Common School
18h
[10 เรื่องบ้าๆ ของกษัตริย์ในหน้าประวัติศาสตร์]
.
ขึ้นชื่อว่ากษัตริย์ ก็หนีไม่พ้นเรื่องการใช้พระราชอำนาจ แต่กษัตริย์ก็มีหลายแบบ มีทั้งกษัตริย์ที่ใช้ชีวิตอย่างปุถุชนธรรมดา มีทั้งคนที่ไม่ได้พร้อมขึ้นมาเป็นกษัตริย์แต่แรก และก็มีกษัตริย์ที่ถูมือรอวันที่ตัวเองจะได้ขึ้นครองราชย์ โลกนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องบ้าๆ เกี่ยวกับกษัตริย์เต็มไปหมด
.
เนื่องในวันพฤหัสบดี เราขอนำเสนอ 10 เรื่องบ้าๆ ของกษัตริย์ในหน้าประวัติศาสตร์ เป็น 10 เรื่องบ้าๆ ที่อาจทำให้เราหัวเราะ สงสาร หรือตั้งคำถามต่อ 'การเป็นกษัตริย์' ได้มากมาย
.
#CommonSchool #ทรงพระเจริญ
[ ‘อเล็กซานเดอร์มหาราช’ ]
.
การมีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผมสั้นเกรียนติดหนังหัว เริ่มเป็นภาพลักษณ์มาตรฐานของความเป็นชายและทหารมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะหากให้ลองจินตนาการถึงกษัตริย์หรือเทพกรีกโบราณ ใบหน้าที่ปรากฏในหัวใครหลายคนคงเป็นผู้ชายหนวดเคราเฟิ้ม ผมเผ้ายาวเฟื้อย อย่างที่เห็นได้ทั่วไปในภาพยนตร์แนวปกรณัม
.
ก่อนจะตอบคำถามนี้ จำเป็นต้องระลึกก่อนว่า ในสังคมกรีกโบราณ การมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาเป็นการแสดงออกถึงความหน่อมแน้มแบบผู้หญิง (effeminate) ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของผู้นำที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะในสังคมที่ชายเป็นใหญ่และเรียกร้องความเป็นนักรบจากกษัตริย์ ผู้ชายจะอ่อนแอไม่ได้ ผู้ชายจะต้องแข็งแกร่งสมบุกสมบัน
.
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อถึงยุคสมัยของ ‘อเล็กซานเดอร์มหาราช’ (Alexander the Great) กษัตริย์นักรบผู้เกรียงไกร เขาคือผู้นำเทรนด์การตัดผมสั้นกระชับหัว เปลือยรูปหน้าด้วยการโกนแผงเคราจนเกลี้ยง เท่านั้นไม่พอ เขายังสั่งให้ทหารใต้บังคับบัญชาตัดแต่งหัวและคางตามตนด้วย
.
เหตุผลที่มักเล่ากันคือ การมีผมและเคราที่ยาวจะทำให้เสียเปรียบในการรบ เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็จะฉุดกระชากลากถูได้ง่าย แต่อีกเหตุผลที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ อเล็กซานเดอร์มองว่าตัวเองเป็นกษัตริย์หนุ่มที่มีพลังอำนาจไม่ต่างอะไรกับเทพอพอลโล่ หรือมนุษย์กึ่งเทพอย่าง เฮอร์คิวลิส (ในวัยเยาว์) สองตัวละครหนุ่มผู้มีใบหน้าสะอาดเรียบร้อย ดังที่ปรากฏผ่านรูปปั้นของทั้งสองจำนวนมาก
.
นี่นำไปสู่คำถามสนุกๆ ว่า อะไรเป็นเรื่องบ้ากว่ากัน ระหว่างการบังคับให้ทุกคนตัดผมและโกนหนวดเคราให้สั้นตามตน กับการเชื่อว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าสูงส่งผู้เดินลงมาจากสวรรค์
[ ‘จิ๋นซีฮ่องเต้’ ]
.
ถ้ากษัตริย์ผู้รวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียวอย่าง ฉินฉื่อหฺวังตี้ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘จิ๋นซีฮ่องเต้’ สามารถพูดไทยได้ คงไม่เกินจริงไปนักที่เขาจะพูดว่า “เราจะอยู่ตลอดไป” เพราะในบั้นปลายชีวิตของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขากลัววิญญาณร้ายและความตายมากจนต้องสั่งให้ลูกน้องออกตามหา ‘น้ำอมฤต’ (Elixir of life) ที่จะทำให้เขามีชีวิตอมตะ
.
วีรกรรมความบ้าความเป็นอมตะของเขามีหลากหลาย เช่น ครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นสั่งให้ Xu Fu ลูกน้องที่อยู่บนเกาะ Zhifu พาหนุ่มสาวชายหญิงเพศละ 100 ชีวิต ลงเรือออกทะเล เพื่อนำตัว Anqi Sheng พ่อมดแห่งเต๋าในตำนาน ผู้ได้ชื่อว่ามีชีวิตอมตะ กลับมาพบเขา แต่โชคร้าย ประชากรและเรือสำรวจนั้นไม่เคยกลับเทียบฝั่งอีกเลย บ้างก็ว่าภารกิจครั้งนี้จบลงด้วยโศกนาฏกรรม บ้างก็ว่าประชากรบนเรือลำนั้นได้ตั้งรกรากบนเกาะญี่ปุ่น
.
แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร การรอดชีวิตกลับมาเข้าเฝ้าท่านฮ่องเต้ก็ดูจะไม่นับเป็นโชคดีนัก หนำซ้ำยังอาจเป็นโชคดีมากกว่า หากประชากรเหล่านั้นสามารถไปเริ่มชีวิตใหม่ที่เกาะญี่ปุ่นได้จริงๆ เพราะปรากฏเรื่องเล่าจำนวนมากว่า หากลูกน้องไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จลุล่วง จิ๋นซีฮ่องเต้จะบัญชาบทลงโทษเป็นของตอบแทนอย่างสาสม แม้ว่าโองการที่เขามอบหมายไปนั้นจะเป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่แรกก็ตาม (ลองนึกภาพความน่ากลัวของการมีเจ้านาย/เจ้าชีวิตที่สั่งงานที่ไม่มีทางทำได้ดูสิ)
.
ยังไม่จบแค่นั้น ความกลัวของจิ๋นซีฮ่องเต้ยังหลอกหลอนจนทำให้เขาต้องสร้างอุโมงค์ลับในพระราชวังที่เขามีอยู่ทั้งหมดกว่า 200 วัง เพื่อหลบหน้าความตาย
.
นี่นำไปสู่คำถามสนุกๆ ว่า หรืออาการกลัวตายจะเป็นคุณลักษณะทั่วไปของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ (และบ้าอำนาจ) และอะไรเป็นเรื่องบ้ากว่ากัน ระหว่างการบังคับให้ทุกคนไปทำภารกิจเสี่ยงตายเพื่อสนองความอมตะของตน กับคนที่ยอมตายถวายหัวเพื่อให้อีกคนหนึ่งจะได้มีชีวิตอมตะ
[ ‘ฮัสซานัล โบลเกียห์’ ]
.
ถ้าให้เดาว่ากษัตริย์ที่รวยอันดับ 2 ของโลกคือใคร คุณจะตอบถูกหรือเปล่าว่า เขาคือ ‘สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียห์’ กษัตริย์/สุลต่านแห่งประเทศบรูไน เพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนนี้เอง
.
ด้วยความที่บรูไนเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) เงินทองทั้งหมดที่ประเทศหรือราษฎรทำได้ก็ตกเป็นของสุลต่านฮัสซานัลหมด นั่นทำให้เขาร่ำรวยมากจากการขายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ (บรูไนผลิตน้ำมันได้อันดับ 4 ในภูมิภาคอาเซียน)
.
จากการประเมินทรัพย์สินคร่าวๆ เขาอาจมีทรัพย์สินรวมกันสูงถึง $28,000,000,000 (สองหมื่นแปดพันล้านเหรียญ) เลยทีเดียว
.
นี่นำไปสู่คำถามสนุกๆ ว่า กษัตริย์บ้าอะไรจะรวยได้ขนาดนั้น (บางทีเขาอาจทำงานหนักมากๆ ก็เป็นได้) แต่หากการสร้างความมั่งคั่งคือเกม เขาก็ต้องพยายามอีกเยอะกว่าจะคว่ำแชมป์กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกลงได้ (ใครกันนะ?)
[พระเจ้าเฮนรีที่ 8]
.
หลายคนคงคุ้นชื่อ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ (Henry VIII of England) ผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ทิวดอร์ เป็นอย่างดี เขาคือกษัตริย์ที่มีภรรยาอย่างเป็นทางการถึง 6 คนด้วยกัน
.
อันที่จริงการที่คนๆ หนึ่งจะมีคู่รักกี่คนควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราไม่น่าก้าวก่ายกันได้ อย่างไรก็ดี เราคงไม่สามารถพูดถึงเฮนรีที่ 8 โดยมองข้ามชีวิตรักของเขาไปได้ เพราะราชอาณาจักรอังกฤษในเวลานั้นก็หมุนรอบชีวิตรักของเขานี่เอง
.
‘หย่า, บั่นหัว, ตาย, หย่า, บั่นหัว, รอดชีวิต’ หรือ ‘Divorced, Beheaded, Died: Divorced, Beheaded, Survived’ คือสูตรทางประวัติศาสตร์ที่เราใช้กันเพื่อสรุปชีวิตภรรยาทั้งหมดของเฮนรีที่ 8
.
“ถ้าชายใดเอาเมียของพี่ชายหรือน้องชายไปเป็นเมียตน ผู้นั้นต้องตายโดยไร้ทายาท บุคคลนั้นได้ทำเรื่องอันเป็นมลทินและสร้างความอัปยศต่อพี่หรือน้องตนเอง” (เลวีนิติ 20:21) เป็นท่อนหนึ่งในไบเบิ้ลที่เขาใช้เป็นเหตุผลประกอบในฏีกาขอหย่าร้างกับ แคทเธอรีนแห่งอารากอน (Catherine of Aragon) หากกล่าวอย่างรวบรัด เฮนรี่ที่ 8 ต้องการหย่ากับแคทเธอรีน ทั้งๆ ที่การหย่าเป็นเรื่องต้องห้ามในศาสนาคริตส์โรมันคาทอลิก แต่เฮนรี่ที่ 8 ก็มองว่า เหตุผลที่ตนมีลูกยากหรือมีแล้วลูกก็ตายตั้งแต่เด็กเกือบหมดเป็นเพราะ ก่อนหน้านี้แคทเธอรีนเคยแต่งงานกับพี่ชายผู้ล่วงลับของเขามาก่อน แต่ฎีกานี้ถูกปัดตกโดยพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 (Pope Clement VII)
.
แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดยั้งเฮนรีที่ 8 ได้ เมื่อเขาแสดงท่าทีว่า ฎีกาที่ยื่นให้พระสันตะปาปานั้นเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบ ไม่ใช่การขออนุญาตแต่อย่างใด
.
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสถานะกษัตริย์ของตนเอง จากแต่เดิมถูกวางบทบาทเฉพาะเรื่องในทางโลก (secular) เฮนรี่ที่ 8 ได้ปรับให้ตนเองมีบทบาทในทางศาสนา ด้วยการแต่งตั้งให้ตัวเองเป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England) สถาบันทางศาสนาที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เพื่อตัดอำนาจกับศาสนจักรในวาติกัน
.
จุดเปลี่ยนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาสามารถหย่าร้าง แต่งงานใหม่ ไปจนถึงสั่งประหารภรรยาของตัวเองได้
.
นี่นำไปสู่คำถามสนุกๆ ว่า ระบบหรือความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบไหนกันที่ทำให้คนๆ หนึ่ง สามารถสั่งลงโทษประหารภรรยาตนเองได้ราวกับเป็นผักปลา
[ ‘กษัตริย์โซโลมอน’ ]
.
การฆ่าพี่น้องเป็นเรื่องปกติมากในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หากเราไล่ดูหนึ่งในตัวบทที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง คัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเก่า มันก็แสดงไว้ชัดในฉากที่ ‘คาอิน’ ลูกชายคนโตของอดัมและเอวา ลงมือฆ่า ‘อาเบล’ น้องชายร่วมสายเลือดของตนเอง เหตุเพราะอิจฉาที่อาเบลเป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่และพระเจ้ามากกว่าตน (เรื่องหนึ่งที่รู้ไว้ก็ไม่เสียหายคือ อาเบลยังเป็นชื่อจริงของศิลปินฮิปฮอปชื่อดังอย่าง The Weeknd ด้วย)
.
ขยับมาอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กันคือ กษัตริย์โซโลมอน (King Solomon) ฆ่าพี่ชายตัวเอง ‘อาโดนียาห์’ (Adonijah) เพื่อขึ้นครองราชย์อย่างสบายใจ
.
เรื่องมันมีอยู่ว่า โซโลมอนและอาโดนียาห์ต่างเป็นลูกชายของกษัตริย์ดาวิดแห่งราชอาณาจักรอิสราเอล เพียงแต่แม่ของโซโลมอนคือ บัทเชบา (Bathsheba) ส่วนแม่ของอาโดนียาห์คือ ฮักกีท (Haggith)
.
เมื่อครั้นกษัตริย์เดวิดป่วยหนักในช่วงบั้นปลายชีวิต อาโดนียาห์เห็นว่าตนเองเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ได้ขึ้นครองราชย์มากที่สุด เลยจัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อส่งสัญญาณว่าตนนี่แหละคือกษัตริย์องค์ใหม่ ทั้งยังชวนเชิญญาติพี่น้องร่วมสายเลือดให้มาเข้าร่วมด้วย ตรงนี้เองที่หลายคนมองว่าเป็นจุดหักเหของอาโดนียาห์ เพราะเขาเชิญทุกคนยกเว้นโซโลมอนและคนที่สนับสนุนโซโลมอนเป็นกษัตริย์ บางทฤษฎีอธิบายว่า มันเป็นไปได้ที่อาโดนียาห์อาจรู้ว่าโซโลมอนมีสิทธิ์ดีกว่าตน เพราะได้คำมั่นสัญญาให้ขึ้นเป็นกษัตริย์จากดาวิดโดยตรง
.
ต่อมามีการคาดการณ์กันว่า สิ่งที่อาโดนียาห์จะกระทำต่อไปคือการไล่กำจัดคู่แข่งที่จะมาแย่งชิงบัลลงค์ตนให้หมด นั่นทำให้บัทเชบา แม่ของโซโลมอน โอนเอียงไปตามแผนของ ‘นาธาน’ โหรประจำวัง ที่ให้บัทเชบาไปแกล้งทวงสัญญาจากกษัตริย์ดาวิด
.
แผนการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โซโลมอนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สำเร็จ ส่วนอาโดนียาห์และพวก เมื่อเป็นฝ่ายปราชัยในเกมบัลลังค์ พวกเขาจึงต้องรีบอพยพหนีภัยความตายออกไป ทั้งยังเขียนจดหมายแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า โซโลมอนสมควรแล้วที่จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์
.
กระนั้น ชีวิตของอาโดนียาห์ก็ต้องถึงจุดจบในอีกไม่นาน เพราะเขามีความพยายามขอแต่งงานกับอาบีชาก (Abishag) หญิงงามที่มาปรนนิบัติกษัตริย์ดาวิดในช่วงบั้นปลายชีวิต อย่างไรก็ตาม โซโลมอนเห็นความรักที่อาโดนียาห์มีต่ออาบีชากเป็นแผนการที่เขาใช้เพื่อขึ้นมาโค่นบัลลังค์ของตน เขาจึงปฏิเสธคำร้องขอ และจัดการปลิดชีพอาโดนียาห์ทันที
.
สิ่งที่หยิบจากไบเบิลมาเล่านี้อาจจะฟังดูเหนือจริงไปเสียบ้าง เพราะหากใช้มาตรฐานโลกสมัยใหม่ สิ่งที่อยู่ในไบเบิลก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์หรือเป็นความจริง ทั้งนี้ หากเราไล่ดูตามหน้าประวัติศาสตร์แล้ว การที่พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ เพื่อแย่งชิงอำนาจกันก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
.
คำถามสำคัญคือ การฆ่าพี่น้องเพื่อแย่งชิงอำนาจของเหล่ากษัตริย์และราชวงศ์ควรถูกปฏิบัติเป็นดั่งเรื่องราวลี้ลับ และซ่อนเร้นจากพสกนิกรผู้จงรักภักดีอย่างนั้นหรือ ตลอดจนสามารถถามต่อได้อีกว่า ระบบการเมืองแบบไหนกันที่เปิดช่องให้คนฆ่ากันเองได้จนเป็นเรื่องปกติ
.
หลายคนคงคุ้นชื่อ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ (Henry VIII of England) ผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ทิวดอร์ เป็นอย่างดี เขาคือกษัตริย์ที่มีภรรยาอย่างเป็นทางการถึง 6 คนด้วยกัน
.
อันที่จริงการที่คนๆ หนึ่งจะมีคู่รักกี่คนควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราไม่น่าก้าวก่ายกันได้ อย่างไรก็ดี เราคงไม่สามารถพูดถึงเฮนรีที่ 8 โดยมองข้ามชีวิตรักของเขาไปได้ เพราะราชอาณาจักรอังกฤษในเวลานั้นก็หมุนรอบชีวิตรักของเขานี่เอง
.
‘หย่า, บั่นหัว, ตาย, หย่า, บั่นหัว, รอดชีวิต’ หรือ ‘Divorced, Beheaded, Died: Divorced, Beheaded, Survived’ คือสูตรทางประวัติศาสตร์ที่เราใช้กันเพื่อสรุปชีวิตภรรยาทั้งหมดของเฮนรีที่ 8
.
“ถ้าชายใดเอาเมียของพี่ชายหรือน้องชายไปเป็นเมียตน ผู้นั้นต้องตายโดยไร้ทายาท บุคคลนั้นได้ทำเรื่องอันเป็นมลทินและสร้างความอัปยศต่อพี่หรือน้องตนเอง” (เลวีนิติ 20:21) เป็นท่อนหนึ่งในไบเบิ้ลที่เขาใช้เป็นเหตุผลประกอบในฏีกาขอหย่าร้างกับ แคทเธอรีนแห่งอารากอน (Catherine of Aragon) หากกล่าวอย่างรวบรัด เฮนรี่ที่ 8 ต้องการหย่ากับแคทเธอรีน ทั้งๆ ที่การหย่าเป็นเรื่องต้องห้ามในศาสนาคริตส์โรมันคาทอลิก แต่เฮนรี่ที่ 8 ก็มองว่า เหตุผลที่ตนมีลูกยากหรือมีแล้วลูกก็ตายตั้งแต่เด็กเกือบหมดเป็นเพราะ ก่อนหน้านี้แคทเธอรีนเคยแต่งงานกับพี่ชายผู้ล่วงลับของเขามาก่อน แต่ฎีกานี้ถูกปัดตกโดยพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 (Pope Clement VII)
.
แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดยั้งเฮนรีที่ 8 ได้ เมื่อเขาแสดงท่าทีว่า ฎีกาที่ยื่นให้พระสันตะปาปานั้นเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบ ไม่ใช่การขออนุญาตแต่อย่างใด
.
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสถานะกษัตริย์ของตนเอง จากแต่เดิมถูกวางบทบาทเฉพาะเรื่องในทางโลก (secular) เฮนรี่ที่ 8 ได้ปรับให้ตนเองมีบทบาทในทางศาสนา ด้วยการแต่งตั้งให้ตัวเองเป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ (Church of England) สถาบันทางศาสนาที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เพื่อตัดอำนาจกับศาสนจักรในวาติกัน
.
จุดเปลี่ยนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาสามารถหย่าร้าง แต่งงานใหม่ ไปจนถึงสั่งประหารภรรยาของตัวเองได้
.
นี่นำไปสู่คำถามสนุกๆ ว่า ระบบหรือความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบไหนกันที่ทำให้คนๆ หนึ่ง สามารถสั่งลงโทษประหารภรรยาตนเองได้ราวกับเป็นผักปลา
[ ‘กษัตริย์โซโลมอน’ ]
.
การฆ่าพี่น้องเป็นเรื่องปกติมากในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หากเราไล่ดูหนึ่งในตัวบทที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง คัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาเก่า มันก็แสดงไว้ชัดในฉากที่ ‘คาอิน’ ลูกชายคนโตของอดัมและเอวา ลงมือฆ่า ‘อาเบล’ น้องชายร่วมสายเลือดของตนเอง เหตุเพราะอิจฉาที่อาเบลเป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่และพระเจ้ามากกว่าตน (เรื่องหนึ่งที่รู้ไว้ก็ไม่เสียหายคือ อาเบลยังเป็นชื่อจริงของศิลปินฮิปฮอปชื่อดังอย่าง The Weeknd ด้วย)
.
ขยับมาอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กันคือ กษัตริย์โซโลมอน (King Solomon) ฆ่าพี่ชายตัวเอง ‘อาโดนียาห์’ (Adonijah) เพื่อขึ้นครองราชย์อย่างสบายใจ
.
เรื่องมันมีอยู่ว่า โซโลมอนและอาโดนียาห์ต่างเป็นลูกชายของกษัตริย์ดาวิดแห่งราชอาณาจักรอิสราเอล เพียงแต่แม่ของโซโลมอนคือ บัทเชบา (Bathsheba) ส่วนแม่ของอาโดนียาห์คือ ฮักกีท (Haggith)
.
เมื่อครั้นกษัตริย์เดวิดป่วยหนักในช่วงบั้นปลายชีวิต อาโดนียาห์เห็นว่าตนเองเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ได้ขึ้นครองราชย์มากที่สุด เลยจัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อส่งสัญญาณว่าตนนี่แหละคือกษัตริย์องค์ใหม่ ทั้งยังชวนเชิญญาติพี่น้องร่วมสายเลือดให้มาเข้าร่วมด้วย ตรงนี้เองที่หลายคนมองว่าเป็นจุดหักเหของอาโดนียาห์ เพราะเขาเชิญทุกคนยกเว้นโซโลมอนและคนที่สนับสนุนโซโลมอนเป็นกษัตริย์ บางทฤษฎีอธิบายว่า มันเป็นไปได้ที่อาโดนียาห์อาจรู้ว่าโซโลมอนมีสิทธิ์ดีกว่าตน เพราะได้คำมั่นสัญญาให้ขึ้นเป็นกษัตริย์จากดาวิดโดยตรง
.
ต่อมามีการคาดการณ์กันว่า สิ่งที่อาโดนียาห์จะกระทำต่อไปคือการไล่กำจัดคู่แข่งที่จะมาแย่งชิงบัลลงค์ตนให้หมด นั่นทำให้บัทเชบา แม่ของโซโลมอน โอนเอียงไปตามแผนของ ‘นาธาน’ โหรประจำวัง ที่ให้บัทเชบาไปแกล้งทวงสัญญาจากกษัตริย์ดาวิด
.
แผนการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โซโลมอนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สำเร็จ ส่วนอาโดนียาห์และพวก เมื่อเป็นฝ่ายปราชัยในเกมบัลลังค์ พวกเขาจึงต้องรีบอพยพหนีภัยความตายออกไป ทั้งยังเขียนจดหมายแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า โซโลมอนสมควรแล้วที่จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์
.
กระนั้น ชีวิตของอาโดนียาห์ก็ต้องถึงจุดจบในอีกไม่นาน เพราะเขามีความพยายามขอแต่งงานกับอาบีชาก (Abishag) หญิงงามที่มาปรนนิบัติกษัตริย์ดาวิดในช่วงบั้นปลายชีวิต อย่างไรก็ตาม โซโลมอนเห็นความรักที่อาโดนียาห์มีต่ออาบีชากเป็นแผนการที่เขาใช้เพื่อขึ้นมาโค่นบัลลังค์ของตน เขาจึงปฏิเสธคำร้องขอ และจัดการปลิดชีพอาโดนียาห์ทันที
.
สิ่งที่หยิบจากไบเบิลมาเล่านี้อาจจะฟังดูเหนือจริงไปเสียบ้าง เพราะหากใช้มาตรฐานโลกสมัยใหม่ สิ่งที่อยู่ในไบเบิลก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์หรือเป็นความจริง ทั้งนี้ หากเราไล่ดูตามหน้าประวัติศาสตร์แล้ว การที่พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ เพื่อแย่งชิงอำนาจกันก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
.
คำถามสำคัญคือ การฆ่าพี่น้องเพื่อแย่งชิงอำนาจของเหล่ากษัตริย์และราชวงศ์ควรถูกปฏิบัติเป็นดั่งเรื่องราวลี้ลับ และซ่อนเร้นจากพสกนิกรผู้จงรักภักดีอย่างนั้นหรือ ตลอดจนสามารถถามต่อได้อีกว่า ระบบการเมืองแบบไหนกันที่เปิดช่องให้คนฆ่ากันเองได้จนเป็นเรื่องปกติ
[ ‘พระเจ้าอโศกมหาราช’ ]
.
ถ้าถามว่าใครคือ ‘พระเจ้าอโศกมหาราช’ หรือธรรมาโศก (อโศกผู้ทรงธรรม) หลายคนคงจำเขาได้ ในฐานะกษัตริย์คนสำคัญผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนา แต่หลายคนอาจลืมไปว่า ก่อนที่จะผันตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชน และสร้างวัดวาอารามณ์กว่า 84,000 แห่ง เขาได้ชื่อว่าเป็นอโศกผู้โหดเหี้ยม (จัณฑาโศก) หนึ่งในผลงานของเขาคือการสร้างคุกเพื่อทรมานมนุษย์ ชื่อว่า ‘นรกของอโศก’ (Ashoka's Hell)
.
หากมองจากภายนอกนรกของอโศกก็เป็นพระราชวังอันงดงามหลังหนึ่ง แต่เมื่อเดินเข้าไปภายในก็จะพบกับคุกที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดแห่งหนึ่งเช่นกัน มันคือแหล่งรวมเทคนิคในการทรมานคนที่ครบเครื่องที่สุดแห่งหนึ่งในยุคสมัยนั้น จากปากคำของนักเดินทางชาวจีน บริเวณเสาของอาคารทำป้ายบ่งบอกไว้ชัดเจนว่า ‘นรก’
.
ตำนานยังเล่าว่านรกของอโศกได้แรงบันดาลใจมาจากนรกในพุทธศาสนาอีกด้วย เช่น วิธีการทรมานหนึ่งของคุกนี้ คือการนำน้ำโลหะร้อนกรอกเข้าไปในปากของนักโทษ ในทำนองเดียวกับที่ผู้ดื่มสุราจะต้องเจอในมหานรกขุม 5 ซึ่งนับเป็นสิ่งยืนยันว่า ไม่ว่าจะอย่างไรคุกนี้ก็คงเป็นนรกสำหรับมนุษย์ผู้มีมลทินมัวหมองจริงๆ
.
โชคดีที่ยุคสมัยที่พระเจ้าอโศกมีชีวิตการทำสงครามและการทรมานมนุษย์ยังเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทำให้เขาไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม หรือเป็นพวกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อย่างที่พวกนาซีโดนแต่อย่างใด
.
แต่ก็ไม่แน่ บางทีถ้าพระเจ้าอโศกยังมีชีวิตอยู่ และกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงเช่นนั้น เขาอาจจะไม่ถูกกล่าวหาหรือเอาผิดอย่างที่พวกนาซีโดนก็ได้ เขาอาจจะได้รับการอภัยก่อนจะได้รับโทษหรือสำนึกผิดก็ได้ ขอเพียงแค่ประเทศที่เขาปกครอง เป็นเมืองพุทธ
[ ‘จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้ว’ ]
.
เรื่องราวของกษัตริย์ที่ไม่ห่วงใยใส่ใจงานราชการ เอาแต่เล่นกีฬาหาความสุขจนประเทศชาติล่มจม มีให้อ่านให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ในบางกรณีกษัตริย์ก็มัวแต่สนใจเล่นกีฬา ลืมงานบ้านงานเมืองจนอาณาจักรที่บรรพบุรุษสร้างมาต้องถึงคราวพินาศไปในยุคตัวเอง หนึ่งในนั้นคือ ‘จักรพรรดิเหลียวเทียนจั้ว’ กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหลียว
.
ราชวงศ์เหลียว (916-1125) เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรของชาวชี่ตัน (Khitan) ชนเผ่าในแถบมองโกลปัจจุบันที่รวมตัวกันเป็นอาณาจักรขึ้นมา มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างวัฒนธรรมชนเผ่าเร่ร่อนกับวัฒนธรรมจีน ราชวงศ์เหลียวเป็นศัตรูคู่อริกับราชวงศ์ซ่งของชาวฮั่น และยังปกครองบรรดาชนเผ่าหนี่เจิน หรือแมนจูในช่วงเวลานั้นด้วย
.
ด้วยความที่มีรากเดิมเป็นชนชนเผ่าเร่ร่อน จักรพรรดิเทียนจั้วจึงเติบโตมากับวัฒนธรรมแบบชาวชี่ตัน ทั้งขี่ม้าล่าสัตว์ ตกปลา และเล่นกีฬาโปโลที่แพร่หลายมาตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรพรรดิเทียนจั้วจึงตั้งปณิธานสืบสาน รักษา ต่อยอดประเพณีอันดีงามนี้เอาไว้อย่างขมีขมัน จริงจังซะจนลืมดูแลบริหารราชการบ้านเมือง ฝากงานหลวงไว้ให้น้องชายเมียดูแลแทน แถมยังเลือกใช้คนไม่ถูก ให้ขุนนางฉ้อฉลขึ้นมามีอำนาจ
.
ความหมกมุ่นในการละเล่นล่าสัตว์ ทำให้จักรพรรดิเทียนจั้วไม่ระแวดระวังภัย ทั้งจากราษฎรที่ไม่พอใจ อาณาจักรข้างเคียงที่จ้องจะรุกราน และชนเผ่าหนี่เจินที่อยู่ใต้การปกครองของเขา ไปจนถึงภัยซ่อนเร้นจากคนในวังเอง สุดท้ายจักรพรรดิเทียนจั้วถูกราชวงศ์จิน ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวหนี่เจินปราบปราม ตนเองและลูกเมียถูกจับ ถูกเหยียดหยามจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และราชวงศ์เหลียวอันยิ่งใหญ่อายุ 200 กว่าปีก็พินาศลงในที่สุด
.
ว่าแต่มันจะมีกษัตริย์ที่วันๆ มัวแต่เสพย์สุขจนไม่ทุกข์ร้อนต่อการล่มสลายของราชวงศ์จริงๆ หรือ?
[ ‘ฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์’ ]
.
ในอังกฤษเราอาจจะเห็นข่าวสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แต่งตั้งคนดังจำนวนมากให้เป็นท่านเซอร์ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับกษัตริย์ฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์ ผู้ประดับยศท่านเซอร์ให้แก่ ‘เพนกวิน’
.
นามของเขาคือ เซอร์ นีลส์ โอลาฟ ที่สาม (Sir Nils Olav III) เพนกวินราชาผู้สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศด้วยการเป็นมาสคอตให้กองกำลังนอว์เวย์
.
นี่นำไปสู่คำถามว่า กษัตริย์มีการมอบยศให้สัตว์ได้ด้วยหรอเนี่ย!?
[ ‘จักรพรรดิ์เนโร’ ]
.
เชื่อว่า Nero Burning ROM เป็นโปรแกรมที่วัยรุ่นยุค 90 จะต้องรู้จักเป็นอย่างดี แต่รู้กันหรือยังว่า ชื่อของโปรแกรมนี้อิงมาจากประวัติศาสตร์ที่ (อาจ) เกิดขึ้นจริง
.
เนโร (Nero) เป็นชื่อของจักรพรรดิ์แห่งจักรวรรดิโรมัน ว่ากันว่าเขามีความเป็นศิลปินสูงมาก เขาสามารถร่ายกวีและดีด Cithara ได้ตลอดทั้งวัน แต่เรื่องเล่าที่โด่งดังที่สุดของเขา คือข่าวลือที่ว่า เขานี่เองคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงโรม เพื่อนำที่ดินในบริเวณที่ถูกเผาไปนั้นมาสร้าง Domus Aurea หรือ ‘วังทองคำ’ ให้ตัวเอง (บางตำนานยังเล่าว่า เขาร่ายกวีและเล่นดนตรีขณะกำลังดูเมืองของตัวเองมอดไหม้ไปด้วย)
.
ความโจษจันของเนโรยังมีอีกมากมาย ไล่ตั้งแต่การสั่งฆ่าแม่ตัวเอง ไปจนถึงการเนรเทศภรรยาตัวเองออกจากจักรวรรดิ เรื่องเล่าเหล่านี้ทำให้หลายคนแปะป้ายให้เนโรเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
.
อย่างไรก็ดี คำอธิบายทางประวัติศาสตร์บางอันก็ชี้ให้เห็นว่า เนโรเองก็เป็นจักรพรรดิที่ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวโรมันสูงมาก และเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเนโร
.
สุดท้าย ในทางประวัติศาสตร์ การจะตอบว่าเนโรเป็นกษัตริย์ที่ดีหรือไม่ก็คงต้องต่อสู้กันด้วยหลักฐานและคำอธิบาย แต่นั่นก็น่าตั้งคำถามเล่นๆ ว่า กษัตริย์อะไรจะบ้าถึงขนาดเผาเมืองไล่คนเพื่อสร้างวัง
.
ในอังกฤษเราอาจจะเห็นข่าวสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แต่งตั้งคนดังจำนวนมากให้เป็นท่านเซอร์ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับกษัตริย์ฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์ ผู้ประดับยศท่านเซอร์ให้แก่ ‘เพนกวิน’
.
นามของเขาคือ เซอร์ นีลส์ โอลาฟ ที่สาม (Sir Nils Olav III) เพนกวินราชาผู้สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศด้วยการเป็นมาสคอตให้กองกำลังนอว์เวย์
.
นี่นำไปสู่คำถามว่า กษัตริย์มีการมอบยศให้สัตว์ได้ด้วยหรอเนี่ย!?
[ ‘จักรพรรดิ์เนโร’ ]
.
เชื่อว่า Nero Burning ROM เป็นโปรแกรมที่วัยรุ่นยุค 90 จะต้องรู้จักเป็นอย่างดี แต่รู้กันหรือยังว่า ชื่อของโปรแกรมนี้อิงมาจากประวัติศาสตร์ที่ (อาจ) เกิดขึ้นจริง
.
เนโร (Nero) เป็นชื่อของจักรพรรดิ์แห่งจักรวรรดิโรมัน ว่ากันว่าเขามีความเป็นศิลปินสูงมาก เขาสามารถร่ายกวีและดีด Cithara ได้ตลอดทั้งวัน แต่เรื่องเล่าที่โด่งดังที่สุดของเขา คือข่าวลือที่ว่า เขานี่เองคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงโรม เพื่อนำที่ดินในบริเวณที่ถูกเผาไปนั้นมาสร้าง Domus Aurea หรือ ‘วังทองคำ’ ให้ตัวเอง (บางตำนานยังเล่าว่า เขาร่ายกวีและเล่นดนตรีขณะกำลังดูเมืองของตัวเองมอดไหม้ไปด้วย)
.
ความโจษจันของเนโรยังมีอีกมากมาย ไล่ตั้งแต่การสั่งฆ่าแม่ตัวเอง ไปจนถึงการเนรเทศภรรยาตัวเองออกจากจักรวรรดิ เรื่องเล่าเหล่านี้ทำให้หลายคนแปะป้ายให้เนโรเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
.
อย่างไรก็ดี คำอธิบายทางประวัติศาสตร์บางอันก็ชี้ให้เห็นว่า เนโรเองก็เป็นจักรพรรดิที่ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวโรมันสูงมาก และเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่นั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเนโร
.
สุดท้าย ในทางประวัติศาสตร์ การจะตอบว่าเนโรเป็นกษัตริย์ที่ดีหรือไม่ก็คงต้องต่อสู้กันด้วยหลักฐานและคำอธิบาย แต่นั่นก็น่าตั้งคำถามเล่นๆ ว่า กษัตริย์อะไรจะบ้าถึงขนาดเผาเมืองไล่คนเพื่อสร้างวัง
[ ‘พระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย’ ]
.
ในภาพยนตร์เกี่ยวกับกษัตริย์ทั่วๆ ไป มักฉายภาพให้กษัตริย์ถูกฝึกวิชากระบี่กระบอง ย่อ ยก ชิด จ้วง แทง ตั้งแต่เยาว์วัยเป็นปกติ แต่ความปกตินี้ก็ใช้ไม่ได้กับ ‘พระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย’ (Peter III of Russia) ผู้ถูกฝึกให้คุมกองกำลังทหารมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่กองกำลังที่ว่านี้คือ ‘ของเล่น’
.
วัยเด็กของปีเตอร์ที่ 3 โปรดปรานการเล่นของเล่นมาก พ่อของเขาสร้างหุ่นทหารของเล่นให้เขาควบคุมตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ในช่วงแรกพ่อของเขาจะเป็นผู้คอยให้คำแนะนำว่าควรควบคุมและสั่งการทหารของเล่นเหล่านั้นอย่างไร แต่อนิจจัง พ่อของเขาก็ด่วนจากไป ทำให้ภาระนี้ต้องตกเป็นของผู้บัญชาการทหารแทน
.
แม้เขาจะขึ้นครองราชย์แล้ว แต่ปีเตอร์ที่ 3 ก็ยังไม่หยุดเล่นของเล่น กระทั่งเมื่อแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเล่นกองกำลังทหารของเขาอยู่ จนทำให้มีข่าวลือซุบซิบกันว่า เขาติดของเล่นมากจนไม่มีเวลาไปประกอบกิจกรรมทางเพศกับเมียของเขาเลย
.
ความติดของเล่นของปีเตอร์ที่ 3 ยังไปไกลถึงขนาดมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งหนูได้กัดหัวตุ๊กตาของเล่นของเขาขาด จนเป็นเหตุให้เขาสั่งทหารด้วยความโกรธเพื่อจับหนูตัวนั้นมาลงโทษให้สาสม
.
แต่มันจะมีกษัตริย์ที่ติดของเล่นขนาดนั้นจริงๆ หรือ?
.
ในภาพยนตร์เกี่ยวกับกษัตริย์ทั่วๆ ไป มักฉายภาพให้กษัตริย์ถูกฝึกวิชากระบี่กระบอง ย่อ ยก ชิด จ้วง แทง ตั้งแต่เยาว์วัยเป็นปกติ แต่ความปกตินี้ก็ใช้ไม่ได้กับ ‘พระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย’ (Peter III of Russia) ผู้ถูกฝึกให้คุมกองกำลังทหารมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่กองกำลังที่ว่านี้คือ ‘ของเล่น’
.
วัยเด็กของปีเตอร์ที่ 3 โปรดปรานการเล่นของเล่นมาก พ่อของเขาสร้างหุ่นทหารของเล่นให้เขาควบคุมตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ในช่วงแรกพ่อของเขาจะเป็นผู้คอยให้คำแนะนำว่าควรควบคุมและสั่งการทหารของเล่นเหล่านั้นอย่างไร แต่อนิจจัง พ่อของเขาก็ด่วนจากไป ทำให้ภาระนี้ต้องตกเป็นของผู้บัญชาการทหารแทน
.
แม้เขาจะขึ้นครองราชย์แล้ว แต่ปีเตอร์ที่ 3 ก็ยังไม่หยุดเล่นของเล่น กระทั่งเมื่อแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเล่นกองกำลังทหารของเขาอยู่ จนทำให้มีข่าวลือซุบซิบกันว่า เขาติดของเล่นมากจนไม่มีเวลาไปประกอบกิจกรรมทางเพศกับเมียของเขาเลย
.
ความติดของเล่นของปีเตอร์ที่ 3 ยังไปไกลถึงขนาดมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งหนูได้กัดหัวตุ๊กตาของเล่นของเขาขาด จนเป็นเหตุให้เขาสั่งทหารด้วยความโกรธเพื่อจับหนูตัวนั้นมาลงโทษให้สาสม
.
แต่มันจะมีกษัตริย์ที่ติดของเล่นขนาดนั้นจริงๆ หรือ?