
06/03/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
วันที่ 5 มี.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาลของ “อานนท์ นำภา” เหตุถอดเสื้อประท้วงศาลที่ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญในคดีมาตรา 112 #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 เพื่อยืนยันสิทธิในการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567
เหตุในคดีนี้ สืบเนื่องจากนัดสืบพยานคดี #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 อานนท์ ในฐานะจำเลย ได้ถอดเสื้อประท้วงศาลเป็นครั้งที่สอง หลังเคยถอดเสื้อประท้วงมาแล้วครั้งหนึ่งในนัดสืบพยานก่อนหน้า (4 มิ.ย. 2567) เนื่องจาก เรืองฤทธิ์ บัวลอย ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนยืนยันไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญที่จะใช้ถามค้านพยานโจทก์ ได้แก่ ตารางการเดินทางของรัชกาลที่ 10 และเอกสารเกี่ยวกับงบประมาณ โดยอ้างว่าการออกหมายเรียกเอกสารดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และให้ทนายความถามค้านพยานโจทก์ต่อ โดยไม่มีพยานเอกสารดังกล่าว
ทันทีที่อานนท์ถอดเสื้อออก ศาลได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีลับ ทั้งสั่งห้ามนำข้อมูลในห้องพิจารณาคดีไปเผยแพร่ อ้างว่าเนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคง อีกทั้งศาลได้ตั้งเรื่องละเมิดอำนาจศาลกับอานนท์กรณีถอดเสื้อในห้องพิจารณาคดี โดยระบุว่า ศาลเคยได้ปรามจำเลยในการถอดเสื้อในการถอดเสื้อในครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้จำเลยยังทำการถอดเสื้อ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2568 ศาลมีการเบิกตัวอานนท์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาที่ศาลอาญา เพื่อไต่สวนในคดีละเมิดอำนาจศาล โดยผู้ถูกกล่าวหาไม่ทราบนัดล่วงหน้ามาก่อน และยังไม่มีทนายความ ก่อนศาลมีคำสั่งให้เลื่อนนัดไต่สวนไปเป็นวันที่ 5 มี.ค. 2568
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 ทนายความได้ยื่นคำให้การแก้คำกล่าวหา, บัญชีพยานผู้ถูกกล่าวหา, คำร้องขอออกหมายเรียกพยานบุคคลและพยานวัตถุ และคำร้องขอให้ศาลใช้ระบบบันทึกคำพยานด้วยภาพและเสียง (e-Hearing) ต่อศาลอาญา
.
อานนท์ถอดเสื้อประท้วงเป็นครั้งที่ 3 หลังศาลจะพิจารณาคดีลับ ชี้เพื่อรักษาเกียรติประชาชนที่มาดูพิจารณาคดี ก่อนศาลยอมให้ประชาชนนั่งฟังการพิจารณาในห้องต่อ
วันนี้ (5 มี.ค. 2568) ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 809 ครอบครัวของอานนท์และประชาชนที่ตั้งใจมาฟังการไต่สวน ทยอยเข้ามานั่งในห้องพิจารณาคดี รวมถึงพยานของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองปากที่จะเข้าเบิกความ ได้แก่ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พยานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายรัฐธรรมนูญ และ รศ.สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พยานผู้เชี่ยวชาญความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล โดยมีตำรวจศาลประจำอยู่บริเวณหน้าประตูห้องพิจารณาคดี 1 นาย และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลอยู่ในห้องพิจารณาอีก 1 นาย
ต่อมาตำรวจศาลได้เดินมากล่าวกับ รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความผู้ถูกกล่าวหาว่า ศาลจะไม่ให้ประชาชนเข้าห้องพิจารณาคดี ทนายความแย้งว่า ศาลยังไม่ได้สั่งพิจารณาลับ ตำรวจศาลจึงกล่าวเพิ่มเติมว่า ท่านอยากให้ออกเพราะที่ผ่านมามีปัญหา ถ้าท่านขอให้แค่ทนายและญาติอานนท์ อยู่ในห้องพิจารณาคดี ก็ขอความร่วมมือด้วย แต่อาจจะเจรจาเสนอท่านให้ประชาชนอยู่ในความสงบเรียบร้อยและเก็บโทรศัพท์มือถือ
เวลาประมาณ 9:36 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวอานนท์ในชุดผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นเสื้อยืดแขนสั้นสีครีม กางเกงวอร์มสีดำ และใส่กุญแจเท้า เข้ามาในห้องพิจารณาคดี
ต่อมาตำรวจศาลแจ้งกับประชาชนในห้องพิจารณาคดีว่า ผู้พิพากษาไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าฟัง ประชาชนกล่าวแย้งว่า ไม่มีเหตุต้องพิจารณาคดีลับ เอกชัย หงส์กังวาน ประชาชนที่มาสังเกตการณ์คดีกล่าวว่า รอให้ท่านออกมาและจะถามเหตุผล จากนั้นตำรวจศาลไล่ถามว่า มีสื่อมวลชนและตัวแทนสถานทูตมาด้วยหรือไม่ แต่ไม่มี
ต่อมาเวลาประมาณ 9.50 น. องค์คณะผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี ธนฤทธิ์ โทวรรธนะ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนแจ้งว่า คนไม่เกี่ยวข้องขอให้ออกจากห้องพิจารณาคดี เพราะผู้บริหารสั่งให้ออก เอกชัยแถลงว่า ขอนั่งฟังอย่างเรียบร้อยและไม่ใช้โทรศัพท์มือถือได้หรือไม่ ศาลไม่อนุญาต แต่ทนายความ ญาติ และลูกสาวอานนท์สามารถอยู่ได้ พร้อมกล่าวว่า คุณเอกชัย หงส์กังวาน คุณออกไปเลย คราวที่แล้วก็ทำแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อทนายความถามว่า ศาลสั่งพิจารณาคดีลับหรือไม่ ศาลกล่าวว่า ไม่ลับ ทนายความจึงแถลงต่อว่า งั้นโดยหลักต้องพิจารณาคดีโดยเปิดเผย ศาลกล่าวว่า ท่านจะให้สั่งลับใช่หรือไม่ ต้องไปปรึกษาอธิบดี ต่อมาศาลจึงเรียกทนายความไปคุยบริเวณหน้าบัลลังก์แบบไม่ออกไมค์ จากนั้นศาลลงจากบัลลังก์ไปปรึกษาผู้บริหารศาล ประมาณ 10 นาที
ศาลออกนั่งพิจารณาคดีอีกครั้งพร้อมสั่งว่า ให้พิจารณาคดีโดยลับ อนุญาตให้เพียงสถานทูตที่ส่งหนังสือมา ทนายความ ญาติอานนท์เท่านั้น อยู่ในห้อง
จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความผู้ถูกกล่าวหา กำลังจะแถลงศาล ผู้พิพากษาจึงเรียกให้มาคุยหน้าบัลลังก์ แต่ทนายความแถลงว่า อยากให้ทุกคนสามารถรับรู้ได้เท่าเทียมกัน ถ้าศาลจะให้ประชาชนออกจากห้อง ต้องชี้แจงเหตุผลตามกฎหมาย ไม่ใช่แค่ผู้บริหารสั่ง การพิจารณาคดีของศาลต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม กระบวนพิจารณาคดีโดยหลักให้เป็นไปโดยเปิดเผย หากผู้เข้าฟังก่อความไม่สงบ ก็ให้ออกจากห้องพิจารณาคดีเป็นรายกรณี โดยมีเอกชัยและอานนท์พยายามทวงถามเหตุผลเช่นกัน
ศาลกล่าวว่า เพื่อความสงบเรียบร้อย พร้อมเอ่ยชื่อเล่นของทนายจันทร์จิรา “ผมอะลุ่มอะล่วยที่สุดแล้ว เขาเลยให้มาไต่ ไม่มีอคติ ไต่เสร็จแล้วก็ไปรายงานผู้บริหาร” ทนายรัษฎากล่าวว่า ปกติลูกความผมหรือประชาชนไม่เรียบร้อย ผมก็เตือน ศาลบอกว่า ท่านเอาไม่อยู่หรอก ปรึกษาแล้วเพื่อให้คดีเป็นไปโดยเร็วและสงบเรียบร้อย
อานนท์แถลงว่า คดีเดิมที่เป็นเหตุถอดเสื้อประท้วงเพราะผู้พิพากษาไม่เป็นธรรม ถ้าท่านไม่เป็นธรรมจะให้ผมทำอย่างไร ผมก็ต้องถอดเสื้อประท้วง
ศาลกล่าวว่า ศาลสั่งแล้ว ให้ออก อย่างไรก็ตาม ไม่มีประชาชนคนใดลุกออกจากห้องพิจารณาคดี
ทนายรัษฎากล่าวว่า พิจารณาคดีลับต้องมีกฎหมายรองรับ แต่ตอนนี้ยังมองไม่เห็นว่าจะไม่มีความสงบเรียบร้อยอย่างไร ศาลกล่าวว่า คาดการณ์ว่าจะไม่มีความสงบ ดังนั้นจึงต้องสั่งก่อน ผมไม่อยากใช้วิธีนิติศาสตร์ ตั้งละเมิดฯ แทงแต่ละคน
ทนายจันทร์จิราถามว่า ท่านใช้เหตุผลว่าความสงบฯ ถ้าประชาชนสาบานตนว่าจะนั่งด้วยความสงบเรียบร้อยได้หรือไม่ พร้อมถามเพิ่มเติมว่า ท่านจดในรายงานฯ ได้หรือไม่ว่าอธิบดีสั่งพิจารณาคดีลับ ศาลกล่าวว่า จดได้ ทนายความจึงทวงถามถึงความเป็นอิสระของศาล ในขณะที่ศาลยืนยันว่าให้เป็นไปตามดุลยพินิจของศาล
อานนท์แถลงว่า “ขออนุญาตท่าน ผมไม่ดูประชาชนเดินออกไปจากห้องโดยไม่ทำอะไร เพื่อรักษาเกียรติของชาวบ้านในการมาดูพิจารณาคดี ผมยินดีโดนละเมิดอำนาจศาลอีกครั้ง” พร้อมถอดเสื้อผู้ต้องขังออกเพื่อประท้วงศาลที่สั่งพิจารณาคดีลับอีกครั้ง

ธีรเดช กิ่งแก้วจิรกุล ผู้พิพากษาองค์คณะกล่าวว่า อานนท์เป็นทนายความ ไม่ใส่ครุยทนายความ ศาลก็อนุญาตให้ทำหน้าที่ อานนท์แย้งว่า ท่านไม่ให้ผมสวมชุดครุย ศาลถามว่า ท่านถอดเสื้อทำไม ให้ใส่เสื้อ อานนท์แถลงว่า เป็นเกียรติของผม ผมจะใส่เสื้อต่อเมื่อชาวบ้านได้ดูการพิจารณาคดี ศาลสั่งอีกครั้งว่า ให้ท่านใส่เสื้อ อย่าใช้เป็นเครื่องมือ ศาลไม่ใช่คู่กรณี ศาลไม่ได้ไล่ใครเลย อานนท์กล่าวว่า ผมจะถอดอีกครั้งหากชาวบ้านถูกไล่ออกไป พร้อมใส่เสื้อผู้ต้องขังกลับไป
ต่อมาผู้พิพากษาธีรเดชถามว่า ใครคือชาวบ้านบ้าง ประชาชนที่มาดูการพิจารณาคดีประมาณ 20 คน จึงยกมือขึ้น ศาลกล่าวว่า ให้ชาวบ้านนั่งแยกไปฝั่งชาวบ้าน ตำรวจศาลประมาณ 7 คนในห้องพิจารณาคดี จึงช่วยกันจัดแจงที่นั่งของประชาชนที่มาสังเกตการณ์คดี ในขณะที่ศาลกล่าวต่อไปว่า ตำรวจศาลก็ต้องทำหน้าที่ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง
ต่อมาศาลถามว่า ผู้หญิงและเด็กที่นั่งข้างอานนท์คือใคร อานนท์แถลงว่า เป็นภรรยาและลูกสาว ศาลกล่าวว่า ให้ภรรยาไปนั่งที่นั่งของประชาชน ส่วนเด็กไม่ควรอยู่ในห้องพิจารณาคดี ควรจะรู้จักกติกากันบ้าง เลอะเทอะกันไปหมด
นอกจากนี้ ผู้พิพากษาธีรเดชยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การพิจารณาคดีควรเป็นไปโดยเปิดเผย แต่ศาลสามารถสั่งลับได้ ความจริงตำรวจศาลไม่จำเป็นต้องเข้ามาในห้องพิจารณาคดี แต่ถ้ามันเกินกำลังของผู้คุม ก็ต้องให้ตำรวจศาล และ รปภ. เข้ามา ถ้าทุกคนทำตามหน้าที่ปัญหาก็จะไม่เกิด ซึ่งในคดีนี้เจ้าของสำนวนสั่งให้พิจารณาลับแล้ว เอกชัยแถลงโต้แย้งว่า ไม่เห็นเหตุผลในการสั่ง ในขณะที่อานนท์กล่าวว่า ผมขอคัดค้านการพิจารณาคดีลับ ศาลจึงกล่าวว่า ศาลไม่มีปัญหา แต่เรื่องไหนที่กระทบความมั่นคง น่าจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ศาลสั่งได้ อานนท์เป็นทนายความต้องรู้ รู้ดีกว่าผู้พิพากษา ทนายความต้องเก่งและดีด้วย เก่งและไม่ดีก็ไม่มีใครจ้าง คนที่โง่ที่สุดคือคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เพราะรู้ข้อเท็จจริงหลังสุด คดีนี้เป็นคดีละเมิดอำนาจศาล ข้อเท็จจริงยุติตามคลิปวิดีโอแล้วศาลจะปล่อยให้การควบคุมการพิจารณาคดีกลับไปที่เจ้าของสำนวน
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจึงกล่าวว่า วันนี้ศาลจะไต่สวน และให้ชาวบ้านรับปากว่าจะไม่รุ่มร่ามกับกระบวนพิจารณาคดี ให้นั่งฟังด้วยความสงบ ประชาชนทุกคนรับปาก
ต่อมาผู้พิพากษาธีรเดชกล่าวว่า ผู้ที่มาดูให้นั่งดู แล้วปล่อยให้ผู้มีหน้าที่โดยตรงเป็นผู้โต้แย้ง คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องให้นั่งนิ่ง ๆ ศาลอนุญาตให้หายใจ แต่ห้ามแอคติ้ง จากนั้นถามว่า ใครเป็นหัวหน้าชาวบ้าน ประชาชนกล่าวพร้อมกันว่า ไม่มี ต่างคนต่างมา ผู้พิพากษาธีรเดชกล่าวกับอานนท์ว่า อานนท์เข้าใจตามนี้นะ อย่าทะเล่อทะล่าถอดเสื้ออีก
ต่อมามีประชาชนขออนุญาตถามว่า แล้วเหตุใดศาลถึงไม่ออกข้อห้ามถอดเสื้อ ผู้พิพากษาธีรเดชกล่าวตอบว่า ไม่อนุญาตให้ถาม ศาลไม่ได้มีหน้าที่ให้คำปรึกษา ให้นั่งหายใจเฉยๆ
ผู้พิพากษาธีรเดชกล่าวถึงการห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดในห้องพิจารณาคดี ส่วนผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกล่าวว่า ผมเป็นอิสระ แค่ขอให้สงบเรียบร้อย และสั่งให้ตำรวจศาลเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ตำรวจศาลจึงเดินเก็บโทรศัพท์และบัตรประชาชนของทุกคนในห้องพิจารณาคดี ศาลกล่าวว่า ครั้งนี้จะอะลุ่มอล่วยให้ โดยจะทำเป็นไม่เห็นอานนท์ถอดเสื้อ
หลังจากนั้น ศาลอนุญาตให้ประชาชนได้นั่งฟังการพิจารณาคดีโดยสงบเรียบร้อย และไม่ได้สั่งพิจารณาคดีลับอีก ซึ่งทำให้การพิจารณาคดีดำเนินไปได้จนเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามในรายงานกระบวนพิจารณาคดีได้ระบุรายชื่อประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในห้องพิจารณาคดีไว้ และหลังจบการพิจารณาคดีทุกคนต้องลงนามในรายงานกระบวนฯ ก่อนกลับ
.
พยานวัตถุมีแค่วีดีโอหลังอานนท์ถอดเสื้อ – ศาลไม่ไต่สวนพยานปากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ทำให้พยานผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถขึ้นไต่สวนได้ ก่อนศาลสั่งงดไต่สวนพยานผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด และนัดฟังคำสั่ง 28 มี.ค. นี้
สุธิศา อินทปัญสกุล นิติกรชำนาญการพิเศษ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา ขึ้นเบิกความเป็นพยานผู้กล่าวหาในคดีนี้ โดยในระหว่างการไต่สวน พยานได้ส่งพยานวัตถุเป็นคลิปวิดีโอจากกล้องติดเสื้อของตำรวจศาล ซึ่งแสดงให้เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ (27 พ.ย. 2567) หลังจากอานนท์ถอดเสื้อประท้วงแล้ว
ในคลิปปรากฏการณ์โต้แย้งกันระหว่าง เรืองฤทธิ์ บัวลอย ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีแฮร์รี่ พอตเตอร์ 1 ทนายความจำเลย และอานนท์ เกี่ยวกับการไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารที่จะต้องใช้ถามค้านพยานโจทก์ โดยศาลอ้างว่าการออกหมายเรียกขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ในระหว่างที่ตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังลำเลียงประชาชนออกไปจากห้องพิจารณาคดี
ในคลิปวิดีโอปรากฎภาพและเสียงของผู้พิพากษาในทำนองว่า ให้ออกไปจากห้องให้หมด หากไม่ออกภายใน 5 นาทีจะให้ตำรวจศาลขังให้หมด ทำให้ประชาชนในห้องพิจารณาเริ่มส่งเสียงอื้ออึงต่างจากก่อนหน้าที่นั่งกันด้วยความสงบเรียบร้อย แม้อานนท์จะถอดเสื้อผู้ต้องขังไปแล้ว
ภายหลังจากที่ตำรวจศาลนำประชาชนออกไปจากห้องพิจารณาคดีทั้งหมดและเฝ้าประตูไว้ ยังปรากฏภาพและเสียงที่ทนายความและอานนท์พยายามชี้แจงเรื่องพยานเอกสาร ว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 แต่อย่างใด ก่อนผู้พิพากษาเรืองฤทธิ์กล่าวทำนองว่า เพราะท่านก้าวล่วง ท่านเลยมาโดนพิจารณาคดีอยู่ตรงนี้ ซึ่งอานนท์โต้แย้งว่าเป็นการตีตรา
นอกจากนี้ ในระหว่างการถามค้าน ทนายความได้พยายามทวงถามถึงคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดในห้องพิจารณาคดีที่ 711 ซึ่งจะบันทึกทั้งภาพและเสียงไว้ตลอดเวลา รวมถึงก่อนการถอดเสื้อ ซึ่งจะชี้ให้เห็นมูลเหตุจูงใจที่ทำให้อานนท์ต้องถอดเสื้อประท้วง ในตอนแรกพยานรับว่า มีคลิปวิดีโอดังกล่าว อยู่ในระบบ E-hearing ทนายความจึงขอให้นำคลิปมาประกอบการถามค้าน แต่ศาลกล่าวว่า ให้ถามค้านต่อไป แล้วให้อานนท์เป็นคนเบิกความถึงมูลเหตุจูงใจเอง แต่ทนายความโต้แย้งว่าพยานวัตถุคือพยานที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าพยานบุคคล
นอกจากนี้ทนายความยังทำคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานวัตถุดังกล่าวซึ่งอยู่ในการครอบครองของศาลอาญาเองแล้ว ศาลจึงอนุญาตให้พักการพิจารณาคดี และให้พยานตามไฟล์วิดีโอกล้องวงจรปิดมาจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
หลังจากพักการพิจารณาคดีไปประมาณ 30 นาที พยานกลับขึ้นมาเบิกความว่า ตรวจสอบบัลลังก์ 711 แล้ว พบว่าใช้ระบบ E-Court ไม่ใช่ระบบ E-Hearing จึงไม่มีวิดีโอ ขอให้ใช้ประจักษ์พยานมาแทนพยานวัตถุดังกล่าว พร้อมเบิกความต่อไปว่า วิดีโอกล้องวงจรปิดที่ใช้รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง มีเพียงบริเวณรอบนอกห้องพิจารณาคดีเท่านั้น ส่วนกล้องที่เห็นในห้องไม่มีสัญญาณภาพ ทนายความจึงต้องถามค้านพยานต่อไปโดยไม่มีพยานวัตถุที่แสดงให้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น
การพิจารณาคดีในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลงตอนเกือบ 13.00 น. ศาลจึงให้พักการพิจารณาคดีและให้กลับมาไต่สวนพยานปากตำรวจศาล เป็นปากที่สอง ในเวลา 14.00 น. ซึ่งจากการไต่สวนปรากฏว่า ตำรวจศาลคนดังกล่าวไม่ได้อยู่ในห้องพิจารณาคดีมาตั้งแต่ต้น แต่เข้ามารักษาความปลอดภัยในห้องพิจารณาคดีหลังจากที่อานนท์ถอดเสื้อแล้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลังคลิปวิดีโอที่ผู้รับมอบอำนาจผู้อำนวยการศาลอาญาส่งมาอีกด้วย
ภายหลังจากไต่สวนพยานปากตำรวจศาลเสร็จสิ้น ศาลได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานคนเดียว นอกจากผู้พิพากษาองค์คณะ ที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบการพิจารณาคดี กำลังติดสืบพยานอยู่ที่อีกบัลลังก์ ศาลกล่าวว่า ศาลจะตัดพยานปากนี้
ทนายความและอานนท์จึงโต้แย้งว่า ถ้าไม่มีพยานวัตถุเป็นกล้องวงจรปิดในบัลลังก์ 711 ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็มีแค่เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ที่เป็นประจักษ์ซึ่งอยู่ตลอดการพิจารณาคดี ศาลกล่าวว่า ศาลใช้ดุลพินิจตัดพยาน เพราะจากที่ฟังมาก็เพียงพอแล้ว ให้อานนท์พูดมูลเหตุจูงใจมาเลย ศาลจะจดให้ทั้งหมด อานนท์ยืนยันว่า ไม่ได้
ทนายรัษฎาแถลงว่า ไม่ใช่ว่าศาลเห็นว่าอานนท์ถอดเสื้อแล้วจะตัดสินได้ ต้องดูมูลเหตุด้วย เชื่อว่าศาลจะบันทึกให้ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์และฎีกาแล้ว พยานวัตถุจะเป็นสิ่งสำคัญ ทนายจันทร์จิราเสริมว่า การไต่สวนควรจะทำให้ความจริงปรากฏ เนื่องจากพยานทั้งสองปากก่อนหน้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งคู่ แต่เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงอยู่ในวันที่ 4 มิ.ย. 2567 ซึ่งเป็นการถอดเสื้อประท้วงครั้งแรกด้วย และมีเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เพียงคนเดียวที่ตอบได้ว่ากล้องในห้องพิจารณาคดีที่ 711 เป็น E-Hearing หรือไม่ กล้องมีกี่ตัว ซึ่งถ้าไม่นำประจักษ์พยานมา ก็จะไม่เห็นข้อเท็จจริงในส่วนนี้
ศาลกล่าวว่า อานนท์ควรเป็นคนพูดแรงจูงใจให้ศาลฟัง เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ไม่รู้หรอก พร้อมบอกว่านี่คือการไต่สวนและถามอานนท์ว่าสาเหตุที่ถอดเสื้อในห้องเพราะอะไร อานนท์แถลงขออนุญาตศาลพร้อมกล่าวว่า วันแรกที่นัดไต่สวนในคดีนี้ เจ้าของสำนวนก็พยายามถามคำถามนี้ มันรวบรัดเกินไป ถ้าแค่มีคนถอดเสื้อแล้วจะผิดละเมิดอำนาจศาลเลย ผมเห็นว่ามันไม่เป็นธรรม เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เป็นคนเดียวที่บอกได้ว่ากระบวนพิจารณาในวันนั้นเป็นไปโดยเรียบร้อย
ทนายรัษฎาพยายามแถลงต่อว่า คดีนี้มีโทษทางอาญา จำเป็นต้องไต่สวนให้สิ้นสงสัย ศาลกล่าวขึ้นมาว่า การขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีนั้น ทนายก็มีส่วนได้ ศาลอธิบายให้ฟังก็ฟัง ไม่ต้องเถียงทุกช็อต หน้าบัลลังก์ไม่ได้เป็นคนถอดเสื้อ ไม่รู้แรงจูงใจ
อานนท์แถลงว่า เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์คือคนเดียวที่อยู่ในห้องพิจารณา ศาลจะตัดพยานปากอื่นไปก็ได้ แต่จะตัดปากนี้ไม่ได้ ในการไต่สวนวันแรกที่ไม่มีทนาย ผมบอกว่าขอรอทนาย ท่านก็ถามคำถามนี้ถึง 3 ครั้ง (คำถามว่าถอดเสื้อเพราะอะไร) ผมก็ยืนยันไม่ตอบ
ศาลถามอีกครั้งว่า สาเหตุที่ถอดเสื้อในห้องพิจารณาคดีที่ 711 เพราะอะไร ทนายแถลงว่า ในคำแก้ข้อกล่าวหามันมีอยู่ ศาลกล่าวว่า ศาลถามผู้ถูกกล่าวหา ทนายความจึงพยายามสอบถามว่า ตกลงท่านจะตัดพยานผู้กล่าวหาปากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์หรือไม่ ตามหลักการต้องไต่สวนพยานผู้กล่าวหาก่อนผู้ถูกกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เป็นพยานคนกลางที่เชื่อถือได้ ศาลกล่าวว่า ก็ให้อานนท์ขึ้นเบิกความเลย
อานนท์แถลงว่า ผมเป็นทนาย ผมก็รู้ว่าคำของจำเลยมันฟังได้มากน้อยแค่ไหน ที่การพิจารณาคดีล่าช้าเพราะเอาพยานที่ไม่ใช่ประจักษ์พยานมาเบิกความ 2 ปาก แล้วพักการพิจารณาไป 30 นาทีก่อนกลับมาบอกว่าไม่มีกล้องวงจรปิด ขอให้รอพยานปากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์กับกล้องวงจรปิดก่อนได้หรือไม่ ศาลกล่าวว่า ศาลสั่งตัดพยาน อานนท์จึงแถลงต่อว่า ถ้าท่านไม่เอาเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์มาในฐานะพยานผู้กล่าวหา ผมจะเอามาในฐานะพยานผู้ถูกกล่าวหา
ศาลกล่าวขึ้นในทำนองว่า จะทำให้คดีล่าช้า เพราะวันก่อนคดีไม่เสร็จเลยต้องมาวันนี้ อานนท์จึงกล่าวแย้งว่า ผมสามารถนำพยานมาได้ในวันที่ท่านว่าง โดยมีทนายความแถลงเสริมว่า ไม่อยากให้ศาลรีบเกินไป อานนท์แถลงต่อว่า ไต่แบบนี้เหมือนไต่เป็นพิธี พยานที่สำคัญที่สุดคือเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ซึ่งก็อยู่ที่ศาลนี้
ศาลกล่าวว่า การถอดเสื้อเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลหรือไม่ ศาลเข้าใจทั้งหมด แต่ข้อเท็จจริงยุติแล้ว มูลเหตุจูงใจเป็นหลักการประท้วง แต่การประท้วงคือการประพฤติตัวไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลหรือไม่ กรณีนี้เป็นในบัลลังก์ซึ่งถือเป็นกล่องดวงใจของศาล ถอดเสื้อในกล่องดวงใจ ก็ผิดหรือไม่ผิด ศาลไม่รู้ ศาลเข้าใจ แต่กฎหมายล็อคไว้อย่างนี้ ศาลก็เดินไปตามกฎหมาย
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล พยานผู้เชี่ยวชาญกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ผู้ถูกกล่าวหาจะนำขึ้นเบิกความ ขออนุญาตศาลแถลงว่า ผมขอให้ความเห็นกรณีที่ศาลไม่เรียกพยานเอกสารโดยอ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ผมเห็นว่าไม่ขัด และหากศาลออกคำสั่งไม่ชอบ ผมในฐานะประชาชนจะทำอะไรได้ กรณีของอานนท์ที่เป็นคดีละเมิดอำนาจศาล ถ้าอานนท์แสดงออกแล้วไม่ขัดขวางกระบวนพิจารณาคดี เช่น อาละวาด ผมเห็นว่าก็ไม่เป็นความผิดตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายละเมิดอำนาจศาล พร้อมทิ้งท้ายว่า หากคำสั่งศาลผิดมหันต์ ประชาชนจะทำอะไรได้

ศาลกล่าวตอบว่า หากศาลสั่งแล้วไม่ถูก ก็ใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไป อานนท์แถลงว่า พอเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีจบ ผมก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้เลยทันที มีผลทำให้คดีผมจบลง จำคุกเลย พร้อมเสริมว่า การประท้วงศาลไม่อยู่ในการออกแบบ (การต่อสู้คดี) โดยตรง แต่พอกระบวนการมันไม่ยุติธรรม ก็ต้องทำอะไรบางอย่าง
ทนายความพยายามเจรจาขอเลื่อนคดีไปก่อน โดยแถลงว่า ผู้ถูกกล่าวหายังมีพยานปาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ที่ศาลออกหมายเรียกให้แล้ว แต่พยานไม่สะดวกมาในวันนี้ ขอให้ศาลเลื่อนคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
อานนท์แถลงว่า ผมคิดว่าที่ท่านตัดพยานไปนั้นไม่เป็นธรรม ผมก็ต้องประท้วง คดีนี้ไม่ต่างอะไรกับคดีมาตรา 112 ที่ผู้พิพากษาสั่งจำคุกเลย โดยถ้าท่านตัดพยานปากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ผมก็ขอเขียนคำร้องคัดค้านและประท้วง เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เป็นพยานที่อยู่ที่ศาลอาญาอยู่แล้ว แต่เอามาไม่ได้ ผมว่ามันแปลก พยานวัตถุที่เป็นคลิปวิดีโอก็ตัดมาตอนถอดแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มี เจ้าหน้าที่ตำรวจศาลที่เป็นคนถ่ายคลิปก็ไม่นำขึ้นมาเบิกความ ตำรวจศาลที่เป็นพยานในคดีนี้กล่าวแทรกขึ้นมาว่า ตำรวจศาลคนดังกล่าวย้ายไปแล้ว อานนท์จึงกล่าวต่อว่า ก็สามารถออกหมายเรียกมาได้
อานนท์แถลงต่อไปว่า ไม่ได้มีเจตนาประวิงคดี ขอให้ศาลไต่สวนเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ จากนั้นก็ไต่สวนผม และอาจารย์อีก 2 คน ผมก็จบเลย ที่ตลกคือเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ก็อยู่ห้องข้าง ๆ ศาลกล่าวว่า ถ้าศาลเห็นว่าพอแล้ว เอามาก็ไม่เป็นประโยชน์ ทนายความแถลงต่อว่า คำให้การเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ซึ่งเป็นคนกลาง ทำให้เห็นว่ามันมีมูลเหตุจูงใจ ศาลกล่าวว่า ก็บอกสิ จะบันทึกให้ ก็ไม่เอาเอง
ในระหว่างที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนขึ้นไปปรึกษาผู้บริหารอีกครั้ง ผู้พิพากษาธีรเดชได้กล่าวสอนเกี่ยวกับกฎหมายไทยให้ประชาชนผู้เข้าฟังการพิจารณาคดีและตำรวจศาล ก่อนถามอาจารย์สมชายว่า ศาลพูดอะไรผิดไปหรือไม่ อาจารย์แถลงว่าไม่ผิด
ต่อมาอาจารย์ได้พยายามแถลงให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่ศาลในคดี “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ที่ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้ แต่ศาลกล่าวตัดบทว่า ไม่พูดเรื่องนี้ อาจารย์สมชายจึงกล่าวว่า หากท่านสั่งไม่พูดก็จะไม่พูด ศาลจึงกล่าวต่อไปว่า บางทีศาลก็ทำงานลำบาก ศาลทำงานในพระปรมาภิไธย กฎหมายที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ต้องไปให้ถูกที่ ตรงนี้ (ศาล) เป็นปลายทางแล้ว หากกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญจะมาสู้ว่าไม่ถูกต้องที่นี่หรือ ก็ต้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
เมื่อผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนกลับมาออกนั่งพิจารณาคดี พร้อมบันทึกรายงานกระบวนฯ ในระหว่างนี้ อานนท์ได้เขียนคำร้องคัดค้านและประท้วงศาล ก่อนศาลอ่านรายงานกระบวนฯ มีใจความโดยสรุปว่า ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้ว จึงตัดพยานปากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ทำให้ไต่สวนพยานผู้กล่าวหาเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนผู้ถูกกล่าวหาแถลงยืนยันว่าจะนำพยานเข้าเบิกความหลังนำพยานปากหน้าบัลลังก์เข้าไต่สวน ศาลให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหานำพยานเข้าไต่สวนแล้ว แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ทำ เห็นว่าทำให้คดีล่าช้า จึงให้งดการไต่สวนพยานผู้ถูกกล่าวหา และนัดฟังคำสั่งในวันที่ 28 มี.ค. 2568 เวลา 9.30 น.
.
คำร้องคัดค้านและประท้วงศาล ระบุศาลตัดพยานและไม่เรียกวิดีโอกล้องวงจรปิดในเหตุการณ์ ทำให้ไม่อาจต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ – ยืนยันประท้วงกระบวนการยุติธรรมในคดี ม.112 และคดีการเมืองที่มีความบิดเบี้ยว โดยการโกนคิ้วขวาข้างเดียว
หลังศาลอ่านรายงานกระบวนฯ เสร็จสิ้น อานนท์ได้เขียนคำร้องคัดค้านและประท้วงศาล ลงวันที่ 5 มี.ค. 2568 มีใจความระบุว่า ระหว่างไต่สวน ศาลตัดพยานผู้กล่าวหาซึ่งเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวในคดี ไม่เรียกวิดีโอวงจรปิดในสถานที่เกิดเหตุ อันทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ มีลักษณะเช่นเดียวกับคดีอาญามาตรา 112 ที่ผู้ถูกกล่าวหา ถูกตัดสิทธิในการเรียกพยานหลักฐานเข้าต่อสู้คดี
จากกระบวนการยุติธรรมของศาลในคดีต่าง ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการเรียกร้องให้ปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งกระผมและเพื่อน ๆ ไม่ได้รับความยุติธรรม พอสรุปได้ดังนี้
1. ในคดีอาญามาตรา 112 กระผมถูกดำเนินคดีเพียงเพราะวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตและเป็นความจริง แต่กลับถูกกล่าวหาว่าพูดเท็จในการพิจารณาคดี กลับไม่ยอมเรียกพยานหลักฐานมาให้พิสูจน์ความจริง อันนำมาสู่การถอดเสื้อประท้วงศาลในคดีนี้
2. การพิจารณาคดีของศาลในบางคดี ใช้การพิจารณาลับ พิจารณาลับหลังจำเลยซึ่งลี้ภัยทางการเมือง ไม่เปิดโอกาสให้ต่อสู้อย่างเต็มที่
3. ในคดี ม.112 ถูกตีความขยายไปจนเลยเถิด ทั้งบุคคลที่กฎหมายบัญญัติให้คุ้มครอง ขยายไปถึงพฤติการณ์หรือการกล่าวความจริงก็เป็นความผิด มิได้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตย
4. กระผมและจำเลยหลายคนไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ถูกคุมขังจนไม่อาจต่อสู้คดีด้วยความยุติธรรม หลายคนต้องอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิและเสียชีวิตระหว่างการถูกคุมขัง
5. ศาลในหลายคดีมีทัศนคติไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข วินิจฉัยและตัดสินคดีไม่สอดคล้องและไม่เป็นไปตามกฎหมาย
ทั้งหมดเป็นความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมไทยในคดี ม.112 และคดีการเมืองอื่น ๆ กระผมจึงขอคัดค้านและประท้วงต่อกระบวนการยุติธรรม โดยการโกนคิ้วขวาข้างเดียว เพื่อให้เห็นถึงความบิดเบี้ยว ความไม่ยุติธรรม
การประท้วงนี้เป็นวิธีที่สันติและกระทำไปด้วยความมุ่งหมายให้กระบวนการยุติธรรมกลับสู่ปกติเสียที
ลงชื่อ (อานนท์ นำภา) ผู้ถูกกล่าวหาคดี ม.112 เรียง / เขียน

หมายเหตุ ข้อความและคำพูดเป็นการบันทึกจากการสังเกตการณ์คดี ไม่ใช่การถอดความตามคำพูดทั้งหมด
https://tlhr2014.com/archives/73604