
‘ธงชัย วินิจจะกูล’ ส่องสัมพันธ์ ‘ประชาธิปไตยบ้านใหญ่’, ‘เพื่อภูมิใจไทย’ และ ‘รัฐราชการ’
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 6 มีนาคม 2568
‘ธงชัย วินิจจะกูล’ ส่องสัมพันธ์
‘ประชาธิปไตยบ้านใหญ่’, ‘เพื่อภูมิใจไทย’
และ ‘รัฐราชการ’
หมายเหตุ เนื้อหาส่วนหนึ่งจากคำบรรยายของ “ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล” ในงานสนทนาวิชาการ “การเมืองไทย ไทยศึกษา และเรื่องผีๆ” จัดโดยฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
สมัยที่พรรคเพื่อไทยร่วมมือกับพรรคก้าวไกลหรืออนาคตใหม่อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา สิ่งที่คุณประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ตอบ ไม่ได้ตอบการอภิปรายเหล่านั้นเลย คุณประยุทธ์ตอบสองประเด็น หนึ่ง คุณประยุทธ์เป็นรัฐบาลที่จงรักภักดี สอง คุณประยุทธ์ช่วยทำให้การเมืองสงบราบเรียบ
ทั้งสองประเด็นไม่ใช่การตอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งสองประเด็นคือการรายงานงานของเขาต่ออำนาจที่เหนือรัฐสภา ในแง่นี้ เท่ากับว่ารัฐราชการ 20 กว่าปีหลัง ผนึกกำลังกันเหนียวแน่น แต่มีความชอบธรรมที่ได้จากประชาชนน้อยมาก ซึ่งผมไม่เข้าใจว่า ภาวะอย่างนี้มันจะดำรงอยู่ต่อไปได้นานเหรอ?
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมไม่เคยเห็นที่ไหน ส่วนหนึ่งเพราะในโลกนี้มันเต็มไปด้วย “ประชาธิปไตยปกติ” ซึ่งต้องฟังประชาชน ในสังคมไทยไม่ใช่ “ประชาธิปไตยปกติ” แต่เนื่องจากมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจนำ กลุ่มอำนาจหลัก ทำให้เขาหนีไม่พ้นต้องพึ่งประชาชนด้วย จนกระทั่ง 20 ปีที่ผ่านมา เขาไม่ต้องพึ่งเรา
พอไม่ต้องพึ่งเรา อันนี้เป็นภาวะผิดปกติหรือ “ปกติใหม่” ผมก็ไม่ทราบ ผมเลยไม่รู้มันจะไปต่อไปได้เท่าไหร่?
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 6 มีนาคม 2568
‘ธงชัย วินิจจะกูล’ ส่องสัมพันธ์
‘ประชาธิปไตยบ้านใหญ่’, ‘เพื่อภูมิใจไทย’
และ ‘รัฐราชการ’
หมายเหตุ เนื้อหาส่วนหนึ่งจากคำบรรยายของ “ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล” ในงานสนทนาวิชาการ “การเมืองไทย ไทยศึกษา และเรื่องผีๆ” จัดโดยฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
สมัยที่พรรคเพื่อไทยร่วมมือกับพรรคก้าวไกลหรืออนาคตใหม่อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา สิ่งที่คุณประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ตอบ ไม่ได้ตอบการอภิปรายเหล่านั้นเลย คุณประยุทธ์ตอบสองประเด็น หนึ่ง คุณประยุทธ์เป็นรัฐบาลที่จงรักภักดี สอง คุณประยุทธ์ช่วยทำให้การเมืองสงบราบเรียบ
ทั้งสองประเด็นไม่ใช่การตอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งสองประเด็นคือการรายงานงานของเขาต่ออำนาจที่เหนือรัฐสภา ในแง่นี้ เท่ากับว่ารัฐราชการ 20 กว่าปีหลัง ผนึกกำลังกันเหนียวแน่น แต่มีความชอบธรรมที่ได้จากประชาชนน้อยมาก ซึ่งผมไม่เข้าใจว่า ภาวะอย่างนี้มันจะดำรงอยู่ต่อไปได้นานเหรอ?
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมไม่เคยเห็นที่ไหน ส่วนหนึ่งเพราะในโลกนี้มันเต็มไปด้วย “ประชาธิปไตยปกติ” ซึ่งต้องฟังประชาชน ในสังคมไทยไม่ใช่ “ประชาธิปไตยปกติ” แต่เนื่องจากมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจนำ กลุ่มอำนาจหลัก ทำให้เขาหนีไม่พ้นต้องพึ่งประชาชนด้วย จนกระทั่ง 20 ปีที่ผ่านมา เขาไม่ต้องพึ่งเรา
พอไม่ต้องพึ่งเรา อันนี้เป็นภาวะผิดปกติหรือ “ปกติใหม่” ผมก็ไม่ทราบ ผมเลยไม่รู้มันจะไปต่อไปได้เท่าไหร่?
ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐราชการกับบ้านใหญ่ มาถึงยุคไทยรักไทย ที่เกิดการรัฐประหารเพราะไทยรักไทยเป็น “บ้านใหญ่ที่หือ” เป็นบ้านใหญ่ที่ไม่อยู่ในเจตจำนงของรัฐราชการ จึงเกิดความขัดแย้ง
คำถามมีอยู่ว่าไทยรักไทยยังมีความสัมพันธ์เช่นนั้นหรือ?
บางคนอาจจะบอกว่าความสัมพันธ์เช่นนั้นหมดไปแล้ว นับแต่ย้ายข้าง ตระบัดสัตย์ เปลี่ยนขั้ว อะไรก็แล้วแต่จะเรียก
ในความเห็นผม ผมไม่ได้กำลังพูดถึงแค่พรรคไทยรักไทย ผมกำลังพูดถึง “ประชาธิปไตยแบบบ้านใหญ่” ผมกำลังพูดถึงพรรคการเมืองที่ต้องอาศัยบ้านใหญ่เป็นหลัก เพื่อชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่มีพรรคไทยรักไทยพรรคเดียว ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว
ถ้าหากเรารวมพรรคทั้งหลาย ผมคิดว่าภาวะที่บ้านใหญ่ทั้งหลายตระหนักแล้วว่าพวกเขาต้อง “ไม่ขัดฝืน” กับรัฐราชการ คือภาวะเริ่มต้นนับแต่มีคนพูดคำว่า “มันจบแล้วครับนาย”
พรรคภูมิใจไทยจึงเดินหน้าไปในทิศทางนี้ก่อนพรรคเพื่อไทยประมาณสิบปี เขาจึงรู้ว่าเกมการเล่นกับรัฐราชการเป็นอย่างไร เขาเชี่ยวชาญกว่าพรรคเพื่อไทย จึงเกิดปรากฏการณ์ปัจจุบันนี้ที่เห็น
ภาวะอย่างนี้ คือเพื่อไทยถูกสรรหา (recruit) เข้าไปเป็นเครื่องมือของ “ประชาธิปไตยแบบชนชั้นนำเดิม” แถมยังเติบโตช้ากว่าภูมิใจไทยด้วย เพราะเสียเวลาไปทำตัวเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” อยู่ตั้งนาน คุณคิดว่าภาวะอย่างนี้จะดำเนินต่อไปอีกนานเท่าไหร่?
ตรงนี้ผมถึงบอกว่าผมตอบไม่ได้ ผมบอกได้แค่ความเป็นไปได้ อยู่สอง สาม สี่ทาง ต่อไปนี้
หนึ่ง เพื่อไทยอาจจะอยู่นาน โดยส่วนตัว ผมเองว่าอย่างน้อยก็อยู่นานจนจบ (รัฐบาล) ชุดนี้ เป็นไปได้มาก แต่พอผมเกือบจะพูดว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าเขาก็จะชนะ ผมเริ่มจะชะงักแล้ว
เพราะออปชั่นสอง ความเป็นไปได้ที่สอง คือ พรรคบ้านใหญ่ยังดำรงอยู่ อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ อาจจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคเพื่อไทยผสมภูมิใจไทย หรือพรรคภูมิใจไทย ผมไม่ทราบ พูดง่ายๆ ว่า “ประชาธิปไตยแบบบ้านใหญ่” ยังเป็นด้านหลัก
ข่าวร้ายสำหรับคนที่เชียร์ “พรรคส้ม” ผมเองผมไม่ได้มองบวกเท่าไหร่ แต่ผมกลับคิดว่าไม่เห็นเป็นไร พรรคส้มเอาเข้าจริงอาศัยเวลาค่อยๆ เติบโต แพ้บ้าง ลงไปบ้าง ผมว่าจะดีกับตัวพรรคส้มเองในระยะยาว
ในแง่นี้ จะยังเป็นพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้า ภูมิใจไทยยังเป็นรอง เบอร์สองเบอร์สามก็แล้วแต่ หรือเพื่อไทยกับภูมิใจไทยอาจจะผสานร่วมมือกันเปลี่ยนชื่อพรรคเสียเลย เป็น “พรรคเพื่อภูมิใจไทย” หรืออะไรก็ได้
หรือว่าภูมิใจไทยยังคงขี่คอพรรคเพื่อไทยอย่างที่เป็นในปัจจุบัน ทำให้พรรคเพื่อไทยตกลงกลายเป็นพรรคระดับรอง
รายละเอียดขนาดนี้ผมไม่รู้ และผมก็สารภาพ ผมไม่สนใจจะรู้ด้วย ผมดูแนวโน้มแค่ว่า “ประชาธิปไตยแบบบ้านใหญ่” จะอยู่กับเรา ไม่ว่าในรูปไหน อย่างน้อยๆ อีก “รอบ” (cycle) หนึ่ง
สำหรับผม “รอบ” ในการเมืองไทยมันอยู่ประมาณ 12-15 ปี ผมคิดว่าอย่างน้อยอีก 12-15 ปี เราจะอยู่ภายใต้การนำ ภายใต้รัฐบาลของ “ระบอบประชาธิปไตยที่มีบ้านใหญ่เป็นเครื่องมือและเป็นอุปกรณ์ของรัฐราชการ” รับใช้ชนชั้นนำ-อภิสิทธิ์ชนชั้นสูงบวกกองทัพแบบเดิม
แต่ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นเป็นอย่างอื่นได้ ถามว่าแล้วมันจะเสื่อมลงตอนไหน?
ตรงนี้ผมก็เดาไม่ถูกอีกเช่นกัน ผมบอกแล้ว “ประชาธิปไตยแบบบ้านใหญ่” ขึ้นอยู่กับรัฐราชการเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เป็นอย่างไร เราแน่ใจเหรอว่า รัฐราชการซึ่งผนึกกำลังแบบนี้มันจะอยู่ต่อไปอีกนาน?
ผมก็เดาไม่ได้ อาจจะย้อนกลับไปเป็นภาวะก่อนหน้า 20 ปีที่ผ่านมา ที่กลุ่มอำนาจนำสองกลุ่ม คือ อภิสิทธิ์ชนชั้นสูงกับทหาร ยังมีอำนาจ-สถานะนำอยู่ แต่เขาขัดแย้งกัน
หรือเขาอาจผนึกกำลังกันต่อก็ได้ แต่ความสัมพันธ์อาจจะเป็นแบบใหม่ ก็คือบ้านใหญ่ยอมสยบเต็มที่ (อย่าลืมว่า) ความชอบธรรมของ “ยุคประยุทธ์” มันหมดไปแล้ว และมาต่ออายุด้วยการมีการเลือกตั้ง ช่วยให้ความชอบธรรมยืดอายุต่อไปอีกหน่อย
(แต่) ถ้าหาก “ประชาธิปไตยแบบบ้านใหญ่” มีสภาพอย่างปัจจุบันนี้ คุณคิดว่าผู้คนจะเบื่อหน่ายจนหมดความชอบธรรมอีกครั้งเมื่อไหร่?
อันนี้ ผมเดาไม่ถูก แต่ด้วยเหตุนี้ ผมบอกแล้วว่า ผมตอบอนาคตไม่ได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเห็นออปชั่นอยู่ หนึ่ง เพื่อไทย สอง “เพื่อภูมิใจไทย” สาม ภูมิใจไทย ทั้งสามอันนี้อยู่ในอีหรอบเดียวกัน ว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบบ้านใหญ่” สืบเนื่องไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า และหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
ในระหว่างนั้น พรรคประชาชนจะเละเทะไม่เป็นท่าเพราะถูกทำลาย หรือว่าแพ้ตามเกมเลือกตั้ง ผมก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าจับตาดูในประเด็นเหล่านี้ เราจะพอมองเห็นว่ามันมีแนวโน้มเป็นอย่างไร
แต่ด้วยเหตุนี้ อย่าหวังเลยครับ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นจริงเป็นจัง เพราะ “ประชาธิปไตยแบบบ้านใหญ่” เป็นอุปกรณ์ เป็นเครื่องมือแก่ชนชั้นนำ-รัฐราชการเดิม มีเพดานและแนวนโยบายอยู่ตรงสิ่งที่เกษียร (เตชะพีระ) เขาเรียกว่า “ฉันทามติ 112”
ภายใต้ “ฉันทามติ 112” มิได้หมายถึงคุณทำอะไรก็ได้ ตรงข้าม คุณทำอะไรแทบไม่ได้เลย ถ้าหากไปกระทบกลุ่มชนชั้นนำระดับสูง ไปกระทบกองทัพ
ด้วยเหตุนี้ พอคุณหาเสียงบอกว่าจะสู้กับทุนผูกขาด ก็จึงกลับไปคบกับทุนผูกขาด หาเสียงว่าจะยกเลิกเกณฑ์ทหาร ก็ไม่กล้าทำ หาเสียงแม้กระทั่งว่าจะช่วยคนเสื้อแดงและนิรโทษกรรม ก็สุดท้ายไม่ทำ หาเสียงว่าแก้รัฐธรรมนูญ จึงลังเลและถูกขี่คอโดยภูมิใจไทย
สิ่งที่น่าเสียดายในลิสต์ที่ผมเพิ่งว่ามาทั้งหมด ในเชิงหลักการ ในเชิงเรื่องใหญ่ คือการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ในเชิงรูปธรรม เรื่องอาจจะดูเล็ก คือคนในคุก
คนในคุกทั้งหลายที่พรรคเพื่อไทยเป็นหนี้บุญคุณมหาศาล จะไม่ได้ออกจากคุก หรือจนกว่าพรรคประชาชนจะอ่อนแออย่างหนัก เขาจึงยอมให้พวกนี้ออกจากคุกได้ เพราะไม่เป็นพิษเป็นภัยอีกต่อไป
ถ้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะกรุณา นี่ขอร้องวิงวอน ในฐานะที่ผมเชื่อว่าข่าวคงไปถึง ช่วยให้คนในคุกออกมาสักหน่อย ผมจะยินดีด้วยที่คุณอ้างเรื่องไปช้าๆ ทั้งหลาย ยินดีให้เวลาคุณพิสูจน์เพิ่มเติม ขอให้คนออกจากคุกสักหน่อยก็ยังดี
เรื่องอื่นเรารู้ว่ามันยาก ก็คุณเล่นยอมตัวไปเป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องมือของเขาแล้ว คุณจะทำอะไรได้สักแค่ไหนกัน
https://www.matichonweekly.com/column/article_830139