วันอังคาร, มิถุนายน 03, 2568

อ่านรหัสทางวัฒนธรรมในการแต่งกายทางการทูตของจีน: ชุดถังสีดำ กี่เพ้าสีม่วง และมรดกพันปีแห่งอารยธรรมจีน


นางใน - 后宫
15 hours ago
·
รหัสทางวัฒนธรรมในการแต่งกายทางการทูตของจีน: ชุดถังสีดำ กี่เพ้าสีม่วง และมรดกพันปีแห่งอารยธรรมจีน
วันที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๘.๔๗ น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายหาน จื้อเฉียง (Mr. Han Zhiqiang) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลลา เนื่องในโอกาสที่จะพ้นจากหน้าที่ หลังจากได้เข้ารับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายอักษรสาส์นตราตั้งเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
ในโอกาสเดียวกัน นางหวาง ฮวัน (Mrs. Wang Huan) ภริยาเอกอัครราชทูต และนางสาวจาง หยิง (Ms. Zhang Ying) เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ล่ามภาษาจีน–ไทย ได้ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
หากใครพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่า ในการกราบบังคมทูลลาในครั้งนี้ เอกอัครราชทูตจีนและภริยามิได้สวมชุดสากลตามธรรมเนียมการทูตตะวันตก หากแต่เลือกสวมใส่เครื่องแต่งกายจีนดั้งเดิมอย่างมีความหมาย ท่านทูตสวมชุดถัง (唐装) สีดำ ส่วนภริยาในชุดกี่เพ้าสีม่วง (紫色旗袍) — การเลือกนี้จึงมิใช่เพียงเรื่องของความสวยงาม หากแต่เป็นรหัสทางวัฒนธรรมที่สื่อสารผ่านเนื้อผ้า สีสัน และสุนทรียะที่ลึกซึ้ง
ในโลกของการทูตที่เต็มไปด้วยพิธีการและสัญลักษณ์ การสื่อสารไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำเสมอไป เครื่องแต่งกายจึงเป็นหนึ่งในรูปแบบของ “วาทกรรมไร้เสียง” ที่สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของชาติ ความเคารพต่ออีกวัฒนธรรมหนึ่ง และจิตวิญญาณทางการทูตอย่างชัดเจนและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน
สีดำของชุดถังที่เอกอัครราชทูตเลือกสวม มิได้เป็นเพียงสีของความเรียบหรู หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง เคร่งขรึม และสง่างามในความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง อันสะท้อนถึงอารยธรรมจีน (中华文明) ที่มีรากฐานยาวนานนับพันปี เป็นการแสดงออกถึงการธำรงเอกลักษณ์ของชาติอย่างภาคภูมิ และยังสอดคล้องกับหลักการทางการทูตที่ให้ความสำคัญกับความเหมาะสม สุภาพ และเกียรติยศ
แม้ชื่อ “ชุดถัง” (唐装) จะทำให้เข้าใจว่าเป็นเครื่องแต่งกายจากราชวงศ์ถัง ทว่าความจริงแล้ว ชุดถังในปัจจุบันเป็นการปรับปรุงจากเครื่องแต่งกายจีนโบราณโดยได้รับอิทธิพลจากเสื้อหม่ากว้า (马褂) ในสมัยราชวงศ์ชิงเสียมากกว่า ชื่อ “ถัง” (唐) ถูกนำมาใช้เพราะราชวงศ์ถังคือยุคทองของอารยธรรมจีน และเป็นช่วงเวลาที่จีนเปิดกว้างและแพร่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมสู่ภายนอก ชาวจีนโพ้นทะเลเรียกตนเองว่า “ถังเหริน” (唐人) ซึ่งสะท้อนถึงความภาคภูมิใจในรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตน
องค์ประกอบของชุดถัง เช่น คอปกตั้ง กระดุมจีน (盘扣) และแนวการผ่าด้านหน้าตรงกลาง (对襟) ล้วนมีต้นแบบมาจากเสื้อผ้าในราชสำนักแมนจู และในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ดร. ซุน ยัตเซ็น ได้ออกแบบชุดจงซาน (中山装) ซึ่งเป็นการผสมผสานตะวันออกกับตะวันตก แต่ชุดถังยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างดั้งเดิมมากกว่า กลายเป็นเสื้อผ้าประจำชาติ (国服) ที่เปี่ยมไปด้วยรากวัฒนธรรมและอัตลักษณ์จีนโดยแท้
จุดเปลี่ยนสำคัญในการนำชุดถังเข้าสู่เวทีโลกเกิดขึ้นเมื่อการประชุมสุดยอด APEC ที่นครเซี่ยงไฮ้ในปี ค.ศ. ๒๐๐๑ ผู้นำชาติต่าง ๆ ได้สวมใส่ “ชุดถังใหม่” (新唐装) ซึ่งออกแบบให้ร่วมสมัยแต่ยังรักษารายละเอียดดั้งเดิมไว้ได้อย่างงดงาม กลายเป็น “สัญลักษณ์วัฒนธรรมจีนในระดับนานาชาติ” (中国文化的国际符号) ที่ปรากฏอย่างภาคภูมิในโอกาสพิเศษ เทศกาลประจำชาติ และเวทีการทูตระดับโลก
ทางด้านภริยาเอกอัครราชทูต ซึ่งสวมกี่เพ้าสีม่วง ได้สะท้อนรหัสทางวัฒนธรรมอีกชุดหนึ่งที่เปี่ยมด้วยความละเมียดละไม กล่าวคือ การที่ภริยาเอกอัครราชทูตเลือกสวมกี่เพ้าสะท้อนธรรมเนียม “การทูตผ่านกี่เพ้า” (旗袍外交传统) ซึ่งสืบเนื่องมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๔๓ เมื่อมาดามซ่ง เม่ยหลิง (宋美龄) สวมกี่เพ้า (旗袍) กล่าวสุนทรพจน์ในรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ชุดกี่เพ้าจึงกลายเป็นเสมือน “เครื่องแบบทางวัฒนธรรม” (文化制服) สำหรับนักการทูตหญิงของจีน การตัดเย็บที่เน้นส่วนเว้าโค้งของเอวช่วยขับเน้นความเป็นสตรี ในขณะที่รอยผ่าด้านข้างช่วยถ่ายทอดความสง่างามอันผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมกับความร่วมสมัยได้อย่างกลมกลืน
ในขณะเดียวกัน สีม่วง (紫色) ซึ่งดูเหมือนเป็นเพียงสีสันอย่างหนึ่ง กลับมีนัยยะทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้งในประวัติศาสตร์จีน กลุ่มดาวจื่อเวยยวน (紫微垣) ซึ่งโอบล้อมดาวเหนือ ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งสวรรค์ (天帝居所) อันเป็นต้นธารแห่งแนวคิดที่ว่า พระราชวังของโอรสสวรรค์บนพื้นพิภพก็ควรตั้งอยู่ภายใต้กลุ่มดาวนี้ นำไปสู่การตั้งชื่อ “พระราชวังต้องห้าม” (紫禁城 – จื่อจินเฉิง) โดย “ม่วง” (紫) หมายถึงกลุ่มดาวศักดิ์สิทธิ์ “ต้องห้าม” (禁) คือสถานที่ต้องห้ามของสามัญชน และ “วัง” (城) คือศูนย์กลางโลกมนุษย์ที่สะท้อนจักรวาลบนฟ้า
หลักฐานจากตำราจีนโบราณ เช่น หนังสือ “จิ้นซู · เทียนเหวินจื้อ” (晋书·天文志) อันเป็นตำราดาราศาสตร์ ระบุว่า กลุ่มดาวจื่อเวย คือที่ประทับของมหาจักรพรรดิ (紫微,大帝之座也) และในหนังสือ “เฉินหยวนสื่อลวี่” (宸垣识略) สมัยราชวงศ์ชิง ที่บันทึกปรากฏการณ์ธรรมชาติแต่โบราณไว้ มีการอธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความเชื่อที่ว่า “ที่ประทับของโอรสสวรรค์ควรตั้งอยู่ภายใต้การปกคลุมของกลุ่มดาวจื่อเวยยวน” (“北极五星在紫微垣中……故天子之居曰紫宸,宫曰紫极,城曰紫禁。) จึงใช้ชื่อ “จื่อจินเฉิง” (紫禁城) เพื่อสื่อถึงความเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างฟ้ากับมนุษย์ (天人合一)
จากดาราศาสตร์ สู่สถาปัตยกรรม และการเมือง สีม่วงจึงกลายเป็น “สีแห่งความสูงสุด” (至高无上) ทั้งในระบบราชการตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นจนถึงราชวงศ์ซ่ง ซึ่งมีการใช้สีม่วงในเครื่องแบบของขุนนางชั้นสูง เช่น “ผ้าคาดเอวสีม่วงพร้อมตราทองคำ” (紫绶金章) และ “เสื้อคลุมสีม่วงพร้อมเข็มขัดหยก” (紫袍玉带) อีกทั้งยังปรากฏในกระเบื้องหลังคาและแผ่นป้ายสำคัญของวังหลวง เช่น หอฟู่ว่างเก๋อ (符望阁) และเพดานพระที่นั่งไท่เหอ (太和殿)ที่มีแผนที่หมู่ดาวจื่อเวยประดับอยู่ผ่านสัญลักษณ์มังกรสลักคาบแก้วที่หมายถึงดาวเหนือศูนย์กลางหมู่ดาวจื่อเวยบนเพดานด้านบนบัลลังก์ตั่งทอง
ในวัฒนธรรมตะวันตกโบราณ สีม่วงก็มีความหมายคล้ายคลึงกัน Tyrian purple ของชาวโรมัน ซึ่งสกัดจากหอยทะเลหายาก ใช้เฉพาะในเครื่องแต่งกายของจักรพรรดิ เป็นอีกตัวอย่างของ “ความบังเอิญที่เป็นระบบ” (systematic coincidence) ในการเลือกใช้สัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด
สีม่วงบนชุดกี่เพ้าในงานการทูตจึงไม่ใช่เพียงการเลือกเฉดสีที่ดูดี หากแต่เป็นการสื่อสารวัฒนธรรมในระดับจิตใต้สำนึก สะท้อนลำดับชั้นทางอำนาจ ประวัติศาสตร์ และความเข้าใจในบริบทที่ลึกเกินกว่าคำพูด
ทั้งหมดนี้คือกลยุทธ์การทูตเชิงวัฒนธรรมของจีน หรือที่เรียกว่า “อำนาจละมุน” (文化软实力 – soft power) ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านการแต่งกายได้อย่างทรงพลัง การเลือกจับคู่ชุดถัง (唐装) กับชุดกี่เพ้า (旗袍) จึงกลายเป็น “เรื่องเล่าของจีน” (中国叙事) ที่สมบูรณ์แบบ ชุดถังคือภาพแทนของความหนักแน่นแห่งอารยธรรมจีน (中华文明的厚重) ส่วนชุดกี่เพ้าคือสัญลักษณ์ของความเปิดกว้างและความทันสมัย (近代海派文化) การวางทั้งสองชุดไว้เคียงกันคือภาพลักษณ์ของประเทศที่ “ดั้งเดิมแต่ไม่ล้าสมัย” (传统而不保守)
หากมองภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่ราชวงศ์ถังผู้วางรากฐานวัฒนธรรมจีน ผ่านราชวงศ์ชิงผู้ถ่ายทอดความงามของหม่ากว้า สู่ชุดถังร่วมสมัยในเวทีโลก และจากกลุ่มดาวจื่อเวย สู่พระราชวังต้องห้าม จนถึงชุดกี่เพ้าในพระราชพิธีการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยกับจีน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “การแต่งกายที่มีเสียง” ซึ่งบรรจุประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา และการเมืองไว้ในทุกเส้นด้ายและสีสันอย่างลุ่มลึก
นี่จึงคือแก่นแท้ของวาทกรรมวัฒนธรรมจีน — “ใหญ่ในเล็ก” (寓大于小) เสื้อผ้าหนึ่งชุด อาจสื่อถึงประวัติศาสตร์พันปี สีหนึ่งสี อาจสะท้อนความปรารถนาแห่งอำนาจและสันติสุขของอารยธรรมทั้งอารยธรรม
ที่มา
https://www.matichon.co.th/royal/news_5210559
ดร. เมืองภูมิ หาญสิริเพชร

https://www.facebook.com/gugonglady/posts/1048113634131888