วันอาทิตย์, สิงหาคม 31, 2568

ตั้งรัฐบาลวันนี้ พรรคประชาชน 'เนื้อหอม' แต่จะไปทางไหนมีแต่อลเวง ก็เลยมีเสียงจากคณะก้าวหน้า ฟากไหนล้วนแต่ร้าย ยืนหยัดยุบสภาท่าเดียวดีกว่า

ตั้งรัฐบาล จากวานนี้อุตลุด มาวันนี้อลเวง พรรคประชาชนกลายเป็นเนื้อหอม ใครก็อยากได้ แม้นว่าเพื่อไทยมาสายตามเคย สีน้ำเงิน ๖ โมงเย็นวันที่ ๒๙ ไปถึงแล้ว สีแดงต้องรอบ่ายโมงวันที่ ๓๑ จึงจะได้ไป เลยมีคำถามทำไม ชัยเกษม ไม่ไปเอง

เรื่องของเรื่อง มาจาก หนุ่มเมืองจันทน์ตั้งแง่สงสัยพรรคเพื่อไทยทำไมแค่ส่ง สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค กับ จิราพร สินธุไพร รองหัวหน้าฯ ไปคุย ของภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดทนายกฯ ไปเอง ถ้าให้ ชัยเกษม นิติศิริ ไปด้วยน่าจะมีน้ำหนักกว่าทุกคนในพรรค

“วันนี้แม้จะไม่มีอำนาจในพรรค แต่วันที่เป็นนายกฯ เขาจะมีอำนาจเต็ม ยุบสภาได้โดยไม่ต้องถามใคร” เรื่องอำนาจยุบสภาฯ นี้ มีแต่เลขาฯ กฤษฎีกา ที่ออกมาท้วงว่ารักษาการนายกฯ ทำไม่ได้ แต่ ไอลอว์แม่นกว่า บอก อุ๊งอิ๊ง หลุดไปแล้ว ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนทำได้

และดีลที่เพื่อไทยมอบให้ นอกจากรับข้อเสนอของพรรคประชาชนทั้งหมดแล้ว ยังเพิ่มเติมว่า “หากกระบวนการตามเงื่อนไขบรรลุผลก่อนกำหนดเวลา รัฐบาลจะยุบสภาทันที” กับทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งบวกยกเลิกเอ็มโอยู ๔๓ และ ๔๔ ด้วย

มากกว่านั้นไปอีก ถ้อยแถลงบอกว่า “จะร่วมมือกับพรรคประชาชนและทุกฝ่าย เร่งดำเนินการคดี ฮั้ว สว. และ คดีที่ดินเขากระโดง...ตามกฎหมายและหลักนิติธรรมอย่างตรงไปตรงมา” ซึ่งบางคนบอกว่าเป็นเพียงวาทกรรมก่อกวนให้ดีล ภท.สั่นคลอนเท่านั้น

ซ้ำมีอีกเรื่องเพิ่งโผล่ ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ตัดพ้อถึงกรณีแพ้โหวตในกรรมาธิการ พรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ซึ่งเธอเสนอให้แก้ไข ม.๓ เพื่อเปิดประตูนิรโทษกรรมคดี ม.๑๑๒ “แพ้กันไป ๗ เสียง” ได้เพียง ๗ คะแนนจาก ปชน.และ ๑ จากกฤษฎีกา

ทนายแจม บอก “อดคิดไม่ได้ว่า หากเราได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย เพียง ๔ คะแนน เราก็จะสามารถแง้มประตูนี้ได้” ปรากฏว่ามีเบื้องหลัง มาทาง อธึกกิต แสวงสุข ว่ามีส้มกระซิบ ก่อนประชุมมีการไปล้อบบี้สีน้ำเงิน ทั้งๆ รู้ว่าเขาโหวตให้ไม่ได้

“ขอไม่เข้าประชุมได้ไหม เสียงพรรคส้มกับเพื่อไทยจะได้เป็นข้างมาก น้ำเงินแม่งไม่เข้าจริงๆ ด้วย แต่กลายเป็นเพื่อไทยโหวตขวาง หวังผลไม่หวังหล่อ” ก็มันเป็นเสียอย่างนี้ พรรคประชาชนเลยตกที่นั่งอลเวง หันซ้ายหันขวา

จึงมีเสียงจากกรรมการบริหารคณะก้าวหน้า อดีต สส.บัญชีรายชื่ออนาคตใหม่ เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ บอกเธอมองลึกๆ แล้ว จะยกมือให้อนุทินหรือชัยศิริ เป็นการ “เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ไม่ยุติธรรมอยู่ดี”

เธอว่าเจ็บแล้วต้องจำ “การสร้างฐานรากจากภาคประชาชนเป็นสิ่งที่อาจเป็นไปได้มากกว่า” อย่าพายเรือให้โจรนั่ง ยืนหยัดให้ยุบสภาเวลานี้แล้วเลือกตั้งใหม่เลย จะถูกทางมากกว่า ซ้ำคล้องจองกับขั้นตอนที่ วาสนา นาน่วมว่า “เขาบอกมา”

“การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ทุกอย่างต้องจบก่อนวันที่ ๑๑ กันยายน ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้” เดากันว่า เขาจะมีราชพิธีใหญ่ ใส่ชุดขาว-ดำกัน

(https://www.facebook.com/thestandardth/posts/2Y2rkBRJAZ, https://www.facebook.com/thai.udd.news/posts/qUajPPhaFTEy, https://www.facebook.com/sorrayuth9115/posts/2ovUy6y9Luv และ https://www.facebook.com/story=1352912009528593&id=100044294206674) 

การที่ กมธ. กฎหมายนิรโทษกรรมที่มาจากสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยปัดตกกฎหมายนิรโทษกรรมเยาวชนในคดี 112 เป็นความอำมหิตเลือดเย็นอย่างยิ่ง และจะเป็นตราบาปติดตัวพวกเขาไปตลอดกาล



https://www.facebook.com/watch/?v=1107783807520734
https://www.facebook.com/wetheequalcitizen/posts/795824082799594


เลือกยากเน๊าะ - ไม่ว่าหนุนใครก็ต้องเจอการกลับลำทั้งนั้นแหละ ดังนั้นถูกใช้แน่นอน แล้วอย่าไปคิดว่าจะมียุบสภาเลือกตั้งในสี่เดือนหรือแม้แต่หกเดือน ยิ่งสถานการณ์บางอย่างที่กำลังมา ยิ่งมีโอกาสน้อย ถ้ามันเกิดก็ดีแต่เราเชื่อว่ามันจะไม่เกิดเพราะคำมั่นสัญญา ถ้ามันจะเกิด มันจะเป็นเพราะมันเป็นผลประโยชน์ของพรรคทั้งสองมากกว่า ดังนั้นตั้งเงื่อนไขได้แต่คาดหวังไม่ได้


.....
Noi Thamsathien
5 hours ago
·
ตัดเรื่องกลัวโดนหลอกออกไปเลยดีกว่า เราว่า ไม่ว่าหนุนใครก็ต้องเจอการกลับลำทั้งนั้นแหละ ดังนั้นถูกใช้แน่นอน แล้วอย่าไปคิดว่าจะมียุบสภาเลือกตั้งในสี่เดือนหรือแม้แต่หกเดือน ยิ่งสถานการณ์บางอย่างที่กำลังมา ยิ่งมีโอกาสน้อย ถ้ามันเกิดก็ดีแต่เราเชื่อว่ามันจะไม่เกิดเพราะคำมั่นสัญญา ถ้ามันจะเกิด มันจะเป็นเพราะมันเป็นผลประโยชน์ของพรรคทั้งสองมากกว่า ดังนั้นตั้งเงื่อนไขได้แต่คาดหวังไม่ได้
แต่ถ้าจะต้องสนับสนุน พรรคปชน.ควรจะเลือกสนับสนุนใคร มีหลายคนบอกว่าให้สนับสนุนเพื่อไทย เพราะประชาชนจะได้ประโยชน์มากกว่า คำถามคือจริงหรือ
หลายคนเชื่อว่าต้องสกัดภูมิใจไทย ว่าพรรคนี้สามัคคีผู้มีอำนาจตัวจริงได้ และพรรครับใช้ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
งั้นถามหน่อย ที่ผ่านมาพท.ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือ ทึ่กลับลำหนก่อนไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้หรอกหรือ ลองย้อนกลับไปดูแต่ละบทแต่ละตอน เราจำได้ว่า คนตามการเมืองหลายคนเคยลงความเห็นว่า ระหว่างพท.และพรรคส้ม มันมีอะไรมากกว่าการเป็นแค่คู่แข่งทางการเมืองปกติ มากกว่าแค่เรื่องเกมการเมืองระหว่างพรรค มากกว่าการแย่งคะแนนนิยม เอาจริงๆเราว่าคนจำนวนไม่น้อยก็เห็นว่าพท.ก็เอาอกเอาใจกลุ่มผุ้กุมอำนาจถ้าได้รับโอกาสและความไว้วางใจอันนั้น พร้อมจะทำหน้าที่ตัวแทนและทำแทนเพื่อจะลบชอยส์ของปชช.จำนวนหนึ่งใช่หรือไม่ ภาพจำนี้มันลบไม่ได้ สำหรับคนตามการเมืองหลายคน sentiment นี้มันเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะพวกเขารักพรรคปชน.ด้วยซ้ำ แต่การกำจัดคู่แข่งทางการเมืองเพราะมีดีลพิเศษที่อยู่เหนือการเมืองนอกระบบ อันนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา
มองออกไปจากอะเจนด้าพิเศษทางการเมืองอันนี้ ก็คือหลายเรื่องที่เกิดขึ้นว่าพรรคพท.และคนทำงานการเมืองมองเพดานของตัวเองอย่างไรเวลาทำงานผิดพลาด เช่นเรื่องล่าสุดคือเรื่องโทรหาอังเคิล จริงอยู่เรื่องนี้ไม่ควรให้ศาลรธน.มาชี้ชะตานายกจากการเลือกตั้ง แต่สังคมรอนักการเมืองที่เมื่อทำผิดแสดงตนยอมรับผิด ซึ่งที่จริงนี่เป็นจุดอ่อนมานานแล้วของนักการเมืองไทยจำนวนไม่น้อย คือไม่ยอมรับความผิดพลาด การไปเรียกทหารมาก็ห่วย แต่นักการเมืองในฐานะคนจะเข้ามาบริหารบ้านเมืองต้องรู้เพดานจัดวางพฤติกรรมให้เป็นแบบแผน
เคสที่นักการเมืองควรตระหนักถึงความผิดพลาดแทนที่จะต้องรอให้ใครมาบอกหรือตัดสิน สรุปบทเรียนทำให้ชัดเจนกับสังคมว่ายอมรับ แต่เราไม่เห็นสิ่งนี้ ตอนนี้กลายเป็นว่า โจทย์ของสังคมคือต้องมีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว กลับไม่มีใครพูดประเด็นนี้ ถึงที่สุดแล้วพท.และผู้สนับสนุนไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องผิดพลาด พอใจจะมองแค่ว่าเป็นเหยื่อศาลรธน. คนอีกส่วนอย่างเราก็อึดอัดที่ศาลรธน.มายุ่งกับเรื่องการเมืองขนาดนี้ ส่วนคนที่พอใจเพราะออไม่อยู่แล้วก็ดีใจกันไป อยู่กันแบบเบี้ยวๆต่อไป
เรื่องจะหนุนใครก็ควรดีเบทกันต่อไปถ้าโอกาสอำนวย เพราะสิ่งที่ปชช.ทำได้ก็คือแบบนี้ และที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ว่าคิดว่าปชน.ควรสนับสนุนภูมิใจไทย สำหรับเรา เห็นด้วยกับหลักการว่าควรทำในสิ่งที่ทำให้อำนาจต่อรองของปชช.เข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

https://www.facebook.com/noi.thamsathien/posts/3089515551214945


ส่องเส้นทางสู่การรวมเสียงให้ถึง 247 ของ "เพื่อไทย" และ "ภูมิใจไทย" เหตุใดยังไม่แน่นอน ?



ส่องเส้นทางสู่การรวมเสียงให้ถึง 247 ของ "เพื่อไทย" และ "ภูมิใจไทย" เหตุใดยังไม่แน่นอน ?

เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

มติของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ทันที และส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องพ้นทั้งคณะ จากคดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา กำลังทำให้สังคมจับตากันว่า ขั้วการเมืองฝ่ายใดจะสามารถรวบรวมเสียง สส. ให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคุมเกมการโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 32 ให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยต่อสื่อมวลชนภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติดังกล่าวว่า ในตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะเลือกนายกรัฐมนตรีมในวันไหน เพราะต้องรอให้วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้านหารือร่วมกันก่อนว่าจะพร้อมวันไหน แล้วแจ้งให้ประธานสภากำหนดวันอีกครั้ง

ต่อมาสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ออกหลังสือนัดประชุมนัดพิเศษ ระหว่างวันที่ 3-5 ก.ย. จึงทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า อาจจะเป็นการเตรียมโหวตนายกฯ คนใหม่

ขณะเดียวกัน ในห้วง 24 ชั่วโมงแรก หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างคึกคัก โดยเฉพาะขั้วฝ่ายค้านอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่เร่งเกมเจรจาเพื่อหาแรงสนับสนุนในการรวบรวมเสียง สส. เพื่อโหวตนายกฯ ตั้งรัฐบาล


คณะรัฐมนตรีภายในการนำของ น.ส.แพทองธาร ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา

ขณะที่พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า พรรคร่วมรัฐบาลเดิมยังคงจับมือกันเป็นรัฐบาลรักษาการต่อ เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง พร้อมกับย้ำว่าพรรคเพื่อไทยจะยังคงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และยังมีแคนดิเดตอยู่อีกหนึ่งคน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ



บีบีซีไทยประมวลประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นภายหลังการเมืองไทยเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ที่จะกำหนดได้ว่าช่วงเวลาที่เหลือ ใครจะเป็นผู้กุมอำนาจบริหารของประเทศ

เป้าหมาย คือ รวมเสียง สส. ได้ถึง 247 เสียงก่อน

เมื่อพิจารณาจำนวนเสียงในสภาของฟากรัฐบาลเดิมและพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่ามีจำนวนเสียงห่างกันไม่มากนัก หรือที่เรียกกันว่า "เสียงปริ่มน้ำ" ทำให้กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้ที่เดินเกมเพื่อรวบรวมเสียงให้ได้ตามเป้าหมาย คือ มีเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 247 เสียง จากทั้งหมด 492 เสียง

ในส่วนพรรคร่วมรัฐบาลเดิมประกอบด้วย 253 เสียง ดังนี้
  • จากพรรคเพื่อไทย 140 เสียง
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
  • พรรคกล้าธรรม 25 เสียง
  • พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง
  • พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
  • พรรคประชาชาติ 9 เสียง
  • พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง
  • พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง
  • พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
  • พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง
  • พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก็มีกรณี สส.งูเห่าจาก สส. สังกัดฝ่ายค้านที่มีพฤติกรรมสนับสนุนหลายครั้งในหลายกรณี



ส่วนจำนวนเสียงในสภาของ 5 พรรคร่วมฝ่ายค้านมีทั้งหมด 239 เสียง ประกอบด้วย พรรคประชาชน 143 เสียง, พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง, พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง, พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง, และ พรรคเป็นธรรม 1 เสียง

จนถึงตอนนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคภูมิใจไทยชิงจังหวะด้วยการนำเสนอจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแข่งกับพรรคเพื่อไทยซึ่งยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน

สำหรับบุคคลที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายได้รับการเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกฯ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ประกอบด้วย 5 คน จาก 4 พรรค
  • นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย
  • พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง องคมนตรี) และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ
  • นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต่างฝ่ายต่างเร่งเจรจาเพื่อรวบรวมเสียงให้ได้ตามเป้าหมายอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า นี่จะยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไปจนกว่าจะถึงวันโหวตนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลเฉพาะกิจนำโดยภูมิใจไทย นิ่งแล้วหรือยัง ?

พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ตอบรับข้อเสนอและเงื่อนไขพรรคประชาชนแล้ว

แนวความคิดอย่างน้อย 2 ประการ ระหว่างพรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีจำนวน สส. มากที่สุด 143 เสียง กับพรรคที่มี สส. อันดับ 3 อย่าง พรรคภูมิใจไทย เห็นตรงกัน คือ รัฐบาลใหม่จะต้องเป็น "รัฐบาลเฉพาะกิจ" ที่มีวาระการดำรงตำแหน่งจำกัดเพียง 4 เดือน นับตั้งแต่การแถลงนโยบายต่อสภา โดยมีภารกิจร่วมสำคัญ คือ การจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ

แม้ว่าเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) หลังจากที่นายอนุทิน ได้เดินทางไปพบกับ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ณ ที่ทำการพรรคประชาชนแล้ว และต่อมาพบว่าพรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ตอบรับข้อเสนอและเงื่อนไขพรรคประชาชนแล้ว แต่เมื่อพิจารณาแล้ว มี 1 ข้อที่ไม่ตรงกัน

โดยเป็นข้อเสนอของพรรคภูมิใจไทยที่ต้องการแก้ปัญหาความมั่นคงกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ซึ่งไม่ปรากฏในเงื่อนไขของพรรคประชาชน และในขณะนี้ก็ยังไม่มีคำยืนยันใด ๆ จากพรรคประชาชนว่าจะตัดสินใจโหวตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีโดยการนำของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่

ทั้งนี้ นายณัฐพงษ์ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ในวันจันทร์นี้ (1 ก.ย.) พรรคจะหารือกันในเรื่องความชัดเจนในเรื่องนี้

ด้านพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ปิดประตูแห่งไมตรีสำหรับพรรคประชาชน โดยในวันนี้ (30 ส.ค.) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในประเด็นเงื่อนไขของพรรคประชาชนที่ต้องการให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ว่าในมุมมองของเขา คิดว่าเรื่องนี้ต้องคุยในรายละเอียด แต่ก็ไม่ได้ติดขัดอะไรมากมาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่จะคุยกันของทีมเจรจา

"เรื่องนี้ถ้าดูดีเอ็นเอของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยก็ไม่ห่างกันมาก มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันอยู่ นโยบายหลายอย่างมีความสอดคล้องและคล้ายคลึงกันอยู่ในหลายเรื่อง"

จับตาการข้ามขั้วจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิม


นายภูมิธรรมนำทีมแถลงข่าวพรรคร่วมเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล แต่ไร้เงาตัวแทนจากพรรคกล้าธรรม"

การเร่งเกมรุกของพรรคภูมิใจไทยในช่วงค่ำของวันที่ 29 ส.ค. ก็สะท้อนให้เห็นภาพความเป็นไปได้ของการย้ายขั้วทางการเมืองจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่มากขึ้น อย่างการหารือกับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ซึ่งมี สส. ในมือ 25 เสียง แม้ว่าเธอจะยังสงวนท่าทีด้วยการอ้างว่าขอฟังมติของสมาชิกพรรคก่อนก็ตาม

ต่อมาปรากฏภาพการแถลงข่าวร่วมระหว่างนายอนุทิน กับ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์, นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, รวมถึง นายศักดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี จากพรรคเพื่อไทย หลังร่วมหารือกับเพื่อขอเสียงสนับสนุนตั้งรัฐบาล

สำหรับนายสุชาติ เป็นแกนนำกลุ่ม 18 สส. จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ในขณะที่นายศักดากล่าวว่า มีสมาชิกอีกประมาณ 10 คน ที่จะให้การสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ

ล่าสุดวันนี้ (30 ส.ค.) พรรคกล้าธรรมออกแถลงการณ์สนับสนุนให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 โดยระบุว่า พรรคภูมิใจไทยยอมรับเงื่อนไขของพรรคกล้าธรรม หนึ่งในนั้นคือ หากมีการเสนอแก้กฎหมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายฉบับต่าง ๆ จะต้องไม่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมใจของคนไทยอย่างเด็ดขาด


สมาชิกพรรคกล้าธรรมมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะโหวตให้กับนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32

จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยสามารถรวบรวมเสียงได้มากน้อยเพียงใด มีเพียงกระแสข่าวว่าสามารถรวบรวมได้แล้ว 280 เสียง ซึ่งผู้สื่อข่าวถามนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฏิบัติทำหน้าที่แทนนายกฯ และเขาบอกว่า การที่ประกาศว่าได้ 280 เสียง โดยมีเสียงของพรรคประชาชน ทั้งที่พรรคประชาชนยังไม่ประกาศอย่างชัดเจน อันนี้ถือว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อ"

อย่างไรก็ตาม การไม่ปรากฏตัวของตัวแทนจากพรรคกล้าธรรมและนายสุชาติ ทั้งในการแถลงข่าวยืนยันจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) และการเข้าประชุม ครม. (นัดพิเศษ) ในช่วงเช้าของวันนี้ (30 ส.ค.) ก็อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีและจุดยืนของกลุ่มได้ไม่น้อย

รัฐบาลรักษาการยุบสภาได้หรือไม่

อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นที่สงสัยของสังคมในภาวะที่ยังไม่สามารถเลือกนายกฯ คนใหม่ได้ คือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ "รักษาการนายกฯ" มีอำนาจยุบสภาได้หรือไม่ แม้ว่าฝ่ายพรรคเพื่อไทยจะเชื่อว่า สามารถทำได้ แต่การให้ความเห็นล่าสุดของนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า อย่างที่เขาเคยเผยแพร่ไปว่าเป็นอำนาจเฉพาะตัวตามหลักความไว้วางใจของนายกรัฐมนตรี ในระบบรัฐสภา โดยความเห็นส่วนตัวเห็นว่า "ทำไม่ได้ อันนี้ตามตำราว่ามา"

เมื่อถามว่า ถ้ารัฐบาลประกาศยุบสภาจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ต้องพิจารณาให้รอบคอบ และเป็นความรับผิดชอบดุลยพินิจของรัฐบาลที่จะพิจารณา ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ อย่าให้ไปกระทบกระเทือนเบื้องพระยุคลบาท เพราะพระองค์ทรงไม่เกี่ยวกับการเมือง นี่เป็นหลักทั่วไปอยู่แล้ว เวลาจะทำอะไรคนที่เสนอขึ้นไปจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ และอดีตที่ปรึกษาของนายกฯ เคยให้ความเห็นเอาไว้อย่างน้อย 2 ครั้งว่า รักษาราชการแทนนายกฯ มีอำนาจยุบสภาได้ ไม่ว่าในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา "คดีนายกฯ 8 ปี" ของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือในช่วงรอคำวินิจฉัย "คดีแต่งตั้งพิชิต" ของนายเศรษฐา ทวีสิน

"ผมเห็นว่าสามารถสั่งยุบสภาได้ และในระหว่างรักษาการ ก็ถือว่ามีอำนาจเต็ม" นายวิษณุ กล่าวเมื่อ 13 ส.ค. 2567

https://www.bbc.com/thai/articles/cgkrv2kyzr7o


จับตา ‘เพื่อไทย’ พบ ปชน. รับเงื่อนไขโหวตนายกฯ 31 ส.ค. 68 'ภูมิธรรม' เสนอการทำประชามติถามเรื่องแก้ รธน. อยากให้เพิ่มเติมว่าระหว่างรอ สสร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้ใช้ฉบับของปี 2540 ไปก่อน



จับตา! พท.พบ ปชน.รับเงื่อนไขโหวตนายกฯ 31 ส.ค.68 'ภูมิธรรม' แนะช่วงร่าง รธน.ใหม่ ใช้ฉบับปี'40 ไปก่อน

31 สิงหาคม 2568
ประชาไท

ภาพปก: ภูมิธรรม เวชยชัย (ขวา) และณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ซ้าย) (ที่มา: แฟ้มภาพ ทีมสื่อพรรคประชาชน และ Voice TV)

จับตา ‘เพื่อไทย’ พบ ปชน. รับเงื่อนไขโหวตนายกฯ 31 ส.ค. 68 'ภูมิธรรม' เสนอการทำประชามติถามเรื่องแก้ รธน. อยากให้เพิ่มเติมว่าระหว่างรอ สสร.จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้ใช้ฉบับของปี 2540 ไปก่อน

30 ส.ค. 2568 ผู้สื่อข่าว The Reporters รายงานวันนี้ (30 ส.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 23.50 น. มีรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (31 ส.ค. 2568) พรรคเพื่อไทย จะส่ง สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ไปคุยข้อเสนอกับพรรคประชาชน ในขณะที่ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กระทรวงมหาดไทย และปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้เพิ่มข้อเสนอว่าในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยเสนอให้ถามเรื่องการให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ด้วย เพื่อรีเซ็ตทางการเมือง และให้สอบถามการยกเลิก MOU 43-44 ไปด้วย

ในวันเดียวกัน ก่อนหน้านี้ภูมิธรรม ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงเงื่อนไขโหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรีจากแคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ระบุว่าสิ่งที่ ปชน.ต้องการคือทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับผ่านกลไกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และให้ยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือนหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทั้งหมดของปัญหาการเมืองไทยในวันนี้คือรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ทำให้ระบบการเมืองไทยผิดเพี้ยน การแก้ไขปัญหาต้องรีเซ็ตระบบการเมืองใหม่ทั้งระบบ ดังนั้น เราเห็นด้วยว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นอุปสรรค แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยกลไกของ สสร.มันใช้เวลานาน

"ตนจึงเสนอว่าการทำประชามติที่จะถามเรื่องแก้รัฐธรรมนูญแล้ว อยากให้เพิ่มเติมไปว่าระหว่างรอ สสร. ให้ใช้รัฐธรรมนูญ 40 ที่ทุกฝ่ายมองตรงกันว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดมาใช้ไปพลางก่อนจะดีหรือไม่ รวมไปถึงการยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือนก็ไม่ใช่ปัญหา หากกระบวนการที่ว่ามาเดินหน้าได้ยุบก่อน 4 เดือนยังได้เลย เราไม่ขัดข้อง รวมไปถึงที่มีกลุ่มการเมืองบางส่วนไม่สบายใจเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา เรื่อง MOU 43-44 ตนเสนอว่าให้นำเรื่องนี้เข้าไปไว้ในประชามติให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะยกเลิกหรือไม่ เพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งสิ่งที่ตนพูดมานั้นเพื่อทำให้เสถียรภาพของประเทศต่อนานาชาติเกิดจริง เมื่อจะทำประชามติควรนำหลายเรื่องที่เป็นข้อโต้แย้งในเชิงวิกฤตมาให้ประชาชนตัดสิน" ภูมิธรรม กล่าว

ต่อประเด็นที่สื่อมวลชนถามว่ากระบวนการพูดคุยกับพรรคประชาชนไปถึงไหนแล้ว ภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้มีคณะประสานพูดคุยกัน ตอนนี้มีบางส่วนพูดคุยไปบ้างแล้ว แต่การจะเปิดการพูดคุยอย่างเป็นทางการคงต้องให้การพูดคุยหลังบ้านได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน ซึ่งขั้นตอนขณะนี้เป็นสิ่งที่ดีเพราะความคิดอุดมการณ์ของพรรคประชาชนและเพื่อไทยไม่ได้ต่างกันมากนัก

ท่ามกลางกระแสชิงธงนำจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ยังคงเข้มข้น เนื่องจากทั้ง 2 พรรคดูเหมือนว่าจะยังรวบรวมเสียง สส.ได้ไม่ครบ 247 เสียง หรือมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้การพึ่งพิงเสียงของพรรคประชาชน เป็นเรื่องที่จำเป็นมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันเสียงของพรรคประชาชนมีประมาณ 140 กว่าเสียง (รวม 1 สส.ที่ใจไปอยู่พรรคกล้าธรรมแล้ว) โดยณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อชี้แจงไปแล้วว่า ยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของพรรคใดพรรคหนึ่ง และจะมีการตัดสินใจในการประชุม สส.ของพรรค ช่วงบ่ายของวันที่ 1 ก.ย. 2568

อย่างไรก็ดี พรรคประชาชนยื่นเงื่อนไขด้วยว่า หากพรรคใดจะแสดงเจตจำนงว่ายอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน ต้องมีการนัดคุยระหว่างผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองพรรคอย่างเป็นทางการเท่านั้น

ส่วนที่สื่อสอบถามณัฐพงษ์ว่า ข้อเสนอที่ให้มีการยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา สามารถขยายเป็น 6 เดือนได้หรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ข้อเสนอ TOR ของพรรคฯ ถือเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ ไม่สามารถพิจารณาข้อเสนอที่ให้ขยายระยะเวลาได้

ขณะที่สื่อสอบถามด้วยว่าระยะเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภาฯ จะสามารถทำประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับผ่านกลไก สสร.ได้จริงหรือไม่ ณัฐพงษ์ กล่าวว่า สามารถทำได้ภายใต้กรอบระยะเวลาดังกล่าว

https://prachatai.com/journal/2025/08/114423


'ภูมิธรรม' ยุบสภาได้! 'วรเจตน์' อธิบายหลัก-เห็นแย้งเลขาฯ กฤษฎีกา


'วรเจตน์ ภาคีรัตน์' ตอบคำถามทางกฎหมาย ว่าด้วยอำนาจในการยุบสภาฯ

Premiered Aug 27, 2025

https://www.youtube.com/watch?v=I5czQ5kAtaQ
.....

'ภูมิธรรม' ยุบสภาได้! 'วรเจตน์' อธิบายหลัก-เห็นแย้งเลขาฯ กฤษฎีกา

30 สิงหาคม 2568
ประชาไท

ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ประเด็นข้อถกเถียงเรื่องอำนาจในการยุบสภาของภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่าไม่สามารถทำได้ โดยวรเจตน์ เห็นแตกต่างออกไปว่า ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ในขณะนี้สามารถนำความขึ้นกราบบังคับทูลให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเงื่อนไขหรือข้อห้ามใดไว้

วรเจตน์ เริ่มต้นอธิบาย สถานะของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเวลานี้ว่า ในรัฐธรรมนูญ 2560 แยกอำนาจออกเป็น 2 ระดับสำหรับ ครม.ที่พ้นตำแหน่งแล้ว

อันแรก ครม.พ้นตำแหน่งทั้งคณะ เพราะนายกฯ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม กฎหมายให้ ครม.ที่เหลืออยู่ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อรอ ครม.ใหม่ ส่วนตัวนายกฯ จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ อำนาจ ครม.ในกรณีนี้ไม่ได้จำกัดเป็นพิเศษ

อันที่ 2 กรณีสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ครม.ก็จะพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเหมือนกัน และต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่า ครม.ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่อำนาจของ ครม.แบบนี้จะลดลง

"ครม.ตอนนี้ไม่ได้มีการจำกัดอำนาจ เหมือนกรณี ครม.ในช่วงที่สภาสิ้นอายุหรือมีการยุบสภา เพียงแต่ในมารยาททางการเมือง เขาก็จะไม่กระทำการทางนโยบายหรืออื่นๆ เขารอ ครม.ใหม่มา" วรเจตน์ กล่าว

ส่วนคำถามว่าภูมิธรรมจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อยุบสภาฯ ได้ไหม วรเจตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีข้อห้ามในการยุบสภา รัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามแค่ 2 เรื่องคือ 1. เมื่อมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระหว่างนั้นจะยุบสภาไม่ได้ 2. สภาถูกยุบไปแล้วด้วยเหตุหนึ่งแล้วใช้เหตุเดิมมายุบซ้ำไม่ได้

"คำถามเหลือแต่เพียงว่าใครจะมีอำนาจในการทูลเกล้าฯ ร่าง พ.รฎ.ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย สำหรับประเทศไทยในอดีตนั้นเป็นเรื่องของ ครม.ที่จะมีมติยุบสภา แต่ช่วงหลังๆ มาจะเป็นตัวนายกรัฐมนตรีเองที่จะตัดสินใจและทูลเกล้าฯ ตอนนี้คนที่จะทำได้ก็คือ คนที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ซึ่งเขาจะมีอำนาจในทางกฎหมายทุกอย่างเหมือนนายกฯ ไม่มีข้อจำกัดในรัฐธรรมนูญด้วย หากเห็นว่าเป็นความเหมาะสมจะแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการยุบสภา

"บางท่านให้สัมภาษณ์ว่า รัฐธรรมนูญกำหนดว่าคนที่จะนำร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาทูลเกล้าฯ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น คำตอบคือ อันนี้ผิดข้อเท็จจริง รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเลย รัฐธรรมนูญเขียนไว้แต่เพียงว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป เขียนเพียงเท่านี้ ส่วนประเด็นว่าใครจะเป็นคนลงนามรับสนองฯ หรือเป็นคนเสนอ ไม่มีการเขียนไว้ เรื่องนี้มีฐานะเป็นการกระทำของประมุขของรัฐอันหนึ่ง ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าจะมีผลเมื่อมีรัฐมนตรีคนหนึ่งลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ถ้าคนปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ เขาเห็นควรให้มีการยุบสภา มันไม่มีอะไรตัดอำนาจเขาในการเสนอพระมหากษัตริย์ และหากพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแล้ว สภาก็ถูกยุบ

"ส่วนความเห็นของเลขาฯ กฤษฎีกาที่ออกมาให้ความเห็นล่าสุด ยืนยันว่า ครม.ที่เป็นรักษาการตอนนี้ยุบสภาไม่ได้ และระบุว่าหากดำเนินการอาจจะเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท วรเจตน์เห็นว่า ความเห็นดังกล่าวไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่ควรให้เหตุผลแบบนี้ เพราะนี่เป็นการกระทำทางการเมือง คนซึ่งเสนอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นคนรับผิดชอบทางการเมือง เพราะเขาเป็นคนลงนามรับสนองฯ

"โดยตัวคุณปกรณ์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตำแหน่งเป็นข้าราชการประจำ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี คุณปกรณ์ไม่ได้เป็นนักวิชาการ การให้ความเห็นควรมีการจำกัดไว้ เพราะเวลาเสนอข่าว เสนอเหมือนกฤษฎีกาให้ความเห็น ทั้งที่เป็นความเห็นส่วนตัวคนเดียว คนในกฤษฎีกาเห็นด้วยกันหรือไม่ มันกลายเป็นทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นความเห็นในนามสำนักงาน ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินในแง่บทบาทของข้าราชการประจำในเรื่องนี้ว่าควรมีบทบาทแค่ไหน..การเห็นแย้งของกฤษฎีกาทำได้ แต่ต้องเป็นการประชุมที่ต้องมีมติออกมาอย่างเป็นทางการ" วรเจตน์ กล่าว
 


อาจารย์นิติศาสตร์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การยุบสภาเป็นทางออกอันหนึ่งที่เปิดทางไปสู่การเลือกตั้งใหม่อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการอุทธรณ์ปัญหาต่อประชาชนให้เขาตัดสินใจ ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่รวมเสียงข้างมากไม่ได้ แล้วมีความจำเป็นต้องคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ ภายในสถานการณ์แบบนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญปลดนายกฯ ก็ให้พรรคการเมืองลงแข่งขันกันในสนามเลือกตั้ง

"และไม่ใช่ว่าผมเพิ่งเห็นว่ากรณีนี้ยุบได้ ที่จริงแล้วผมเห็นว่าก่อนหน้านี้ ช่วงนายกฯ ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ คุณภูมิธรรมก็ยุบสภาได้" วรเจตน์ กล่าว

อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าคนปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ นำความขึ้นกราบบังคับทูลได้หรือเปล่า แต่ประเด็นทางวิชาการอยู่ที่ว่า อำนาจนี้อยู่ที่ตำแหน่งนายกฯ หรือ คณะรัฐมนตรี

"ถ้ามองว่าอำนาจเป็นของตำแหน่งนายกฯ คนปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ก็ถือว่าเป็นนายกฯ คุณภูมิธรรมก็คือตัวนายกฯ นั่นแหละในทางความเป็นจริง เขาก็จะมีอำนาจทุกอย่างเท่าที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมี รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนจำกัดอำนาจไว้ด้วยซ้ำ เขาสามารถนำความขึ้นกราบบังคมทูลได้ แต่ถ้าใครมองว่าอำนาจในการเสนอแนะให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาเป็นของ ครม. มันก็ต้องมีการประชุม ครม. ในอดีตเป็นเรื่อง ครม. แต่ยุคหลังเรื่อยมา กระทั่งล่าสุดที่พลเอกประยุทธ์ยุบสภา มันก็เป็นอำนาจของนายกฯ" อาจารย์นิติศาสตร์ ระบุ

จากคำถามที่ว่าหากมีการไปร้องศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร วรเจตน์ กล่าวว่า ถ้าอยากฟ้องก็ฟ้อง แต่เวลายุบเขาก็ยกร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแล้วก็จะจบในทางการเมือง การกระทำอันนี้ก็สมบูรณ์ในทางกฎหมาย มีผลให้สภาถูกยุบไป

"การร้องศาลรัฐธรรมนูญต้องหาช่องทางร้อง แต่ผมไม่เห็นช่องทางนะ นอกจากจะตีความว่า พ.ร.ฎ.นี้เป็นกฎหมาย ซึ่งในทางทฤษฎี พ.ร.ฎ.นี้เป็นคำสั่งของประมุขของรัฐ มันใช้แค่รูปแบบเป็น พ.ร.ฎ. แต่ความจริงเป็นพระบรมราชโองการมากกว่าเพื่อให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงพร้อมกัน พร้อมกับการสิ้นสุดลงของคณะรัฐมนตรี

"เราต้องถามก่อนว่า คนที่ยุบไม่ได้เขาอ้างเหตุผลอะไร เขาอ้างว่าไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ หรือบอกว่าสภาไว้วางใจคนนี้ แล้วยังไงถ้าคนนี้ป่วย สภาก็ไม่สามารถยุบสภาได้หรือ มันตีความกฎหมายแบบนี้ไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกัน

"ตำแหน่งนายกฯ ไม่เกี่ยวกับความไว้วางใจของสภา ตำแหน่งนายกฯ เป็นพัฒนาการมาในอดีต แล้วระบบกฎหมายของเรา ไม่ได้ฟิกซ์ความไว้วางใจที่ตัวนายกฯ เราฟิกซ์ความไว้วางใจที่คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน เพราะว่ารัฐมนตรีทุกคนและ ครม.สามารถถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แล้วในรัฐธรรมนูญ 60 การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมตรีก็ถือเป็นการอภิปรายรัฐมนตรีคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเอาเรื่องความไว้วางใจมาให้เหตุผลโต้แย้ง มันอ่อนมากเลย เพราะระบบของเราไม่ได้เอาความไว้วางใจมาไว้ที่ตัวนายกฯ คนเดียว ไม่เหมือนกับเยอรมัน อันนั้นอยู่ที่ตัวนายกฯ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม.หรือรัฐมนตรีไม่ได้ ต้องอภิปรายนายกคนเดียว

"แต่ไม่ว่าจะยังไง ประเด็นเรื่องไว้วางใจนั้นไม่เกี่ยว การยุบสภาเป็นเครื่องมือที่ระบบออกแบบไว้ให้ฝ่ายบริหารในการแก้ปัญหาทางการเมือง ซึ่งเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารเขา ถ้ามีวิกฤตอะไรขึ้น ที่เรียกกันว่าจะผ่าทางตัน ตีความแบบนี้กลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่การยุบสภาคือการคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ คำถามคือทำไมหลายคนเริ่มออกมาให้ความเห็น ตีความตัวรัฐธรรมนูญขัดขวางการคืนอำนาจให้ประชาชน เท่าที่เห็นนักวิชาการบางกลุ่มที่ตีความแบบนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะต้องการให้เกิดทางตันทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การใช้มาตรา 5 … บ้านเรามักมีสภาวะแบบนี้คือ ไม่ปล่อยให้กลไกในระบบกฎหมายเดินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ผมไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลต้องยุบสภานะ แต่มันเป็นทางเลือกอันหนึ่งในการจัดการกับสภาวการณ์แบบนี้ที่ปลดนายกฯ โดยอ้างเหตุเรื่องจริยธรรมที่กว้างขวางมาก เหมือนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความสามารถในการไม่ไว้วางใจนายกฯ" วรเจตน์ กล่าว

https://prachatai.com/journal/2025/08/114417
https://www.youtube.com/watch?v=I5czQ5kAtaQ



มีคนว่า... ถูกต้องของคุณชูวิทย์ ภูมิใจไทยรีบรับข้อเสนอพรรคประชาชนก็เพียงได้อำนาจไปเป่าคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว ไม่สนใจอย่างอื่นหรอก พรรคประชาชนมองไม่ออกเชียวหรือ..


ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
7 hours ago
·
พายเรือให้หนูนั่งนายกฯ
.
อนุทินอยากเป็นนายกฯ มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ จึงย่อมมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
.
แต่ด้วยเงื่อนไขของพรรคประชาชนที่เสนอให้เวลา 4 เดือนแล้วยุบสภา
.
ภายใน 4 เดือน นายอนุทินจะไปแก้ไขปัญหาประเทศอะไรได้?
.
แต่จะเป็นการพลิกเกมเรื่องปัญหาของตัวเอง ที่มีสำนวนคดีกองไว้เต็มโต๊ะของ DSI และ กกต. ล้วนเป็นคำถามที่ประชาชนอดสงสัยไม่ได้
.
คดีสำคัญๆ ทั้งนั้น เหมือนภูเขาไฟรอระเบิด
.
การรับข้อเสนอของนายอนุทินเพียงแค่ต้องการอำนาจ และใช้มนต์เป่าคดีที่อีนุงตุงนังให้หายไป ทั้งเรื่องเขากระโดง และฮั้ว ส.ว.
.
ทุกๆ เรื่องเป็นสิ่งที่นายอนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยจะอ้างว่า “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ“ ไม่ได้ เพราะบางเรื่อง DSI ได้แจ้งข้อกล่าวหานายอนุทินด้วย
.
พรรคประชาชนต้องตระหนักว่า การโหวตให้นายอนุทินประเทศชาติจะได้ประโยชน์ใด?
.
ที่ว่า “อยู่แค่ 4 เดือน” เอาอะไรไปคิด มีข้ออ้างสารพันที่จะต้องอยู่สะสางต่อ จะไปยุบยังไง?
.
ต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ
.
พรรคประชาชนอย่าเสียเหลี่ยมคูการเมืองไปอีกเป็นรอบสอง
.
การเมืองของพรรคประชาชนเป็นการเมืองใหม่ ต่างจาก DNA ลีลาของพรรคภูมิใจไทยอยู่มากโข
.
ที่เห็นมาก็มีทั้งงูเห่า มีทั้งกล้วย มีทั้งพวกหักหลัง มีทั้งนอมินี
.
แม้จะเสนอเงื่อนไขให้ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเสนอเข้าสภาต้องผ่าน ส.ว. ก็โดนคว่ำอยู่ดี
.
ส.ว. ของใคร?
.
พรรคประชาชนจะทำอะไรได้?
.
นี่มันเป็นการที่พรรคประชาชนเชื้อเชิญให้บรรดานักการเมืองลีลาดึกดำบรรพ์ทั้งหลายขนกล้วยเสบียงกรังขึ้นบนเรือที่ตัวเองเป็นคนพายแท้ๆ
.
อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพรรคประชาชนจะไป “อินโนเซนท์“ ได้ขนาดนั้น?
.
หรือมี ”ดีลฮั้ว“ อะไรที่อยู่เบื้องหลัง?
.
เหลี่ยมนักการเมืองร้อยแปดเล่มเกวียน ลีลาการเมืองของแท้ ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากไปตายเอาดาบหน้า
.
เงื่อนไขอะไรก็รับกันหมด ทั้งภูมิใจไทย และเพื่อไทย เพราะอยากเป็นนายกฯ
.
แต่พรรคประชาชนจะเลือกใคร?
.
หรือจะตกเป็นเครื่องมืออีกครั้ง?
.
โดยครั้งนี้จะมีผลถึงคะแนนเสียงในเมืองจากการเลือกตั้งอันใกล้นี้
.
คะแนนของพรรคจะตกต่ำกว่าเดิม หากตัดสินใจผิดในครั้งนี้
.
จะพังเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยพังมาแล้วในอดีต
.
ยุบสภา ล้างไพ่ใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชน คือเงื่อนไขเดียวที่พรรคประชาชนนำเสนอตามที่เคยบอกไว้
.
ล่าสุด พรรคกล้าธรรมทิ้งเพื่อไทยไปซบภูมิใจไทยเรียบร้อย
.
ได้กระทรวงมหาดไทยมาแลก เลียนแบบภูมิใจไทยในอดีต
.
เป็นพรรคกล้าหัก หักลุงตู่ หักลุงป้อม หักทักษิณ หักดะไม่ไว้หน้าใคร
.
แบบนี้ใช่การเมืองใหม่ที่พรรคประชาชนต้องการหรือ?
.
อย่ามั่นใจเกินไป ว่าการพายเรือให้บรรดานักการเมืองเขี้ยวลากทั้งหลายนั่ง จะอยู่รอดปลอดภัย ไม่แว้งมากัดคนพายเมื่อถึงฝั่ง
.
มันไม่มีสัจจะในหมู่นักการเมือง
.....

Vatthanachai Phipatthongpanta
ถูกต้องของคุณชูวิทย์ ภูมิใจไทยรีบรับข้อเสนอพรรคประชาชนก็เพียงได้อำนาจไปเป่าคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว ไม่สนใจอย่างอื่นหรอก พรรคประชาชนมองไม่ออกเชียวหรือ..


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1333159431508867&set=a.496460395178779




อ.จรัล เขียนถึง ผู้นำและเพื่อนๆในพรรคเพื่อไทย ควรสรุปได้แล้ว ถึงเหตุที่แยกมิตรแยกศัตรูไม่ถูก อยากให้พรรคกลับมาเป็น พรรคเสรีนิยมก้าวหน้าอีก


.....
Jaran Ditapichai 
12 hours ago
·
ถึงผู้นำและเพื่อนๆในพรรคเพื่อไทย ควรสรุปได้แล้ว ทำไมพรรคจึงเปลี่ยนมาเป็นอนุรักษ์นิยมและจงรักภักดี เพราะกลัวกษัตริย์มากเกินไป แยกมิตรแยกศัตรูไม่ถูก หากลดลักษณะนี้ลง จะกลับมาเป็นพรรคที่เสรีนิยมก้าวหน้าได้อีก เพราะเคยผ่านการต่อสู้มายาวนาน
.....

Pavin Chachavalpongpun
16 hours ago
·
มาต่อค่ะ... เป็นเรื่องที่คนในวงการการเมืองและประชาชนทั่วไปสงสัยว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยถึงไม่เรียนรู้บทเรียนที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากศาลรัฐธรรมนูญ คือจะเห็นเลยว่าในตอนที่พรรคก้าวไกลโดนยุบพรรคหรือตอนที่ศาลตัดสินว่าการเสนอแก้มาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครองเนี่ย ทางพรรคเพื่อไทยดูจะไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร คนของพรรค รวมทั้งนางแบกถึงกลับดูพอใจด้วยซ้ำเพราะมันทำให้คู่แข่งทางการเมืองอย่างพรรคประชาชนต้องถอยไปอยู่ข้างสนาม (ในรูปที่แนบมา มีคนบอกว่า แพทองธารเอามาแชร์ต่อในสตอรี่เมื่อตอนที่พิธาถูกแบนทางการเมือง) แต่พออำนาจในมือตัวเองเริ่มสั่นคลอนจากการวินิจฉัยของศาล ไม่ว่าจะเป็นกรณีสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ หรือเศรษฐา มาจนถึงแพทองธารในตอนนี้ พรรคเพื่อไทยก็กลับมาเป็นผู้ถูกกระทำอีกครั้ง (จริงๆ มีมากกว่านั้น ถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 ครั้ง) แต่ที่น่าประหลาดใจคือพอมีอำนาจอยู่ในมือ ก็ไม่ได้ใช้โอกาสนั้นในการปฏิรูปหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องให้ศาลเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองได้เลย ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าดาบนี้มันจะย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองได้เสมอ ดิชั้นมองว่า นี่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะประนีประนอมกับขั้วอำนาจเก่าเพื่อรักษาอำนาจในระยะสั้นตามดีลที่ทักษิณทำไว้ แทนที่จะเลือกการต่อสู้เพื่อการปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาว (ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทักษิณคงไม่ได้กลับบ้านแต่แรก) ซึ่งความเสี่ยงมันสูงกว่า และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นกับทักษิณเองอีกครั้งในคดีชั้น 14 ที่รออยู่ด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อไหร่เพื่อไทย ติ่งทักษิณและเหล่านางแบกจะตระหนักได้ว่า ตราบใดที่กฎกติกามันไม่เป็นธรรม ทุกคนก็เป็นเหยื่อได้เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกตัวเอง


อ.ปวิน ร่ายยาว ทำไมเรา--คนไทย--และพรรคประชาชนถึงไม่ควรไว้ใจพรรคภูมิใจไทย


'ภูมิใจไทย' ก้าวสู่ปีที่ 17 เปลี่ยนสีโลโก้พรรค เป็นน้ำเงินล้วน
.....

Pavin Chachavalpongpun
19 hours ago
·
ฟื้นจากดราม่าทางการเมืองเมื่อวาน มีคำพูดมากมายในใจที่อยากเขียน เริ่มทีละเรื่องเลยนะคะ คือถ้าถามว่าทำไมเรา--คนไทย--และพรรคประชาชนถึงไม่ควรไว้ใจพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องบอกว่ามันมีเหตุผลหลายอย่างที่สะสมมานานเลยค่ะ ลองมาดูกันทีละข้อนะ
...อย่างแรกเลยคือเรื่อง "ความเป็นอนุรักษ์นิยม" คือพรรคภูมิใจไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนมากๆ เรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของสถาบันหลักที่อยู่นอกระบบรัฐสถา ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องขุนศึก-ศักดินา เลยทำให้อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้าง (ซึ่งเมืองไทยต้องการมากกกกก เยาวชนรุ่นใหม่ต้องการมากกกกก ในเวลานี้) อาทิ การปฏิรูปสถาบัน การปฏิรูป ม 112 และการปฏิรูปกองทัพ พรรคภูมิใจไทยจะคัดค้านแบบหัวชนฝา (ดูแถลงการของพรรคเมื่อคืนค่ะ) ซึ่งจุดยืนแบบนี้มันขัดแย้งกับหลักการของพรรคประชาชนที่เน้นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและสถาบันมากๆ
...ต่อมาคือเรื่อง "ความสัมพันธ์" อันนี้ก็สำคัญมากค่ะ เพราะหลายคนมองว่าภูมิใจไทยเป็นพรรคที่เชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเก่า ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือระบบราชการที่ฝังรากลึกในสังคมไทย จึงสามารถทำงานร่วมกับฝ่ายนี้ได้อย่างราบรื่น ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นแก่นแท้ทางการเมืองจริงๆ พูดง่ายๆ จุดยืนของอนุทินคือการรักษา status quo
...แล้วก็เรื่อง "อุดมการณ์" ค่ะ คือพรรคนี้ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน เพียงแต่จะเน้นที่นโยบายเศรษฐกิจที่จับต้องได้มากกว่า เช่น กัญชา หรือการคมนาคม แต่ ณ วันนี้ นโยบายแบบนี้มันคือลำดับความสำคัญแรกหรอ? เราควรต้องตั้งคำถามที่ว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างอุดมการณ์ที่เปลี่ยนการเมืองไทยกับอำนาจเก่าที่ไม่ให้ประโยชน์ต่อประชาชน พรรคนี้จะเลือกอะไร แน่นอน อนุทินต้องเลือกอย่างหลัง เราจะสนับสนุนพรรคที่ไม่สนไม่แคร์ประเด็นสิทธิมนุษยชนหรอ เราเคยได้ยินอนุทินพูดเรื่องเยาวชนในเรือนจำไหม?
...อีกเรื่องที่คนไม่ลืมเลยก็คือ "การแสดงออกทางการเมือง" ค่ะ พรรคภูมิใจไทยคือตัวแทนของการเมืองแบบเก่า คือใช้ "บ้านใหญ่" หรือ "เจ้าพ่อ" ในการรวบรวมคะแนนเสียง แล้วก็ใช้เงินเป็นหลักในการหาเสียง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับการเมืองแบบใหม่ที่คนรุ่นใหม่อยากสร้าง ที่พรรคประชาชนอยากสร้างค่ะ
...และที่สำคัญสุดก็คือ "การหักหลัง" หรือ "การไม่รักษาสัญญา" ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนจัดตั้งรัฐบาลก่อนหน้านี้ไงคะ ตอนที่พรรคเพื่อไทยกำลังรวมเสียง พรรคภูมิใจไทยก็เคยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับพรรคประชาชนมาแล้วครั้งหนึ่ง แถมตอนมีประเด็น 112 ในสภา พรรคภูมิใจก็ประกาศจุดยืนที่จะไม่ร่วมมือกับพรรคที่สนับสนุนการปฏิรูป 112 ซึ่งก็หมายถึงพรระประชาชนไม่ใช่หรอ? พอมาครั้งนี้ที่อนุทินอยากเป็นนายกจนตัวสั่น ยอมกลืนน้ำลายพร้อมร่วมงานกับพรรคประชาชน นี่มันก็ยิ่งทำให้ความไม่ไว้ใจมันเพิ่มขึ้นไปอีกค่ะ ใครจะเชื่อหรือศรัทธาพรรคการเมืองไหนก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ใช่ภูมิใจไทย เพราะแม่งไม่มีอะไรน่าภูมิใจทั้งสิ้น เหม็นการเมืองเก่า

https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/9985736691528004


ความเสี่ยงของพรรคประชาชน ในสถานการณ์ เป็น darling ที่ทุกคนอยากดึงมาร่วมงาน

.....

Pavin Chachavalpongpun 
12 hours ago
·
อีกเรื่องค่ะ เรื่องพรรคส้ม คงไม่ต้องอธิบายมากก็คงเข้าใจว่า พรรคประชาชน "เคย" เป็นที่เกลียดชังของขั้วอำนาจเดิมสุดๆ ถึงขนาดที่ว่าชนะเลือกตั้งมาแท้ๆ แต่ก็ไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ แถมยังโดนสกัดทุกวิถีทาง ทั้งการยุบพรรค ทั้งการแบนพิธา และการปัดตกนโยบายสำคัญๆ ของพรรคไปอย่างสิ้นเชิง อย่างการปฏิรูปกองทัพหรือการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นนโยบายที่ทำให้พรรคได้คะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่เยอะมาก
...แต่จู่ๆ ตอนนี้กลับตาลปัตรหมดเลยค่ะ ดิชั้นมึน เพราะสถานการณ์ที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องเจอวิกฤต ทำให้ตอนนี้พรรคประชาชนกลายเป็น "ที่รัก" หรือ darling ที่ทุกคนอยากดึงมาร่วมงาน ทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทยที่เคยปฏิเสธส้มอย่างแข็งขัน ก็กลับมาแสดงท่าทีอยากจะร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย มันเหมือนกับว่าการเมืองไทยไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรจริงๆ 555
...ในมุมมองของพรรคส้ม สถานการณ์นี้เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงเลยค่ะ โอกาสคือ พรรคส้มจะได้กลับมามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเชิงนโยบายอีกครั้ง แต่ความเสี่ยงคือพรรคจะยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมที่ทำให้พรรคเป็นที่รักของประชาชนได้หรือไม่ หรือจะต้องประนีประนอมกับพรรคที่เคยเป็นขั้วตรงข้ามจนสุดท้ายก็เสียความเป็นตัวเองไป

...ถ้าจะให้คำแนะนำนะคะ ก็คงต้องบอกว่าพรรคประชาชนต้องใช้สถานการณ์นี้อย่างชาญฉลาดที่สุดค่ะ สิ่งสำคัญคือต้องไม่หลงระเริงไปกับคำเชิญชวน และต้องยึดมั่นในหลักการที่เคยประกาศไว้กับประชาชนมาตลอด ที่ผ่านมาที่พรรคได้รับความนิยมสูงก็เพราะความชัดเจนและตรงไปตรงมา ถ้าพรรคต้องยอมลดทอนจุดยืนเพื่อแลกกับอำนาจในระยะสั้น มันอาจจะทำให้อนาคตทางการเมืองในระยะยาวของพรรคต้องสั่นคลอนได้ ขอให้ดูพรรคเพื่อไทยที่ตระบัตสัตย์เป็นตัวอย่าง คำแนะนำคือพรรคส้มควรเจรจาอย่างมีเงื่อนไขและโปร่งใส โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง ซึ่งเป็นดีเอ็นเอที่แท้จริงของพรรค ถ้าจะเข้าไปร่วมรัฐบาลจริงๆ (ดิชั้นขอให้อย่าเกิดขึ้น) ก็ต้องมั่นใจว่าพรรคจะได้ผลักดันนโยบายสำคัญที่เคยสัญญากับประชาชนไว้ ไม่ลดน้อยไปกว่านั้น ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของใครคนใดคนหนึ่ง/พรรคใดพรรคหนึ่งค่ะ ปัญหาคือ อีพรรคส้มจะฉลาดพอไหม please...

https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/9987485244686482







 

คลิป LIVE: ด่วน! 'ธนาธร' ให้สัมภาษณ์ชี้แจง ปมกระแสข่าว คุย 'ทักษิณ' ดีลโหวตนายกฯ - เขย่าขวัญภูมิใจไทย ตอนนี้“ไม่มีกลุ่มไหนฟอร์มรัฐบาลได้”


LIVE: ด่วน! 'ธนาธร' ให้สัมภาษณ์ชี้แจง กรมกระแสข่าว คุย 'ทักษิณ' ดีลโหวตนายกฯ

The Reporters TV

https://www.youtube.com/watch?v=UDvQmuyNp9Q
.....

“ธนาธร”เขย่าขวัญภูมิใจไทย ตอนนี้“ไม่มีกลุ่มไหนฟอร์มรัฐบาลได้”

“ธนาธร" รับ “ทักษิณ”ติดต่อขอให้พรรคประชาชน โหวตหนุน “ชัยเกษม” เป็นนายกฯ แจ้งกลับมี 2 เงื่อนไข 4 เดือนยุบสภา-ทำประชามติแก้ รธน. ชี้ตอนนี้ “ไม่มีกลุ่มไหนฟอร์มรัฐบาลได้”

วันที่ 30 ส.ค. 2568 ที่โรงแรมคอนราด Bangkok นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ชี้แจงกรณีกระแสข่าวหารือกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อดึงพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลใหม่

นายธนาธร เดินเข้ามาในวงสัมภาษณ์พร้อมพูดหยอกล้อนักข่าวว่า “หนียังไงก็หนีไม่พ้น มามอบตัวเองเลย” และตอบถึงกรณีข้างต้นว่า นายทักษิณ ได้ติดต่อมาเพื่อมาขอคุยตั้งแต่วานนี้ โดยนายทักษิณ ได้ปรึกษาหารือต่อกรณีที่พรรคประชาชน (ปชน.)สามารถยกมือสนับสนุน นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ให้เป็นนายกฯ คนต่อไปได้หรือไม่ ตนได้ตอบว่า พรรค ปชน.มีจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจน

“พรรค ปชน.แถลงจุดยืนเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เมื่อวาน แต่แถลงจุดยืนเรื่องนี้มา 2 เดือนแล้วคือ TOR หรือเงื่อนไขของการยกมือสนับสนุนผู้ใดผู้หนึ่งเป็นนายกฯ โดยเงื่อนไข 2 ข้อนี้คือ 1.ยุบสภาฯภายใน 4 เดือน 2.จัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จในช่วงเวลาดังกล่าว นี่คือสิ่งที่บอก นายทักษิณ ไป”

ส่วนเรื่องรายละเอียดในการโหวตเลือกนายกฯ นั้น นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะได้คุยกับนายทักษิณ โดยบอกไปว่า ทางพรรค ปชน.มีเงื่อนไขชัดเจน ขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยพิจารณาว่า จะยอมรับเงื่อนไขพรรคประชาชนได้หรือไม่

https://www.thansettakij.com/politics/637518


คำถามที่ดีถึงเท้งและพรรคประชาชน หากพลัง "สีน้ำเงิน" สามารถกวาด สส. เข้าคอกจนเป็นเสียงข้างมาก ตอนนั้น "เท้ง" จะบีบไข่เขาได้หรือ ?




.....

เปิดรายชื่อ ‘งูเห่าเพื่อไทย’ ทยอยออกกลุ่มไลน์สส. พรรคเพื่อไทย หลังจาก ‘ศักดิ์ดา’ แถลงข่าวร่วมกับพรรคภูมิใจไทย จับตาหนุน อนุทิน นั่งนายกฯ

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวของสส.พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่คาดว่าจะไปสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จากที่นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรค พท. ได้ไปแถลงข่าวร่วมกับพรรคภท. เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้นายศักดิ์ดา ถูกดีดออกจากกลุ่มไลน์ สส.พรรคเพื่อไทย

โดยได้มี สส. เริ่มทยอยออกจากกลุ่มไลน์ สส.ของพรรคเพื่อไทย อาทิ นายประเสริฐ บุญเรือง สส.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.สุรพล บุญมา สส.นครนายก นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ สส.ศรีสะเกษ และนางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ ซึ่งรายชื่อเหล่านี้ สส.ในพรรคทราบดีแล้วถึงท่าทีที่เปลี่ยนไป เพียงแค่รอจังหวะเวลาเท่านั้น และเมื่อถึงจังหวะโอกาสเหมาะสมจึงได้ตัดสินใจ...
 
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9916399




ไม่ชอบ ‘แพทองธาร’ ดีใจกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญได้ไหม? 💬 Chit-Chat กับ เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

https://www.facebook.com/watch/?v=1258608219333710