ในฐานะของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (human
rights defender) คนหนึ่ง ซึ่งมักจะได้รับการสอบถาม ประชดประชัน
แดกดัน ต่อว่า ด่าตรงๆ ฯลฯ อยู่เสมอ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวปกป้องและเรียกร้องให้มีการปฎิบัติเยี่ยงมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญา
โดยผู้ที่มีทัศนคติทางลบต่อชาวโรฮิงญามักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในหลายๆ ประการ
จนเป็นมายาคติฝังลึก
ในการนี้เครือข่ายเพื่อสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ
(Coalition for Rights of Refugee an
Stateless Person - CRSP) ซึ่งประกอบไปด้วยหลายองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ได้จัดทำคำถามคำตอบเกี่ยวกับข้อสงสัยหรือมายาคติที่มีต่อชาวโรฮิงญาว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร
โดยคัดมาจากความคิดเห็นจริงในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งผมขอนำคำอธิบายดังกล่าวจากเอกสาร
“Freedom” ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล
ประเทศไทย มาเสนอพร้อมกับความคิดเห็นส่วนตัวของผมเพิ่มเติมในคำตอบ ดังนี้
๑) เขาพูดกันว่า “ปัญหาโรฮิงญา
ทำไมไทยต้องมารับกรรม”
ผู้อพยพชาวโรฮิงญาหลบหนีจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และทุกประเทศมี “หน้าที่”ตามพันธกรณีระหว่างประเทศในการปกป้อง นอกจากไทยแล้วยังมีหลายประเทศที่ให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญา
เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ตุรกี ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ขณะเดียวกันผู้อพยพโรฮิงญาบางกลุ่มในประเทศไทย
เกิดจากขบวนการค้ามนุษย์ในไทยหลอกลวงและชักจูงเข้ามา
๒) เขาพูดกันว่า “เขาให้มาอาศัยพักพิงก็บุญหัวจะตายแล้วล่ะ
ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้เจ้าหน้าที่อีก”
ความจริง :
ห้องกักกันในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานสากล
และการกักขังส่วนใหญ่ดำเนินไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา บางห้องอาจมีชาวโรฮิงญาถึง ๒๐๐
คน ห้องน้ำห้องหนึ่งอาจต้องใช้ร่วมกันถึง ๔๐ คน
หลายคนขาดสารอาหารและต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากภายในห้องกัก
จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดเขาเหล่านั้นจึงต้องพยายามหลบหนีออกมา
๓) เขาพูดกันว่า “ข้าวฟรี ที่อยู่ฟรี
ภาษีไม่ต้องเสีย ยังเรียกร้องขนาดนี้”
ความจริง :
พบว่าชาวโรฮิงญาหลายคนได้กินเพียงข้าวกับแตงกวา
ข้อเรียกร้องของพวกเขาเป็นเพียงต้องการพบหน้ากับครอบครัว
รู้ระยะเวลาที่แน่นอนในการถูกกัก ซึ่งไม่ได้มีความต้องการแตกต่างหรือมีความต้องการการดูแลที่ดีกว่าผู้ถูกกักกันอื่น
แต่อย่างใด
๔) เขาพูดกันว่า “โรฮิงญาเป็นประชากรที่ไม่มีคุณภาพ
กิน ขี้ ปี้ นอน ไม่ยอมคุมกำเนิด ไม่ใช่เป็นแรงงานที่มีคุณภาพที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้”
ความจริง :
รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮิงญาเป็นพลเมือง
ชาวโรฮิงญาจึงไม่มีสิทธิสถานะใดๆ รวมทั้งต้องขออนุญาตในการเดินทาง ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิอย่างที่สุด
เป็นเหตุให้ชาวโรฮิงญาไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองได้เลย
๕) เขาพูดกันว่า “โรฮิงญาเข้าพม่าครั้งแรก
๕ หมื่นคน ตอนนี้แพร่พันธุ์ออกลูกเป็น ๒ ล้านคน”
ความจริง :
ชาวโรฮิงญาอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๒ ก่อนจะเป็นรัฐยะไข่ในปัจจุบัน พื้นที่ตรงนั้นรู้จักกันในนาม อาระกัน ก่อนที่จะมีการก่อตั้งประเทศพม่าเสียอีก
ภายหลังจากการรัฐประหารปี 1962 ในพม่า
ประชาชนทุกคนถูกบังคับว่าต้องมีบัตรแสดงตัวตน แต่ชาวโรฮิงญาพวกเขาได้รับพิจารณาให้ถือแค่บัตรที่ระบุว่า เป็นคนต่างชาติ
ซึ่งการที่รัฐบาลพม่าไม่ให้สัญชาติและการปฏิเสธสถานะชาติพันธุ์โรฮิงญา
ทำให้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงจำนวนของชาวโรฮิงญา
ในปัจจุบันอัตราการตายของเด็กแรกเกิดชาวโรฮิงญาสูงเป็น ๒
เท่าของอัตราเฉลี่ยทั่วโลก และอัตราการตายของเด็กชาวโรฮิงญาที่อายุต่ำกว่า ๕ ขวบ
เป็น ๒ เท่าของอัตราการตายเฉลี่ยของประเทศพม่า
๖) เขาพูดกันว่า “โรฮิงญาสร้างแต่ปัญหา”
ความจริง :
การปะทะระหว่างชาวโรฮิงญาและชาวยะไข่ในปี
๒๕๕๕ ทำให้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญากว่าแสนคนต้องหลบหนีอยู่ภายในพม่า ที่ผ่านๆ
มาทุกปีชาวโรฮิงญาต้องหนีออกจากพม่านับแสนคน ล่าสุดตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปี ๒๕๖๐
นี้ ชาวโรฮิงญาต้องอพยพข้ามพรมแดนไปลี้ภัยในบังคลาเทศกว่า ๕ แสนคน
มิหนำซ้ำจากรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
ระบุว่ากองทัพพม่าวางทุ่นระเบิดสังหารไว้ในบริเวณชายแดน เพื่อกันมิให้ชาวโรฮิงญากลับมายังบ้านเรือนของตนเองที่บางส่วนถูกเผาทิ้งได้อีก
ที่น่าเศร้าก็คือองค์การแพทย์ไร้พรมแดนที่ต้องการช่วยเหลือชาวโรฮิงญาในพม่า ยังถูกขับไล่ออกจากพื้นที่โดยชาวยะไข่อีกด้วย
ในจดหมายเปิดผนึกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลฉบับล่าสุด
ที่มีถึงประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน เมื่อวันที่ ๖
ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ผู้นำประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน
เพื่อแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวโรฮิงญา โดยเรียกร้องให้อาเซียนจัดประชุมสุดยอดฉุกเฉินเพื่อแก้ปัญหานี้
เพราะที่ผ่านมาอาเซียนแสดงท่าทีต่อกรณีนี้
โดยออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาที่เบามากฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๐
เกือบหนึ่งเดือนหลังความโหดร้ายในรัฐยะไข่อุบัติขึ้น โดยอาเซียนได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณดังกล่าว
แต่หลีกเลี่ยงไม่ใช้คำว่า“โรฮิงญา”แต่อย่างใด
นอกจากปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว หากเรายังขืนปล่อยให้ปัญหาโรฮิงญาทวีความร้ายแรงเกิดขึ้นจนถึงกับมีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้แล้ว
ปัญหาก็ยิ่งจะเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นไปอีก อาจกลายเป็นเงื่อนไขและโอกาสที่ขบวนการก่อการร้ายเข้ามาแทรกแซง
และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงต้องเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าในภูมิภาคนี้ซึ่งก็ย่อมรวมถึงไทยเราเองด้วย
กล่าวโดยสรุป โรฮิงญาก็คือมนุษย์เช่นเดียวกับเราทุกคน
ที่จะต้องได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นที่มนุษย์ทั้งหลายควรต้องปฏิบัติต่อกัน
เรารักชีวิต โรฮิงญาก็รักชีวิตเช่นกัน ความแตกต่างด้านเชื้อชาติ
ศาสนาหรือถิ่นกำเนิดไม่สามารถลดทอน “สิทธิมนุษยชน”ลงได้ครับ
_____