วันอาทิตย์, มีนาคม 09, 2568

พ.ร.บ.ประมง: เมื่อคนตัวเล็กๆ สู้ด้วยภาพถ่าย พลังของคนตัวเล็กๆ และข้อมูลทางวิชาการยังเป็นความหวังเสมอ สำหรับการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง



พ.ร.บ.ประมง: เมื่อคนตัวเล็กๆ สู้ด้วยภาพถ่าย

Opinion โดย วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
07.03.2025
The Standard

(ลูกปลาเก๋า ปลาเก๋าเป็นปลาเนื้อดีที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและมีราคาสูงชนิดหนึ่งของไทย แต่ถ้าถูกตัดวงจรการเติบโตจากอวนตาถี่กับแสงไฟล่อในยามค่ำคืน ก็จะกลายสภาพไปเป็นอาหารสัตว์ในราคาเพียงกิโลกรัมละไม่กี่บาท)


(ปลาเก๋า ขนาดใหญ่ ปลาที่จับจากธรรมชาติอาจมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 300-400 บาท และโตเต็มที่อาจจะมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม)

“ภาพสองภาพที่เห็นคือปลาเก๋าใต้ทะเลไทย ภาพแรกคือภาพลูกปลาเก๋าที่ช่างภาพใต้น้ำถ่ายได้ ล่องลอยอยู่กลางทะเลนอกชายฝั่งเกิน 12 ไมล์ทะเล แต่เมื่อเปิดไฟล่อยามค่ำคืนกลางทะเล ลูกปลาเก๋าจะติดอวนตาถี่มาด้วย เพื่อมาทำปลาป่นราคาไม่กี่บาท แต่ถ้าปล่อยให้ปลาเก๋าเจริญเติบโต มันจะกลับมาหากินแถวปะการัง และจะมีขนาดเกือบหนึ่งเมตร น้ำหนักร่วมร้อยกิโลกรัม และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ดั่งภาพที่สอง

นัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำอาชีพ กล่าวในงานเสวนา ‘สภาปลาเล็ก’ ถ้าไม่มา…ก็ไม่มีปลากินแล้ว’ สะท้อนมุมคิดจากเครือข่ายสมาคมรักษ์ทะเลไทย สมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้าน นักวิชาการทางทะเล กลุ่มช่างภาพใต้น้ำ และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ภาพถ่ายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภาพลูกปลานานาชนิดที่กลุ่มคนรักทะเลกลุ่มหนึ่ง ช่วยกันลงขันหาทุน เพื่อไปพิสูจน์กลางทะเลว่า หากมีการแก้กฎหมายใช้อวนตาข่ายขนาดเล็ก ล้อมจับปลากะตักใช้ไฟล่อตอนกลางคืนนอกชายฝั่ง 12 ไมล์ จะส่งผลอะไรกับปลาจำนวนมหาศาลที่ไม่ใช่ปลากะตัก

ปลายปีที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 โดยเฉพาะมาตรา 69 ที่อนุญาตให้ใช้อวนล้อมจับปลากะตักในเวลากลางคืน นอกเขตพื้นที่ 12 ไมล์ทะเลโดยใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร แม้ว่าการใช้ไฟล่อปลาจะทำลายห่วงโซ่อาหารและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในระยะยาว

กลุ่มช่างภาพใต้น้ำได้รวมตัวกันเพื่อออกสำรวจและบันทึกภาพสัตว์น้ำขนาดเล็กในท้องทะเลไทย การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากแนวคิดเล็กๆ ที่ต้องการพิสูจน์ด้วยภาพถ่ายและข้อมูลวิทยาศาสตร์ให้เห็นว่าการใช้แสงไฟกลางคืนในทะเลส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใต้น้ำอย่างไร โดยได้ออกเรือไปดำน้ำตอนกลางคืนนอกเกาะสุรินทร์ห่างออกไปหลายสิบไมล์ทะเล โดยทำการดำน้ำแบบ Blackwater Diving คือนักดำน้ำจะอยู่ในความมืดเกือบทั้งหมด แสงไฟที่ใช้มีน้อยและไม่ได้กระจายตัวมากนัก เป็นเทคนิคเดียวกับที่ชาวประมงใช้ในการล่อปลา เพื่อจำลองสถานการณ์เรือประมงที่ใช้ไฟส่องสว่างเพื่อการล่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเข้ามาบริเวณรอบๆ ทุ่นไฟ

“การดำน้ำในทะเลเปิดยามค่ำคืนเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่ง ด้วยสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทและคลื่นลมที่ไม่เอื้ออำนวย การปฏิบัติงานในคืนแรกต้องปรับแผนเนื่องจากกระแสน้ำแรงจนส่งผลต่อการเก็บภาพ ทีมงานตัดสินใจย้ายจุดสำรวจมายังพื้นที่ที่ปลอดภัยขึ้น และแม้ว่าภารกิจจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ทุกคนก็ยังสามารถบันทึกภาพที่สำคัญได้ ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีคุณค่าในการสื่อสารถึงผลกระทบของแสงไฟต่อสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ”

วัชระ กาญจนสุต ครูสอนดำน้ำ ผู้เชี่ยวชาญ Blackwater Diving กล่าวในเวทีเสวนาต่อว่า ทะเลไทยเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกใหม่ที่พิเศษและหาดูได้ยาก สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการอนุรักษ์ ไม่ว่ามันจะดูแปลกแค่ไหนก็ตาม เพราะมันเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศ เราไม่ควรทำลายสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะต้องการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะสั้น


(โลมาด้านบนที่ตามเข้ามากินฝูงปลา เป็นการพิสูจน์ว่าแสงไฟล่อปลาทุกชนิดเข้ามาติดอวน)

ขณะที่ นัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำอาชีพ ได้เคยบันทึกช่วงเวลานั้นว่า คืนที่ 2 บริเวณซั้งดักปลา ด้านตะวันตกเฉียงใต้ ของเกาะสุรินทร์ เราได้รับความอนุเคราะห์เรือปั่นไฟ เข้ามาเปิดไฟล่อปลาเข้าซั้ง ระดับความลึกราว 50 เมตร โดยในระหว่างที่เปิดไฟล่อรอเวลา โลมาฝูงใหญ่ราวสิบกว่าตัว เข้ามาว่ายเวียนไล่กินปลาที่มารวมกลุ่มกันในบริเวณซั้ง ไต๋เรือบอกเป็นเรื่องปกติที่จะพบโลมาเข้ามาหากิน และเมื่อเก็บภาพสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้เรือปั่นไฟ จะเป็นกลุ่มของปลาวัยอ่อนเป็นส่วนมาก

ห้าทุ่มสี่สิบห้า ไต๋เรือเริ่มหรี่ไฟเพื่อให้ฝูงปลาขึ้นมารวมกันในบริเวณใต้เรือ ในขณะที่ทีมดำน้ำก็เริ่มลงไปสำรวจใต้เรือปั่นไฟกัน เราพบกับฝูงหมึกน้ำลึกฝูงใหญ่และปลาหลากหลายชนิดที่เข้ามาวนเวียนใต้แสงไฟกลางทะเลนั้น ในวันนั้นเรากลับขึ้นมาบนเรือกันประมาณตีหนึ่งกว่าๆ และเป็นประสบการณ์ในการลงดำน้ำใต้เรือปั่นไฟเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเอง

จากการที่ขึ้นไปคุยกับไต๋เรือเราได้ข้อมูลว่า นอกเหนือไปจากฝูงโลมาที่จะเข้ามาล้อมปลาในบริเวณรอบๆ วงไฟ แทบทุกคืนแล้ว แม้กระทั่งปลากระเบนราหู หรือฉลามวาฬก็แวะเวียนเข้ามาในรัศมีของวงไฟบ่อยๆ ทำให้เราเห็นว่าแสงไฟนั้นดึงดูดให้ทุกชีวิตมารวมกัน


(ตัวอ่อนของปลาขี้ตังเบ็ดเป็นปลาที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศแนวปะการัง)


(ปลาขี้ตังเบ็ดโตเต็มวัย ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมปริมาณสาหร่ายและตะไคร่ในแนวปะการังไม่ให้มีจำนวนมากเกินไป)

คืนที่ 3 บริเวณด้านใต้เกาะสุรินทร์ ระดับความลึกประมาณ 60 เมตร ณ จุดนี้เราได้ทำ blackwater กันแบบจริงๆ โดยหย่อนไฟไปพร้อมกับกระแสน้ำ พบว่ามีปลาฝูง ประมาณ 2-3 สายพันธุ์ เข้ามาในบริเวณทุ่นไฟ เป็นจำนวนมาก รวมถึงฝูงปลาหมึกที่ออกล่าปลาเล็กปลาน้อยด้วย

ในพื้นที่เกินกว่า 12 ไมล์ทะเลนอกชายฝั่ง ฝูงโลมาปากขวดว่ายวนเวียนเข้ามาไล่กินปลาบริเวณรอบนอกของวงไฟจากเรือปั่นไฟในตอนกลางคืน เช่นเดียวกับปลาชนิดต่างๆ จำนวนมาก เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าในยามค่ำคืน แสงไฟจะดึงดูดสรรพชีวิตให้เข้ามารวมกันใต้แสงไฟที่ส่องสว่างในยามค่ำคืน ในบริเวณพื้นที่เล็กๆ รอบเรือได้อย่างไร และสัตว์น้ำที่ชาวประมงไม่ได้ตั้งใจจับขึ้นมานั้น เกิดติดอวนขึ้นได้อย่างไร

ขณะที่ ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิชาการทางทะเลที่ร่วมเดินทางไปสำรวจได้ให้ความเห็นว่า ความจริงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเข้าใจยาก ว่าทำไมการใช้อวนตาข่ายขนาดเล็กร่วมกับแสงไฟถึงอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อระบบนิเวศได้ เพราะแสงไฟดึงดูด แพลงตอนพืช แพลงตอนสัตว์ จึงกลายเป็นการรวมเอาสัตว์น้ำทุกวัยเข้ามาหาอาหาร รวมถึงปลาวัยอ่อนที่ยังไม่ได้ขยายพันธุ์ จึงเป็นการตัดวงจรชีวิตสัตว์น้ำ และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวมทั้งหมด

การประมงแบบใช้ไฟปั่นร่วมกับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากๆ อย่างอวนล้อมที่มีตาถี่ นอกเขต 12 ไมล์ทะเลจึงย่อมส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของสัตว์น้ำที่ไม่ได้มีแต่ปลากะตักที่นำไปผลิตน้ำปลาเพียงอย่างเดียว

นอกจากจับปลากะตักเพื่อผลิตน้ำปลาแล้ว ในปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยผลิตปลาป่นได้กว่า 3 แสนตัน ทราบหรือไม่ว่า ปลาป่น 1 กิโลกรัม ใช้สัตว์น้ำวัยอ่อนในการผลิตมากถึง 5 กิโลกรัม ถ้าลองเอามาคูณดู เท่ากับว่าปริมาณปลาป่น 3 แสนตัน จะมีสัตว์น้ำวัยอ่อนถูกทำลายไปกี่ล้านกิโลกรัม


(ลูกปลากะมงกลางทะเลนอกชายฝั่งยามค่ำคืน ลูกปลาวัยอ่อนที่ยังคงล่องลอยอยู่กลางท้องทะเลเปิดและเข้ามาเล่นไฟเพื่อจับแพลงก์ตอนที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร)


(ปลากะมงพร้าว เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัม เป็นปลาที่มีความสำคัญในทางเศรษฐกิจในหลายมิติ)

และเมื่อวันที่ 7 และ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ภาพและวิดีโอเหล่านี้ได้มีโอกาสไปแสดงให้ที่ประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.ประมงฉบับนี้ และที่ประชุมวุฒิสมาชิก เพื่อเป็นข้อมูลให้เห็นว่า การใช้อวนเปิดไฟล้อมจับปลากะตักตอนกลางคืน ไม่ได้มีแค่ปลากะตัก แต่มีปลาและลูกปลาชนิดอื่นๆ อีกมากมายที่หลุดเข้ามาด้วย และที่ประชุมวุฒิสมาชิกได้มีมติแก้ไขดังนี้ ‘มาตรา 69 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภทที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมง’

การดำน้ำสำรวจนอกเขต 12 ไมล์ทะเลครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะและย่างก้าวสำคัญของพลังคนตัวเล็กๆ ที่ลุกขึ้นมาดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยการทำหน้าที่เป็น”นักวิทยาศาสตร์พลเมือง” ใช้ภาพถ่ายและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐานสำคัญที่มิอาจปฏิเสธได้ จนสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงกว้าง และทำให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจอาจต้องหันกลับมาพิจารณาใหม่

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนรำลึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2530 เมื่อรัฐบาลมีโครงการจะสร้างเขื่อนน้ำโจนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ท่วมพื้นที่ป่าหลายแสนไร่ ท่ามกลางการต่อต้านจากนักศึกษา ชาวบ้านเมืองกาญจน์ นักอนุรักษ์ นักวิชาการจำนวนมาก

สืบ นาคะเสถียร แห่งกรมป่าไม้ ได้ลงพื้นที่เข้าป่าทุ่งใหญ่เป็นเวลา 5 วัน 5 คืน เพื่อเสาะหาข้อมูล เขาพบฝูงกระทิงอยู่รวมกันถึง 50 ตัว เป็นกระทิงฝูงใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นในเมืองไทย เป็นหลักฐานแสดงความอุดมสมบูรณ์ของป่าผืนนี้ได้เป็นอย่างดี

สืบใช้ความเป็นนักวิชาการของเขาอธิบายต่อสาธารณชนให้เห็นว่า เราจะสูญเสียสัตว์ป่ามหาศาลเพียงใดหากมีการสร้างเขื่อนน้ำโจน สืบยึดถือหลักความจริงในทางวิชาการอย่างเคร่งครัด เขาทนไม่ได้ที่จะมีใครพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงทางวิชาการ แม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาของเขาเอง

อาทิตย์สุดท้ายก่อนการตัดสินใจของรัฐบาลว่าจะสร้างเขื่อนหรือไม่ สืบทำงานอย่างหนักจนสามารถจัดทำบทรายงานเรื่อง “การประเมินผลงานช่วยเหลือสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน” ในฐานะโครงการอพยพสัตว์ป่าเขื่อนเชี่ยวหลานจนสำเร็จ รายงานชิ้นนี้ส่งผลอย่างมากต่อการพิจารณา เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาผลกระทบของสัตว์ป่าจากการสร้างเขื่อน และผลการศึกษาพบว่าแม้จะช่วยเหลือชีวิตสัตว์ป่าได้สองพันกว่าตัว แต่สุดท้ายสัตว์เหล่านี้ก็ตายเกือบหมด



(หลังจากนั้นไม่นาน Luke Gibson นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ได้มาทำวิทยานิพนธ์และพบว่า บนเกาะในอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลานเหล่านี้แทบจะไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเหลืออยู่ ส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่หายไปแล้วตั้งแต่ตอนสร้างเขื่อน ปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าไม่ต่างจาก Ecological Armageddon หรือความล่มสลายทางระบบนิเวศ ที่น่ากลัวคือการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เกิดขึ้นเร็วมากอย่างไม่น่าเชื่อ)

ในวันตัดสิน สืบเข้าชี้แจงต่อกรรมการด้วยตัวเอง หลายฝ่ายสิ้นความสงสัยว่า สัตว์จำนวนมากต้องล้มตายลงหากมีการสร้างเขื่อนน้ำโจน และในที่สุดรัฐบาลก็ยกเลิกการสร้างเขื่อนน้ำโจน และต่อมาทางองค์กรยูเนสโกได้ประกาศให้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ

พลังของคนตัวเล็กๆ และข้อมูลทางวิชาการยังเป็นความหวังเสมอ สำหรับการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง

ภาพ: ทีมสำรวจ 12 ไมล์ทะเล

https://thestandard.co/fisheries-act-photo-fight/