ทีหมุดคณะราษฎรหาย ละทำสะบัดสำนวนกวนต.น
พอเรื่องควักเงินคลังจ่ายลูกน้อง บร๊ะ ไวทันใจ
เมื่อวาน (๑๗ เมษา) รองโฆษกสำนักนายกฯ ตอบสำนักข่าวรอยเตอร์เรื่องหมุดหาย
ว่า “เหตุใดต้องให้รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้
ถ้าเป็นเช่นนั้นแปลว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบสิ่งของที่หายไปทุกชิ้นในประเทศนี้น่ะสิ”
คราวนี้พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค ออกลูกกร่างๆ
ฝ่าย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณ์กุล รอง ผบ.ตร. ก็ใช่ย่อย
ทำตัวเป็นศรีธนญชัย พูดถึงกรณีที่นายพริษฐ์ รัตนกุลเสรีเริงฤทธิ์ วัย ๓๐ ปี
หลานของสมาชิกคณะราษฎร ร่วมกับนักศึกษาจากสามมหาวิทยาลัย
ไปแจ้งความกับสถานีตำรวจดุสิต ให้ติดตามหาหมุดคณะราษฎรที่หายไป
“หมุดดังกล่าวนั้น
เป็นทรัพย์มรดกของตนเองหรือเป็นทรัพย์สินของบุคคลใด และเป็นผู้เสียหายหรือไม่...
บริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่ของตนเองหรือไม่
จึงนำหมุดดังกล่าวไปวางไว้ ซึ่งความจริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อะไร...
ฝากเตือนกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องนี้
ให้เลี่ยงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในบริเวณพื้นที่ลานพระราชวังดุสิต
เพราะอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. และ พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะได้”
พูดซะอย่าง ‘ลาฉลาด’ smart ass หารู้ไม่ว่าผิดถนัด
ต้องอาศัยทนายน้อย อานนท์ นำภา ช่วยเบิกปัญญาให้กระจ่าง
“ความผิดฐานลักทรัพย์และ/หรือทำให้ทรัพย์สาธารณะเสียหาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๓๓๕
และ ม.๓๖๐ ถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
บุคคลที่พบเห็นว่ามีการกระทำความผิด
จะรู้ตัวคนทำหรือไม่ก็ได้ สามารถแจ้งความกล่าวโทษได้
ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา ๒ (๘)
พรุ่งนี้ ‘เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง’
เขาจึงจะได้มี “กิจกรรมตามหาหมุดที่หายไป” ตั้งแต่ ๙ โมงเช้า ณ
บริเวณหน้า สน.ดุสิต เพื่อเข้าแจ้งความกับตำรวจกันอีก
จากนั้นจะพากันเดินไปที่จุดหมุดหาย (ซึ่งมีหมุด ‘หน้าใส’ มาแทนที่) เพื่อสำรวจพื้นที่รอบๆ และจดเลขกล้อง cctv ที่จริงเขาจะไปดูสิว่ากล้องทีวีวงจรปิดนั่น จะหายไปในคืนนี้ด้วยหรือไม่
ถึงหายก็ไม่เป็นไร เพราะตอนเพลวันพุธนี้พวกเขาจะไปยังศาลาว่าการ
กทม. ยื่นเรื่องขอดูภาพจากกล้องซีซีทีวี ให้เห็นเป็นสักขีพยานว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมุดคณะราษฎร
‘สมบัติของชาติ’
โดยให้เวลา ๑ อาทิตย์
จะกลับไปขอรับแผ่นดีวีดีบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดนั้น
ดูซิว่ามะรืนนี้จะมีทหารไปหิ้วนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
เหมือนที่นำตัว ศรีสุวรรณ จรรยา ไปเข้าค่ายก่อนเขายื่นหนังสือให้นายกฯ ตู่ชี้แจงเงื่อนงำการหายไปของหมุดคณะราษฎร
(#PPTVHD36)
ด้วยหรือไม่
ท่ามกลางกระแส ‘ลือ’ เริ่มหนาหูขึ้น วันนี้เป็นวันที่สามว่างานนี้
“เสี่ยสั่งทำ” อันเป็นผลให้ คสช. ลอยตัว
ก็เลยย่ามใจ รีบตักตวงต่อไปไม่หยุดยั้ง ใหม่เอี่ยมล่าสุด
ผลประชุม ครม. วันนี้น่าจะอนุมัติ “เลื่อนขั้นเงินเดือนกรณีพิเศษ ๒ ขั้น
เพิ่มเติมอีกร้อยละ ๓ นอกเหนือโควต้าปกติจากงบกลาง
เพิ่มเติมให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานใน คสช.
ที่อยู่ในเกณฑ์สามารถนำมาพิจารณาบำเหน็จประจำปีได้จำนวน ๗๒๑ คน”
ให้มีผลในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ นี้เลย “โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดในโอกาสแรกก่อน”
อันนั้นจะเป็นผลงานของสำนักเลขาธิการ คสช. โดยตรง
แต่อีกอันเป็นหน้าที่ของ สนช. พวกลิ่วล้อคอยผ่านกฎหมายให้
คสช.ครองเมืองได้นานไม่น้อยกว่า ๒๐ ปี
มีร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสำคัญสองฉบับเข้าสู่การพิจารณาของ
สนช. วันนี้ คือกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมาย กกต. ที่ว่ากันว่าจะไม่มีการ ‘ถอนก่อนเสร็จ’ withdrawal อย่างเด็ดขาด
แม้นว่าพรรคการเมืองหลักสองพรรคจะออกอาการไม่เห็นด้วยก็ตาม
เกี่ยวกับ พ.ร.ป. พรรคการเมือง นอกจาก “เพิ่มมาตรา ๑๔ ว่าด้วยคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคและนโยบายพรรคการเมืองขึ้นใหม่”
แล้ว มีกำหนดห้ามศาสนาเข้าไปข้องเกี่ยวกิจกรรมพรรคการเมืองเด็ดขาด
และกำหนดโทษยุบพรรคในรายละเอียดการกระทำต้องห้ามหลายอย่าง
รวมทั้ง “ให้บุคคลที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคครอบงำ ควบคุม ชี้นำ สมาชิกพรรคจนขาดอิสระ...
“และเมื่อศาลมีคำสั่งยุบพรรค
ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นด้วย
จากเดิมที่ไม่ได้ระบุโทษต่อกรรมการบริหารพรรค”
กรณี พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง มีการเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามในด้านจริยธรรมว่า
กรรมการเลือกตั้งจะต้อง “ไม่เคยมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
แล้ว
ก็มาถึงประเด็นสำคัญยิ่งยวด
คือจำนวนเงินที่ต้องควักจากคลังไปให้แก่ กกต.
แม้จะไม่มีการให้สองขั้นเหมือนข้าราชการ คสช. แต่ก็จะมี
บำเหน็ดตอบแทนเป็นเงินจ่ายครั้งเดียวแก่กรรมการและประธาน เมื่อพ้นจากตำแหน่ง
“ในกรณีออกเมื่อครบวาระ, ตาย, ลาออก มีอายุครบ ๗๐ ปีโดยการจ่ายค่าบำเหน็จนั้นให้นำเงินเดือนคูณด้วยปีที่ดำรงตำแหน่ง
โดยเศษของปีให้นับเป็น ๑ ปี”
เห็นหรือยังล่ะว่า หมุดหาย ‘ชั่งหัวมัน’ สำหรับ คสช. ‘ค่าตอบแทน’ สำคัญกว่า
และมาก่อน