วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 20, 2562

ทำความรู้จัก Libra เหรียญ Stablecoin จาก Facebook ละเอียดทุกมุม...





ทำความรู้จัก Libra เหรียญ Stablecoin จาก Facebook ละเอียดทุกมุมไปจนถึงรูขุมขน


19 Jun 2019
NuuNeoi Blog


ทุกวงการจะมี Tipping Point (จุดเปลี่ยนผันอย่างชัดเจน) อย่างของมือถือก็เป็น iPhone แต่สำหรับวงการ Cryptocurrency นั้นยังไม่มี Tipping Point ที่ชัดเจนเท่าไหร่นัก ที่ผ่านมาเหมือนเป็นกระแส FOMO (Fear of missing out) ซะมากกว่า แต่วันนี้เริ่มเห็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่แล้วเมื่อผู้เล่นยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ได้ออกเหรียญของตัวเองอย่าง Libra ร่วมกับ Partner ยักษ์ใหญ่มากมายมหาศาล และพอได้อ่านรายละเอียดก็ทำให้เห็นว่าเหรียญนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อตามกระแสแต่อย่างใด แต่ทำมาเพื่อใช้ประโยชน์จริง ๆ และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากด้วย

หลังจากนั่งอ่าน Whitepaper เอกสารต่าง ๆ พร้อมกับเล่นเองมาหน่อยนึง วันนี้เลยขอมาสรุปให้ฟังกันว่าเจ้าเหรียญ Libra นี้คืออะไร มีแนวคิดยังไง และจะสร้างปรากฎการณ์อะไรหลังจากนี้ได้บ้างครับ

"สกุลเงินที่ใช้ร่วมกันทั่วโลก" คือมิชชั่นของ Libra





เพื่อเป็นเกียรติแก่ Libra ที่เขียน Whitepaper มาหนาปึก เลยขอยกมิชชั่นและเป้าหมายของ Libra มาให้ดูทั้งย่อหน้าก่อนดังนี้

The goal of the Libra Blockchain is to serve as a solid foundation for financial services, including a new global currency, which could meet the daily financial needs of billions of people. The blockchain has been built from the ground up to prioritize scalability, security, efficiency in storage and throughput, and future adaptability.

สรุปง่าย ๆ คือ Libra ถูกออกแบบมาให้เป็น "สกุลเงินที่ใช้ร่วมกันทั่วโลก (Global Currency)" นั่นเอง

จริง ๆ มันก็คือสกุลเงินเหมือนที่เราใช้ ๆ กันนี่แหละ ไม่มีอะไรต่างจากเดิมคือใช้ซื้อของ ใช้โอนไปมาหากัน ฯลฯ แต่ก่อนหน้านี้สกุลเงินเป็นของประเทศใครประเทศมันเนื่องด้วยเหตุผลหลัก ๆ ก็คือเพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจระดับประเทศ และเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมปริมาณเงิน

ก่อนหน้านี้ก็มีความพยายามจะสร้างสกุลเงินตรงกลางที่ใช้กันได้ทั่วโลกมาแล้ว ความจริงก็มีอยู่แล้วหละก็คือUS Dollar ซึ่งถือเป็น Global Currency (หรือเรียกอีกอย่างว่า Reserve Currency) ที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาก็ Euro แต่จะเป็นการใช้ในลักษณะการสำรองเงินระดับรัฐบาลเพื่อพิมพ์สกุลเงินท้องถิ่นมากกว่า แต่ถามว่าคนในประเทศนั้น ๆ ใช้ US Dollar ซื้อของกันมั้ย ก็ไม่

ซึ่งนี่แหละ สกุลเงินที่ "ทุกคน" ใช้ด้วยกันหมดทั้งโลกแบบจริง ๆ มันก็เลยยังไม่มี สร้างมากี่อันก็ล้มเหลวหมดเพราะไม่มีความน่าเชื่อถือ ต่อให้ผู้เล่นใหญ่แค่ไหนก็น่ากังวลอยู่ดี นี่มันเรื่องของเงินเลยนะ !

แต่ด้วยระบบ Blockchain ที่มีความเชื่อถือได้สูง ทุกอย่างโปร่งใส ถูกพิสูจน์มาแล้วจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนจากคำพูดที่หรูหราให้เป็นการใช้งานได้จริงในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทำให้ Facebook จึงตัดสินใจสร้างสกุลเงินใหม่ขึ้นมาบนเทคโนโลยี Blockchain และปล่อยออกมาเป็นสกุลที่ทุกคนจะใช้กันได้ทั่วโลกจริง ๆ โดยไม่มีคนกังขาเรื่องความน่าเชื่อถืออีกต่อไป

ดังนั้น Libra จึงถือเป็นจุด Tipping Point ใหญ่มากของวงการเงินโลก ไม่ใช่แค่วงการ Cryptocurrency นะ แต่เป็นเรื่องของการเงินระดับโลกเลยหละ

Libra เหรียญจิตวิญญาณ Stablecoin





หนึ่งในสิ่งที่เหรียญอันดับหนึ่งตลอดกาลอย่าง Bitcoin ถูกกังขามาตลอดคือ เราจะใช้มันเป็นเงินได้ไง ถ้าราคามันยังเหวี่ยงไปมาจนไม่รู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงมันเท่าไหร่ (คุณสมบัติของสกุลเงินที่ดีคือมี Volatility หรือความผันผวนต่ำ) สุดท้าย Bitcoin จึงเป็นเหมือนทองมากกว่าสกุลเงิน ไม่เหมาะกับการใช้ซื้อของ แต่ซื้อเก็บเป็น Asset ได้


โลกจึงพยายามหาวิธีสร้างเหรียญที่มีความผันผวนต่ำจะได้ใช้งานจริงกันได้ ที่ผ่านมาจึงมีสิ่งที่เรียกว่า "Stablecoin" หรือ "เหรียญที่มีมูลค่าคงที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่" ขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น เหรียญ USDT (อันฉาวโฉ่) หรือเหรียญ DAI (อันโด่งดัง) ซึ่งทั้งสองเหรียญมีมูลค่า $1 มาโดยตลอด ไม่ว่าตลาดจะผันผวนเช่นไร

ถามว่าทำได้ยังไง ? ไม่มีอะไรยากครับ มันใช้หลักการเดียวกับการพิมพ์เงินประเทศต่าง ๆ เลยหละคือ
"หาหลักทรัพย์มาค้ำประกันตามมูลค่า แล้วค่อยพิมพ์เงินออกไปตามมูลค่านั้น"

ยกตัวอย่างเช่น เอาเรือยอร์ชราคา $1,000,000 มาค้ำประกันไว้ แล้วก็พิมพ์เหรียญ YATCHCOIN ออกมาจำนวน 1,000,000 เหรียญ มูลค่าของเหรียญ 1 YATCHCOIN ก็จะเท่ากับ $1 ทันทีโดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

สำหรับ Libra ก็เช่นกัน ใน Whitepaper เขียนไว้ชัดเจนว่า
It is backed by a reserve of assets designed to give it intrinsic value;

ดังนั้นเหรียญแต่ละเหรียญจึงมีมูลค่าคงที่ Libra จึงเป็น Stablecoin อย่างเต็มรูปแบบ ถ้ามีความต้องการเหรียญเพิ่ม (ก็คือมีคนใช้เหรียญเยอะจัด ๆ จนมีไม่พอให้ใช้และครอบครอง) ก็หาของมาวางค้ำประกันเพิ่มแล้วก็พิมพ์เงินเพิ่ม การทำงานเหมือนการพิมพ์เงินของประเทศต่าง ๆ เลยนั่นเองครับ

ส่วนมูลค่าต่อเหรียญจะเท่าไหร่นั้นทาง Facebook ยังไม่ตัดสินใจ ต้องรอดูกันต่อไปอีกที

มันจึงไม่ได้เกิดมาเพื่อซื้อไว้เก็งกำไรนะ


ใครคิดจะซื้อเพื่อว่าอีก 10 ปีราคามันจะขึ้นมาหมื่นเท่าก็เสียใจด้วยนะ ไม่มีวันนั้นเพราะมันจะมูลค่าเท่าเดิมตลอดปายยยย

แล้ว Libra ยึด (Peg) กับมูลค่าของอะไร ?

ก็คงเกิดข้อสงสัยว่าถ้าเป็น Stablecoin แล้ว Libra จะยึดกับมูลค่าของสกุลเงินหรือสินทรัพย์อะไร เบื้องต้นยังไม่รู้แต่ Libra Association เขียนใน Whitepaper แบบนี้

It is important to highlight that this means one Libra will not always be able to convert into the same amount of a given local currency (i.e., Libra is not a “peg” to a single currency). Rather, as the value of the underlying assets moves, the value of one Libra in any local currency may fluctuate.

สรุปง่าย ๆ คือ Libra ไม่ได้ยึดกับสกุลเงินนะครับ แต่จะยึดกับสินทรัพย์อื่น เช่น ทอง ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เค้าบอกว่าจะเลือกตัวที่ความผันผวนต่ำเพื่อไม่ให้มูลค่าของเหรียญเหวี่ยงขึ้นลงมาเกินไป

ดังนั้นถ้าจะซื้อมาแล้วกะว่าราคาจะขึ้นได้มั้ย ก็ได้แหละ เพราะมันเหมือนซื้อสินทรัพย์ที่เค้าเอามาค้ำประกันนั่นแหละ แต่เค้าก็บอกเองว่าจะเลือกตัวที่ผันผวนน้อย ดังนั้นคงไม่คุ้มที่จะซื้อมาเก็งกำไรเท่าไหร่

แล้วจะเอาเหรียญ Libra มาครอบครองได้ยังไง ?





หลักจากองค์กรกลาง (Libra Association) เอาสินทรัพย์มาค้ำประกันและพิมพ์ (Mint) เหรียญ Libra ออกมาแล้ว องค์กรนี้ก็จะเปิดให้คนสามารถเอาเงิน Fiat (เงินที่ออกโดยรัฐบาล) มาแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญ Libra ได้โดยตรงผ่านทางกลุ่มคนที่ได้รับมอบสิทธิ์ให้บริการรับแลกเหรียญ Libra ในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งจะถูกคัดเลือกจากเครดิตระดับสเกลใหญ่เท่านั้น ร้านเล็ก ๆ คงจะเปิดไม่ได้

อันนี้คือที่เขียนใน Whitepaper

The assets in the Libra Reserve will be held by a geographically distributed network of custodians with investment-grade credit rating to provide both security and decentralization of the assets.

และความลุ้นก็อยู่ตรงนี้ ... ถ้าประเทศไหนแบนก็คงไม่สามารถมีร้านรับแลกเปลี่ยน Libra ได้ครับ

คิดว่าไทยจะแบนมั้ย ... ก็ลองเดา ๆ กันไปดูนะ

แต่ก็แหละ ตามหลักคือการซื้อขาย Libra ควรจะง่ายมาก ๆ เหมือนการแลกเงินปกติครับ

แล้วจะเปลี่ยนเงิน Libra กลับเป็นเงิน Fiat ยังไง ?

ก็เหมือนกับตอนแลกมา เราก็หาคนแลกหรือร้านรับแลกก็เป็นอันจบ

อย่างไรก็ตาม กาตัวแดง ๆ ไว้เลย ระวังข้อกฎหมายด้วยนะคร้าบบบบ รอให้ชัดก่อนเนอะ

แล้วเราจะเก็บเหรียญไว้ไหนหละ ? นี่ไง "กระเป๋า Calibra"

สำหรับเงินที่เป็นธนบัตรหรือเหรียญแบบจับต้องได้ เวลาเราได้มาเราก็เก็บใส่กระเป๋าตังค์เนอะ แต่สำหรับเหรียญ Libra ที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอลจับต้องไม่ได้แล้วเราจะเก็บไว้ไหนหละ ?

ทาง Facebook ก็ทำแอป ฯ กระเป๋าตังค์พร้อมด้วยฟีเจอร์สำหรับทำธุรกรรมครบครันไว้เรียบร้อยนามว่า Calibra หน้าตาดีมาก





เวลาไปแลกเงินให้เป็น Libra เราก็แค่บอกชื่อกระเป๋าตังค์เราไป แล้วยอดเงินก็จะขึ้นมาให้เราเอาไปใช้ต่อได้เลยทันที หรือถ้าจะโอนเงินให้เพื่อนหรือให้คนอื่นโอนมาให้ ก็ทำผ่านแอป ฯ นี้ได้เลยเช่นกันคร้าบผม

ซึ่งการจะเริ่มใช้งาน Calibra ได้เราจะต้องทำการยืนยันตัวตน (KYC) ก่อนด้วยนะ ดังนั้นการจะใช้เหรียญ Libra ได้ก็ต้องแสดงตัวตนด้วย คงจะทำผิดกฎหมายยากหน่อย (ซึ่งดี)




ก็หวังว่าข้อมูลตรงนี้จะมี Privacy สูงพอที่รัฐจะเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้นะ

สิ่งที่ขอเน้นย้ำเพิ่มตรงนี้คือ

Libra เป็นของ Libra Association เฟสบุ๊คไม่มีสิทธิ์ควบคุม ส่วน Calibra เป็นของ Facebook เต็ม ๆ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ (แต่ก็ Operate แยกกับ Facebook นะ)

เข้าใจตรงกันน้าาา

โอนเงินเร็วมาก ค่าโอนเก็บกับคนส่งแต่ถูกมาก





จากการทดลองพบว่า ใช้เวลาโอนเร็วมากกกกก แค่ 2 วินาทีเท่านั้นก็โอนเสร็จแล้ว ปลายทางได้รับอย่างว่องไว (อย่างไรก็ตาม ตามสเปคแล้วจะต้องรอ 10 วิเพื่อให้ทุกอย่างยืนยันสำเร็จ)

ส่วนค่าส่ง (Gas) ไม่ได้ฟรีแต่ก็ถูกมากจนเรียกว่าเกือบฟรี ถึงจะยังไม่ชัดเจนว่าเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะไม่ถึง 1 บาทครับ ต่อให้โอนเป็นล้านบาทก็เสียค่าส่งแค่นั้น

เมื่อประกอบกับข้อมูลด้านบนแล้ว หากใครต้องการโอนเงินข้ามประเทศ Libra นี่ตอบโจทย์ฝุด ๆ ค่าส่งถูก แปลงเงินง่าย (ถ้าไม่โดนแบนซะก่อน) เปรมกันไปเลยทีเดียว

แต่สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอันนี้ต้องรอดูว่าตกลงค่าส่งจะเท่าไหร่กันแน่ เพราะสิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือ ต้องคุ้มกับการโอน Micro Transaction (โอนเงินปริมาณน้อยมาก ๆ) ไม่งั้นก็เกิดยากอยู่ ซื้อข้าวมันไก่ 40 บาท ค่าโอน 1 บาท นี่ก็แพงเกินไปอยู่ดีเนอะ

รับ Transaction ได้ 1,000 Tx/s

เมื่อคาดหวังว่าจะมีคนใช้งานเยอะ เรื่องใหญ่มากของ Blockchain ที่เป็น Concern ตลอดมาคือ
"แล้วแกรสามารถรับ Transaction ได้มากสุดกี่ Tx ต่อวินาที !?"

สำหรับ Libra วันเริ่มแรกจะรับได้ที่แถว ๆ 1,000 transactions ต่อวินาทีซึ่งถือว่าน้อยถ้าคิดจะทำสเกลใหญ่แล้ว อย่าง VISA นี่รับได้ 24,000 tx/s เลย แต่ใช้จริงก็แถว ๆ 1,700 tx/s

ดังนั้นของ Libra ถึงจะน้อยแต่ก็น่าจะเพียงพอเพราะคงเริ่มต้นมาเล็กกว่า VISA มาก แล้วอนาคตน่าจะค่อย ๆ รับได้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

เบื้องหลังความเร็ว ... Consensus นามว่า LibraBFT





การทำงานของ Blockchain จำต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ (node) จำนวนมากทำงานร่วมกัน ช่วยกันยืนยันการทำงานของระบบว่ายังถูกต้อง หากมีใครสักคนพยายามโกง node ทุกตัวก็ต้องสามารถดูออกและเลือกไม่เชื่อถือ ปฏิเสธความผิดปกตินั้นไป

หนึ่งในสิ่งสำคัญของ Blockchain ในระดับแกนกลางก็เลยคือ "ข้อตกลงร่วมกันว่าแต่ละเครื่องจะทำงานร่วมกันอย่างไร" เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นปราศจากการโกง หรือที่เราเรียกว่า Consensus นั่นเอง

สำหรับ Libra ทาง Libra Association เลือกสร้าง Consensus ใหม่ขึ้นมาเองนามว่า LibraBFT แต่ถามว่าใหม่จากศูนย์เลยหรือเปล่าก็ตอบว่าไม่ใช่ เพราะจริง ๆ มันคือ BFT-Based Protocol ที่ชื่อว่า HotStuff (ใครทำงานสายบล็อกเชนคงรู้จักกันอยู่ละ) แล้วทาง Libra ก็เอามาพัฒนาต่อเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ไม่ลงดีเทลมากแต่บอกว่าสาเหตุที่ Libra เลือกใช้ HotStuff มาเป็นฐานก็เพราะว่า
HotStuff นั้นเป็นโปรโตคอลที่ทำงานได้เร็วมากและสามารถสเกลได้

หากเทียบกับ BFT-Based Protocol ตัวอื่น ๆ แล้ว ตัว HotStuff สามารถเพิ่มจำนวน Node ได้เรื่อย ๆ โดยไม่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพ





ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของ Libra ที่อยากจะเริ่มต้นด้วย 100 nodes แล้วค่อย ๆ ขยายจนไปถึง 500 - 1,000 nodes ในที่สุดนั่นเองครับ

ความจริง LibraBFT เป็นโปรโตคอลที่ง่ายมาก ง่ายกว่า BFT ตัวอื่น ๆ เสียอีก แต่ประสิทธิภาพนี่เต็มเปี่ยมมาก ใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมแนะนำให้อ่านตามนี้ครับ

1) Hot-Stuff โดย vmware

2) LibraBFT Consensus จากเว็บ Libra เอง

สรุปคือ Facebook วางแผนไว้แล้วว่าจะให้ Libra สเกลได้เรื่อย ๆ และจะรับ Partner เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้รับจำนวน Transaction ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงเพิ่ม Market Cap จนทะลุความต้องการของคนทั่วโลกนั่นเอง

วางแผนไว้ดีตั้งแต่ต้นแบบนี้นี่ต้องยอมรับในวิชั่น น่าจับตายาว ๆ เลย

อ่านต่อได้ที่

https://nuuneoi.com/blog/blog.php?read_id=967