พ่อของคุณเอกชัย ชายหนุ่มรูปร่างโปร่ง พูดจาขวานผ่าซาก ผู้ต้องหาคดี 112 |
โทษทัณฑ์อันสมควรต่อครอบครัวนักโทษ 112
Fri, 2014-12-12 15:58
กรกช เพียงใจ
ที่มา ประชาไท
กรณีที่จะกล่าวถึงคือ กรณีของเอกชัย
เท่าที่พบเห็น เอกชัย เป็นชายหนุ่มรูปร่างโปร่ง พูดจาขวานผ่าซาก เขาเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวคนจีน น้องสาวของเขาทำรายได้ดีกว่า ทำหน้าที่ส่งเสียพ่อแม่และแยกออกจากบ้านไป ส่วนเขาอยู่บ้านดูแลพ่อและแม่ที่แก่ชราและหารายได้จากงานที่ทำอยู่บ้านได้ เช่น ขายหวยออนไลน์
เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำที่มักมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ แน่นอน ครอบครัวเขาเป็นคนชั้นกลาง ไม่ได้ลำบากยากจน เขาไม่ใช่พวกสนใจการเมือง แต่เนื่องจากอยู่กับบ้านและมีเวลาว่างเยอะ ประกอบกับหลังรัฐประหาร 2549 หวยออนไลน์แหล่งรายได้ของเขาถูกยกเลิกทำให้ยิ่งว่างหนัก จึงมีโอกาสท่องอินเตอร์เน็ตเพื่อดูข่าวสารต่างๆ และรวมถึงข่าวสารภาษาอังกฤษ อินเตอร์เน็ตนี่เองที่ชักนำให้เขาเริ่มศึกษาการเมืองจริงจัง
วันที่เขาโดนจับกุมคือวันที่ 10 มี.ค.2554 วันนั้นมีการชุมนุมเล็กๆ ของกลุ่มแดงสยามที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา ข้างสนามหลวง เขาแบกเป้ออกจากบ้านพร้อมสำเนาเอกสารวิกิลีกส์ฉบับแปลไทยหลายชุด และซีดีสารคดีการเมืองไทยที่สำนักข่าวเอบีซีของออสเตรเลียจัดทำขึ้น ทั้งสองสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่หาได้จากอินเตอร์เน็ต เขาเห็นว่ามันมีนัยยะทางการเมืองที่น่าสนใจจึงต้องการให้ชาวบ้านธรรมดาที่อาจเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ตและมาชุมนุมตามม็อบต่างๆ ได้มีโอกาสเห็นบ้าง
“มุมมองสื่อนอกน่าสนใจ เป็นกลางที่สุดแล้ว เหลืองก็เชียร์แต่เหลืองแดงก็เชียร์แต่แดง แต่สื่อต่างประเทศเขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย เขาทำออกมาได้ดีเลยอยากให้คนอื่นได้ดูมั่ง ขายชุดละ 20 บาทเอง” เอกชัยเคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่ง
เขาเป็นหนึ่งในน้อยคนนักที่โชคดีได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี เข้าไปนอนในคุกเพียงไม่กี่คืน อย่างไรก็ตาม การโดนคดีนี้ทำให้เขาสนใจการเมืองมากขึ้น สนใจนักโทษการเมืองมากขึ้น ก่อนหน้าที่เขาจะไปใช้ชีวิตยาวนานในคุก เขาเคยผลิตงานหลายชิ้นที่น่าสนใจ ทั้งการบันทึกประวัติของนักโทษการเมืองที่เรือจำหลักสี่หลายคน หรืองานประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสืบค้นกฎหมายนิรโทษกรรมของไทยที่ผ่านมา หลายคนบอกว่างานเขียนของเขาเรียบนิ่ง..ช่างตรงข้ามกับบุคลิก
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงเรื่องในอดีตที่อาจไม่มีประโยชน์หรือป็นประเด็นสำหรับการสนทนาในวันนี้ แต่ที่ต้องพูดถึงมันอีกครั้งเนื่องจากผลพวงของสิ่งที่เขาทำทำให้เขาถูกตัดสินจำคุก 3 ปี 4 เดือนและโทษทัณฑ์นั้นลามถึงครอบครัวของเขาอย่างไม่อาจเลี่ยง ขอเสริมด้วยว่าคดีนี้เขาไม่ได้ยอมรับสารภาพเหมือนกรณีอื่น เหตุเพราะเขามั่นใจว่าสิ่งที่นำมาขายนั้นไม่ผิด เขาต้องการให้ศาลเรียกองคมนตรีซึ่งเป็นบุคคลที่ปรากฏชื่อในวิกิลีกส์มาเป็นพยานด้วยว่าเรื่องที่ปรากฏในเอกสารเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดศาลเจรจาจนไม่มีการเรียกพยานดังกล่าว ส่วนสำนักข่าวเอบีซีเจ้าของสารคดีชิ้นดังกล่าวก็ไม่ได้มาเป็นพยานให้ดังที่เขาต้องการ โดยระบุเพียงว่าข่าวชิ้นนี้เผยแพร่ในออสเตรเลีย ไม่ใช่ในไทย ... มีบางคนพูดว่า เขาไม่โดนฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ก็ดีแล้ว และท้ายที่สุดมีเพียง ส.ศิวรักษ์ ที่มาเป็นพยาน
ผ่านมา 1 ปี 8 เดือน ผู้คนลืมชื่อของเขาไปแล้ว ถึงวันนี้เขายังคงสู้คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นฎีกา แต่ผ่านมา 4 เดือนแล้วนับตั้งแต่จำเลยยื่นฎีกาแต่จำเลยก็ยังไม่ทราบว่าศาลฎีการับฎีกาหรือไม่ มันทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับชีวิตอย่างไร หากไม่รับ คดีสิ้นสุด ก็จะได้ทำเรื่องขอลดโทษเนื่องจากเป็นนักโทษชั้นดี หรือหากรับฎีกาจะได้รู้ว่าต้องรอคำพิพากษาต่อไป
ขณะเดียวกันด้านนอกลูกกรง เวลาก็ทำหน้าที่ของมันได้ดียิ่ง พ่อและแม่วัยชราของเอกชัยอยู่บ้านเพียงลำพัง พ่อวัย 85 ปีที่เป็นพาร์คินสัน และเคยเดินได้ก้าวสั้นๆ ขณะนี้ได้ล้มหมอนนอนเสื่อจนไม่สามารถเดินได้แล้ว ที่ผ่านมาพ่อทำหน้าที่ดูแลแม่ของเอกชัยซึ่งต้องนั่งรถเข็น แต่ตอนนี้กลายเป็นแม่เอกชัยต้องพยายามใช้ไม้เท้าพยุงกายดูแลตัวเองและพ่อแทน โดยมีคนข้างบ้านคอยอนุเคราะห์หาซื้อข้าวปลา หรือจัดการเรื่องเร่งด่วนให้
พ่อเล่าว่า วันหนึ่งแม่ล้มในห้องน้ำและพ่อไปช่วยพยุง ทำให้หลังยอกและลามถึงขา ปวดจนเดินไม่ได้ แม้แต่นั่งก็เจ็บ ลูกสาวพาพ่อไปโรงพยาบาล นอนโรงพยาบาลหลายวันแต่หมอก็ไม่ทำอะไรนอกจากบอกว่าเป็นโรคคนแก่ ดังนั้นผัวเมียคู่นี้จึงกลับมาอยู่บ้านและดูแลกันเองอีกครั้ง
หากตายายคู่นี้ไม่ได้พอมีฐานะ ไม่ได้มีบ้านช่องไว้ซุกหัวนอนแล้วล่ะก็ สภาพพวกเขาตอนนี้ก็น่าจะออกรายการประเภท “วงเวียนชีวิต” ได้
ญาติพี่น้องทุกคนตัดขาดเอกชัย มีเพียงพ่อและแม่ที่ยังห่วงใยเขาอยู่ สมัยที่พ่อของเอกชัยยังพอเดินได้งกๆ เงิ่นๆ เขาเป็นผู้มาทำเรื่องยื่นประกันเอกชัยด้วยตนเอง ซึ่งต้องเดินทางมาศาล มาคุก หลายต่อหลายครั้ง ครั้งหลังๆ พ่อบอกว่า เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะมาอีกในครั้งต่อไปแล้ว แล้วโชคชะตาก็เล่นกลช่วยเหลือให้เอกชัยได้ประกัน
ระหว่างนั้นฉันมีโอกาสสนทนากับพ่อของเอกชัยในเรื่องต่างๆ เขาเป็นคนแก่ที่พูดคุยด้วยแล้วเพลินดี เราแลกเปลี่ยนกันเรื่องความป่วยไข้รวมถึงเรื่องความตายที่เขาเป็นคนเปิดประเด็น เขาบอกว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต หากเลือกได้ เขาไม่ต้องการเป็น ‘ผัก’ หรือนอนป่วยแบบมีสายระโยงระยาง เขาอยากให้กฎหมายอนุญาตให้คนฆ่าตัวตายได้หากการอยู่นั้นทุกข์ทรมานกว่า
มาถึงวันนี้แม้พ่อจะไม่เป็นผักเสียทีเดียวแต่ก็มีสภาพใกล้เคียงมาก เขาบนอยู่บนเตียงที่บ้านและพูดกับฉันว่า เขาอยากฆ่าตัวตาย แต่คำนวณแล้วว่าหากกระโดดลงมาจากชั้นสองของบ้านก็อาจจะไม่ตาย ฉันพยักหน้ารับและบอกว่า ไม่ตายแน่ๆ ฉะนั้นอย่าทำเลย
พ่อเล่าด้วยว่ามีอาการปวดขามาก หมอให้กินยาแก้ปวด 3 เม็ดต่อมื้อ แต่อาการปวดไม่บรรเทา จึงกินเพิ่มเองเป็น 6 เม็ด ฉันบอกกับพ่อว่าหากได้ไปพบหมออีกครั้งให้บอกหมอให้ปรับยาแต่อย่าเพิ่มขนาดยาเอง ก่อนจากกันฉันบอกให้พ่ออดทน อีกไม่กี่เดือนเอกชัยก็จะออกมาดูแลแล้ว มีแต่ความเงียบที่ตอบรับ ไม่มีการพยักหน้าหรือพูดอะไรออกมา
เราทิ้งพ่อให้นอนอยู่บ้านเพียงลำพังในวันนั้น ฉันและเพื่อนพาแม่มาเยี่ยมเอกชัย ขาสองข้างของแม่ไม่เท่ากันตั้งแต่เด็กเนื่องจากประสบอุบัติเหตุและพอเริ่มแก่ตัวก็ต้องนั่งรถเข็นมาโดยตลอด เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างทุลักทุเล เธอใส่รองเท้าเองไม่ได้ และการขึ้นรถเป็นเรื่องยากลำบากกว่าที่คาดคิดไว้มาก แต่ในที่สุดแม่ลูกก็ได้มีโอกาสเจอกัน
เอกชัยดูผอมและดำขึ้นมาก เขาบอกว่าหลังจากเรือนจำเปลี่ยนกฎใหม่ จำกัดโควตาเยี่ยมเพียง 10 คนโดยนักโทษต้องเป็นคนเขียนบัญชีรายชื่อเอง ทำให้เขาไม่ได้ออกมาเยี่ยมญาติเลยเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม เนื่องจากเขาจำชื่อบรรดาคนเสื้อแดงที่มักมาเยี่ยมเขาไม่ได้ จึงต้องรอแต่พ่อแม่มาเยี่ยมและพ่อแม่ก็มาเยี่ยมได้ยากมาก
แม่ของเขาบอกเล่าอาการป่วยของพ่อ เขามีสีหน้ากังวลใจแต่ไม่กล่าวว่าอะไร
ในฐานะผู้สังเกตการณ์ฉันได้แต่หวังว่าพ่อของเขาจะอดทนได้นานพอ อีก 1 ปี 7 เดือนเท่านั้น