นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
14h
ผมเคารพทุกขบวนการต่อสู้ ไม่ว่าเล็ก ใหญ่ ใหม่ เก่า เมื่อเอาชีวิต อิสรภาพ วางเป็นเดิมพันเพื่อหลักการที่ถูกต้อง ถือว่าทุกคนมีสิทธิ์โดยชอบที่จะประกาศการต่อสู้ของตัวเอง
กรณีสามเหลี่ยมดินแดง ผมเคยแสดงความห่วงใยตั้งแต่รอบก่อน ยอมรับว่าตัวเองเข้าไม่ถึงแนวทางการต่อสู้นี้ แต่จะอย่างไรก็ตาม รัฐไม่มีสิทธิ์ใช้ความรุนแรงกับประชาชน หรือใช้เล่ห์กลใดๆ สร้างสถานการณ์ให้บานปลายป้ายสีพวกเขา
หากเกิดมีเรื่องเช่นนี้ เจ้าหน้าที่และรัฐบาลต้องรับผิดชอบ
ผมเคยเข้าพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดงตรงแนวหน้า ระหว่างเจรจาชวนน้องๆกลับบ้าน ก็พบว่ามีจำนวนหนึ่งเลือกจะสู้แบบพลุไฟ ตะไล ปิงปอง เกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ จนบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย
แม้พยายามเอ่ยปากห้าม แต่ใจนึกถึงภาพคนเสื้อแดงใช้พลุ ตะไล สู้กับสไนเปอร์เมื่อปี 2553 ในอกก็สะทกสะท้อน
พี่สาวอาวุโสคนหนึ่ง เป็นแดงแท้ยาวนาน ฐานะดี บ้านพักอยู่กลางเมือง สนับสนุนการต่อสู้มาตลอดเคยบอกผมว่า “เห็นภาพพี่น้องใช้พลุบ้าง ประทัดบ้าง ขว้างใส่ทหาร ทั้งที่เห็นชัดว่าเขาใช้ปืนยิงแล้วสงสาร คิดกันยังไง ทำไปทำไม”
แดงตัวแม่มีคำถาม ผมก็มีคำอธิบาย “พี่ครับ พี่น้องเราเขาก็รู้นะว่าสู้สไนเปอร์ไม่ได้ รู้ด้วยว่ามันยิงจริง ตายไปแล้วหลายราย แต่ที่ทำเพราะพวกเขาต้องการบอกว่ากูสู้ กูไม่ยอม คนเล็กๆที่ถูกกดขี่มาตลอดเขาสู้เองไม่ไหว เมื่อมีวาระที่จะได้สู้ร่วมกับคนที่รู้สึกเหมือนกัน เขาก็ลืมตัวลืมตาย สำหรับบางคน การได้สู้มันยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ครับพี่”
พูดไม่ทันจบผมเห็นเธอน้ำตาไหล ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าน้ำเต็มตาตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมพูดไม่ได้ว่าเห็นชอบกับแนวทางนี้ และคงไม่เชิญชวนใครเข้าร่วม แต่ผมบอกได้ว่าผมเห็นใจพวกเขา พยายามทำความเข้าใจ และจะส่งเสียงเรียกร้องต่อรัฐไม่ให้ใช้ความรุนแรงต่อไป
เราเคยผ่านสถานการณ์ถูกป้ายสีด้วยผังล้มเจ้า กล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย แล้วก็ถูกไล่ยิงกลางเมือง นอนตายกลางมหานคร โดยคนส่วนหนึ่งไม่ทุกข์ร้อน รู้สึกว่าชนะ ยิ้มกว้างล้างถนน เราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุแบบนี้อีก
เจ้าหน้าที่ต้องใช้ปัญญาและเมตตา ไม่ใช่อาวุธและยุทธวิธี ถ้าผิดก็ดำเนินคดีตามหลักฐาน ไม่ใช่เอาปืนยิง ไล่ทุบไล่ตี
ส่วนน้องๆผู้ชุมนุมขอให้ใช้สติ ประเมินสถานการณ์ดีๆ ฟังความให้รอบด้าน เรื่องสู้เข้าใจได้ แต่คนอีกส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบก็ต้องให้ความสำคัญ อย่าลืมว่าการยึดกุมความชอบธรรม ขยายการยอมรับ เป็นกุญแจดอกใหญ่สู่ชัยชนะ
ห่วงใยน้องเอ้ย
.....
“เด็กออกมาสู้เรื่องต่างๆ เช่น การปฏิรูปสถาบันฯ ยกเลิก 112 เราก็ตื่นตาตื่นใจไปกับเด็กๆ เห็นพลังของเด็กที่ออกไปพยายามแสดงพลัง การต่อรอง ไม่ได้คาดหวังชนะในวันนั้น แต่เห็นถึงความกล้าหาญของเด็กที่ดึงปัญหาออกมาจากหลุมดำ มันทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเด็กรุ่นนี้สนใจการเมืองแล้ว ประเทศไทยยังมีความหวังอยู่”
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2564 ต่อมาป้าอัษได้เข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบหาดใหญ่ ที่นัดหมายโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่หลายกลุ่มในพื้นที่ภาคใต้ ในวันดังกล่าวผู้จัดกิจกรรมนัดหมายที่หน้าค่ายเสณาณรงค์ไปสิ้นสุดที่หอนาฬิกาหาดใหญ่ โดยใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงhttps://www.mobdatathailand.org/case-file/1629784386535/ ป้าอัษทราบข่าวจากโซเชียลเน็ตเวิร์คจึงขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไป เมื่อไปถึงภาพที่เห็นคือผู้ที่มาเข้าร่วมก็ต่างอยู่บนยานพาหนะของตนเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่าง
“เรามีความตั้งใจว่า มันคือพื้นที่แสดงพลังเราก็ไปเลย ไปถึงก็เห็นเขาต่อแถวกันจะออกรถแล้ว เราก็ไปร่วมกันเขา บีบแตร เราชูสามนิ้วและมีเด็กๆคอยควบคุมว่า การใช้ถนนจะต้องไม่กีดขวางผู้อื่น รถอื่นยังสามารถวิ่งได้และพวกเราก็แสดงพลังไป เจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยความมั่นคงเอง ตำรวจเองก็ตามมาตลอดทางเพื่อบันทึกภาพ บันทึกใบหน้าของคนที่ร่วมกิจกรรม...เราไม่ชอบ รู้สึกว่า มันไม่สมควร เห็นแต่รัฐบาลทหารที่ดูเหมือนจะทำเรื่องเหล่านี้เป็นล่ำเป็นสัน”
“หลังจบเราก็แยกย้ายกันกลับทุกอย่างก็ปกตินะ ไม่มีวุ่นวาย เพียงแต่รัฐอาจจะมองว่า เราไปขัดขืนอำนาจของเขา”
ต่อมานักกิจกรรมและประชาชนทยอยได้รับหมายเรียกให้ไปรายงานตัวในคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีของป้าอัษตำรวจมาส่งหมายเรียกให้ถึงที่บ้านโดยสามีเป็นคนรับหมายเรียก ตำรวจที่มาส่งบอกกับสามีของเธอว่า ขอโทษนะพี่ ผมทำตามหน้าที่ “ตอนที่เราไปแสดงพลังเราก็ไม่รู้หรอกว่า เราต้องโดนคดีอะไร แต่เราก็คิดว่า มันเป็นเพียงแค่สิทธิขั้นพื้นฐาน มันไม่ควรจะถูกพรากออกไป ไม่ควรจะถูกพันธนาการด้วยอำนาจรัฐ”
“ป้ามองว่า ถ้ายังออกไปต่อสู้ออกไปแสดงพลัง สิ่งที่เขาแสดงอำนาจกับเรามันจะไม่รุนแรงมาก เพราะนั่นเขาจับตามองสังคมอยู่ แต่ตราบใดที่เราเงียบ นิ่งสงบ เขาก็สามารถที่จะใช้อำนาจรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เป็นอันตราย”
อ่านโพสต์เต็มที่ https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10166675236815551
อัษฎา : จากการตรวจสอบทุจริตสู่พลเมืองตื่นรู้
“เด็กออกมาสู้เรื่องต่างๆ เช่น การปฏิรูปสถาบันฯ ยกเลิก 112 เราก็ตื่นตาตื่นใจไปกับเด็กๆ เห็นพลังของเด็กที่ออกไปพยายามแสดงพลัง การต่อรอง ไม่ได้คาดหวังชนะในวันนั้น แต่เห็นถึงความกล้าหาญของเด็กที่ดึงปัญหาออกมาจากหลุมดำ มันทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเด็กรุ่นนี้สนใจการเมืองแล้ว ประเทศไทยยังมีความหวังอยู่”
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2564 ต่อมาป้าอัษได้เข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบหาดใหญ่ ที่นัดหมายโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่หลายกลุ่มในพื้นที่ภาคใต้ ในวันดังกล่าวผู้จัดกิจกรรมนัดหมายที่หน้าค่ายเสณาณรงค์ไปสิ้นสุดที่หอนาฬิกาหาดใหญ่ โดยใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงhttps://www.mobdatathailand.org/case-file/1629784386535/ ป้าอัษทราบข่าวจากโซเชียลเน็ตเวิร์คจึงขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไป เมื่อไปถึงภาพที่เห็นคือผู้ที่มาเข้าร่วมก็ต่างอยู่บนยานพาหนะของตนเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่าง
“เรามีความตั้งใจว่า มันคือพื้นที่แสดงพลังเราก็ไปเลย ไปถึงก็เห็นเขาต่อแถวกันจะออกรถแล้ว เราก็ไปร่วมกันเขา บีบแตร เราชูสามนิ้วและมีเด็กๆคอยควบคุมว่า การใช้ถนนจะต้องไม่กีดขวางผู้อื่น รถอื่นยังสามารถวิ่งได้และพวกเราก็แสดงพลังไป เจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยความมั่นคงเอง ตำรวจเองก็ตามมาตลอดทางเพื่อบันทึกภาพ บันทึกใบหน้าของคนที่ร่วมกิจกรรม...เราไม่ชอบ รู้สึกว่า มันไม่สมควร เห็นแต่รัฐบาลทหารที่ดูเหมือนจะทำเรื่องเหล่านี้เป็นล่ำเป็นสัน”
“หลังจบเราก็แยกย้ายกันกลับทุกอย่างก็ปกตินะ ไม่มีวุ่นวาย เพียงแต่รัฐอาจจะมองว่า เราไปขัดขืนอำนาจของเขา”
ต่อมานักกิจกรรมและประชาชนทยอยได้รับหมายเรียกให้ไปรายงานตัวในคดีฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีของป้าอัษตำรวจมาส่งหมายเรียกให้ถึงที่บ้านโดยสามีเป็นคนรับหมายเรียก ตำรวจที่มาส่งบอกกับสามีของเธอว่า ขอโทษนะพี่ ผมทำตามหน้าที่ “ตอนที่เราไปแสดงพลังเราก็ไม่รู้หรอกว่า เราต้องโดนคดีอะไร แต่เราก็คิดว่า มันเป็นเพียงแค่สิทธิขั้นพื้นฐาน มันไม่ควรจะถูกพรากออกไป ไม่ควรจะถูกพันธนาการด้วยอำนาจรัฐ”
“ป้ามองว่า ถ้ายังออกไปต่อสู้ออกไปแสดงพลัง สิ่งที่เขาแสดงอำนาจกับเรามันจะไม่รุนแรงมาก เพราะนั่นเขาจับตามองสังคมอยู่ แต่ตราบใดที่เราเงียบ นิ่งสงบ เขาก็สามารถที่จะใช้อำนาจรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เป็นอันตราย”
อ่านโพสต์เต็มที่ https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10166675236815551
อัษฎา : จากการตรวจสอบทุจริตสู่พลเมืองตื่นรู้