วันศุกร์, มีนาคม 07, 2568

เหตุใดคำชี้แจงเรื่องชาวอุยกูร์ของรัฐบาล จึงถูกมองว่าเป็นการ "โกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า" ?

นายภูมิธรรม เวชยชัย แสดงภาพชาวอุยกูร์ที่เดินทางกลับถึงจีนอย่างปลอดภัย ในวันแถลงข่าวเมื่อ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา

เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

การตัดสินใจส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังประเทศจีนมีข้อกังขาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหลังเหตุผลการตัดสินใจของรัฐบาล ประเด็นความสมัครใจ ไปจนถึงผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อจากนี้

ดูเหมือนว่าสิ่งที่สร้างคำถามมากที่สุดคือคำชี้แจงจากฝั่งรัฐบาลเอง ซึ่งพบว่าเปลี่ยนแปลงแทบจะรายวัน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องประเทศที่สามสำหรับชาวอุยกูร์

บีบีซีไทยเรียบเรียงคำแถลงของผู้ที่เกี่ยวข้องในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อสำรวจว่าจุดใดบ้างที่เป็นช่องโหว่สำคัญอันส่งผลให้น้ำหนักถ้อยคำของฝ่ายรัฐไม่น่าเชื่อถือในสายตาของผู้เห็นต่าง และมันส่งผลกระทบกับกระบวนการส่งกลับชาวอุยกูร์ในครั้งนี้อย่างไร

นายกรัฐมนตรีบ่ายเบี่ยงการชี้แจง ก่อนยอมรับว่าส่งชาวอุยกูร์กลับจีนแล้ว

"ยังไม่ได้คุยรายละเอียด" เป็นคำชี้แจงแรกจากปาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 ก.พ. วันที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับตามคำขอของจีน โดยพร้อมกันนี้เธอกำชับว่าหากประเทศใดจะทำอะไรก็ตาม ต้องยึดหลักกฎหมาย กระบวนการระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชน

จนกระทั่งในช่วงเย็นและช่วงค่ำวันเดียวกัน ทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ออกมาแถลงข่าวยืนยันกับสื่อมวลชนว่า ได้ส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังประเทศจีนจริง ซึ่งเป็นไปตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

นายกรัฐมนตรีจึงแถลงต่อสื่อในวันถัดมา (28 ก.พ.) ว่า ตนเองทราบอยู่แล้วว่าไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีน แต่ในตอนนั้นเป็นเรื่องหลักเกณฑ์หรือ protocol (พิธีการ) ระหว่างประเทศว่าใครจะออกมาแถลงก่อน ทางจีนจะออกมาพูดก่อนหรือไม่

นอกจากนี้ หากเธอตอบคำถามนักข่าวไปแค่ 2-3 คำ ข้อความก็จะถูกเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้

"เรื่องความมั่นคง เรื่องของประเทศ ไม่สามารถพูดแค่คำสองคำแล้วเดินออกไปได้ แต่ต้องมีการอธิบาย" น.ส.แพทองธาร กล่าว

เธอยังบอกด้วยว่าที่ผ่านมา "เราตรวจสอบข้อมูลแล้วว่าไม่เคยมีประเทศที่สามที่จะขอรับตัวเขาเหล่านั้น เพื่อที่จะไปอยู่ประเทศนั้น ๆ เลย และทางจีนก็ติดต่อมาพร้อมหลักฐานว่าพวกเขาเป็นคนจีนจริง ๆ หากเป็นเรื่องของประเทศอื่น ๆ เมื่อยืนยันได้ว่าเป็นประเทศไหน เราก็ส่งกลับประเทศนั้น เราไม่ได้ทำผิดกฎสหประชาชาติ และไม่ได้ทำผิดกฎมนุษยชนแต่อย่างใด"

ภูมิธรรมยืนกรานก่อนหน้านี้ ไม่มีประเทศที่สามขอรับตัวไป

นายภูมิธรรม รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกมายืนยันคำพูดของนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวันเดียวกัน (28 ก.พ.) ว่าเป็นระยะเวลากว่า 11 ปีแล้วที่ไทยพยายามดำเนินการส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม เนื่องจากเห็นว่าการควบคุมตัวพวกเขามานานกว่าสิบปีเป็นเรื่องไม่สมควร

เขายังบอกด้วยว่าเคยมีตุรกีขอรับชาวอุยกูร์ไป และทางไทยก็ได้จัดส่งไปแล้วประมาณ 100 กว่าคน แต่หลังจากนั้นไม่ได้รับการติดต่อจากประเทศที่สามอีกเลย โดยทางเขาได้บอกกับชาติตะวันตกแล้วว่า "หากเขารับไปก็ไม่มีปัญหา แต่เขาไม่รับ เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเขา"

ดังนั้น เมื่อทางการจีนยืนยันว่าทั้งหมดเป็นพลเรือนของจีนที่มีเชื้อสายอุยกูร์ มีที่อยู่ชัดเจน จึงอยากขอตัวกลับไป ทางไทยจึงดำเนินการตามขั้นตอน เพราะเห็นว่าการส่งกลับจีนเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยทางรัฐบาลจะติดตามเรื่องความปลอดภัยเป็นระยะ ๆ

ในช่วงเวลาเดียวกัน นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ว่า "ผมฟังแล้วรู้สึกตลก" เมื่อได้ยินผู้นำรัฐบาลออกมากล่าวว่าไม่มีประเทศที่สามต้องการรับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไป

เขาบอกว่าตนเองมีข้อมูลอย่างเป็นทางการว่าทางสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศไทยได้มีการติดต่อทางการทูตกับทางการไทยเมื่อปีที่แล้วว่ามีความยินดีรับชาวอุยกูร์ที่อยู่ใน สตม. ในฐานะผู้ลี้ภัย รวมถึงได้ข้อมูลมาว่ามีอย่างน้อย 6-7 ประเทศที่ตอบรับ หากไทยส่งชาวอุยกูร์ไปให้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประเทศมุสลิมอย่างมาเลเซีย

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการแถลงของนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และ คุ้มครองผู้บริโภคของวุฒิสภา ที่ระบุว่า เคยเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบหลายครั้งว่าหากต้องการรู้ว่าประเทศไหนต้องการรับชาวอุยกูร์บ้าง ทาง กมธ. ยินดีบอก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างประเทศไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยทาง กมธ. ยินดีเป็นตัวประสานประเทศที่สามให้พวกเขาไปตั้งรกราก


รัฐบาลไทยยืนยันว่าการส่งกลับชาวอุยกูร์ไปจีนเป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้ว่าหลายฝ่ายยังคงกังขา

สู่คำอธิบาย "ไม่มีประเทศไหนแน่วแน่ที่จะรับไปจริงจัง"

ต่อมาวันที่ 28 ก.พ. นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศ ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า "การส่งตัวกลับจีนโดยได้รับการรับรองความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่ไทยพอทำได้ และยังดีกว่าขังพวกเขาไปเรื่อย ๆ จนตายคาห้องขังอย่างไร้มนุษยธรรม"

เขาบอกว่าการส่งไปให้ประเทศที่สาม "ฟังดูดีแต่ยากจะเป็นไปได้จริง" เนื่องจาก "ไม่มีประเทศไหนแน่วแน่ที่จะรับไปจริงจัง"

"เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้มีประเทศไหนมุ่งมั่นอยากรับจริง อาจมีที่เคยแสดงท่าทีบ้างแล้วก็เงียบหาย ไม่ได้จะมาแน่วแน่ช่วยเหลืออย่างจริงจังเต็มที่อะไร แม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ หรือองค์การระหว่างประเทศเองอย่าง UNHCR ก็ไม่ได้ให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่คนเหล่านี้ บางประเทศมาชี้นิ้วห้ามไทยส่งให้จีน แต่ก็ไม่ได้มีข้อเสนอทางเลือกอื่นอะไรให้"

ผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เหตุใดประเทศที่แสดงความประสงค์เหล่านั้นไม่ไปล็อบบี้ (Lobby) หรือเจรจากับจีนโดยตรง เพื่อขอให้ยอมส่งไปยังประเทศที่สามได้ รวมถึงไม่เห็นมีใครมาบอกว่าหากไทยถูกจีนตอบโต้แล้วจะช่วยเหลือไทยอย่างไร

"เรื่องมันน่าเศร้าที่ประเทศต่าง ๆ เอาเข้าจริงก็มักหน้าไหว้หลังหลอก ไม่ได้ตั้งใจช่วยเหลือเราจริงจัง มีแต่คำพูดสวยหรู และเก่งกับชี้นิ้วประเทศเล็ก ๆ อย่างไทยเท่านั้น" โพสต์ของนายรัศม์ระบุ

"การโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า" ?

จากนั้นวันที่ 5 มี.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยตัวตนหลายแหล่ง ระบุว่า สหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย เสนอตัวรับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ แต่ทางการไทยกลัวว่าจะมีปัญหากับจีน จึงไม่ดำเนินการต่อ

ในวันเดียวกัน นายกัณวีร์ได้ออกมาเปิดเผยชวเลขการประชุม กรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 ที่มีเนื้อหาระบุว่า "บางประเทศก็แสดงความพร้อมรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐาน อย่างเช่น สหรัฐฯ สวีเดน ออสเตรเลีย ก็พอมีหยิบยกบ้างในความพร้อมที่จะรับไป"


คำเตือน: บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่มาจากภายนอก

ทั้งนี้ ชวเลขดังกล่าว แตกต่างจากบันทึกการประชุม กมธ. การกฎหมายฯ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่าทางผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงต่อ กมธ. การกฎหมายฯ ว่า "มีคำร้องจากประเทศจีนในหลายโอกาส หลายระดับ ตั้งแต่ชั้นรองปลัดกระทรวงและรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งประเทศต้องมีการพิจารณาและตระหนักถึงหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ไทยจึงยังไม่มีมาตรการส่งกลับชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม

"อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศตะวันตกบางประเทศ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้มีการขอให้ประเทศไทยไม่ส่งตัวกลับ ดังนั้น สถานการณ์ในปัจจุบัน ประเทศไทยจึงดูแลคนกลุ่มนี้ต่อไปจนกว่าจะหาทางออกที่เหมาะสมได้" ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงต่อ กมธ.ฯ ซึ่งมีนายกัณวีร์เป็นรองประธาน กมธ. การกฎหมายฯ คนที่สาม ในวันที่ 10 ก.ค. 2567

นายกัณวีร์บอกกับบีบีซีไทยว่า ในตอนนี้ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ไปในทางเดียวกันว่ามีประเทศที่สามขอรับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไป แต่สิ่งที่ยังไม่มีคำตอบคือไทยดำเนินการอย่างจริงจังหรือไม่ เพื่อพิจารณาตัวเลือกนี้

"ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเห็นแต่การโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่า" เขาบอก และอธิบายว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วมีกระบวนการพิจารณาสถานะผู้ลี้ภัย (Refugee Status Determination – RSD) ซึ่งช่วยให้ประเทศที่มีความต้องการรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐานใหม่

"แต่ว่าพวกทั้งประเทศที่สามและ UN (องค์การสหประชาชาติ) ไม่มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มคนพวกนี้ได้ เพราะทางการไทยปิดโอกาส ไม่อนุญาต พยายามปิดประตูทุกบาน เพื่อที่จะเปิดประตูบานเดียว นั่นคือการผลักดันกลับประเทศจีน" นายกัณวีร์ ระบุ

รถตำรวจที่พาชาวอุยกูร์ไปท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ถูกปิดทึบด้วยเทปสีดำรอบคัน

คำถามเรื่องความโปร่งใส

ด้าน น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี จากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นโฆษก กมธ. การกฎหมายฯ เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. ให้ข้อมูลกับ กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (6 มี.ค.) ว่าทาง สมช. มีมติส่งกลับชาวอุยกูร์เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568

เธอค่อนข้างตกใจอย่างมากกับประเด็นนี้ เนื่องจากในการประชุม กมธ.การกฎหมายเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ทางผู้แทนของ สมช. ได้ให้ข้อมูลกับทาง กมธ.ฯ ว่าไม่มีการส่งกลับชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน

"ขอยืนยันว่ายังไม่มีนโยบายที่จะส่งชาวอุยกูร์ทั้งหมด 48 คน กลับไปยังประเทศต้นทาง ส่วนสาเหตุที่ยังไม่ส่งไปประเทศที่สาม เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบและการพูดคุยกับประเทศดังกล่าวว่ายินยอมรับผู้ลี้ภัยหรือไม่" ผู้แทน สมช. ชี้แจงกับ กมธ.การกฎหมาย จากเอกสารบันทึกการประชุมเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2568

น.ส.ชลธิชา มองว่าความไม่ตรงไปตรงมาของ สมช. รวมถึงการชี้แจงจากฝั่งรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงรายวัน ทำให้เธอข้องใจว่ากระบวนการส่งกลับชาวอุยกูร์นั้นมีความโปร่งใสหรือไม่

"ถ้ามันชอบด้วยกฎหมาย รัฐบาลก็คงกล้าจะเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก" เธอกล่าว "ยิ่งคุณปกปิดเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เราเคลือบแคลงสงสัย"

พร้อมกันนี้ น.ส.ชลธิชา ยังเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดภาพกล้องวงจรปิดหรือ CCTV ในห้องกักของ สตม. รวมถึงภาพจากกล้อง CCTV ที่บันทึกกระบวนการส่งตัวกลับตั้งแต่ต้นจนจบ

"เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนกับสังคมมากขึ้นว่าเป็นการส่งกลับด้วยความสมัครใจหรือถูกบังคับกลับ รัฐบาลต้องกล้าเปิดเผย" สส.จากพรรคประชาชน กล่าว

https://www.bbc.com/thai/articles/c5yxk0npvdpo