.jpeg)
ทำไม ไอเอ็มเอฟ ห่วงเศรษฐกิจไทย
By ดร.บัณฑิต นิจถาวร
2 มี.ค. 2025
กรุงเทพธุรกิจ
ไอเอ็มเอฟ ชื่อนี้คนไทยทั้งประเทศรู้จักดีเพราะเป็นองค์กรที่มีบทบาทมากช่วงเศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤติปี 2540 ทั้งบทบาทในแง่นโยบายและในแง่ความช่วยเหลือด้านการเงิน
ซึ่งแม้วิกฤติจะจบไปนานแล้ว แต่ในฐานะที่เราเป็นประเทศสมาชิก ไอเอ็มเอฟก็จะส่งทีมมาประเมินเศรษฐกิจไทยเป็นประจำทุกปีเหมือนประเทศสมาชิกอื่นๆ และรายงานความเห็นต่อคณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟเพื่อพิจารณา โดยในรายงานจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นความเห็นของเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟที่มาประเมิน (Staff Appraisal) ว่ามองเศรษฐกิจไทยอย่างไร
ในความเห็นของผมเป็นส่วนที่สําคัญที่สุด วันนี้จึงขอสรุปความเห็นของทีมไอเอ็มเอฟล่าสุดที่ประเมินเศรษฐกิจไทยจากรายงานที่นําเสนอคณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟเมื่อวันที่ 11 ก.พ.โดยจะสรุปแบบอ่านระหว่างบรรทัด เพื่อให้ทราบความห่วงใยลึกๆของไอเอ็มเอฟต่อเศรษฐกิจไทยขณะนี้ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ในความเห็นของผม ความห่วงใยของทีมไอเอ็มเอฟต่อเศรษฐกิจไทยสรุปได้สามประเด็น
หนึ่ง ห่วงว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราที่ตํ่าต่อไป และอาจขยายตัวในอัตราที่ตํ่าลงมากขึ้นไปอีก จากที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยตํ่ากว่าอัตราการขยายตัวของประเทศเพื่อนบ้านเกือบทุกประเทศเป็นเวลานาน
ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความอ่อนแอในโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศที่ทําให้เศรษฐกิจไทยมีข้อจํากัดและไม่สามารถขับเคลื่อนการขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นได้
ผลคือเศรษฐกิจขาดความเข้มแข็งที่จะเผชิญแรงกระทบที่เป็นลบจากภายนอก (เช่น วิกฤติโควิดที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบและฟื้นช้า) ขณะที่กําลังซื้อในประเทศอ่อนแอจนทําให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยอยู่ในระดับตํ่ามาตลอด
คือเศรษฐกิจในประเทศไม่มีพลัง เมื่อมองไปข้างหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่จะมีมากขึ้น ข้อจํากัดเหล่านี้อาจทําให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลดตํ่าลงมากขึ้นไปอีก นี่คือความห่วงใย
จุดที่ต้องแก้ไขในความเห็นของไอเอ็มเอฟ (ซึ่งตรงกับความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป) คือต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งไอเอ็มเอฟใช้คําว่า Resolute Structural Reform คือปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
โดยเป้าหมายหลักคือเพิ่มผลิตภาพหรือความสามารถในการผลิตของประเทศและเพิ่มการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจ
โดยสิ่งที่ต้องทําในความเห็นของไอเอ็มเอฟเรียงตามลําดับความสำคัญ อันดับแรกคือ ปฏิรูปเพื่อเพิ่มการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจให้มีมากขึ้น และเปิดกว้างเศรษฐกิจ (openness) ให้ปลอดจากหรือลดการควบคุมของภาคทางการ
ประเด็นนี้ชัดเจนว่าไอเอ็มเอฟมองปัจจัยสําคัญที่ทําให้เศรษฐกิจไทยไม่โต คือการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้การแข่งขันในระบบเศรษฐกิจมีน้อยลง การผูกขาดและการมีอํานาจเหนือตลาดของผู้เล่นรายใหญ่มีมากขึ้น ทําให้ภาคเอกชนอื่นๆ ไม่อยากลงทุน และเมื่อภาคธุรกิจไม่ลงทุน เศรษฐกิจของประเทศก็ไม่โต
อันดับสองที่ต้องทํา คือลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพและด้าน ICT เทคโนโลยี รวมทั้งยกระดับและปรับทักษะกําลังแรงงานของประเทศ เพื่อให้ภาคการผลิตและภาคส่งออกของประเทศสามารถนําดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
ส่วนอันดับสามที่ต้องทํา คือปฏิรูปเรื่องธรรมาภิบาล ทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชันในภาครัฐสะท้อนจากดัชนี CPI หรือดัชนีการรับรู้คอร์รัปชันที่แย่ลงต่อเนื่อง ซึ่งไอเอ็มเอฟมองว่าคอร์รัปชันเป็นข้อจํากัดตัวแม่ (Critical Constraint) ที่ทําให้เศรษฐกิจไทยไม่โต
เห็นได้ว่าทั้งสามเรื่องที่ไอเอ็มเอฟชี้ว่าควรปฏิรูปอย่างจริงจังนั้นสําคัญจริงๆ ต่อเศรษฐกิจไทย แต่ความตั้งใจหรือความพยายามที่จะทําอะไรจริงจังโดยภาครัฐ คือรัฐบาลและระบบราชการ มีน้อยมาก ทำให้ความเสี่ยงที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเราจากนี้ไปจะยิ่งถดถอยลงมากขึ้นจึงมีสูง
ความห่วงใยที่สอง คือห่วงความเปราะบางของฐานะการคลังของประเทศและสถานการณ์หนี้ในภาคเอกชน โดยเฉพาะหนี้ภาคครัวเรือน ทั้งสองเรื่องนี้ถ้าไม่ดูแลจริงจังก็อาจเป็นความเสี่ยงที่นำประเทศไปสู่ปัญหาเสถียรภาพหรือวิกฤติเศรษฐกิจในอนาคตได้
ประเด็นนี้แม้ไอเอ็มเอฟไม่ได้เขียนชัดเจนในรายงาน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าสาเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในทุกประเทศคือการก่อหนี้ที่เกินความสามารถที่จะชําระคืน ทั้งในภาครัฐและเอกชน
ไอเอ็มเอฟจึงยํ้าประเด็นนี้ในรายงานประเทศไทย ซึ่งสําหรับหนี้ภาครัฐ ไอเอ็มเอฟมองว่ารัฐบาลควรลดการก่อหนี้ลงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
โดยใช้จ่ายตํ่ากว่างบประมาณหรือเปลี่ยนการใช้จ่ายจากการกระตุ้นหรือแจกเงินเป็นการเพิ่มผลิตภาพ หรือดูแลภาคสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจและลดอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในระยะยาว
พร้อมห่วงว่าภาครัฐขาดกฎเกณฑ์ที่จะควบคุมการใช้จ่ายทําให้การก่อหนี้ไม่มีตัวควบคุม เช่น ไม่มีข้อมูลให้ทราบถึงภาระต่อการคลังที่เกิดจากการแทรกแซงของรัฐบาลเพื่อตรึงราคาหรืออุดหนุน เพราะภาระเหล่านี้มักกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆ ไม่มีการบันทึกหรือติดตาม
สําหรับหนี้ครัวเรือน ไอเอ็มเอฟมองว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยทําให้ความสามารถในการชําระหนี้ของครัวเรือนดีขึ้น รวมทั้งลดความเสี่ยงสําหรับการก่อหนี้ใหม่
ส่วนโยบายการเงินควรพร้อมยืดหยุ่นตามข้อมูลและสถานการณ์ที่เปลี่ยน ซึ่งความเป็นอิสระของธนาคารกลางในการทําหน้าที่และการสื่อสารที่ชัดเจนคือ กุญแจที่จะรักษาความเชื่อมั่นและประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน
ความห่วงใยที่สาม คือห่วงความสามารถของเศรษฐกิจที่จะปรับตัวเมื่อมีปัจจัยลบจากภายนอกเข้ามากระทบ ทําให้ความเสียหายรุนแรงมากกว่าที่ควร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเปราะบางที่เศรษฐกิจมี ทั้งจากอัตราการขยายตัวที่ตํ่าและโครงสร้างเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
แต่อีกส่วนเป็นผลจากนโยบายของรัฐเอง คือการแทรกแซงเศรษฐกิจโดยภาครัฐ ที่สร้างข้อจํากัดต่อกลไกตลาดและการปรับตัวของเศรษฐกิจ จนมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ประเด็นหลังนี้ชัดเจนจากตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดประเทศเราที่เกินดุลต่อเนื่อง การเกินดุลสะท้อนว่าเศรษฐกิจลงทุนน้อยกว่าออม และที่การลงทุนในประเทศมีน้อย
ส่วนหนึ่งก็เพราะการแทรกแซงของรัฐด้วยมาตรการภาษีหรือการอุดหนุนต่างๆ รวมถึงการทุจริตคอร์รัปชัน ที่บิดเบือนกลไกตลาด บิดเบือนการจัดสรรทรัพยากรเศรษฐกิจ ทำให้การแข่งขันลดลง สิ่งเหล่านี้ลดแรงจูงใจที่ภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศจะลงทุน
นี่คือความห่วงใยของไอเอ็มเอฟต่อเศรษฐกิจไทยถ้าเราอ่านระหว่างบรรทัด ซึ่งผมเห็นด้วย และอยากสรุปว่าหัวใจของปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศเรามีจริงๆ ในความเห็นของผม ที่ทําให้เศรษฐกิจไทยโตตํ่าต่อเนื่อง และประเทศดูเหมือนถอยหลังตลอดเวลาไม่ก้าวหน้า
ทั้งหมดอยู่ที่บทบาทของภาครัฐในระบบเศรษฐกิจ ทั้งการทำหน้าที่ประจําวันและการออกนโยบาย ที่เน้นการแทรกแซงเศรษฐกิจเป็นหลักและสร้างปัญหาตามมามากมาย
ผลคือเศรษฐกิจไทยขยายตัวตํ่าต่อเนื่อง คนในประเทศขาดโอกาส ความเหลื่อมลํ้ามีสูง และเศรษฐกิจทั้งระบบไม่มีความเข้มแข็งที่จะยืนหรือปรับตัวเมื่อถูกกระทบด้วยปัจจัยลบจากภายนอก นี่คือเศรษฐกิจประเทศเราขณะนี้
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1169115
.....
