ถึงตาเสี่ยตือพูดบ้าง “ที่ผ่านมารัฐบาลก็พยายามบริหารให้ครอบคลุมหมดทุกด้าน...ถ้าจะให้ดีที่สุดครบ
๔ ปีแล้วควรจะมีการแถลงใหญ่สักครั้งหนึ่ง
...เพื่อให้เห็นว่าการทำงานโดยไม่มีฝ่ายค้านไม่มีการตรวจสอบ
หรือทำงานโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น ผลที่ออกมาเป็นอย่างไร”
เสี่ยตือคนนี้ ชื่อสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เคยเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
สังกัดพรรคชาติไทย (พัฒนา) ตอนนี้ในเมื่อว่าที่หัวหน้าพรรคเป็นคนรุ่นลูกทายาทศิลปอาชา
อดีตนักกิจกรรมรามคำแหงสมัย ๑๔ ตุลาผู้นี้เลยกลายเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค
พอที่จะเหิรกระแส ‘ปิ๊สิด’ เสรีนิยมได้
“สิ่งที่ประชาชนคาดหวังทุกวันนี้คือเรื่องปากท้อง
เพราะเป็นปัญหาหนักอกของผู้คนที่พูดถึงมากที่สุด” เขาว่า “ตอนนี้ปัญหาของคนรากหญ้า
ปัญหาของคนที่อยู่ในชนบท มันสวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงๆ”
อ้าวก็พวก คสช.และลิ่วล้อเขาพูดปาวๆ
เกือบทุกวันว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแล้วไง ฝ่ายคลังเพิ่งป่าวร้อง “ฟันธงเศรษฐกิจไทยปีนี้โตตามเป้า
๔.๒%” น่ะ เห็นข่าววันนี้
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ บอก “เศรษฐกิจในระดับมหภาคฟื้นตัวดีขึ้นจากผลประกอบการของธุรกิจขนาดใหญ่”
แต่เสี่ยตือแกบังเอิญพูดตรงประเด็นสะใจ
แม้จะคนละเรื่องเดียวกัน “จะมัวไปดูตัวเลขว่าขึ้น ๓.๖ หรือ ๔.๖ อย่างเดียวไม่ได้
คุณล้วงไปในกระเป๋าของผู้คนว่าในกระเป๋าของพวกเขามีตังค์หรือไม่
ดัชนีการครองชีพเป็นอย่างไร ควรมองดูสิ่งที่เป็นความจริงมากกว่าตัวเลข”
อดีตรองประธานสภาฯ ยังให้ข้อเท็จจริงด้วยว่า
“ขณะนี้ผู้ค้ารายย่อยร้านของชำ แม่ค้าที่ขายตามตลาดนัดชาวบ้าน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวันนี้กำลังซื้อของคนมีน้อยทำให้การค้าระดับล่างซบเซา
เงินไม่สะพัดเท่าที่ควร”
ซึ่งดูเหมือน รมว.คลัง พยายามตอบ
(ต่างกรรมต่างวาระ) “ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจมหภาคนั้น ไม่สามารถไหลไปสู่เศรษฐกิจระดับรากหญ้าได้อย่างทันใจ”
แล้วก็โฆษณาสรรพคุณของทีมงานลิ่วล้อทหาร เราทำอย่างนั้นอย่างนี้
“กำลังเร่งสร้างงานสร้างอาชีพ
เพื่อให้คนจนมีรายได้พ้นเส้นความยากจน ซึ่งถือนโยบายที่ต้องเดินหน้าให้สำเร็จ”
ก็ไม่รู้เวลาที่ผ่านมาตั้งสี่ปี
พวกทั่นเดินหน้าหรือถอยหลัง หรือว่ายักซ้ายย้ายขวากันอยู่ ถึงได้เพิ่งจะเริ่มในตอนนี้
หรือเป็นเพราะพวกหัวๆ ฝ่ายทหาร (โดยเฉพาะหัวเด็ดตีนขาดคนนั้น)
อยากจะอยู่ต่ออีกสี่ซ้าห้าปี เลยดันพวกทั่น ‘failed technocrats’ ทั้งหลายให้ปั่นตัวเลขกันใหญ่
ด้านลิ่วล้ออีกสาย พวกหัวไม้ติดยศยังคงไล่ล่าประชาชนบางคนที่หาญกล้าออกมาประท้วง
ประจาน และเปิดโปงความชั่วร้ายของ คสช. ประดุจมาเฟีย
อย่างเช่นเอกชัย หงส์กังวาน และโชคชัย
ไพบูลย์รัชตะ สองคู่หูผู้ที่ตามจี้ตามแฉกรณีนาฬิกาหรู ๒๓
เรือนเพื่อนให้ยืมยังไม่คืนเพราะเพื่อนตายไปก่อน
ทั้งสองนัดหมายไปเจอกันที่ลาดพร้าวซอย ๗๑
หน้าบ้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์รดน้ำดำหัวให้บิ๊กป้อม
พร้อมอุปกรณ์ประกอบการแสดง “แผ่นไวนีลนาฬิกาหรู ๒๔ เรือน ปืนฉีดน้ำ
ธูปและขันน้ำสีแดง”
เช้าตรู่ทั้งคู่ออกไปยืนรอรถเมล์หน้าซอย
๑๐๙ ลาดพร้าว มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบกว่าสิบคนมากับรถตู้
กรูกันเข้าไปล็อคตัวทั้งสองชายลากขึ้นรถนำไปกักกันไว้ที่ บกน.๔ หัวหมาก สำหรับโชคชัยนั้นระหว่างอยู่ในรถตู้ถูกกดให้คว่ำลงกับช่องวางเท้าระหว่างเบาะรถ
เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบซึ่งเป็นชุดตำรวจทำเนียบ
(ซึ่งเอกชัยสามารถชี้ตัวได้คนหนึ่งว่าชื่อ ดาบประสิทธิ์) ยึดเอาโทรศัพท์พกพาของเขาไป
ใช้ผ้าคลุมหัวโชคชัยและเอาเข่ากดหลังเขาอัดลงกับพื้นตลอดทางจนหูเขาหมดสภาพไปข้างหนึ่ง
เป็นการข่มเหงรังแกประชาชนชนิดที่ Bow
Nuttaa Mahattana ชี้ว่า ประดุจดังโจรป่าห้าร้อยลักพาตัว นอกจากนั้นการจู่โจมล็อคตัวทั้งที่ทั้งสองคนยังไม่ได้ทำผิดอะไร
ทำให้โชคชัยพยายามดิ้นรนขัดขืน จนเสื้อยืดที่เขาสวมใส่อยู่ขาดวิ่นใช้การไม่ได้
(รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/Prachatai/photos/a.10150680790041699.389030.108882546698/10155526505221699/?type=3)
เหล่านั้นเป็นฝีมือของระดับลูกไล่
ยังได้เห็นความกักฬระของกระบวนการ คสช. ได้เพียงนี้ แล้วระดับหัวหน้าใหญ่จะขนาดไหน
คงต้องโอนให้ไปอ่านกันเองจากข้อเขียนของพลตรีหญิง มล.ลดาวัลย์ กมลาสน์ นักเขียนเรื่องราวธรรมชาติและชีวิตสัตว์
กับหนังสือประวัติราชนิกูลชื่อ ‘สายสาแหรก’
ใบ้ให้นิดเป็นกระสาย จากโพสต์ของ ML
Ladawan Kamalasana ทางเฟชบุ๊ค “เกือบ ๔ ปีที่ผ่านมา คนไทยต้องทนอยู่กับความสามานย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”