วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2562

“ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญเสียดีไหม” วินิจฉัยด้วยความ ‘วิเศษ’ "อ้างอิง ‘ตัดต่อ’ บทบัญญัติแห่งกฎหมายบางมาตรามาเพียงบางท่อน เพื่อ...ให้ ‘เจือสม’ หรือสอดรับกับธง"


นี่เป็นอีกข้อยืนยันว่า ดีสิตามคำถามเชิงปรารภของ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายมหาชนแห่ง คณะนิติราษฎร์เอ่ยไว้เมื่อปี ๒๕๕๙ เมื่อ มีชัย ฤชุพันธุ์ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ วิเศษให้ คสช.เสร็จหมาดๆ ว่า 

“ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญเสียดีไหม”

คำวินิจฉัย (๗ ต่อ ๒) ของศาลรัฐธรรมนูญ ๑๔/๒๕๖๒ เมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสุดสภาพการเป็น ส.ส. (ย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ถูกสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ ๒๓ พฤษภาคม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจาก กกต.ไปพิจารณา) นั้น

เป็นอีกหลักฐานที่แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญแสดงบท องค์กรวิเศษ สูงสุดทางการเมือง มีอำนาจเด็ดขาด “ผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นของรัฐ” ทั้งที่องค์กรชนิดนี้ควรต้องยึดโยงทางประชาธิปไตย และมีที่มาตรงจากประชาชน แต่นี่ไม่ใช่

แล้วยังการวินิจฉัย “เป็นการวางทับ ‘มาตรหรือบรรทัดฐานใหม่’ ที่ศาลรัฐธรรมนูญสร้างขึ้นมาเอง” อีกทั้ง “อ้างอิง ‘ตัดต่อ’ บทบัญญัติแห่งกฎหมายบางมาตรามาเพียงบางท่อนบางส่วนเพื่อประกอบให้สอดรับกับธงแห่งคดี”
 
บทวิเคราะห์คำวินิจฉัยฯ เขียนโดย ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ นักวิชาการนิติศาสตร์ อีกหนึ่งในคณะนิติราษฎร์ ซึ่งอยู่ระหว่างทำปริญญาเอกในเยอรมนี ตีพิมพ์โดยนิตยสาร เวย์ชี้ให้เห็นการบิดผันหลักการทางกฎหมายสามัญ (และสากล) โดยศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง

ข้อแรกเลย การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคราวนี้ ในประเด็นการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก้าวเลย กลไก ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบออกไป ในเมื่อ “ไม่ปรากฏว่ารัฐธรรมนูญได้บัญญัติกลไกและผู้มีอำนาจวินิจฉัย” เรื่องการขาดคุณสมบัติ ส.ส.ไว้

“จะมีก็แต่เฉพาะใน พ.ร.ป.เลือกตั้ง สส. เท่านั้นที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวโดยมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี” ซึ่งในกรณีนี้ปูนเทพอธิบายว่า “พ.ร.ป.เลือกตั้ง สส. ไม่ได้มีการกล่าวไว้ถึงกรณีที่ปัญหาเรื่องคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครพรรคการเมืองแบบบัญชีรายชื่อ”

นั่นคือขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. กับการตรวจลักษณะต้องห้ามไม่ให้เป็น ส.ส.นั้นแยกจากกัน แต่ว่าศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องกรณี ธนาธรโดย “ผสมปนเปให้ทั้งสองเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน”

ประเด็นต่อมาเกี่ยวกับ “ลักษณะต้องห้ามการเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน” ปูนเทพชี้ว่าศาลตีความอย่าง ล้นเกินจน “สะท้อนทัศนคติว่าผู้ใช้กฎหมายนั้น ไม่เคารพในวิจารณญาณหรือความมีเหตุมีผลในตัวเอง ของประชาชนหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง”

ทั้งนี้จากการที่ศาลฯ ให้นิยามความหมายของ หนังสือพิมพ์ อัน ต้องห้ามต่อการเป็น ส.ส.ของธนาธร เพราะ (เคยได้) เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัคมีเดียแม้จะ “หยุดกิจการโดยยุติการผลิตนิตยสารและเลิกจ้างพนักงานบริษัท” แล้ว
 
แต่ “ตราบใดที่ยังมิได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและแจ้งยกเลิกเป็นผู้พิมพ์...ก็ยังคงเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่” การตีความเช่นนี้ไม่ได้คำนึง เคร่งครัดถึง “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมาย (มาตรา ๓๔)” ฯลฯ

ประการที่สาม ศาลอ้าง “ข้อพิรุธหลายจุดหลายประการ” ในข้อต่อสู้ของผู้ถูกร้องเรื่อง “ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ วรรคสาม และมาตรา ๑๑๔๑ นั้น” ปูนเทพแย้งว่า

“ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ มีหรือ อ้างพยานหลักฐานใดเลยที่เป็นการโต้แย้งปฏิเสธ” ได้ “มีก็แต่เพียงการสอดแทรกวิสัยที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผู้ถูกร้อง มารดาผู้ถูกร้อง หรือภริยาผู้ถูกร้อง ‘ควรทำ’ หรือ ‘อาจทำได้’”

ศาลรัฐธรรมนูญจัด สร้างแบบแผนทางประพฤติให้แก่ผู้ถูกร้องว่า “ปกติวิสัยของนักลงทุนทั่วไป และแนวทางการดูแลกิจการในครอบครัว” ขึ้นมาเอง เพื่อเป็นมาตรวินิจฉัยความน่าเชื่อถือของผู้ถูกร้องในคดีนี้ “แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ ‘ต้องทำ’ ตามกฎหมายก็ตาม”

มิหนำซ้ำศาลยัง “อ้างอิง ‘ตัดต่อ’ บทบัญญัติแห่งกฎหมายบางมาตรามาเพียงบางท่อนบางส่วนเพื่อประกอบให้ ‘เจือสม’ หรือสอดรับกับธงแห่งคดีอย่างบิดเบือน” เช่นอ้าง กม.แพ่งฯ มาตรา ๙๙๐ ด้วยการ “สรุปและแทรกเพิ่มคำ”

ว่า “ผู้ถูกร้องมี ‘หน้าที่’ นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินภายในหนึ่งเดือน” แต่กลับนำเช็คไปขึ้นเงินล่าช้า จนเป็นข้อพิรุธให้ศาลวินิจฉัยว่าผิด เพราะถ้าเอาเช็คไปขึ้นช้าแล้วธนาคารไม่จ่ายก็จะเสียหาย เป็นต้น

ทั้งๆ ที่ “ในกรณีอื่นๆ ซึ่งแม้จะล่วงพ้นเกินระยะเวลาหนึ่งเดือนไปแล้ว ก็สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้โดยไม่มีปัญหา”


สรุปว่าการวินิจฉัยด้วยความ วิเศษของศาลโดยไม่ต้องตรงตามหลักการและข้อกฎหมาย แสดงความยิ่งใหญ่ เหนือรัฐธรรมนูญ ของคน ๗ คนที่ คสช. (คณะยึดอำนาจ) จับวางไว้นี้

กระทำโดยไม่เห็นหัวประชาชนเลยแม้แต่นิด แล้วประชาชนจะยังอยากเก็บไว้ให้หนักกบาลไปทำไม