วันจันทร์, มิถุนายน 30, 2568

ปฏิเสธนิรโทษกรรมประชาชนรวมคดี 112 = หักหลังประชาชน


สุรพศ ทวีศักดิ์
7 hours ago
·
ปฏิเสธนิรโทษกรรมประชาชนรวมคดี 112=หักหลังประชาชน
ส.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ (ทนายแจม) ปชน.โพสต์ว่า ปธ.วิปรัฐบาลให้สัมภาษณ์สื่อว่าสภาผู้แทนราษฎรเตรียมจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในลำดับต้นทันทีที่เปิดสมัยประชุมว่า “ทุกฉบับจะต้องไม่มีเรื่องมาตรา112”
แต่ทนายแจมยืนยันจุดยืน ปชน.ว่าต้องมีเรื่อง 112 ด้วย เพราะ "ท้ายที่สุดแล้ว หากการนิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่รวมคดีมาตรา 112 สังคมจะยังเดินต่อบนความขัดแย้ง และสนามการเมืองต่อจากนี้จะถูกมองว่าการสลายขั้วการเมืองเป็นการพยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำซึ่งฮั้วกันอยู่เพื่อการแบ่งผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ" (ดู https://www.facebook.com/photo/?fbid=695109869985257&set=a.168133986016184)
คำถามคือ ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยและบรรดาผู้สนับสนุน (เช่นณัฐวุฒิ ใสยเกื้อและคนอื่นๆ) #ต่อต้านรัฐประหาร อย่างจริงใจ ทำไมจึงปฏิเสธนิรโทษกรรมรวมคดี 112 ที่เป็นการใช้กฎหมายปิดปากประชาชนที่สู้เพื่อประชาธิปไตยในรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร
รัฐบาลเพื่อไทยต้องการแลก #อิสรภาพของทักษิณ กับ #อิสรภาพของผู้ต้องคดี112กว่าพันคดี ใช่หรือไม่ นี่หรือคือ #ประชาธิปไตยแบบเพื่อไทย นี่หรือคือ #การต้านรัฐประหารแบบเพื่อไทย รัฐบาลเพื่อไทยต้องมีคำตอบให้ชัดเจน
อีกอย่าง เห็นเรียกร้องให้ร่วมกัน #ต่อต้านนิติสงคราม แล้วการใช้ 112 ขังคุกประชาชนที่สู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยไม่ใช่นิติสงครามงั้นหรือ
#สื่อมวลชน ต้องทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน ตั้งคำถามกับนายกฯ แพทองธารในเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น

https://www.facebook.com/suraphotthaweesak/posts/10089227037837211






ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ - ทนายแจม - Sasinan Thamnithinan
12 hours ago
·
[ 3 ประเด็นข้อคิดเห็นในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ. นิรโทษกรรมและความจำเป็นที่จะต้องรวมคดีมาตรา 112 ]
จากกรณีที่คุณ วิสุทธ์ ไชยอรุณ ประธานวิปรัฐบาลและสส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์​กับสื่อมวลชนในประเด็นที่สภาผู้แทนราษฎรเตรียมจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในลำดับต้นทันทีที่เปิดสมัยประชุมว่า “ทุกฉบับจะต้องไม่มีเรื่องมาตรา112”
[ https://www.facebook.com/share/1ML2RdQ2ho/?mibextid=wwXIfr ]
แจมในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ขอยืนยันจุดยืนในฐานะกรรมาธิการสัดส่วนพรรคประชาชน และขอย้ำกับรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยว่าการตัดคดีมาตรา112 ออกจากร่างนิรโทษกรรม ไม่สอดคล้องกับหลักความสมานฉันท์ปรองดองและเจตนารมณ์หลักของการนิรโทษกรรม
ขอชี้แจงความเห็นของดิฉันต่อเรื่องนี้ จำนวน 3 ประเด็น ดังนี้:
[ ประเด็นที่ 1 : คดีมาตรา 112 มีจำนวนมาก และสะท้อนลักษณะของคดีการเมืองอย่างชัดเจน ]
ข้อมูลจากเอกสารในชั้นกรรมาธิการระบุว่า คดีตามมาตรา 112 มีจำนวนมากกว่าหลักร้อย แต่เป็น “หลักพันคดี” และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแกนนำหรือนักกิจกรรมการเมือง หากแต่รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเครือข่าย และไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม
ที่สำคัญคือ มีคดีจำนวนไม่น้อยที่สิ้นสุดด้วยคำพิพากษายกฟ้อง และผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหาการตีความกฎหมายที่กว้างเกินสมควรทำให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือได้ง่าย และการบังคับใช้ที่อาจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างร้ายแรง
หากรัฐบาลยังไม่สามารถให้ทางออกกับคดีมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไปเหล่านี้ได้ ก็เท่ากับปิดโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผู้คนจำนวนมาก และ ทำให้สังคมไม่อาจก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองไปได้อย่างแท้จริง
ดิฉันจึงเห็นว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสครั้งนี้ในการ เรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชน และขจัดเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะหากจะมีสิ่งใดที่สามารถสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในช่วงเวลานี้ได้ นั่นคือ “ความกล้าหาญในการนิรโทษกรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ”
[ ประเด็นที่ 2: หากนิรโทษกรรมโดยไม่รวมคดีมาตรา 112 จะยิ่งทำให้รัฐบาลไม่สามารถหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองได้เลย ]
การนิรโทษกรรม คือเครื่องมือทางกฏหมายที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลในขณะนั้นใช้เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งและให้สังคมได้ก้าวข้ามบาดแผลทางการเมือง
หากร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่จะมีขึ้นนี้ถูกออกแบบให้ เว้น คดีมาตรา 112 โดยเฉพาะ
ทั้งที่คดีมาตรา 112 คือแกนกลางของข้อเรียกร้องทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน
หากรัฐบาลเลือกใช้เครื่องมือนิรโทษกรรมเพื่อคลี่คลายปัญหา แต่กลับเว้น “หัวใจของข้อขัดแย้ง” เอาไว้ ก็เท่ากับปฏิเสธโอกาสในการสร้างความไว้วางใจจากประชาชนและกำลังเดินหน้าทำการเมืองด้วยการเลือกปฏิบัติ
รัฐบาลจะไม่สามารถอ้างถึง “การก้าวข้ามความขัดแย้ง” ได้เลย
หากยังเลือกปฏิบัติกับคดีมาตรา112 ที่สะท้อนความขัดแย้งทางการเมืองมากที่สุด
[ ประเด็นที่3 : พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ต้องมีความกล้าหาญและจริงใจในการนำพาสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง และไม่ควรใช้วิธีส่งสัญญาณ“ตีกรอบ” ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณา ]
ดิฉันเชื่อว่า ในห้วงเวลานี้ สิ่งที่สังคมไทยต้องการไม่ใช่เพียง “การผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมแบบไร้เงื่อนไขคดี” แต่คือ “ความจริงใจทางการเมือง” ในการหาทางออกจากความขัดแย้งจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้ว หากการนิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่รวมคดีมาตรา 112 สังคมจะยังเดินต่อบนความขัดแย้ง และสนามการเมืองต่อจากนี้จะถูกมองว่าการสลายขั้วการเมืองเป็นการพยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำซึ่งฮั้วกันอยู่เพื่อการแบ่งผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ
ดิฉันเห็นด้วยกับหลักการของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งรวมคดีตามมาตรา 112 เข้าไว้ด้วย และขอเน้นย้ำว่า การพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านหรือภาคประชาชนแต่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกันที่จะต้องแสดงให้ประชาชนเห็นถึง เจตนารมณ์ทางการเมืองที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล เพื่อนำพาประเทศก้าวผ่านความขัดแย้งต่อไป
#ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม #นิรโทษกรรมประชาชน
#ทนายแจมศศินันท์ #พรรคประชาชน #เขตสายไหม