
วิเคราะห์บอลจริงจัง
Yesterday
·
ก่อนจะบอกความรู้สึกในพิธีเปิดซีเกมส์ครั้งนี้ต้องบอกว่า "หลอน" กับเพลง รักหนักแน่น ของเบิร์ด ธงไชย แม็คอินไตย์มากๆ
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้จัดการแข่งขัน ถึงเลือกเพลงนี้ ที่บันทึกเทปเมื่อ ในปี 1998 หรือเมื่อ 27 ปีที่แล้ว เอามาใช้เป็นเพลงหลักตลอดพิธีเปิด
ความตั้งใจคือจะย้อนกลับไปในยุค 90s หรืออย่างไร ไม่เข้าใจพอยต์ที่เลือกเพลงนี้ แล้วเสียงดนตรี ยิ่งฟังยิ่งหลอน อารมณ์เหมือนตอนไปเดินดิสนีย์แลนด์เลยทีเดียว
แล้วเนื้อเพลง "อยากจะขอ ขอแค่รักและความผูกพัน อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เรื่อยไป" ก็รู้สึกว่า ให้ความ retro สุดๆ เลย แน่นอนว่า นักกีฬาหลายคน เกิดไม่ทันเพลงนี้ด้วยซ้ำ ความร่วมสมัยเป็นศูนย์ ก็เลือกมาได้เนอะ
ก่อนจะบ่นเรื่องเพลงพี่เบิร์ดไปมากกว่านี้ ตัดกลับไปที่พิธีเปิด ซีเกมส์ดีกว่าครับ
ผู้จัดงานหลัก คือบริษัท Index Creative Village ที่เคยมีประสบการณ์จัดอีเวนต์ใหญ่ๆ มาแล้วมากมาย เช่น งานเคาน์ดาวน์วันสิ้นปี ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนในวงการกีฬา เคยจัดงานแข่งฟุตบอล u-23 ชิงแชมป์เอเชีย เมื่อปี 2020
ในช่วงแรกของพิธีเปิดต้องยอมรับว่า เริ่มได้ดี ในช่วงที่ใช้โดรนพุ่งทะยานให้เห็นความสวยของกรุงเทพมหานคร จากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้ากรุงเทพชั้นใน และมาหยุดด้านบนราชมังคลากีฬาสถาน ช็อตนี้สวยมาก
ขณะที่การเลือก พิธีกรคู่ในสนาม อาร์ม กรกันต์ กับ นุ่น ณัชชานันท์ ขอปรบมือให้จากใจจริง โชว์สกิลไทยสลับอังกฤษตลอดหลายชั่วโมง แถมยังแบกพิธีการจนไม่รู้จะแบกยังไงแล้ว มีหลายๆ ช็อต รู้เลยว่าพยายามดึงเวลา ยื้อเวลา ใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อเอาตัวรอดจากตรงหน้าไปให้ได้ ก็ไม่มีอะไรจะตำหนิทั้งคู่ครับ ทำได้โอเคแล้ว โฟลวที่สุด ที่จะเป็นไปได้แล้ว
ไอเดียของผู้จัด เริ่มโชว์แรก ด้วยการใช้ความอลังการของโดรน ทำการขึ้นเป็นตัวเลขต่างๆ เช่นจำนวนนักกีฬาที่เข้าแข่งทั้งหมด และ เหรียญทั้งหมดที่ชิงชัย
แต่เริ่มมาก็เจ๊งเลย เหรียญซีเกมส์มีจำนวน 574 เหรียญ แต่โดรนดันขึ้น 547 เหรียญ นี่ไม่ได้มีคนเอะใจกันสักหน่อยตอนซ้อมหรอ ถามจริง? งานใหญ่ขนาดนี้เนี่ยนะ
หลังโชว์โดรน เป็นการเล่าสตอรี่เรื่อง Back to the Origin เนื่องจากซีเกมส์ครั้งแรกสุด (ชื่อ เซียปเกมส์) จัดขึ้นในปี 1959 ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นซีเกมส์รอบนี้ จึงเหมือนเป็นการ "คัมแบ็ก" กลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ผมว่าจุดนี้ทำได้ดีนะ ค่อยๆ ย้อนเล่าเรื่องราวว่าการเดินทางของซีเกมส์มันยาวนานขนาดไหน นี่ไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์ไร้ราคา แต่มีประวัติศาสตร์ ถึง 66 ปีเลยทีเดียว
พาร์ทต่อไป คือ Ignite the Game เป็นการร้องเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ ชื่อ 1% นำโดย วี วีโอเล็ต วอเทียร์, โต้ง ทูพี และ กอล์ฟ F.HERO
ผมเห็นคนในสนามบอกเสียงโอเค แต่สำหรับคนดูทีวี ต้องบอกว่าเพี้ยนไปไหนไม่รู้ หาความเพราะไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดแบบนี้ได้ไง ระบบซาวด์ของราชมังฯ หรือเปล่า
หลังจากจบช่วงนี้ ก็ถึงเวลา 19.30 น. ตามกำหนดการแรกสุด ในหลวง รัชกาลที่ 10 กับ พระราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดการแข่งขัน
แต่เมื่อถึงเวลา 19.30 ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น กว่าที่ในหลวงจะเสด็จมาถึง ก็เกินกว่าเวลาที่ระบุไว้ตอนแรกแล้ว ในช่วงนั้น การถ่ายทอดสด จึงเกิดอาการเดดแอร์ทันที แล้วเวลากล้องจับภาพ คนต่างชาติที่อยู่ในสนาม หลายคนก็ดูงง ว่าเกิดอะไรขึ้น
พิธีกรสองคนพยายามจะยื้อสุดๆ แล้ว มีการบอกให้สแตนด์สามฝั่งช่วยกันปรบมือก็แล้ว พูดไทยสลับอังกฤษก็แล้ว แต่ลากได้แค่นั้นจริงๆ สุดท้ายเลยต้องปล่อยเสียงเพลงรักหนักแน่น (อีกแล้ว!) กับเพลง 1% ประคองไปก่อน
กว่าที่อีเวนต์ในสนามจะกลับมาอีกครั้ง ก็ตอนที่เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นมา ในเวลา 19.57 น. ว่าง่ายๆ คือ เกินกว่าเวลาในกำหนดการมาพอสมควร ทำให้ซีเกมส์ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในอีเวนต์กีฬานานาชาติ เท่าที่เราจำความกันได้ ที่มี "เบรก" นานเกินกว่า 20 นาที
ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหนกันแน่ แต่การชะงักแบบนี้ ก็ทำให้พิธีมันขาดตอน ฟีลลิ่งของผู้คนที่กำลัง จุดไฟจากช่วง Ignite the Game ก็แผ่วลงไปโดยปริยาย
เมื่อโชว์กลับมาแสดง เป็นช่วง "we are one - connected by the sea" เพราะชาติในอาเซียนส่วนใหญ่ถูกเชื่อมเอาไว้ด้วยท้องทะเลเดียวกัน (อาจจะยกเว้นลาว ที่ไม่มีพรมแดนติดทะเล)
มีการรำสี่ภาคจริงๆ แบบที่คนแซวกัน แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก รวมถึงมีแต่งตัวด้วยชุดของแต่ละชาติที่มาร่วมแข่งขัน
ในช่วงนี้ มีดราม่าเบาๆ จากฝั่งเวียดนาม ที่ฝ่ายจัดของไทย ในจังหวะโชว์แผนที่ประเทศเวียดนาม ดันไม่โชว์เกาะฟูก๊วก หมู่เกาะสแปรตลีย์ และ หมู่เกาะพาราเซล รวมอยู่ด้วย บางคนก็บอกว่าฝั่งเวียดนามคิดมากเกินหรือเปล่า แบบนี้ประเทศไทยต้องใส่เกาะช้างไปด้วยไหมล่ะ แต่ในมุมของคนเวียดนาม เกาะเหล่านี้กำลังมีประเด็นกับชาติอื่นอยู่ ก็น่าจะใส่มาให้สักหน่อย
ในช่วงพาร์ทเกี่ยวกับน้ำ ต้องบอกว่า เราจัดเซ็ตสถานที่ ด้วยการมีน้ำเยอะมากๆ เพื่อใช้ในการแสดงโชว์ ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวนะครับ แต่คิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้
ตอนระบำใต้น้ำ กล้องซูมใกล้สุดๆ จนไม่รู้เลยว่า นักกีฬา 8 คน กำลังทำท่าทางอะไรอยู่ ขาเปะปะกันพัลวันไปหมด จากนั้นในโชว์เจ็ตสกี เราเห็นภาพ คนลื่นร่วงจากเจ๊ตสกี สองสามรอบ กว่าจะนั่งได้ ถามจริงว่าได้ซ้อมกันมาแล้วใช่ไหม
หรือในช่วงโชว์พิคโตแกรม เราเห็นกล่องคิวบิก เปิดไฟสีฟ้าจำนวน 12 กล่อง ปรากฏว่า มีกล่องหนึ่ง "ไฟดับ" ระหว่างโชว์ แล้วพอคนอื่นไฟดับ เจ้ากล่องนั้นก็ "ไฟติด" อยู่กล่องเดียว คือเล่นมุกอะไรกันหรอ มันดูขลุกขลักชะมัดเลย
แต่เอาล่ะ สิ่งที่ไม่ราบรื่นมีเยอะ แต่พาร์ทสวยๆ ผมว่าก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
ฉากต่อยมวยของบัวขาว ที่โปรเจ็กเตอร์รอบด้าน ทำเป็นน้ำตกไหลลงไปด้านล่าง อันนี้สวยงามมาก แม้จะมีติดใจนิดหน่อยที่หน้าบัวขาว ทำไมโปะแป้งหนักขนาดนั้นก็เถอะ
หรือตอนที่ แบมแบม ออกมาร้องเพลง Wheels Up อันนี้ดีมาก สอบผ่านเฉยเลย ไม่เจ๊ง ไม่เพี้ยน เหมือนตอนวี วีโอเล็ท ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ระบบซาวด์ ระบบร้อง ไม่มีปัญหาอะไรในช็อตนี้
เช่นเดียวกับตอนที่ นักกีฬาเดินลงสู่สนาม แล้วเราเลือกให้นางงามของเรา จากเวทีต่างๆ เป็นคนไปเดินถือป้ายประเทศ อันนี้ยอดเยี่ยมมาก นางงามสวยทุกคน ชุดก็ปัง ซึ่งผมเดาได้ด้วยนะครับ ว่าคนถือประเทศไทย ต้องเป็นโอปอลแน่ๆ ถ้าคุณได้มิสเวิลด์ขนาดนั้น คุณต้องถือป้ายประเทศเราอยู่แล้วล่ะครับ
ส่วนโมเมนต์ที่พระราชินี มาร่วมในขบวนทีมชาติไทยด้วย เดินอยู่ด้านหลัง วิว กุลวุฒิ กับ บี จันทร์แจ่ม อันนี้ก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน ว่าพระองค์ท่าน ลงมาตอนไหน เป็นภาพที่สวยงามดี เห็นความใกล้ชิดของราชวงศ์กับนักกีฬามากขึ้นด้วย
ในช่วงเดินขบวนเข้าสู่สนาม ไม่ต้องเดาเลยว่า กัมพูชาต้องโดนโห่อยู่แล้ว ในสถานการณ์การปะทะกันแบบนี้ รอดยากครับ
หลังจากเสร็จขั้นตอนทุกอย่าง นักกีฬาลงสนาม ตามด้วยกล่าวคำปฏิญาณใดๆ แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงการจุดคบเพลิง พูดตามตรงว่านี่คือช่วงที่ผมประทับใจที่สุดในตลอดพิธีเกือบ 3 ชั่วโมงครับ
การวิ่งคบเพลิงของเรานั้นเรียบง่าย แต่คนที่เราเลือกใช้ต่างหาก ที่น่าประทับใจ เราเริ่มจากน้องเอสที นักกีฬาอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ที่ไปแข่งโอลิมปิก เธอคือความหวังของวงการกีฬาไทย ว่าเรายังมีความหวังนะ กีฬาไทย ยังไม่ได้จบสิ้น เรามีสายเลือดใหม่ ที่พร้อมจะผลิบานอยู่เสมอ
ตามด้วย สมจิตร จงจอหอ เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกที่ปักกิ่ง นี่คือสัญลักษณ์ของคนที่ไม่ยอมแพ้ "ผมเจ็บมาเยอะ" นี่คือประโยคคลาสสิคที่เขาบอกไว้ เป็นหลักฐานว่า ขอแค่ไม่ท้อถอย เราไปถึงความสำเร็จได้แน่นอน
และไม้สุดท้าย จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก เทนนิส-พาณิภัค นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไทยเคยมีมา เจ้าของผลงาน 2 เหรียญทอง และ 1 เหรียญทองแดงโอลิมปิก และมือ 1 ของโลกติดต่อกันจนเลิกเล่นไปเอง นี่คือผลผลิตที่สุดยอดของวงการกีฬาไทย และ อาเซียน คือไม่เคยมีใครได้เหรียญในโอลิมปิกเยอะเท่าเทนนิสมาก่อน
ดังนั้นเทนนิสคือตัวแทนที่เหมาะที่สุด ในการเป็นคนถือคบเพลิงไม้สุดท้าย ผมคิดว่าฝ่ายจัด เลือกทั้ง 3 คนได้ดีมากๆ ครับ อันนี้อยากชื่นชมมากๆ
สำหรับในช่วงท้าย เมื่อจุดคบเพลิงแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้ว้าวเหมือนในทัวร์นาเมนต์อื่นๆ รวมถึงเมื่อจบงานก็ไม่มีพลุด้วย เนื่องจากยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยอยู่ พิธีเปิด ก็เลยจบลงไปเพียงแค่นั้นครับ
ในภาพรวม ผมให้ 5/10 การพิธีเปิดครั้งนี้ มีข้อดี มีข้อเสีย แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ไม่มีความว้าวให้น่าจดจำเลย
เอเชียนเกมส์ 1998 เราไม่มีทางลืมทาทา ยัง ที่มาร้องเพลง Reach for the stars ได้เลย แล้วผมสงสัยมากว่า ปี 1998 (27 ปีที่แล้ว) ทำไมระบบเสียงที่ทาทาร้องวันนั้น ถึงเซ็ตได้สวยงามมาก ฟังชัด กังวาล ซึ่งไม่เกิดขึ้นในวันนี้กับวี วีโอเล็ท
ส่วนในซีเกมส์ 2025 ผ่านไปสักปีนึง ถามว่าจำอะไรได้บ้าง คงตอบว่าจำอะไรไม่ได้เลย เพราะมันก็กลางๆ ตามมาตรฐาน ไม่มีอะไรให้ตะลึง
อะไรๆ ก็ดูเรียบไปหมด แม้จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่ได้น่าทึ่งอะไรขนาดนั้น กราฟฟิกต่างๆ รวมถึงประโยคต่างๆ ที่ก็อปปี้ไรเตอร์เลือกใช้ ก็เชยมากๆ
แล้วเมื่อมาบวกกับความผิดพลาดทุกอย่าง ก็ได้คะแนน 5/10 นั่นล่ะครับ
แต่นี่เป็นคะแนนส่วนตัวของผมนะครับ ใครที่คิดว่าควรได้คะแนนมากกว่านี้ ก็ไม่ว่ากันครับ แล้วแต่ดุลยพินิจของทุกท่านได้เลยนะครับ
แล้วก็เป็นคะแนนจากคนที่ดูจากมุมมองของโทรทัศน์นะครับ แต่กับคนที่อยู่ในสนามราชมังฯ ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ อาจจะได้ภาพที่ประทับใจกว่าก็ได้ครับ
ตอนนี้ซีเกมส์ก็เปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้วครับ ระหว่างนี้ก็แข่งกีฬากันไปก่อน 10 วัน แล้วเรามาดูพิธีปิดในวันที่ 20 ธันวาคมนะครับ ว่าจะมีอะไรให้จดจำหรือเปล่า
ทิ้งท้ายเรื่องพิธีเปิดซีเกมส์ ที่บริษัท Index Creative Village ผู้จัดทำพิธีเปิด บอกว่า ด้วย "ข้อจำกัด" ทำให้การจัดพิธีเปิด เป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ก็จะตั้งใจทำเต็มที่
ความหมายคือ รัฐบาลเพิ่งจะมาคอนเฟิร์มใช้ผู้จัดเจ้านี้ แค่ไม่กี่เดือนก่อนพิธีเปิดเริ่ม และเพิ่งลงนามพร้อมจ่ายเงิน วันที่ 3 ธันวาคม หรือเมื่อ 6 วันก่อนพิธีเปิดนี่เองด้วยซ้ำ
จริงอยู่ หลายคนอาจบอกว่า ทาง Index มีเวลากระชั้นขนาดนี้ จัดออกมาได้เท่าที่เราเห็น ก็ควรจะพอใจแล้ว
ส่วนตัวเข้าใจในข้อจำกัด แต่อยากถามนิดเดียวว่า แล้วรัฐบาล 4 ยุค ตั้งแต่ ประยุทธ์, เศรษฐา, แพทองธาร และ อนุทิน ก็รู้อยู่แล้วว่าซีเกมส์จะจัดตอนไหน พิธีเปิดตรงกับวันอะไร แล้วทำไม ขั้นตอนการเบิกจ่าย หรือการระบุคนที่จะทำงานพิธีเปิด ถึงต้องมาดิ้นรนกันเอาในช่วงท้ายๆ แบบนี้ ทำไมไม่มีเวลาให้คนทำงาน ได้เตรียมตัวนานๆ กว่านี้
แต่ละรัฐบาลให้ความสำคัญกับซีเกมส์แค่ไหน แล้วส่งต่องานกันยังไง ต้องให้ไฟลนก่อน ถึงจะดำเนินงานกันหรือยังไงครับ
ถ้าไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่มีการส่งงานต่อที่ดีให้กันและกัน จะไปคาดหวังให้พิธีเปิดมันสมบูรณ์แบบ ก็คงยากอยู่ครับ
ในพิธีเปิดรอบนี้ 5/10 สำหรับผมครับ และมาลุ้นกัน ว่าในวันที่ 20 ธันวาคม ในพิธีปิดซีเกมส์ จะได้คะแนนเท่าไหร่
และที่สำคัญกว่านั้น เราจะได้ยินเพลง "รักหนักแน่น" มาหลอกหลอน กันอีกตลอดพิธีปิดหรือเปล่า ต้องมาติดตามกันต่อไปครับ!
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1467311781427336&set=a.243815820443611