วันพุธ, ธันวาคม 28, 2559

ความเน่าเฟะของกระบวนการทางกฎหมายในประเทศไตแลนเดีย





นี่อีกราย รมว.ลิ่วล้อ คสช. ผีเจาะปากมาให้พูด บอกเจ้าคุณประสาร “อย่าตีตนไปก่อนไข้”

เป็นคำของนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมว.สำนักนายกฯ กำกับดูแลพระพุทธศาสนา คนที่ Sa-nguan Khumrungroj กรุณาคุ้ยประวัติออกมาแจ้งให้ทราบว่า จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Aligarh Muslim University ที่อินเดีย

เรื่องที่ สนช. ๘๔ คนเสนอแก้กฎหมายสงฆ์ ‘ตั้งสังฆราช’ ให้ข้ามขั้นตอนมหาเถรสมาคมเป็นผู้เสนอชื่อไปเสีย เหลือเพียงพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง แล้วจึงนายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ

“รัฐบาลไม่อยากให้เกิดความวุ่นวาย ดังนั้นอย่าปลุกม็อบ เพราะคนไทยทุกคนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เหมือนกัน”

(http://www.posttoday.com/politic/472603)





ทั้งนี้เนื่องมาจาก พระเมธีธรรมาจารย์ เจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ มีปฏิกิริยาผ่านทางหน้าเฟชบุ๊คว่า “ในเรื่องนี้อาตมาเห็นว่ามีความผิดปกติอยู่มาก”

“อาตมาขอถามในนามพระสงฆ์รูปหนึ่งว่า ทำไมคฤหัสถ์ญาติโยมเหล่านี้ท่านมีความเดือดร้อนอะไรกันมากมายขนาดนี้ ต่อการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์ไทย...

อาตมาบอกได้เลยว่า วันนี้ถ้า พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ และคณะมวลสมาชิกบางท่านใน สนช. จะฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนวุ่นวายฝุ่นตลบนี้ เสนอแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์...

ท่านก็จะต้องพบต้องเจอกับองค์กรพุทธและพระสงฆ์อีกจำนวนมากมาย ทั่วประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”

(http://prachatai.org/journal/2016/12/69423)

แต่ว่างานนี้ดูท่า สนช.จะเร่งรัดมากอยู่ คงอยากพิจารณาผ่านร่างสามวาระรวดให้เป็นทีเด็ดยิ่งกว่า พรบ.คอมพิวเตอร์ ดัง นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกวิป สนช.เผยไว้ “จะต้องทำโดยเร็ว...กฎหมายต้องรีบทำ”

เขายังอ้างเหตุผลของประธานกรรมาธิการศาสนา พล.ต.อ.พิชิต ควรเตชะคุปต์ ด้วยว่า “เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชที่ผ่านมา”

(http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…)

ส่วนจะตัดตอนการตั้งพระราชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่มหาเถรฯ เสนอชื่อไปให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าแล้ว แต่บิ๊กตูบนั่งทับอยู่ หรือไม่ ไว้รอถามทั่นรองฯ ฝ่ายกฎหมาย วิษณุ เครืองาม อีกที

‘ปัญหา’ ที่ว่านั่น ไม่มีอะไรมากไปกว่าพวก สนช.เหล่านี้มีวาระในการ ‘ขวางคลอง’ ไม่ยอมให้ ‘สมเด็จช่วง’ ขึ้นเป็นสังฆราช เล่นกันมาตั้งแต่ไพบูลย์ นิติตะวัน นั่นแล้ว

มันเป็นความเน่าเฟะของกระบวนการทางกฎหมายในประเทศไตแลนเดีย นับแต่ทหารฉกฉวยโอกาสยึดอำนาจทางการปกครองไปจากนักการเมืองเลือกตั้ง เน่าเฟะในการออกกฎหมาย และเละเทะในการบังคับใช้กฎหมาย





กรณีสั่งเพิกถอนประกัน ไผ่ ดาวดิน ประจานความ ‘ไร้ขื่อแปแห่งกฎหมาย’ ของศาลขอนแก่น ในสายตาของนานาอารยะประเทศได้เป็นอย่างดี

สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญา ให้ความเห็นต่อสำนักข่าวประชาไท ถึงข้ออ้างของศาลในการสั่งถอนประกันนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ว่าทำการ ‘เย้ยหยันอำนาจรัฐ’ นั้น

“ค่อนข้างชัดเจน...โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ไม่ได้เข้าข่ายหรือถูกกำหนดว่าเป็นความผิดตามกฎหมายใดๆ ย่อมไม่อยู่ในเหตุผลที่ศาลจะเพิกถอนการประกันตัวได้”

ส่วนข้อหา “การแสดงความคิดเห็นของผู้ต้องหาเป็นการ ‘ยุ่งเหยิงกับพยาน’ หรือ ‘จะเกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น’ นั่นก็ “เป็นการอ้างที่เลื่อนลอย ไม่มีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องมาประกอบ และไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด”

“การขอเพิกถอนของตำรวจ รวมทั้งการอนุญาตตามคำขอโดยศาลด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม และทั้งไม่เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย

การกระทำเช่นนี้ย่อมกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินกว่าเหตุ ทั้งเสรีภาพในชีวิตร่างกายและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

และหากชัดเจนด้วยว่าการกระทำต่างๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐนี้มีเจตนาเพื่อกลั่นแกล้งผู้ต้องหาก็อาจจะเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในทางมิชอบเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ประมวลกฎหมายอาญาด้วย”

(http://prachatai.org/journal/2016/12/69415)





อจ.สาวตรีชี้ด้วยว่า “เหตุการณ์นี้ไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการยุติธรรมไทยเลย มันทำให้ประชาชนที่เขาติดตามข่าวสารนี้อยู่ยิ่งหมดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมลงไปอีก”

เนื่องเพราะ “ผู้บังคับใช้กฎหมายไม่ได้นำพาหรือใส่ใจต่อหลักการ...อยากใช้เหตุอะไรก็ใช้ อยากอ้างเหตุอะไรก็อ้าง

หลายๆ อย่างอาจทำให้ประชาชนเข้าใจไปได้ด้วยว่า เป็นเรื่องกลั่นแกล้งหรือกระทำตามอำเภอใจ ไม่มีหลักการและเหตุผลรองรับ...

‘อำนาจรัฐ’ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ ‘นามธรรม’ มากๆ กลับกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเจ้าของประเทศแตะต้องไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เป็นผลดีต่อใครเลย...

ถ้านานาอารยประเทศเขารู้ว่าผู้ต้องหาในประเทศไทยอาจถูกเพิกถอนประกันตัวได้ เพราะเยาะเย้ยอำนาจรัฐ คงหัวเราะกันแบบขื่นๆ”