way magazine
17h ·
อธิคม คุณาวุฒิ เขียนถึง วาด รวี หลังจากที่เขาจากไปหนึ่งเดือน
เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการกักเก็บบันทึกความทรงจำ สายสัมพันธ์ ความคิดความเชื่อ ผ่านเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ สามัญธรรมดา อาทิ บทสนทนาบนโต๊ะอาหาร คำนินทาด้วยความรักใคร่ รวมไปถึงโยงใยของสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ
ถ้อยบันทึกถึงผู้ที่จากไปอาจมีคุณค่าดังนี้ หนึ่ง-บันทึกเสี้ยวประวัติศาสตร์ของแวดวงวรรณกรรมในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สอง-คลี่คลายการพัฒนาทางความคิดของ นักเขียน/บรรณาธิการ คนหนึ่ง
ความตายของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือยามเขาหมดลมหายใจ ครั้งถัดไปคือเมื่อไม่เหลือใครจดจำเขาได้อีก
วาด รวี: หากจะมีใครสักคนซื่อตรงดั่งตะวัน
https://wayofbook.org/2022/06/18/in-memory-of-wad-rawee/
วาด รวี: หากจะมีใครสักคนซื่อตรงดั่งตะวัน
คุณไปครบหนึ่งเดือนแล้วเป้
คิดว่าคุณน่าจะเข้าใจเหตุผลว่าทำไมผมจึงต้องทอดเวลาอยู่พักใหญ่ กว่าจะเรียบเรียงบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับคุณในแง่มุมที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหลักฐานพยานอย่างน้อยอีกหนึ่งปาก เผื่อว่าวันข้างหน้าจะมีผู้ต้องการสืบค้นร่องรอยบางอย่าง
พูดก็พูด สรรพนามผม-คุณ ฟังดูห่าง แต่มันเป็นสรรพนามที่เราใช้ต่อกันจริงๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณเลือกใช้สรรพนามนี้กับผม ถ้าให้เดาอาจเป็นเพราะหน้าตาบุคลิกผมดูเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล มีความเป็นชนชั้นกลาง ซึ่งคำว่าชนชั้นกลางถือเป็นคำด่าอย่างหนึ่งที่พวกสายวรรณกรรมชอบแปะป้ายแขวนผม เวลานึกไม่ออกว่าจะด่าผมเรื่องอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อคุณใช้ก่อนผมจึงใช้ด้วย เหมือนที่วรพจน์ชอบใช้สรรพนามเรา-นาย โตมรใช้พี่-คม บางทีก็กูมึง ส่วนภิญโญเป็นคนสุภาพ ใช้กูมึงสม่ำเสมอ
เราน่าจะเจอกันครั้งแรกราวปี 2544 ในงานเปิดตัวหนังสือเล่มของคอลัมนิสต์และบรรณาธิการ 2 คนที่ยุคนั้นพวกเราเคยนับถือ ตอนเจอกันต่างคนต่างเคยทำอะไรกันมาบ้างแล้ว คุณทำสำนักพิมพ์ใต้ดิน มีงานรวมเรื่องสั้นเล่มแรกชื่อ เดนฝัน (2542) และเพิ่งจัดกิจกรรมเปิดประเด็นวิวาทในแวดวงวรรณกรรม ส่วนผมเพิ่งมีงานรวมเล่มออกมาเล่มแรก (บันทึกนอกกรอบ 2543) พร้อมๆ กับทำหน้าที่บรรณาธิการแทบลอยด์รายสัปดาห์ เสาร์สวัสดี หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ได้ปีเศษ พ.ศ. นั้นพี่เต้ย-ทินกร หุตางกูร จะทำหน้าที่เป็นโปรโมเตอร์ เที่ยวพาผมไปรู้จักนักเขียนคนนั้นคนนี้
งานนั้นผมเจอพี่เวียงเป็นครั้งแรก แกเป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักทาย แจ้งให้ทราบว่าผมเขียนบทบรรณาธิการได้ดี และมีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ถัดจากนั้นต่างฝ่ายต่างแยกย้ายมุมใครมุมมัน
พวกเราสามสี่คนถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีคุณ ผม พี่เต้ย และวรพจน์ ไปนั่งดื่มต่อกับนักเขียนนวนิยายผู้เป็นหมุดหมายของยุคสมัยคนหนึ่ง ธรรมชาติประสาผมเวลาเจอคนไม่คุ้นเคยผมก็จะระมัดระวังถ้อยคำ แต่คุณเป็นคนบุคลิกเปิดเผย คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น และดูเหมือนจะมีความสุขความพึงพอใจที่ได้เปิดประเด็นถกเถียงกับผู้คนตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรก
นักเขียนรุ่นพี่ก็มีเมตตา พยายามตอบทุกคำถามด้วยน้ำเสียงปรารถนาดี มีอำกลับบ้างตามนิสัยของแก จังหวะหนึ่งเหมือนแกจะคิดหาคำตอบดีๆ ไม่ทัน หรือบังเกิดสภาวะอารมณ์อื่นใดก็สุดจะเดา ตอบคำถามคุณไปหน่อยนึงแกก็ถามกลับว่า – เออๆ ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ
ผมจดจำฉากเหตุการณ์นี้แม่นยำ และเชื่อว่าคุณก็จำได้
ตอนนั้นพวกเราเพิ่งอายุสามสิบต้นๆ ยังขาดประสบการณ์ ขาดความชำนาญ ไม่จัดเจนเหลี่ยมคูการปะทะสังสรรค์ จัดวางท่วงทำนองประดาบกับผู้คน
ไม่ว่าเจตนาแท้จริงจะเป็นอย่างไร ผมได้แต่บันทึกเป็นคำเตือนตัวเองว่า แก่เฒ่าไปเราจะไม่พูดกับคนรุ่นหลังเช่นนั้น
วงโคจรของเรามักจะมีพี่เวียงเข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนว่าคุณรู้จักพี่เวียงมาก่อน ส่วนผมยังไม่สนิทสนมกับแก ผมกับคุณเจอกันบ่อยๆ ที่บ้านพี่เต้ย คุณเป็นคนเอ่ยว่าผมกับพี่เวียงถ้าคบหากันน่าจะชอบพอกัน ฟังตอนแรกผมไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่
พี่เวียงเป็นคนสอนการคิดต้นทุนงานพิมพ์ให้กับเรา เรื่องนี้มีแง่มุมที่ควรบันทึก กล่าวคือบรรณาธิการจำนวนมากในประเทศนี้ไม่มีความรู้เรื่องโปรดักชันงานพิมพ์ ไม่รู้จักชนิดและประเภทของเพลทหรือแม่พิมพ์ ไม่รู้วิธีคำนวณจำนวนกระดาษที่จะใช้พิมพ์ บางรายอาจไม่รู้กระทั่งการทำหนังสือให้ลงยก บังเอิญผมเคยทำงานที่อมรินทร์กับบรรณาธิการที่วางดัมมี่นิตยสารเก่งมาก ผมจึงรู้ว่าทักษะนี้จำเป็นทั้งต่อการแก้ปัญหาปิดเล่ม จัดหน้า และช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ไม่รู้รายละเอียดลึกๆ จึงไปขอความรู้จากพี่เวียง
สิ่งที่ควรบันทึกคือ พี่เวียงเรียนเรื่องงานบรรณาธิการต้นฉบับมาจากพี่เดช-เรืองเดช จันทรคีรี และได้ความรู้การคำนวณต้นทุนพิมพ์หนังสือทั้งระบบจากพี่นิรันดร์ สุขวัจน์ ตั้งแต่ยุคนิตยสารถนนหนังสือ จากนั้นแกก็เอามาสอนต่อให้คุณกับผม และอีกหลายๆ คน การผลิตหนังสือโดยรู้จักวิธีคำนวณต้นทุนทุกกระบวนการ แยกบริษัทสั่งกระดาษซึ่งต้องคำนวณจำนวนรีมกระดาษเป็น แยกร้านทำเพลทต้องรู้จักชนิดประเภทของเพลทตัดสี่เพลทตัดสอง กลับนอกหรือกลับในตัว การเลือกใช้โรงพิมพ์ที่มีแท่นพิมพ์สอดคล้องกับชนิดและขนาดเพลท ทั้งหมดนี้สามารถลดต้นทุนมหาศาล มันช่วยให้สำนักพิมพ์ขนาดเล็กเกิดกำไร เอาตัวรอดทางธุรกิจได้
คุณเรียนเรื่องนี้จากพี่เวียงมาก่อน ตอนที่พี่เวียงสอนสูตรต่างๆ ผมในฐานะคนเรียนวิทย์-คณิต ผมก็ต้องถามว่าสูตรประเภทถ้าเป็นหนังสือขนาด 8 หน้ายก หรือ 16 หน้ายกพิเศษ ต้องหารด้วย 1,000 แต่หากเป็นขนาดหน้ายกปกติ หารด้วย 2,000 ต้องเผื่อจำนวนกระดาษอย่างน้อย 200 ใบพิมพ์ สูตรเหล่านี้มีที่มาจากไหน พี่เวียงแกคงตอบผมจนรำคาญ จึงเอ่ยคำที่คิดว่าน่าจะหมิ่นหยามผมถึงขีดสุดว่า ตอนพี่สอนเป้เรื่องนี้ เป้มันเรียนรู้เร็วกว่าคมนะ
บังเอิญผมใส่ใจกลไกและความเสถียรมากกว่าเรื่องช้าเร็ว คำหมิ่นหยามนี้จึงทำอะไรผมไม่ได้
ที่มาของคำเปรียบเปรยทำนองนี้ไม่ใช่อะไร มันมาจากบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เวียงที่ชอบนินทาคุณลับหลัง เรื่องการชอบทำท่าทำทางเป็นปัญญาชนนักวิชาการ เสพติดการวิวาทบาดถลุงทางความคิด ที่สนุกปากสุดคือรสนิยมทางศิลปะของคุณ พี่เวียงยืนยันว่าคุณเป็นคนหนึ่งในประเทศนี้ที่รักการทำหนังสือมาก ขอบเขตประเด็นเนื้อหาที่คุณสนใจก็สร้างสรรค์และมีคุณค่า แต่แกสงสัยมากเช่นกันว่าคุณเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าสิ่งที่ทำออกมามันสวยงามตามความตั้งใจ ส่วนผมก็มักแสดงความเห็นสั้นๆ ว่า แค่ดูวิธีแต่งตัว ออกแบบคอสตูมของคุณ ก็ควรตระหนักแล้วว่าอย่าได้วางใจรสนิยมทางศิลปะของคุณเป็นอันขาด
เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะนึกถึงหน้าตาหนังสือหลายเล่มที่คุณพิมพ์ให้ผม มีมิตรรุ่นน้องช่างสังเกตคนหนึ่ง ถามผมว่าเหตุใดช่วงปี 2548 ผมจึงมีงานเขียนรวมเล่มพิมพ์ออกมาหลายปกนัก ผมตอบซื่อๆ ว่าตอนนั้นกำลังมีลูก จึงต้องกู้ธนาคารเพื่อซื้อบ้าน
จังหวะเวลาดังกล่าวมันสอดคล้องพอดีกับที่คุณเอ่ยของานไปตีพิมพ์ในนามสำนักพิมพ์ Shine Publishing House พอคุณขอไปพิมพ์หลายปกเข้า ผมก็ได้แต่ทักถามด้วยความห่วงใยว่า มันขายได้คุ้มพอที่จะลงทุนทำขนาดนั้นหรือ คุณตอบว่า ถือว่าไปได้ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับงานในกลุ่มสร้างสรรค์ด้วยกัน
ความหมายคือ ยอดขายแค่พอไปได้ ไม่ได้หวือหวาขายดีนักหรอก
โดยรายได้และงบประมาณ หากซื้อบ้านใกล้เขตเมืองอย่างมากผมก็จะได้ทาวน์เฮาส์ผนังทึบ ผมตัดสินใจเลือกบ้านย่านชานเมือง ยอมแลกการเดินทางไกลขึ้นเพื่อให้ลูกที่กำลังเกิดมาเติบโตในอากาศปลอดโปร่ง มีโอกาสฝึกเดินบนผืนหญ้านุ่มๆ มีต้นไม้ใหญ่ให้ป่ายปีน มีสนามทรายให้สร้างปราสาท มีสระว่ายน้ำให้แหวกว่ายเคลื่อนไหว ทั้งหมดนี้ผมแทบไม่เคยอ่านตำราเลี้ยงลูกมาก่อน เพียงแต่นึกคิดเอาเองว่าเด็กๆ ควรได้รับโอกาสเช่นนี้เป็นมาตรฐานปกติ
เป็นคุณนั่นแหละที่ขับรถเอาหนังสือ รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว มาให้ผมอ่าน จากนั้นวันถัดมาก็แวะเวียนเอาของเล่นมาฝากเด็กหญิงคนหนึ่ง
ผมจำได้ เพราะของเล่นที่คุณเลือกมามีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมกลางแจ้งที่ผมเคยชื่นชอบ มันคือเกมตกปลาใส่แบตเตอรี่มีมอเตอร์หมุน แกะกล่องแล้วคุณก็ล้มตัวเกลือกกลิ้งกับพื้นบ้าน สอนวิธีเล่นให้ลูกผมด้วยน้ำเสียงและท่วงทำนองการปฏิบัติอันอ่อนโยนที่สุด เท่าที่มนุษย์เพศชายผู้ชำนาญการทุ่มเถียงทะเลาะวิวาทสามารถอ่อนโยนกับเด็กได้
จะมีมนุษย์สักกี่คนบนโลก เคยเห็นวาด รวี ในอิริยาบทเยี่ยงนี้
เช้าวันที่คุณจากไป ลูกผมเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ถามไถ่สภาพจิตใจผม วันถัดมาพอรู้กำหนดงานพิธี ผมส่งข้อความบอกลูกว่า ถ้าหนูสามารถไปร่วมงานวันเผาได้อาเป้คงดีใจ เด็กสาววัยอิดออดการออกงานสังคมตอบกลับทันทีว่า งั้นหนูขอไปด้วยนะคะ
ผมส่งบทสนทนานี้ไปให้เพื่อนบางคนร่วมแบ่งปันความรู้สึก โดยพยายามแล้วที่จะฟูมฟายน้อยที่สุด
เพียงแต่สารคัดหลั่งจากเบ้าดวงตาก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง
คุณไปครบหนึ่งเดือนแล้วเป้
หากเพื่อนคือชิ้นส่วนประกอบสร้างโลกใบหนึ่งของเราขึ้นมา การที่เพื่อนสักคนลาจาก มันจึงหมายถึงบางส่วนของโลกถูกฉีกกระชากแหว่งวิ่น
ประเด็นมีอยู่ว่า เถ้าถ่านหรือหลุมศพอาจไม่ใช่จุดจบของมิตรภาพเสมอไป
มีเรื่องเกี่ยวเนื่องกับคุณและบ้านหลังแรกของผม อยากบันทึกเอาไว้อีกสักนิด
คุณแวะเวียนมาเยี่ยมบ้านชายขอบกรุงเทพฯ ของผมอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งคงเกิดแรงบันดาลใจอยากลองเป็นหนี้เป็นสินเองบ้าง แล้วคุณก็ตกลงใจไปซื้อบ้านหลังใหญ่สวยงาม แต่คนใจถึงแบบคุณเลือกบ้านไกลจากผมออกไปจนเข้าเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา
เมื่อเราทั้งคู่กลายเป็นคนฝั่งตะวันออก พอถึงปลายปี 2551 คุณก็โทรมาแจ้งผมว่ามีแขกเหรื่อมาเยี่ยมถึงเรือนชาน พวกเขากำลังจะเข้าไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ในฐานะเจ้าถิ่นคุณอยากออกไปต้อนรับขับสู้ จากนั้นจะเขียนรายงานสังเกตการณ์ส่งมาลงตีพิมพ์ใน WAY
คุณสั่งมาเช่นนั้น ผมจะปฏิเสธได้อย่างไร
ผมกลับไปอ่านงานชิ้นนั้นอีกรอบพบว่า มันเป็นความพยายามรายงานข้อเท็จจริงตรงหน้า เป็นวิธีทำงานกับข้อมูลปฐมภูมิแบบสื่อมวลชนภาคสนาม โดยมีชั้นของการเล่าเรื่องตามขนบวรรณกรรมรองรับอยู่บ้าง ทั้งนี้น้ำเสียงและวิธีการเล่าก็มิได้เปิดเผยความคิดผู้เขียนอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา
ผมเดาว่ามันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงานในยุคหลังของคุณ กล่าวคือสมัยที่คุณเป็นคอลัมนิสต์นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ที่ผมทำในช่วงปี 2547-2548 สึนามิผ่านไปแล้ว 3 วันคุณเพิ่งรู้ข่าวตอนออกจากบ้านมานั่งกินข้าวอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่ร้านอาหารตามสั่ง
คุณเคยเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยสุ้มเสียงทั้งตำหนิตัวเอง ทั้งตำหนิความเคยชินในการทำงานโดยใช้วิธีอ่าน คิด จินตนาการ ตามขนบนักเขียนวรรณกรรม ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนให้เอาตนเองลงไปปะทะกับข้อมูลชั้นต้นในภาคสนาม หรือสืบค้นเอกสารชั้นต้นเพื่อหาหลักฐานข้อเท็จจริง
ใน WAY ฉบับที่คุณเขียนรายงานเรื่องการยึดสนามบิน เมื่อพลิกไปที่คอลัมน์แนะนำการอ่านของคุณ น่าแปลกใจว่าคุณเขียนเรื่อง รสชาติของการถูกทรยศ มันคงมีเชื้อปมบางอย่างสัมพันธ์สะสมจนกระทั่งคุณสร้างมันออกมาเป็นบทกวีชื่อ บทกวีคือการทรยศ ที่พิมพ์ออกมาเป็นโปสเตอร์ในวันส่งคุณ
ต้องเป็นมนุษย์จำพวกไหนจึงเจ็บร้าวต่อการถูกทรยศยาวนานกว่าคนทั่วไป
อันที่จริงในปี 2551 มีงานเล่มใหญ่ของคุณออกมาชื่อ Fighting Publishers มันเป็นการทำงานด้วยวิธีสืบค้นเอกสารหลักฐาน และสัมภาษณ์คนทำสิ่งพิมพ์ที่คุณใช้คำว่าสายกบฎ ตั้งแต่ยุคหมอบรัดเลย์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ไล่มาจนถึงยุคปี 2550 ในทัศนะผมหนังสือเล่มนี้เป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญในแง่ทิศทางและวิธีทำงานของคุณ ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาถึงงานเขียนที่ไม่ใช่เรื่องแต่งของคุณ 2-3 เล่มสุดท้าย
เมื่อถึงเหตุการณ์ล้อมปราบในปี 2553 ผมจึงไม่สงสัยและไม่แปลกใจเลยว่าคุณยืนอยู่ตรงไหน หรือกำลังทำอะไร ผมรู้สึกด้วยซ้ำว่าช่วงเวลานั้นคุณมองมาที่ผม มาที่พี่เวียง รวมถึงมิตรสหายหลายคนด้วยความผิดหวังระคนสมเพชเวทนา ในฐานะที่คนเหล่านี้แสดงออกน้อยเกินไปในทัศนะคุณ
คุณมาออกปากขอแรงอีกทีตอนปี 2555 คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ต้องการได้รายชื่อจากฝั่งนักเขียนและบรรณาธิการ ผม พี่เวียง พี่สุชาติ ไม่มีปัญหาใดๆ ในเชิงหลักการ เราเข้าร่วมรับใช้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อยไม่มีเงื่อนไขอิดออด
ถัดจากนั้นอีก 1 ปี คุณกับพี่วัฒน์ วรรลยางกูร ก็ไปอาละวาดที่รางวัลพานแว่นฟ้า แห่งรัฐสภา จนพวกกรรมการชุดเดิมที่เขาปักหลักสถาปนาตนเองและเครือข่ายเป็นผู้ผูกขาดการประเมินคุณค่าวรรณกรรมในประเทศนี้ รับมือคุณไม่ไหวพากันวอล์กเอาต์ส่งผลให้กรรมการไม่ครบองค์ประชุม คุณก็มาเรียกผมเรียกพี่เวียงไปช่วยเสริมทัพ
คุณวาดฝันว่าจะผลักดันรางวัลนี้ให้เป็นรางวัลวรรณกรรมระดับชาติ มีมาตรฐานการตัดสินการให้รางวัลขั้นสูง โดยมีรัฐเป็นผู้ออกทุนสนับสนุน ทำแข่งกับรางวัลเอกชนให้มันเห็นดีกันไปข้าง
ความคิดฝันของคุณใหญ่เสมอ นับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้วคุณเล่าว่า มีหนังสือพิมพ์เจ้าใหญ่สนใจจะเปิดพื้นที่ให้คุณดูแลเซ็คชันวรรณกรรม จนกระทั่งถึงวันที่คุณพยายามผลักดันหว่านล้อมให้เจ้าหน้าที่และองค์กรรัฐ เห็นดีเห็นงามกับโครงการรางวัลวรรณกรรมในฝันของคุณ ยังไม่ต้องนับย้อนความพยายามที่จะรื้อระบบจัดจำหน่ายหนังสือในประเทศไทย ในวันที่คุณเดินเข้ามาในธุรกิจนี้ใหม่ๆ
ไม่ว่าจะผิดหรือถูก จะสำเร็จหรือล้มเหลว คุณเป็นคนเดิม มีพลังงาน มีความหนุ่ม จริงจัง ซื่อตรง กระทั่งบางเวลาก็มักเผลอตัว คิดไปว่าผู้อื่นจะซื่อตรงเหมือนคุณด้วย
งานเขียนในยุคโซเชียลมีเดียเปลี่ยนขนบจากยุคกระดาษไปไกล ซึ่งหลายแง่มุมผมก็ชอบ เพราะมันเปิดเปลือยให้เห็นว่าใครเป็นใคร ใครคิดอ่านแสดงออกอย่างไร เปิดหน้าว่ากันตรงไปตรงมา มันไม่เหมือนยุคกระดาษที่เล่นกับการอมความ แง้มเก็บงำ ทำตัวเป็นศาสดาบนยอดภูเขาน้ำแข็ง หลอกให้คนเข้าใจว่าด้านล่างจะมีฐานคิดอ่านทะมึนหนักแน่นน่าเกรงขาม แต่หากเนื้อแท้เป็นสวะลอยเท้งเต้งไม่มีหลักไม่มีการ ก็จะแก้ผ้าให้เห็นกันชัดๆ ตรงนั้น ขืนยังดื้อดึงจะหลอกต้มเล่นมายากลถ้อยคำต่อไป ส่วนใหญ่ก็ถูกจับโกหกได้หมด
การแสดงทัศนะของคุณในโซเชียลมีเดีย จงใจเล่นกับประเด็นแหลมคม และเห็นได้ชัดว่าพยายามขยับเพดานขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น จึงมีบางวันที่พี่สุชาติ พี่เวียง และผม นั่งล้อมวงดื่มกินกันแล้วผมเปิดประเด็นนินทาคุณว่า หากวันใดคุณสามารถยึดประเทศนี้ได้ พวกเราน่าจะถูกคุณเกณฑ์ไปทำนารวม จากนั้นก็คงต้องเข้าเวิร์กช็อป รับการเอดดูเขตวิชาฝ่ายก้าวหน้าในคุกขี้ไก่ที่ไหนสักแห่ง
พี่สุชาติแกยังหัวเราะเออออเห็นด้วย ส่วนพี่เวียงแสดงวิสัยทัศน์ว่า อาศัยเยื่อใยมิตรภาพ แกอาจจะพอต่อรองกับพี่เป้ขอยื่นเงื่อนไขสองข้อ หนึ่ง ขอให้พวกเราสามคนอยู่ในห้องขังเดียวกัน สอง พี่เป้ต้องส่งเหล้าดีๆ มาให้พวกเรากินอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งขวด
การได้แอบพูดจาเลอะเทอะบ้างมันช่วยเยียวยาสภาพจิต แต่คุณเข้าใจใช่ไหม อะไรทำให้พวกเราพร้อมจะขึ้นเขาลงห้วย ตกนรกขึ้นสวรรค์ตามคำขอของคุณ
นอกจากเรื่องหลักการที่ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน สิ่งสำคัญกว่านั้นผมคิดว่าเราวางใจในความซื่อตรงของคุณ ส่วนเรื่องท่วงทำนองและความรัดกุม ข้อนี้อาจต้องยกให้เป็นรสนิยมส่วนตัว ในสมรภูมิมันก็ต้องมีคนเล่นบทแบบคุณบ้าง
อันที่จริง เรื่องที่คุณพยายามชี้ให้เห็น ใช่ว่าคนอื่นจะไม่เคยเห็น ประเด็นคือเราเคยชินกับความเพิกเฉย เราออกแรงกันไม่เพียงพอ ยังไม่ต้องพูดถึงหลายคนจงใจจะมองไม่เห็น เพราะได้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่งจากสิ่งที่เป็นอยู่
สิ่งที่คุณเคยเรียกร้องให้แก้ไขเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คนรุ่นปัจจุบันเขาเรียกร้องให้ยกเลิก
สำหรับบุคคลผู้ไม่อยู่กับร่องกับรอย ฉ้อฉล ไม่มีหลักไม่มีการ คุณย่อมเป็นอาละวาด รวี เป็นตัวอันตราย เป็นมนุษย์ที่ปฏิสัมพันธ์ด้วยยาก แต่สำหรับผม คุณเป็นคนซื่อ ซึ่งไม่ได้แปลว่าโง่ แต่ตรงไปตรงมา คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น และเอาให้ถึงที่สุด สิ่งที่คุณคิดอ่านต่อสู้เพื่อให้ได้มา มันก็ไม่ได้มีอันตรายใดๆ ในสังคมปกติ
ก็แค่ต้องการให้สังคมมีสิทธิ เสรีภาพ ผู้คนเท่าเทียม และอยู่ภายใต้หลักนิติธรรม ทำไมจึงลำบากลำบนนัก คำถามเหล่านี้น่าจะรบกวนสุขภาพคุณพอสมควรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เวลาที่เห็นโรคภัยคุกคามคุณ ผมจึงโกรธและเจ็บปวดเสมอ ยิ่งเมื่อรับรู้ว่าสิ่งใดเป็นตัวแปรหนุนเสริมความเจ็บป่วย ผมยิ่งตระหนักว่าหนทางที่จะอยู่ร่วมกับพวกมันโดยสันติ ยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ
หากเพื่อนคือชิ้นส่วนประกอบสร้างโลกใบหนึ่งของเราขึ้นมา การที่เพื่อนสักคนลาจาก มันจึงหมายถึงบางส่วนของโลกถูกฉีกกระชากแหว่งวิ่น
ประเด็นมีอยู่ว่า เถ้าถ่านหรือหลุมศพอาจไม่ใช่จุดจบของมิตรภาพเสมอไป เหตุเพราะบางคนตายจากความสัมพันธ์ทั้งที่ยังมีชีวิต แต่ในทางกลับกัน เลือดเนื้อของคุณที่ถูกเผาเป็นควันลอยสูงไปในอากาศ จะถูกเม็ดฝนชะลงมากลับคืนสู่ดิน ชิ้นส่วนของคุณยังปะปนอยู่ในสายลม ในพันธุ์พืช ในผืนดิน เถ้ากระดูกคุณที่ลอยอยู่ในสายน้ำเจ้าพระยา จะสะสมผุกร่อนเป็นส่วนหนึ่งของตะกอนดิน ส่วนหนึ่งของความอุดมสมบูรณ์ ในข้าวและปลาจะมีชิ้นส่วนของคุณ คนจำนวนมากจะดื่มกินน้ำที่มีชิ้นส่วนชีวิตของคุณปะปนอยู่ในนั้น
มันจะเป็นเช่นเดียวกับความคิดในตัวหนังสือของคุณ เมื่อใครสักคนได้อ่านรับเอาชิ้นส่วนความคิดของคุณไปเป็นส่วนหนึ่งของเขา คุณก็จะยังดำรงอยู่
ดำรงอยู่อย่างเสรีชน ยืนหยัดบอกกล่าวกับผู้คนอย่างซื่อตรงว่าโลกที่ดีควรเป็นอย่างไร และไม่รีรอที่จะกระโจนลงไปทำให้มันเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะบาดเจ็บล้มเหลวสักกี่ครั้งกี่หน แต่ไม่สามารถทำให้คุณพ่ายแพ้