บจก. เอเจนซี่ ฟอร์
เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2558 นายกรัฐมนตรีได้ไปเปิดเส้นทางจักรยานเกาะรัตนโกสินทร์ 'โสภณ' มั่นใจว่าโครงการจักรยานและการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์เป็นแค่ปาหี่
ไม่มีผลดีต่อส่วนรวม พร้อมเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
เห็นต่างจากแนวทางการพัฒนากรุงเทพมหานครที่กรุงเทพมหานครโดยพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการอยู่
โดยเห็นว่าการทำเลนจักรยานจะไม่ได้ผลหากคนส่วนใหญ่ยังใช้รถยนต์ ควรขุดสนามหลวงทำที่จอดรถใต้ดิน
พร้อมกับแปลงสนามหลวงให้เป็นไนท์ปาร์ซาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้เป็นที่เลื่องลือ
โครงการจักรยานแบบปาหี่
ทุกวันนี้โครงการจักรยานของกรุงเทพมหานครเป็นแค่ปาหี่ที่ไม่คุ้มค่า
มีผู้ใช้จำกัด แน่นอนว่าย่อมมีผู้ใช้ที่ชอบอยู่จำนวนหนึ่ง แต่น้อยมาก สิ่งที่ทำมาจึงได้ไม่คุ้มเสีย เกะกะ และไม่ได้มีผลในทางปฏิบัติจริง
เป็นแค่โครงการแบบผักชีโรยหน้า ทำให้ผ่านๆ ไป โดยจะสร้างผลเสียในระยะยาว เช่น ค่าบำรุงรักษา
และกลายเป็นสิ่งเกะกะบนบาทวิถี
ยิ่งโครงการจักรยานบนเกาะรัตนโกสินทร์
ก็คงจะมีนักท่องเที่ยวใช้ได้แค่จำนวนหนึ่ง
การลงทุนไปมากมาย (แต่ไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นเงินเท่าไหร่
ซึ่งกรุงเทพมหานครคงไม่อยากจะเปิดเผยถึงต้นทุนการดำเนินการ เพราะเป็นความสูญเปล่า)
อาจไม่คุ้มค่า เพราะโครงการจักรยานที่แท้
จะต้องรณรงค์ให้ประชาชนในท้องถิ่นร่ว่มใจกันขี่จักรยาน
และมีระบบการป้องกันภัยที่ดี
โครงการจักรยานที่
'โสภณ' เสนอ
แต่ท่านเชื่อไหมการแปลงกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองจักรยานทำได้ทันที
คุ้มค่า มีความเป็นไปได้ทางการเงิน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ฯลฯ
แต่ที่ผ่านมาไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง เริ่มต้นเพียงทำจักรยานให้เช่าให้แพร่หลาย
และสนับสนุนการใช้สอยจริงในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางไปทำงานในแต่ละวัน
ไม่ใช่เน้นเพื่อนักท่องเที่ยว โดยการให้มีจุดเช่า/คืนประมาณ 1,000 จุดทั่วเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน-กลาง
และส่งเสริมให้มีการใช้จักรยานอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้การใช้จักรยานเป็นจริงได้
หากแต่ละจุดมีจักรยานให้เช่า 40 คัน รวม 40,000 คัน
ถ้าซื้อมาคัน ละ 3,000 บาท (ราคาซื้อเป็นจำนวนมาก) ก็เป็นเงินเพียง
160 ล้านบาท ค่าสถานที่และจัดการอีกประมาณ 1 เท่าตัว
จะเห็นได้ว่าโครงการนี้สำเร็จได้ด้วยเงินเพียงไม่เกิน 400 ล้านบาท
ยิ่งหากมีการส่งเสริมการใช้จักรยานให้เช่าขี่ไปทำงานหรือไปติดต่อธุระใด ๆ
มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนประชากรจักรยานบนท้องถนนได้ ก็จะทำให้การขี่จักรยานยิ่งปลอดภัยขึ้น
ในทางการเงิน ค่าเช่าจักรยานในแต่ละวัน (วันหนึ่งได้หลายเที่ยว)
อาจเป็นเงินเพียง 20 บาท โดยมีกำไรสุทธิ 20% หรือเพียง 4 บาท
เมื่อโครงการอยู่ตัวแล้วในแต่ละวันอาจมีผู้เช่าเพียง 30% ของรถทั้งหมด
คือมีผู้เช่า 12,000 คันจากทั้งหมด 40,000 คัน
ในปีหนึ่งก็จะมีรายได้สุทธิ 17.52 ล้านบาท
หรือมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 4.4% ซึ่งแม้จะไม่สูงนัก แต่ก็ไม่ขาดทุน
อันที่จริงกรุงเทพมหานครน่าขี่จักรยานที่สุดเพราะไม่มีเนินเขา
ถ้าเรารณรงค์ให้เขตชั้นในๆ เป็นเขตส่งเสริมการใช้จักรยาน การใช้จักรยานก็จะยิ่งเป็นจริงเพราะระยะทางแต่ละจุดไม่ไกลเกินไป
ยิ่งเราส่งเสริมให้คนใช้จักรยานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนขี่มาก
ในเวลาไม่ช้าจะมีจักรยานในเขตใจกลางเมืองทั้ง 6 เขตนี้มากกว่ารถจักรยานหรือรถอื่นๆ เสียอีก เมื่อถึงเวลานั้นฝุ่นควันในเมืองก็จะลดลงจนไม่เป็นปัญหาในการขี่จักรยานอีกต่อไป
ยิ่งหากเรากระตุ้นด้วยการขอความร่วมมือจากดารา 'เซเลป'
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ฯลฯ
ออกมาช่วยกันขี่จักรยานจากอาคารชุดหรือบ้านอยู่อาศัยใจกลางเมืองไปทำงานด้วยแล้ว
จะยิ่งกระตุ้นให้คนขี่จักรยานมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเสริมด้วยการสร้างอาคารจอดรถในเขตรอบนอกเพื่อส่งเสริมให้คนจอดรถไว้นอกเมือง
แล้วนั่งรถไฟฟ้าและเช่าจักรยานขี่ในเมืองมากยิ่ง และเมื่อโครงการสำเร็จ
เราก็จะสามารถขยายเขตขี่จักรยานครอบคลุมได้มากยิ่งขึ้นอีก
การขุดสนามหลวง
สนามหลวงควรได้รับการพัฒนาใต้ดินโดยก่อสร้างเป็นอาคารจอดรถขนาดใหญ่สำหรับรถโดยสารปรับอากาศที่เดินทางมาท่องเที่ยว และสำหรับผู้มาติดต่อราชการต่าง ๆ ตลอดจนวิสาหกิจเอกชนในพื้นที่ นอกจากนั้นยังสามารถสร้างเป็นแหล่งเชื่อมต่อสำคัญของสายรถประจำทาง
สถานีขนส่งสายใต้ และอาจเป็นศูนย์รวมระบบขนส่งมวลชนระบบรางในอนาคตอีกด้วย
การพัฒนาเช่นนี้สามารถทำได้ง่ายและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยมาก
สนามหลวงมีขนาดประมาณ 70 ไร่ หรือ 112,000 ตารางเมตร หากใช้พื้นที่ก่อสร้างเพียง 60%
โดยสร้างเป็นอาคาขนาด 4 ชั้น
ก็จะมีพื้นที่รวมประมาณ 268,800 ตารางเมตร ยิ่งหากทำอุโมงค์เชื่อมต่อกับทางยกระดับในบริเวณใกล้เคียง
ก็ยิ่งจะทำให้สนามหลวงกลับมา "รับใช้ประชาชน" เป็นศูนย์กลางการเดินทาง
และทำให้พื้นที่ใจกลางเมืองฟื้นคืนกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง
การแปลงสนามหลวงเป็นไนท์บาร์ซาร์
เราควรเริ่มต้นให้ใช้พื้นที่บริเวณสนามหลวง และรอบกระทรวงยุติธรรม
ซึ่งมีพื้นที่รวมกันประมาณประมาณ 60,000 ตารางเมตร
ซึ่งคิดเฉพาะพื้นที่ในบริเวณทางเดินรอบสนามหลวงและพื้นที่บนทางเท้ารอบอาคารศาลยุติธรรม
ตลอดจนถนนราชินีและถนนหน้าหับเผยข้างอาคารศาลฯ
หากนำพื้นที่ 50% มาใช้เพื่อกิจกรรมสันทนาการและไนท์บาซาร์ ก็จะกินพื้นที่ประมาณ
30,000 ตารางเมตร
กรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าของพื้นที่สามารถจัดกิจกรรมตลาดได้ทุกวัน
นำรายได้เข้ามาบำรุงเกาะรัตนโกสินทร์ได้เพิ่มเติม เช่น คืนหนึ่งหากมีพื้นที่เช่าประมาณ
20,000 ตารางเมตรในระยะเวลาเริ่มต้น
คิดเป็นเงินตารางเมตรละ 100 บาทต่อคืน ก็จะได้เงินประมาณปีละ 720 ล้านบาท
หากหักค่าใช้จ่ายเหลือเงินกำไรสุทธิ 20%
เพื่อนำมาพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ให้มีความสง่างามเพิ่มเติม ก็จะได้เงินประมาณ 144
ล้านบาทต่อปี ยิ่งหากการพัฒนานี้ขยายตัว
ก็ยิ่งจะได้รายได้มาพัฒนากรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้น
และด้วยการจัดการที่ดี มีการบำรุงรักษาสถานที่หลังจากการใช้สอย
ก็จะทำให้ภูมิทัศน์ของเกาะรัตนโกสินทร์ ยังคงความสง่างามและจะยิ่งสง่างามยิ่งขึ้น
หากมีได้เงินกำไรมาพัฒนาเพิ่มเติม
กิจกรรมไนท์บาซาร์นี้ควรเปิดบริการในระหว่างเวลา 18:00 – 24:00 น. และควรมีกิจกรรมเสริมเช่น
การล่องเรือรอบคลองหลอด
ลานการแสดงออกสำหรับคนหนุ่มสาวและศิลปิน เป็นต้น
และในอนาคตยังสามารถขยายไปยังถนนมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ และอื่น ๆ
ในเกาะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งถนนราชดำเนินในและถนนราชดำเนินกลาง จนกลายเป็นตลาดไนท์บาซาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประโยชน์จากการนี้เปิดตลาดไนท์บาซาร์ ณ เกาะรัตนโกสินทร์ ได้แก่
1. เป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย
ให้ประชาชนได้ชื่นชมอาคารสถานที่สำคัญของเกาะรัตนโกสินทร์ในห้วงเวลาที่ไม่ร้อนเช่นเวลากลางวัน
ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความหวงแหนในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย
2. เป็นการเปิดโอกาสให้วัยรุ่น เยาวชน
คนหนุ่มสาว ศิลปิน
ได้มีพื้นที่แสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่ไนท์บาซาร์แห่งนี้
ซึ่งไม่ได้เน้นเพื่อการขายสินค้าแต่อย่างใด
3. เป็นการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้มีพื้นที่ทำการค้าในราคาที่ยุติธรรมพร้อมการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐาน
4. เป็นสถานที่ทางเลือกเพื่อการพักผ่อนที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนในยามค่ำคืน
ซึ่งจะทำให้พื้นที่นี้มีชีวิตชีวา ปลอดจากมิจฉาชีพ
โดยทั้งนี้จะมีการจัดวางกำลังรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี
บุตรหลานสามารถเดินทางมาได้อย่างปลอดภัย
5. เป็นการทำให้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งนอกจากจะควรได้รับการยกย่องเชิดชูแล้ว
ยังสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนทั้งที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร
ประชาชนไทยโดยทั่วไปและนักท่องเที่ยว
6. เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สะอาด
ปลอดมลพิษ มีคุณภาพ ให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเป็นที่ประจักษ์ในเชิงสากล
โดยไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวประเภทการให้บริการทางเพศหรืออื่นใดที่ทำให้ชื่อเสียงของประเทศชาติมัวหมอง