วันเสาร์, สิงหาคม 31, 2562

สองบิีกยิ่งใหญ่ทำอย่างไรได้ทั้งนั้น 'ตู่' จัดถวายสัตย์ใหม่ 'แดง' ได้ทีสั่งรถถังเพิ่ม

การจัดพิธีถวายสัตย์ใหม่ของรัฐบาล คสช.๒ ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัว และพระราชดำรัสที่ทรงให้กำลังใจต่อนายกรัฐมนตรีและ ครม. (๑๖ ก.ค.๖๒) เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหา โดยไม่ปรากฏข่าว ภาพ และรายละเอียดใดๆ ออกมาสู่สาธารณะเลยแม้แต่น้อย

ต่อการที่มีหนังสือเวียนในหมู่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์ ๒ ให้ไปร่วมพิธี ณ ห้องรับรองชั้น ๕ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล เวลา ๙.๐๐ น. เมื่อพร้อมกันแล้ว

“นายกรัฐมนตรีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเชิญพระราชดำรัสวางบนพานหน้าพระบรมฉายาลักษณ์”

“จากนั้น นายกรัฐมนตรีเข้ารับพระราชดำรัสและกลับมายืน ณ จุดเดิม คณะรัฐมนตรีเข้ารับพระราชดำรัสตามลำดับ และถวายความเคารพพร้อมกัน ก่อนจะเสร็จพิธี” เพียงเท่านี้ก็จะอ้างว่าได้ทำการถวายสัตย์อย่างเหมาะสมแล้ว
 

เป็นการยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่แยแสและใยดีต่อรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๖๐ ที่ใช้อยู่ โดยอ้างพระราชดำรัสด้วยถ้อยคำกำกวมให้เข้าใจไปว่า คำปฏิญานจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย

ทั้งยังเป็นการกำหนดทางปฏิบัติแนวใหม่ของ คสช. ที่ไม่เพียงจะทำอย่างไรกับพิธีกรรมตามรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจสูงสุดแก่กฎหมายก็ได้เท่านั้น ยังแสดงว่ารัฐธรรมนูญที่พวกตนจัดการร่างขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการประชามติ ที่บังคับไม่ให้มีการตำหนิและคัดค้าน

แม้จะมีเนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากทำนองประชาธิปไตยในมาตรฐานสากล ด้วยการกำหนดอำนาจพิเศษในการสืบทอดเจตนาของคณะรัฐประหาร ๒๕๕๗ เอาไว้เป็นเวลาอย่างน้อยๆ อีก ๒๐ ปี ผ่านทางยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศแล้ว

ยังจงใจแสดงว่าต่อไปภายหน้าภายใต้รัฐบาลแบบ กึ่งอาณัติเลือกตั้งชุด คสช.๒ นี้ จะสามารถบิดพริ้วและดัดแปลงรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามความต้องการของพวกตนอย่างไรก็ได้

ในครั้งนี้ (การถวายสัตย์ขาดตก) ใช้การอิงแอบพระราชฐานันดรแห่งกษัตราธิราช ครั้งหน้าเมื่อคณะทหารผู้ปกครองกระชับอำนาจอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้นแล้ว อาจจะอ้างบุญญาบารมีอื่นใดอีกก็ได้

จะเห็นได้ว่าการจัดถวายสัตย์ต่อหนังสือพระราชดำรัสและลายพระหัตถ์นี้ ทำขึ้นเพื่อเลี่ยงบาลีต่อการที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนดอภิปรายทั่วไปให้นายกรัฐมนตรีตองข้อซักถาม ว่าเหตุใดจึงกระทำดั่งจงใจละเมิดรัฐธรรมนูญเช่นนั้น

เป็นการบิดเบือนพิธีกรรม โดยนำเอาสถาบันประมุขมาบังหน้าการเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญของพวกตน เป็นที่น่าเสียใจว่าสถาบันประมุขของไทยจักต้องมัวหมองในสายตานานาประเทศที่ยึดถือหลักการประชาธิปไตย ด้วยการลุแก่อำนาจของรัฐบาลที่สืบทอดมาจากคณะรัฐประหารนี้

ไม่เพียงเท่านั้น การแสดงกิริยาวางอำนาจบาตรใหญ่ทางการเมืองของผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ซึ่งได้แสดงตนเป็นฐานอำนาจทางทหารให้กับรัฐบาลประยุทธ์เสมอมาตั้งแต่ชุด ๑ มายังชุด ๒ ดังที่ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวคนสำคัญในเรื่องของฝ่ายทหารรายงานไว้

จากการที่ พล.อ.อภิรัชต์เปิดเผยว่าตนเขียนบทความทางการเมือง (อ้างว่าใน เชิงวิทยานิพนธ์) เอาไว้ “เขียนเสร็จแล้ว เดี๋ยวเผยแพร่ เดี๋ยวจะมีคนเดือดร้อน” แม้นว่า บิ๊กแดง จะไม่ยอมระบุว่าเจาะจงที่ ฝ่ายการเมืองแต่การเขียนบทความการเมืองไม่น่าจะเป็นเรื่องธัมมะธัมโมอย่างแน่นอน
 
บิ๊กแดงผู้นี้ยังเพิ่งประกาศว่าจะใช้งบประมาณแผ่นดินซื้อรถถังแบบสไตร๊เกอร์จากสหรัฐเพิ่มอีก ๕๐ คันสำหนรับปีหน้า อันเนื่องมาจากเมื่อวันที่ ๒๙ ส.ค.ได้มีการส่งมอบยานเกราะ Stryker M1126 สี่คันแรกให้แก่กองทัพไทย

ยานเกราะเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่กองทัพจัดซื้อด้วยเงินงบประมาณปี ๒๕๖๒ จำนวน ๓๗ คัน ราคาราวคันละ ๘๐ ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าเงินงบประมาณที่มาจากการเก็บภาษีอากรปีนี้ต้องจ่ายประดับบารมีกองทัพบกไปแล้ว ๒,๙๖๐ ล้านบาท


ไม่ว่าบิ๊กแดงจะเอ่ยอ้างเรื่องรถถังชนิดนี้แม้จะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยังใช้ประจำการของสหรัฐ (เรื่องซ่อมแซมและอะหลั่ยไม่ต้องห่วง) หรือว่าคราวนี้ซื้อ ๓๐ แถม ๒๐ คราวหน้าซื้อ ๕๐ แถม ๓๐ (ประเภท ถูกและดี) แต่ปีหน้าต้องจ่ายอีก ๔ พันล้านบาท ประชาชนได้อะไร

รถถังดังกล่าว “มีการติดเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๑๒๐ ม.ม.” ไม่รู้ว่าจะเอาไปรบทัพจับศึกกับใครเมื่อไหร่ แต่แน่ๆ เข็นออกมาทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน เมื่อใดที่บิ๊กแดงเห็นว่าถึงเวลา อย่างที่ประกาศไว้แล้ว