีส้มเดินทางออกไปสู่โลกกว้าง เช่น รัฐอิสระ Orange Free State ในแอฟริกาใต้ ที่ตั้งชื่อตามราชวงศ์ออเรนจ์ และธงเมืองนิวยอร์กที่ยังคงแถบสีส้มไว้เพื่อระลึกถึงรากฐานการเป็นอาณานิคมดัตช์ในอดีต
.
สีส้มในศิลปะยุคใหม่: จากความหวังสู่แสงสว่าง
.
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 สีส้มเริ่มมีบทบาทสำคัญในศิลปะและวัฒนธรรมยุโรป ไม่เพียงแต่ถูกใช้ในการพรรณนาตัวละครเทพีปอมโมนา เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่ยังสะท้อนการแพร่หลายของผลส้มในยุโรปเหนือ อันเกิดจากการคิดค้น orangerie หรือโรงปลูกต้นไม้เขตร้อน ที่ทำให้การเพาะปลูกส้มเป็นไปได้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ความนิยมนี้ส่งผลโดยตรงต่อการใช้สีส้มในงานศิลปะซึ่งเริ่มผูกพันกับภาพของความอุดมสมบูรณ์และชีวิตอันหรูหรา
.
ในเวลาเดียวกัน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ช่วยขยายโลกของสีอย่างมหาศาล เมื่อชาวฝรั่งเศสค้นพบแร่ crocoite และนำไปสู่การสร้างเม็ดสี “โครม ออเรนจ์” ในปี 1809 ตามมาด้วยเม็ดสีสังเคราะห์อื่น ๆ เช่น “โคบอลต์ ออเรนจ์” และ “แคดเมียม ออเรนจ์” เมื่อรวมกับการประดิษฐ์หลอดบรรจุสีน้ำมัน ศิลปินจึงสามารถพกสีออกไปวาดกลางแจ้ง ถ่ายทอดบรรยากาศแสงธรรมชาติได้อย่างสดใสและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
.
ในฝรั่งเศส ศิลปินอิมเพรสชันนิสต์และหลังอิมเพรสชันนิสต์ต่างหยิบสีส้มมาใช้เพื่อสร้างมิติใหม่ของการมองโลก โคลด โมเนต์ เปิดศักราชด้วย Impression, Sunrise (1872) ที่ดวงอาทิตย์สีส้มเล็ก ๆ สะท้อนบนท้องน้ำ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นใหม่ รวมถึงเป็นที่มาของชื่อขบวนการอิมเพรสชันนิสต์เอง นอกจากนี้ ศิลปินร่วมขบวนการอย่าง เรอนัวร์ เซซานน์ ตูลูซ-โลแทร็ก และโกแกง ต่างก็ใช้สีส้มเพื่อเน้นความสว่างสดใส ความหรูหราแปลกตา หรือสร้างความเข้มข้นของอารมณ์
.
โดยเฉพาะวินเซนต์ แวนโก๊ะ ที่แทบจะกลายเป็นตัวแทนของสีส้มในโลกศิลปะ เขาใช้สีส้มและเหลืองเพื่อสื่อถึงดวงอาทิตย์แห่งโพรวองซ์ โดยผสมสีขึ้นเองจากเหลือง โอเชอร์ และแดง วางคู่กับฟ้าไวโอเลต เขียวเข้ม หรือแดงเซียนนา เพื่อสร้างพลังทางอารมณ์ เขาเคยเขียนถึงธีโอ น้องชายของเขาว่า การวางคู่ตรงข้ามระหว่างน้ำเงิน–ส้ม แดง–เขียว และเหลือง–ม่วง คือหนทางที่จะทำให้สี “มีชีวิต” ขึ้นมา
.
สีส้มในศิลปะยุคใหม่ไม่ใช่เพียงสีของผลไม้หรือแร่ธาตุอีกต่อไป แต่เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่าง ความหวัง พลังสร้างสรรค์ และความมีชีวิตชีวา ซึ่งสะท้อนทั้งมิติทางอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความเปลี่ยนแปลงของโลกศิลปะอย่างต่อเนื่อง
.
สีส้มในศิลปะศตวรรษที่ 20 และร่วมสมัย
.
เมื่อศิลปะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 สีส้มก็ยังคงถูกใช้เพื่อนำเสนอพลังและความหวัง ตัวอย่างเช่น มาร์ค รอธโก ที่ใช้สีส้มใน Orange and Yellow (1956) เพื่อสร้างพื้นที่แห่งความสงบและการเยียวยาทางจิตวิญญาณ
.
ในศิลปะร่วมสมัย ศิลปินอย่าง อานิช กาปูร์ และ โอลาเฟอร์ เอลิอัสสัน ก็ยังคงขยายบทบาทของสีส้มต่อไป ผลงาน Sky Mirror, Orange (2010) ของกาปูร์สะท้อนสิ่งแวดล้อมเมืองด้วยแสงส้มสด ขณะที่ The Weather Project (2003) ของเอลิอัสสัน ณ เทตโมเดิร์น ใช้ดวงอาทิตย์สีส้มจำลองขนาดมหึมาเพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความหวังและการเชื่อมโยง
.
สีส้มในยุคโลกาภิวัตน์และโลกเสื่อมสลาย
.
สีส้มในงานศิลปะไม่ได้สะท้อนเพียงความอบอุ่นและความหวัง แต่ยังถูกใช้เพื่อถ่ายทอดความหมายในเชิงลบอย่างลึกซึ้ง ทั้งความตึงเครียด ความรู้สึกอึดอัด ความกลัว ความแปลกแยก หรือแม้กระทั่งความเสื่อมโทรมของโลกสมัยใหม่ จากสีของแสงอาทิตย์ที่ควรจะให้ความอบอุ่น มันกลับกลายเป็นเปลวไฟและความร้อนที่กดทับ จนกลายเป็นพลังซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าจะรู้สึกผ่อนคลาย
.
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ The Scream (1893) ของเอ็ดวาร์ด มุงค์ ซึ่งท้องฟ้าสีส้มแดงสดที่ปกคลุมฉากหลังไม่ได้บ่งบอกถึงความงามของยามเย็น แต่กลับสร้างบรรยากาศที่กดดันและหลอนราวกับสะท้อนความวิตกกังวลและความทุกข์ทรมานภายในจิตใจมนุษย์
.
ในยุคเอ็กซ์เพรสชันนิสม์ ฟรานซิส เบคอน ใน Study after Velázquez’s Portrait of Pope Innocent X (1953) ใช้โทนส้มเข้มผสมแดงสร้างบรรยากาศน่าหวาดหวั่น เต็มไปด้วยความรุนแรงและความสับสนที่กดทับตัวละครและผู้ชม
.
ศิลปะร่วมสมัยก็ยังสะท้อนพลังด้านลบของสีส้ม เช่น โอลาเฟอร์ เอลิอัสสัน ในงาน Room for One Colour (1997) ซึ่งใช้แสงสีเหลืองส้มเพียงสีเดียวในพื้นที่ปิด ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความอบอุ่น แต่กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกเวียนหัว เหนื่อยล้า และไม่มั่นคง แสดงให้เห็นถึงด้านกดดันของการรับรู้ด้วยสี หรือในผลงานของ อีซา เกนซ์เคน ที่ใช้สีส้มสดจัดจ้านเพื่อให้รู้สึกถึงความเป็น “พลาสติก” และไม่เป็นธรรมชาติ เป็นการวิพากษ์สังคมบริโภคนิยมและความหลงใหลในวัตถุอย่างแยบคาย
.
ในภาพยนตร์ไซไฟดิสโทเปีย สีส้มกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความวุ่นวาย การล่มสลาย และความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ตึงเครียดและบรรยากาศคุกคาม ตัวอย่างเช่น ใน Blade Runner 2049 (2017) และ Dune (2021) ซึ่งใช้โทนสีนี้เพื่อถ่ายทอดภูมิประเทศที่โหดร้าย เต็มไปด้วยรังสีและทะเลทราย ทำให้ผู้ชมรับรู้ถึงภัยคุกคาม ความเสื่อมโทรม และความโดดเดี่ยว นอกจากนี้สีส้มยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของไฟ การระเบิด และความหายนะ เช่นใน Apocalypse Now และ Mad Max: Fury Road ที่เปลวไฟและระเบิดนาปาล์มเต็มจอแสดงถึงความโกลาหลและความบ้าคลั่งของสงคราม
.
การจับคู่สีส้มเข้มกับโทนสีเย็นอย่างฟ้า–เขียวก็ช่วยสร้างความตึงเครียดทางสายตาได้ เช่นใน The Batman (2022) ที่ไฟถนนสีส้มทำให้เมืองดูเน่าเปื่อยเป็นพิษ สร้างความรู้สึกถึงความชั่วร้ายและความหวาดกลัว อีกทั้งสีส้มในเฉดที่ใกล้กับสนิมหรือดินไหม้ยังมักถูกใช้เพื่อแทนภูมิประเทศแห้งแล้งและสิ้นหวังในโลกดิสโทเปีย ซึ่งเราจะเห็นชัดใน Mad Max: Fury Road ที่ทะเลทรายสีส้มกว้างใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของความตายและการล่มสลายของโลก
.
ในแง่ทางจิตวิทยา สีส้มโดยธรรมชาติอาจเชื่อมโยงกับพลังงาน ความสดใส และความกระตือรือร้น แต่เมื่อมันถูกบิดเบือนให้ดูเข้มจัด เป็นพิษ หรือไม่เป็นธรรมชาติ ความหมายกลับเปลี่ยนไปเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม และอันตราย ความย้อนแย้งระหว่างด้านที่อบอุ่นกับด้านที่เป็นภัยนี้เอง ทำให้สีส้มกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารอารมณ์เชิงลบ โดยเฉพาะในศิลปะและภาพยนตร์ไซไฟดิสโทเปีย ซึ่งใช้มันเพื่อสร้างความอึดอัดให้แก่ผู้ชม และเพื่อเน้นธีมของความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ความเครียดทางจิตใจ และการล่มสลายที่กำลังคืบคลานเข้ามา

https://www.facebook.com/photo/?fbid=833076979060146&set=a.204432178591299