วันศุกร์, มิถุนายน 10, 2565

ประเทศเฮงซวย ! คนจนในประเทศไทย หมดโอกาสหลุดจาก “กับดัก” ความยากจน !!


ThaiPublica
Yesterday

คนจนในประเทศไทย หมดโอกาสหลุดจาก “กับดัก” ความยากจน!
.
| เกาะกระแส | แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ได้ตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งมีหมุดหมาย “ลดความเหลื่อมล้ำ” และแก้ไขปัญหา “ความยากจนข้ามรุ่น” แต่โอกาสที่คนยากจนในรุ่นพ่อแม่ จะส่งต่อความยากจนให้กับรุ่นลูกมีสูงมาก
.
จากการศึกษาโดยการสำรวจรายได้ เงินออม และหนี้สิน ของคนเดิมซ้ำทุกปี พบว่า คนยากจนในปี 2548 ผ่านไป 7 ปี คือ ปี 2555 ยังเป็นคนยากที่จนที่สุดเหมือนเดิม
.
สภาพัฒน์ ชี้ว่าคนยากจนในรุ่นพ่อแม่ จะส่งต่อความจนสู่รุ่นลูก โดยประมาณ 20% หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการศึกษา พบว่าคนเหล่านี้ยังคงยากจจน ขณะที่คนที่เคยรวยที่สุด ยังคงรวยเหมือนเดิม เกือบ 53% ยิ่งในบริบทปัจจุบันของประเทศไทย โอกาสที่คนจนจะพัฒนาขึ้นเป็นคนรวย ยิ่งยากมากขึ้น!
.
Thaipublica ชวนอ่าน เด็กยากจนพิเศษ 2.4 ล้าน ส่อหลุดนอกระบบ! https://thaipublica.org/2022/05/eef-29-05-2565/
.
#กับดักความจน #ความยากจนข้ามรุ่น #หนี้สินครัวเรือน #สภาพัฒน์ #ไทยพับลิก้า #Thaipublica
.....
สภาพัฒน์ชี้คนจนหมดโอกาสหลุดกับดักยากจน

ขณะที่ ดร.ปฏิมา จงเจริญธนาวัฒน์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ชำนาญการพิเศษ กองศึกษาและวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บอกว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 จึงตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งมีหมุดหมายในเรื่องของการลดวามเหลื่อมล้ำ และแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามรุ่น ทำอย่างไรจะทำให้โอกาสของทุกกลุ่มและทุกพื้นที่ให้สามารถก้าวข้ามความยากจนข้ามรุ่นได้

อย่างไรก็ตามดร.ปฏิมา พบว่า โอกาสที่คนยากจนในรุ่นพ่อแม่จะส่งต่อความยากจนให้กับรุ่นลูกมีสูงมาก จากการศึกษา โดยการสำรวจรายได้ เงินออมและหนี้สินของคนเดิมซ้ำทุกปีพบว่าคนยากจนในปี 2548 ผ่านไป7 ปีคือ ปี2555 ยังเป็นคนยากที่จนที่สุดเหมือนเดิม

“เราศึกษาพบว่า คนยากจนในรุ่นพ่อแม่ ส่งต่อความจนในรุ่นลูก โดยประมาณ 20 % หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการศึกษายังยากจจน ขณะที่คนที่เคยรวยที่สุด ยังคงเป็นคนรวยเหมือนเกือบ 53% จะเห็นว่าประเทศไทยโอกาสที่คนจนในปัจจุบันจะมีโอกาสเป็นคนรวยยากมากขึ้น”

ดร.ปฏิมากล่าวว่า การที่ครอบคครัวคนจนไม่หลุดพ้นจากกับดักความยากจน ทำให้โอกาสการเรียนของนักเรียนในครอบครัวยากจนลดลงไปด้วย โดยพบว่าในปี 2564 มีครัวเรือนที่เป็นคนจนข้ามรุ่นประมาณ 6 แสนครัวเรือน โดยในจำนวนนั้นเป็นครอบครัวที่มีเด็กอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อครอบครัวมีปัญหาเรื่องรายได้ ทำให้การลงทุนการศึกษากับเด็กได้น้อยลงไปด้วย ทำให้โอกาสที่จะตัดวงจรความยากจนก็น้อยลงไปอีก

“สิ่งที่น่ากังวล คือเด็ก อายุ 6-14 ปี หรือเด็กที่ควรจะได้รับการเรียนภาคบังคับยังหลุดออกจากระบบการศึกษามากถึง 17 % เพราะปัญหาความยากจน ซึ่งในแผนฯ 13 เราจจะโฟกัสกลุ่มนี้เป็นลำดับแรกๆ เพื่อตัดวงจรความยากจนข้ามรุ่นให้ได้”


ดร.ปฏิมากล่าวว่าสภาพัฒน์ จะแก้ปัญหานี้โดยแก้ไขปัญหาแบบพุ่งเป้าหมาย ไม่ใช้นโยบายตัดเสื้อโหลทุกคนได้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพออีกต่อไป โดยได้พัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า TPMAP ซึ่งจะสามารถค้นหาครอบครัวที่ยากจนว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไรและเขาต้องการแก้ไขปัญหาอย่างไร

ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่าเรียนฟรีในความเป็นจริงยังมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพราะว่าศักยภาพของแต่โรงเรียนแตกต่างกัน แม้จะไม่มีการเก็บค่าเทอม แต่โรงเรียนต้องใช้เงินในการดำเนินกิจการต่างๆทำให้พ่อแม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเช่นเดิม

นอกจากนี้จากการสำรวจค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของเด็กนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่าเด็กกรุงเทพฯมีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเฉลี่ย 37,257 บาทต่อคนต่อปี ในจำนวนนี้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาสูงถึง 26,247 บาท ที่เหลือเป็นค่าเสื้อผ้าและเครื่องแบบ 2,072 บาท ค่าหนังสือ เครื่องเขียน และอุปกรณ์ 2,175 บาท และค่าเดินทาง 6,763 บาท ตัวเลขเฉลี่ยเหล่านี้สูงกว่าทุกพื้นที่ในประเทศไทย สูงกว่าเฉลี่ยของทั้งประเทศซึ่งมีค่าใช้จ่าย 17,832 บาทต่อคนต่อปี ถึง 2 เท่า

อย่างไรก็ตามดร.ภูมิศรัณย์ เห็นว่าสิ่งที่ต้องปรับปรุงในส่วนนโยบายเรียนฟรี 15 ปี คือการเงินอุดหนุนนักเรียนพื้นฐานยากจน แม้ว่าปัจจุบัน กสศ. จะมีทุนเสมอภาคนักเรียนยากจนพิเศษและสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐาน แต่ยังไม่เพียงพอ ทำให้มีเด็กประมาณ 60 % หรือประมาณ 4 แสนคนที่ยากจน แต่ไม่อยู่ในเกณฑ์ได้รับเงินอุดหนุน ซึ่งหากต้องการขยายนโยบายให้ครอบคลุมเด็กกลุ่มนี้จะใช้งบประมาณ ปีละ 800 ล้านบาท