
‘ไม่มีใครสมควรตายเพราะต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี’ สุเมธ เหรียญพงษ์นาม นักปกป้องสิทธิฯ แห่งปราจีนบุรี
ตุลาคม 20, 2025
EPIGRAM News
“ขณะขับรถเข้าบ้านมีเสียงปืนไล่หลังมา 3-4 นัด อีกสองวันก็มีคนมายิงปืนเข้ามาทางบ้านผม ทำให้รู้ว่าการเคลื่อนไหวต่อต้านบ่อขยะมีกลุ่มคนไม่พอใจ”
สุเมธ เหรียญพงษ์นาม ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวหรือนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นอาชีพ เขาเป็นชายวัย 53 ปี เกิดที่บ้านกรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี ชีวิตในวัยทำงานของสุเมธระหกระเหินไปทำงานอยู่แถบภาคเหนืออยู่หลายสิบปี ด้วยอาชีพค้าขาย, ทำการเกษตร, และธุรกิจที่พัก หรือแม้กระทั่งงานขับรถตามแต่โอกาสที่เข้ามาในชีวิตเขา
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2561 สุเมธตัดสินใจเดินทางกลับมาอยู่บ้านที่จ.ปราจีนบุรี ในระหว่างช่วงเวลาพักผ่อนเขาออกเดินสำรวจบ้านเกิดของเขา และก็ได้พบกับสิ่งผิดปกติที่กองอยู่ห่างจากบ้านของเขาไม่ถึง 1 กิโลเมตร
“ผมเห็นกองขยะกองหนึ่งใหญ่พอสมควรและมีกลิ่นที่ผมไม่คุ้นเคย”
สุเมธเก็บความสงสัยนั้นเดินกลับมาถามครอบครัว คำตอบที่เขาได้รับยิ่งสร้างความสับสนให้กับสุเมธมากขึ้น เมื่อบางคนบอกว่ามันคือกองปุ๋ย บ้างก็ว่าเป็นกองขยะ หรือบางคนก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่ที่ทุกคนเห็นตรงกันคือ กลิ่นของมันไม่ได้เหม็นเหมือนขยะทั่วไป แต่เหม็นฉุน, แสบจมูก, มึนหัว, จนอยากอาเจียน
“แม่ผมแทบจะอยู่บ้านไม่ได้ พอมันได้กลิ่นแล้วท้องอืด”
สุเมธบรรยายบรรยากาศที่คนในครอบครัวเขาต้องเผชิญมานานนับปี เขาอธิบายว่าเวลานอนต้องปิดประตูหน้าต่างทั้งหมด จากนั้นจะต้องนำผ้าห่มมาคลุมโปงไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว เพื่อไม่ให้ได้กลิ่นแต่สุดท้ายกลิ่นก็เล็ดลอดเข้าไปได้อยู่ดี
“แค่นี้แหละเหตุผลที่ผมต้องลุกขึ้นมา ผมไม่ใช่นักต่อสู้ แต่ผมสู้เพื่อพ่อแม่และลูกของผม เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องดมกลิ่นเหล่านี้ไปจนตาย”
นี่คือเรื่องราวจากกองขยะอุตสาหกรรมหนึ่งกอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนของสุเมธ เหรียญพงษ์นาม หนึ่งในชาว จ.ปราจีนบุรีที่ต้องการสิทธิที่จะหายใจอย่างเต็มปอด โดยที่ไม่มีใครมายัดเยียดมลพิษให้กับพวกเขา
เมื่อปราจีนบุรีกลายเป็นที่ทิ้งขยะ EEC
หลังจากที่สุเมธเห็นความไม่ชอบมาพากลของกองขยะดังกล่าว เขาจึงได้เข้าร่วมการประชุมเทศบาล และร้องเรียนไปยังนายกเทศบาลตำบลกรอกสมบูรณ์ ณ ขณะนั้นช่วงปี พ.ศ.2561 ถึงความเดือดร้อนที่เขาเจอ แต่ก็ได้รับการตอบกลับมาว่า ปัญหาดังกล่าวอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของนายกเทศบาล เพราะว่าอยู่กันละคนพื้นที่
สุเมธมารู้ภายหลังว่าเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเป็นเทคนิคของโรงงานขยะ ในการเลือกสถานที่ตั้งบริเวณเขตพรมแดนระหว่างอำเภอและชุมชน ทำให้ยากต่อการหาผู้รับผิดชอบ เมื่อรัฐท้องถิ่นไม่สามารถพึ่งพาได้ สุเมธจึงตัดสินใจออกไปหาความช่วยเหลือจากภายนอก จนได้รู้จักนักเคลื่อนไหวคนอื่นๆ เช่น จร เนาวโอภาส, สุนทร คมคาย เมื่อได้รับคำแนะนำสุเมธจึงเริ่มเข้าไปคุยกับคนในชุมชน และเกิดการรวมตัวเพื่อลงชื่อและยื่นหนังสือให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี
“มีคนลงชื่อ 700 กว่าคน”
สุเมธกล่าวถึงการเคลื่อนไหวครั้งแรก ที่เขาได้ลองร่างจดหมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดด้วยตนเอง ซึ่งจากการเคลื่อนไหวครั้งดังกล่าว ตามมาด้วยมีคำสั่งด่วนให้มีการตรวจสอบบริษัทเวสต์ 2 เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ที่สุเมธสันนิษฐานว่าเป็นที่มาของกลิ่นที่เขาได้รับ ก่อนจะมีการเรียกให้เจ้าหน้าที่โรงงานเข้ามาชี้แจง
ภายในวันเดียวกันนั้นสุเมธเล่าว่า ช่วงหัวค่ำเขาไปนั่งเล่นที่บ้านเพื่อนบริเวณหน้าตลาดเทศบาล โดยไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เขาเดินทางกลับบ้าน บ้านเพื่อนของเขาถูกขว้างระเบิดปิงปองเข้าไปในบ้าน นับเป็นการคุกคามครั้งแรกที่สุเมธต้องเผชิญ
“หลังจากนั้นผมถูกหมายศาลข้อหาหมิ่นประมาทเรียกร้องค่าเสียหาย 50 ล้านบาท”
นอกจากการคุกคามด้วยความรุนแรงแล้ว สิ่งที่สุเมธต้องเผชิญคือการใช้กระบวนการทางกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2563 บริษัทเวส 2 เอนเนอร์ยี่ จำกัด ฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาทแก่สุเมธ ก่อนมีการไกล่เกลี่ยกันได้ในเวลาต่อมา ถึงกระนั้นการถูกฟ้องร้องก็ได้สร้างบรรยากาศความหวาดกลัวปกคลุมทั่วชุมชน
“ชาวบ้านที่เคยร่วมขับเคลื่อนกับเรา 700 กว่าคนหายไปเกือบหมดเพราะความกลัว คนในชุมชนบางส่วนเริ่มตีตัวออกห่างจากผม”
อย่างไรก็ดีข่าวสารที่แพร่กระจายออกไป ก็ช่วยให้สุเมธได้รู้จักเครือข่ายการทำงานอื่นๆ เช่น มูลนิธิบูรณะนิเวศ, มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) และชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดปราจีนบุรีที่ได้รับผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรม เพราะกรณีที่เกิดขึ้นในชุมชนของสุเมธ ถือเป็นโรงงานรับจำกัดขยะอุตสาหกรรมรายแรกๆ ของ จ.ปราจีนบุรี ก่อนที่จะมีโรงงานอื่นๆ ทยอยเข้ามา
“กองขยะกองนั้นที่ผมเจอเป็นกองขยะของ EEC ปราจีนบุรีกลายเป็นที่ทิ้งขยะของ EEC”
และด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้การขับเคลื่อนของสุเมธต่อยอดไปยังชุมชนอื่นๆ ในฐานะที่พื้นที่ของเขากลายเป็นกรณีศึกษาให้กับพื้นที่อื่นๆ ใน จ.ปราจีนบุรี สุเมธยังคงถูกคุกคามอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกขับรถประกบตามตัวเขา, การมีบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นทหาร เข้ามาขอเจรจากับเขาถึงในบ้าน, หรือแม้กระทั่งล่าสุดพบการเคลื่อนไหวการสั่งการมือปืนเพื่อหมายเอาชีวิตสุเมธอีกครั้ง ทำให้มีการยื่นหนังสือด่วนต่อ ซินเธีย เวลิโก ผู้แทนภูมิภาคสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้กับสุเมธและนักปกป้องสิทธิคนอื่นๆ ต่อไป
การคุกคามในภาคตะวันออก…เหตุการณ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“การคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในภาคตะวันออก ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะไม่สามารถเอาผิดผู้กระทำ และกลไกของรัฐที่อ่อนแอไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้จริง”
ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนจากโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย องค์กรที่ทำงานร่วมกับผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มามากกว่า 15 ปี ได้ให้ข้อมูลกับ EPIGRAM ว่า
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภาคตะวันออกโดยเฉพาะประเด็นเรื่องโรงงานรีไซเคิลขยะและกำจัดกากอุตสาหกรรม เผชิญความเสี่ยงสูงและถูกคุกคามหลากหลายรูปแบบ ทั้งการถูกติดตามทางกายภาพและออนไลน์ ,การถูกยื่นข้อเสนอหรือผลประโยชน์ให้จากผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องกับทุน ,การข่มขู่โดยฝากผ่านบุคคลใกล้ชิด ,การถูกฟ้องคดีเพื่อระงับการมีส่วนร่วมในเชิงยุทธศาสตร์ ,การพยายามลอบสังหาร
โดยมีการดำเนินการที่ล่าช้าของหน่วยงานรัฐ เอื้อให้เกิด ‘วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดขึ้น’ ทำให้ผู้คุกคามไม่เกรงกลัวกฎหมาย นอกจากนี้ข้อมูลจากโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่าคดีของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหารปี พ.ศ. 2557 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 มีคดีการถูกฟ้องเพื่อระงับการมีส่วนร่วมในเชิงยุทธศาสตร์ (SLAPP) เกือบ 600 คดี สื่อให้เห็นว่าแทนที่ระบบกฎหมายจะช่วยปกป้องคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งในการขัดขวางเสียเอง
“ความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องของปัจเจก” ปรานมกล่าว “มันคือความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำหน้าที่ปกป้องและคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง เพราะการปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เพียงการปกป้องบุคคลหนึ่งคน แต่คือการปกป้อง สิทธิของประชาชนทั้งสังคม และอนาคตของความเป็นธรรมในประเทศนี้ด้วย”
โดยตัวแทนจากโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้กล่าวถึงกลไกที่จะช่วยปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้ปลอดภัยอันประกอบด้วย การรวมกลุ่มของนักปกป้องสิทธิและชุมชน, บทบาทและหน้าที่ของรัฐในการปกป้อง คุ้มครอง และเยียวยาอย่างมีประสิทธิผล, กฎหมายและมาตรการป้องกันการถูกฟ้องเพื่อระงับการมีส่วนร่วมในเชิงยุทธศาสตร์ SLAPP, กลไกสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติและแรงกดดันจากประชาคมโลก, รวมทั้งความรับผิดชอบของภาคธุรกิจและมาตรการเยียวยาและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
“การมีอยู่ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในภาคตะวันออก คือเส้นเลือดใหญ่ของความยุติธรรมและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ที่ยืนยันว่าสิทธิในที่ดิน สิทธิในทรัพยากรธรรมชาติ และสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีนั้น ไม่ใช่สิทธิของใครบางคนแต่คือสิทธิของเราทุกคน” ปรานมกล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีใครสมควรตายเพราะต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี
“ตอนผมถูกไล่ยิงแม่ผมร้องไห้ทุกวัน ผมก็คนธรรมดาคนหนึ่ง ต้องทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว”
ฉากหน้าของการเป็นนักเคลื่อนไหวที่เปิดหน้าชนกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี แต่ฉากหลังสุเมธ เป็นเพียงลูกชายของครอบครัว ที่ต้องการปกป้องคนที่เขารัก ให้มีชีวิตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
“ทำไมผมต้องเอาชีวิตครอบครัวไปเสี่ยง เพื่อที่จะมีบ้านที่ไร้สารพิษสำหรับลูกหลาน” สุเมธตั้งคำถาม “ผมคิดว่ามันไม่ควรที่จะเอาชีวิตใครมาเสี่ยงเพื่อที่จะได้มีลมหายใจที่ดี มันควรเป็นสิทธิของคนทุกคนบนโลกนี้”
สุเมธบอกว่าวันนี้เป้าหมายการทำงานของเขาคือการผลักดันเพื่อแก้ไขกฎหมาย โดยมีกฎหมายที่มองเขาว่า เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมวันข้างหน้าในบ้านของเขาอยู่หลายฉบับตั้งแต่ พระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562, พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561, พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551, พระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 และการผลักดันกฎหมายการรายงานและเปิดเผยการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) ที่สถานะปัจจุบันรัฐสภามีมติเอกฉันท์รับหลักการ
“ผมไม่ได้ปฏิเสธอุตสาหกรรม แต่ผมต้องการอุตสาหกรรมที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นอุตสาหกรรมที่มาอยู่บ้านเราและเหมือนเป็นคนบ้านเรา ไม่ใช่มาแค่กอบโกยและคุณก็กลับออกไป”
เพราะสำหรับสุเมธแล้วทุกวันนี้ นอกจากอุตสาหกรรมจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของ จ.ปราจีนบุรีไปแล้ว ยังคงใช้อำนาจและเครือข่ายผู้มีอิทธิพล ในการคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ออกมาเคลื่อนไหว ทำให้ทั้งตัวสุเมธและคนรอบข้างต่างก็รู้สึกไม่ปลอดภัย ในการใช้ชีวิตในบ้านเกิดของตนเอง
อย่างไรก็ดีเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสุเมธ ไม่ได้ทำให้เขาคิดหันหลังให้กับการปกป้องบ้านเกิดของเขาเอง
“ผมอยู่ได้ด้วยความหวัง และเราจะจับกลุ่มคนที่ยังมีความหวังไปจูงมือคนที่หมดหวังให้มาทำงานร่วมกัน วันนี้ถ้าคุณจะลุกขึ้นสู้กับอะไรสักอย่าง คุณไม่ต้องไปทำเพื่อใครแต่ทำเพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรัก ผมเชื่อว่ายิ่งเราทำงานมากขึ้นเท่าไหร่ กลุ่มคนก็จะเพิ่มขึ้น วันนี้ผมมีความหวังว่าคนปราจีนบุรีตื่นตัวกับเรื่องนี้ และมีคนที่หลากหลายเพิ่มขึ้นมาช่วยกันทำงาน”
สุเมธ เหรียญพงษ์นาม จากคนธรรมดาคนหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่า ตนเองเป็นคนที่ไม่เคยทำงานหรือข้องเกี่ยวกับเรื่องทางสังคมมาก่อน และจากกองขยะอุตสาหกรรมกองเดียวในชุมชนของเขา ก็ได้ผลักดันให้เขากลายมาเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอีกคนหนึ่งในภาคตะวันออก ที่วันนี้ก็ยังคงยืนหยัดทำงานเพื่ออยากเห็นสภาพแวดล้อมในภาคตะวันออกไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้
บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ Eastern Defenders : ความเป็น-ความตาย-ความหวัง ที่พาสำรวจชีวิตและการทำงานของผู้คนจากภาคตะวันออก ที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในชุมชนของตัวเอง
เรื่องโดย ณฐาภพ สังเกตุ
https://epigramnews.co/people/eastern-defenders-05/
.webp)

.webp)