บันทึกนักโทษคดีการเมือง
ตอนที่ 7 :ปากคำของชายชุดดำ
มันเป็นวันที่ 13 ธันวาคม 2554 เวลาเย็นหลังเลิกงาน
ภรรยาผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนบ้านเก่าว่ามีตำรวจถือหมายค้นมา
แล้วก็มีรูปพรรณสัณฐานของผม มาถามหาว่าอยู่บ้านนี้มั้ย?
เราย้ายออกจากบ้านหลังเก่ามาหลายปีแล้ว
แต่โบราณว่าการสร้างสานสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน
ย่อมดีกว่าสร้างรั้วที่แข็งแกร่งมั่นคง...เขาเลยโทรมาบอกว่าตำรวจมาหาผม
...
...
บ้านเมืองตอนนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2554
พรรคเพื่อไทย โดยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวและเป็นนอมินีของทักษิณ
ชินวัตร ใช้เวลาบนรถกระบะหาเสียงเพียง 39วันก็ชนะเลือกตั้งก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งด้วยแรงสนับสนุนท่วมท้นของกลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณ
ขบวนการมวลชนเสื้อแดงที่บาดเจ็บ ล้มตาย บอบช้ำมาจากการถูกปราบปรามเข่นฆ่าในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเดือนเมษายน-พฤษภาคม
2553 ทุ่มเทสนับสนุน
และฝ่ายสนับสนุนรณรงค์เคลื่อนไหวประชาธิปไตย
ตอนแรกๆ ที่จัดตั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์
รัฐบาลของเธอยุ่งยากและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใหญ่
และเมื่อน้ำท่วมเบาบางลง รัฐบาลก็ไปมุ่งเน้นงานนโยบายประชานิยม เช่่น จำนำข้าว
ค่าแรงวันละ300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี
15,000 รถคันแรกฯลฯ..
ในเวลานั้น
เวบไทยอีนิวส์ที่มีอิทธิพลต่อฝ่ายประชาธิปไตยทั้งในไทยและทั่วทุกมุมโลก
มีคนติดตามอ่านเฉลี่ย 5 หมื่นเพจวิวต่อวัน มีคนขนานนามว่าเป็น "ปราการที่แข็งแกร่งของขบวนการประชาธิปไตยเสื้อแดง"รณรงค์เรียกร้องให้รัฐบาล
รวมถึงแกนนำ นปช. และทักษิณ ได้ตระหนักว่ายิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็๋นนายกฯ
ชนะเลือกตั้งท่วมท้นนั้นก็ด้วยขบวนประชาชนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตย
ต้องการให้มีการชำระสะสางความอยุติธรรมทั้งมวลในระยะที่ผ่านมา อาทิเช่น
-ต้องรื้อฟื้นคืนเกียรติยศแก่คนตาย คนเจ็บ
คนพิการ ถูกสังหารในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย
แต่เป็นผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ถูกอำนาจรัฐเวลานั้น ขจัดกวาดล้างและตีตราบาปให้เป็นผู้ร้าย
ต้องมีการเยียวยาอย่างยุติธรรม ปลดปล่อยผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ถูกจับกุมคุมขังโดยมิชอบและไม่ยุติธรรมทั้งหมด
รวมทั้งบรรดาเหยื่ออยุติธรรมในคดีที่เรียกว่า "คดีเผาศาลากลาง" หลายจังหวัดด้วย
-ต้องเร่งดำเนินคดีบรรดาผู้มีส่วนในการสังหารเข่นฆ่าในการชุมนุมครั้งนั้น
ต้องมีการรับผิดชอบ ให้เลิกวัฒนธรรมปล่อยผู้บงการลอยนวล
คัดค้านการนิรโทษกรรมที่จะทำให้มีการกระทำผิดซ้ำซากของบรรดาผู้เผด็จการ
-ต้องยุติความพยายามดึงและดองคดีพันธมิตรก่อการร้ายยึดสนามบิน
และปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าอย่างปกติ
สรุปง่ายๆ คือ "ปลดปล่อยนักโทษการเมืองเสื้อแดงที่ถูกคุมขังในเหตุการณ์พฤษภา
53, ลงโทษบรรดาผู้บงการสังหารเข่นฆ่าในเหตุการณ์นั้น
โดยไม่สมควรนิรโทษกรรม และเร่งเอาผิดพันธมิตรยึดสนามบิน"
การรณรงค์ในแคมเปญนี้ค่อยทวีความร้อนแรงดุเดือดยิ่งขึ้น
เมื่อพบว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังดูดายไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาสู่การพิจารณา เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
รวมทั้งแกนนำ นปช.และทักษิณหนักขึ้น ในทำนองว่าเหยียบซากศพวีรชนกลับสู่อำนาจ
ด้วยการที่ฝ่ายประชาธิปไตยทุ่มเทและต้องหลั่งเลือด แต่ดูเหมือนรัฐบาลไม่ได้ใช้่อำนาจไปในทางอำนวยความยุติธรรมให้แก่ขบวนการมวลชนที่สนับสนุนค้ำจุนตนเองเลย...
จังหวะนั้นพอดีกับที่คนในพรรคประชาธิปัตย์ชี้เป้าว่า
พวกสื่อออนไลน์มีพฤติการณ์นำเสนอข่าวพาดพิงเบื้องสูงขอให้มีการจัดการด้วย
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
รัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านตำรวจเวลานั้นจึงประกาศกับสื่อมวลชนว่าจะจัดการดำเนินคดีพวกเวบไซต์และสื่ออ่อนไลน์
ผมมาทราบภายหลังว่าในเย็นวันที่ 13 ธันวาคม 2554 มีผู้ถูกควบคุมตัวไป 3 ราย
เป็นเจ้าของเว็บบล็อกเล็กๆทั้งหมด ส่วนผมรอดมาได้หวุดหวิดเพราะเพื่อนบ้านโทรมาแจ้งข่าวซะก่อน
ผมหลบลงใต้ดินลึกลงไปอีกด้วยการย้ายที่นอนไปเรื่อยๆ
บางวันอาจจะ 2-3 ที่
อาการหวาดระแวงว่าตำรวจจะจับตัวได้ ทำเอาน้ำหนักทรุดฮวบในเวลาไม่กี่วัน
กระทั่งปลายเดือนธันวาคมปีนั้น
ผมจึงได้เล็ดลอดออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการนั่งรถสุดทรหดและหวาดระแวงไปตลอดทาง
กว่าจะผ่านแดนประเทศไทยออกไปได้โดยใช้เวลาเริ่มเดินทางจากตีห้าเศษไปถึงที่หมายเกือบ
3 ทุ่ม
เล่นเอาตูดด้านไปเลย
ณ ที่หมาย
ผมได้พบอดีตรัฐมนตรีหนุ่มที่ลี้ภัยมาก่อนหน้านี้ 3 ปีเศษมาแล้ว
เขาเคยเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล
เช่นเดียวกับชนชั้นกลางการศึกษาดีโดยทั่วไปที่อยู่ภายใต้ระบอบปกครองแบบไทยๆ
แต่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขามาเคลื่อนไหวรณรงค์ประชาธิปไตย และร่วมปรากฎการณ์วิพากษ์วิจารณ์
"อำนาจนำ" ในประเทศไทย...
เขาต้อนรับขับสู้ผมด้วยมิตรไมตรีและว่าผมจะไปช่่วยกิจการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในต่างประเทศได้ดี
แต่ผมอธิบายว่า ที่ผมจำต้องลี้ภัยมานี้ผมคิดว่าไม่ใช่เพราะ
"อำนาจนำ" หรือใครหรอก แต่เป็นพวกโปรทักษิณนั่นแหละ
เพราะเวลานั้นเรากำลังวิพากษ์ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์อย่างหนักว่า "ใจจืด" ต่อเหยื่ออยุติธรรมที่ถูกเข่นฆ่า
และยังติดคุกอยู่เต็ม
เราเป็นสื่อที่อิสระและยืนหยัดอยู่ข้างประชาธิปไตยและประชาชน
ไม่ได้มีหน้าที่จะต้องไปเป็นกระบอกเสียงอะไรให้ทักษิณหรือยิ่งลักษณ์ หรือพรรคเพื่อไทย
และที่เราเรียกร้องรณรงค์นั้่นก็ชอบธรรมทุกประการ...การเอามาตรา 112 หาเรื่องจะเอาผมไปยัดคุก
เพราะเหตุว่าผมกับไทยอีนิวส์วิพากษ์ทักษิณนั้นจึงเป็นอะไรที่แย่มากๆ...ถ้าเป็นไปได้
ผมขอให้คุณเป็นไปรษณีย์แจ้งข่าวไปด้วยว่า เรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ
...
ระหว่างที่พำนักอยู่ประเทศนั้นเป็นเวลาสั้นๆ ผมมีโอกาสได้เดินทางไปพบสนทนาผู้ลี้ภัยอีกราย
โดยเรารู้จักเขาแต่ในนาม "ชายชุดดำ"
ซึ่งต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณียิงปะทะกับทหารที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและสี่แยกคอกวัว
ในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมเสื้อแดงกับทหาร เมื่อ 10 เมษายน 2553 เป็นเหตุให้มีทหารเสียชีวิตราว 20 นาย
รวมทั้งพันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม
เขาเป็นชายฉกรรจ์สูงรูปร่างขาวเหลือง
หน้าตาดีทีเดียว แต่แววตาหม่นๆ มีอาการโฮมซิกอยู่พอควรแม้จะได้ลี้ภัยออกมาปีเศษแล้วในเวลานั้น
เขาเล่าว่า เขาเป็นชาวบ้านธรรมดา
ต่อมามีเหตุการณ์ทางการเมืองแล้วไม่เห็นด้วยกับพันธมิตร
โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่พันธมิตรบุกเข้าโจมตีสถานีวิทยุชุมชนแห่งหนึ่งที่เป็นกระบอกเสียงให้เสื้อแดงย่านถนนวิภาวดีรังสิต
ก่อนเคลื่อนพลไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551
ต่อมาในการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องกดดันให้นายอภิสิทธิ์พ้นตำแหน่งในช่วงสงกรานต์ปี
2552นีั้น
เขาก็พบเหตุการณ์ทหารทำร้ายประชาชนผู้ชุมนุมบริเวณที่ลงทางด่วนวิภาวดีฯ
จึงคิดว่าจะต้องมีอาวุธป้องกันตัว
แล้วรวบรวบพรรคพวกได้ 6 คน มีอาวุธกันทุกคน เขาเป็นคนฝึกอาวุธให้พรรคพวก และวันเกิดเหตุ 10 เมษายน 2553 นั้น
มีข่าวรายงานว่ากองกำลังทหารบุกเข้ามาโอบล้อมผู้ชุมนุมเสื้อแดงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ถนนราชดำเนิน จึงอยากให้บทเรียนพวกทหารว่า อย่าดีแต่ใช้อาวุธทำร้ายคนมือเปล่า
ถ้าเจอคนมีอาวุธสู้คืนไปบ้างจะว่ายังไง
เขาย้ำว่าตัวเขาและพรรคพวกนั้นเป็นพวกที่คับแค้นขมขื่น
ทนเห็นพันธมิตรกระทำผิดแล้วลอยนวลไม่ไหว ทางทหารแทนที่จะเอาผิดกับคนทำผิดก็มาเอาผิดคนเสื้อแดงมือเปล่า
ใส่่ร้ายว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า และเป็นเขมรติดอาวุธ เขาจึงรวบรวมอาวุธและคนคิดแบบเดียวกันมา
ไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร เขาเองเป็นหัวหน้า ไม่ขึ้นกับแกนนำเสื้อแดงและนปช. "พวกนี้ก็พูดแต่ว่าอหิงสาๆ
ปราศจากอาวุธ แต่โดนฝ่ายเขาเข่นฆ่าทำทารุณสารพัด ผมเกลียดพวกนี้จริงๆ"
อาวุธที่พวกเขาใช้และยังผลให้ฝ่ายทหารสูญเสียมากคือเครื่องยิงระเบิด
M204 ปฏิบัติการเกิดขึ้นชัวแปล๊บเดียวแล้วพวกเขาก็แยกย้ายออกมาจากที่เกิดเหตุ
แต่ที่กลายเป็นหลักฐานและมีพยานก็คือ ระหว่างขับออกจากที่เกิดเหตุ สวนทางกับรถทหารนั้น
ตัวเขาได้โผล่หน้ายกนิ้วกลางให้รถทหาร
"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่ทำเรื่องนี้แน่นอน
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครตาย มารู้จากข่าวในภายหลังว่าพันเอกร่มเกล้าตาย ผมก็ได้แต่เสียใจ
และอยากกล่าวขอโทษต่อท่านและครอบครัวด้วย" เขากล่าวและว่าสิ่งที่เขาทำมานั้นไม่คุ้มค่าเลย
ได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์มาแต่บรรดาผู้บงการเข่นฆ่าประชาชนก็ยังลอยนวลอยู่
ส่วนชีวิตของเขาพังหมด และคงกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ไทยไม่ได้อีกแล้ว
ต้องอยู่ต่างประเทศแบบหลบๆ ซ่อน ๆ และต้องทำงานเป็นเกษตรกร ใช้แรงงาน
จากที่เคยเป็นช่างฝีมือมีอาชีพและรายได้ดี
...
...
ผมพำนักอยู่ประเทศนั้นได้ไม่นานนัก ก็มีโทรศัพท์มาจากทางบ้านว่า
ตอนวันสิ้นปี 2554 พ่อของผมเกิดปุบปับล้มป่้วยลงกระทันหัน
คงจะสิ้นบุญในวันสองวัน ให้มาดูใจด่วน
ผมเลยคิดว่าเป็นไงเป็นกันช่างหัวมันเถิด
เดินทางกลับประเทศไทย โดยสลัดความกลัวทิ้งไป เดินทางกลับบ้านไปดูใจพ่อครั้งสุดท้าย
ซึ่งเมื่อผมเดินทางมาถึงพ่อก็สิ้นลมอย่างสงบ
...
ผู้ถูกควบคุมตัวรายอื่นอีก 3 รายในคราวเดียวกันนั้น
ถูกปล่อยตัวกลับบ้าน เพราะไม่มีหลักฐานพอฟ้องว่ากระทำผิด ส่วนผมประสานงานกับเพื่ือนมิตรที่เห็นอกเห็นใจ
เข้าพบรายงานตัวต่อพลตำรวจโทเจ้าของกรณีนี้ พอสอบสวนทวนความดูแล้วไม่ได้พบว่ากระทำผิดตามข้อกล่าวหามาตรา
112 ก็เลยไม่มีการดำเนินคดีใดๆ
"ตำรวจเราตรวจสอบละเอียดแล้ว
คุณไม่เข้าข่าย แต่เมื่อไหร่ทหารมา ก็ไม่แน่..!" เขากล่าวตอนผมกราบลามา
....
คำกล่าวของพลตำรวจโทรายนี้เป็นจริง
หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
เพียง 3 วัน ผมก็ถูกควบคุมตัวที่บ้าน
การรัฐประหารเกิดขึ้นหลัง กปปส.ชุมนุมประท้วงการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์(ซึ่งผมเองและขบวนประชาธิปไตยก็พากันช็อกกับการออกพรบ.สุดซอย
เพราะนั่่นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับข้อเรียกร้องของเรา)
มาตรา 112 นั้นใช้ได้กับทุกโอกาส และทุกฝ่ายก็คงใช้กันหมด
กับใครก็ตามที่เป็นภัยทางการเมืองการปกครองของพวกเขา แต่คนที่ใช้จะบอกว่ามันเป็นอาชญากรรมไม่ใช่คดีการเมือง
เมื่อผมเข้าคุกมาแล้วก็ได้เจอทั้งคนที่ผมเคยรณรงค์ช่วยเหลือ
พวกเขาคือนักโทษจากเหตุการณ์ 19พฤษภาคม 2553 และกลุ่มนักโทษ "ชายชุดดำ" ที่ถูกคดีกล่าวหาว่าปะทะกับทหารในหตุการณ์
10 เมษายน2553
รวมทั้งคนที่ยึดสนามบินอย่าง ร.ต.แซมดิน
เลิศบุษย์ ที่มาแป๊บเดียวแล้วได้ประกันตัวกลับบ้าน เหมือนคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
...
ผมไม่ได้ไปร่วมงานฌาปณกิจศพพ่อที่จัดขึ้นกลางเดือนมิถุนายน
2557 เวลานั้นเสียงตามสายในคุกเปิดเพลงนี้ซ้ำไปซ้ำมา
"เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงาม จะคืนกลับมา.."
ผมบอกตัวเองว่าอีกไม่นาน
คงได้กลับบ้านไปกราบกระดูกพ่อ