เมื่อปลายปี ๖๖ กังวาฬ พุทธิวนิช ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากทายาทของนาย ชิต สิงหเสนี เปิดแถลงข้อค้นพบหลักฐานใหม่ เพื่อรื้อฟื้นคดีฯ เขายื่นอุทธรณ์เมื่อมกรา ๖๘ ว่าพิพิธภัณท์อัยการนับวันเริ่มต้นของเงื่อนเวลาผิดพลาด
คือถ้านับจากวันที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาจะครบเงื่อนเวลา ๗๕ ปีในปี พ.ศ.๒๕๗๒ แต่ถ้านับจากวันที่เกิดเหตุการณ์เมื่อปี ๒๔๘๙ ก็ผ่านกำหนดส่งมอบเอกสารคำตัดสินให้หอจดหมายเหตุมาแล้ว ๔ ปี อย่างไรก็ดี ยังไม่มีคำวินิจฉัยออกมา
ข้อท้วงติงต่อคำพิพากษาคดีสวรรคตของกังวาฬ ว่าการพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับปืนของกลาง และการชันสูตรพระบรมศพหลังเกิดเหตุ ไม่ทันสมัยเท่าเวลานี้ จึงอาจผิดพลาดได้ ที่ว่ารอยกระสุนเข้าหน้าผากไปทะลุท้ายทอย เป็นไปไม่ได้ที่ทรงลั่นไกด้วยพระองค์เอง
เมื่อได้ยินเสียงปืน เขาเปิดประตูเข้าไป ได้เห็นหลังไวๆ เดินออกประตูไปตามระเบียงด้านหลัง ส่วนนายชิต สิงหเสนีนั้นอยู่ชั้นล่าง นายเฉลียว ปทุมรสอยู่ในห้องบรรทมของพระราชชนนี ซึ่งอยู่ปลายสุดระเบียง โดยมีห้องบรรทมพระอนุชาคั่นกลาง
กังวาฬต้องการรื้อฟื้นคดีไม่เพียงล้างมลทินให้แก่ครอบครัวนายชิต แต่จะล้างบาปให้กับนายเฉลียวและนายบุศย์ด้วย เพราะข้อปรักปรำที่ศาลพิจารณาว่ามหาดเล็กทั้งสามสมรู้กับการวางแผนของนายปรีดี พนมยงค์ และเรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช ผู้ลงมือกระทำการ
ในปี ๒๕๒๒ นายตี๋ ศรีสุวรรณเขียนจดหมายถึงปรีดี เพื่อขอโทษโดยยอมรับว่าตนถูกจ้างวานจากพระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) ประธานกรรมการสอบสวนคดีสวรรคต เพื่อให้การเท็จ และพระยาศรยุทธเสนีก็ยังออกมายอมรับภายหลังในบันทึกของเขา
ว่าถูกบังคับให้การปรักปรำ พระยาศรยุทธฯ นี้เป็นเจ้าของบ้านที่อ้างว่าปรีดีและพวกไปประชุมวางแผนกัน เรื่องเหล่านี้กังวาฬบอกว่าเข้าข่าย ‘พฤติการณ์พิเศษ’ ตามมาตรา ๒๐ พรบ.รื้อฟื้นคดีฯ แต่กระนั้นก็ยังต้องรอดูการเปิดเอกสารตรวจปืนของกลาง และผลชันสูตร
(https://prachatai.com/journal/2023/10/106433, https://www.facebook.com/kungwal.bu/posts/F9p232hhvM และ https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/FpPTvfW7Y)
