มิติการเมืองในย็อกยากาต้า นักศึกษาเรียกร้องประชามติ ต้นกรกฎาคม ๒๐๐๗ |
(ถอดความ โดย ยะแดหวา จากเรื่อง Watch
the Throne : The Battle Over Indonesia”s First Female Sultan. โดย
จอน อีม้อนต์ นิตยสาร Foreign Affairs https://www.foreignaffairs.com/articles/indonesia/2015-06-09/watch-throne?cid=nlc-twofa-20150611&sp_mid=48858218&sp_rid=Y2hhZHNyaTk0QGdtYWlsLmNvbQS2)
เมื่อสุลต่านฮาเบ็งกูบูโวโน ที่สิบ
ผู้ปกครองย็อกยากาต้าของอินโดนีเซียประกาศเปิดทางให้ธิดาองค์โต กุสตี กันเจ็ง ระตู
เพ็มบาเย็น ได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนพระองค์
กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์อายุ ๔๐๐ ปี
แห่งราชอาณาจักรหนึ่งเดียวที่ยังทรงอิทธิพลในประเทศ ได้ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
เป็นเวลานับร้อยๆ ปี กษัตริย์แห่งมาตารัมปกครองแคว้นชวาตอนกลาง
เกาะหลักของอินโดนีเซีย ด้วยกฏบัตรพระชนกที่ส่งต่อจากพ่อไปสู่ลูกชาย
แต่นี่เป็นปัญหาสำหรับฮาเบ็งกูบูโวโน ๑๐ ซึ่งมีแต่ธิดา ๕ องค์ ปราศจากโอรส
เพื่อแก้ไขปัญหาพระองค์ได้ทำให้พระราชทินนามเป็นกลางไม่สังกัดเพศใด
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พระองค์ทรงยกเลิกพระนาม คาลิฟา (ผู้ดูแลของพระเจ้า)
ที่ตีความตามกฏหมายมุสลิมท้องถิ่นว่าเป็นราชทินนามพระราชทานให้ได้เฉพาะเพศชาย อีก
๕ วันต่อมาทรงเปลี่ยนนามของบุตรี จากเพ็มบาเย็นไปเป็น ‘แม็งกูภูมี’ อันเป็นชื่อที่แต่โบราณกาลมาใช้สำหรับองค์รัชทายาท
แล้วทรงให้พระธิดาประทับบนที่นั่งที่ในทางราชประเพณีมีไว้สำหรับองค์มกุฏราชกุมารเท่านั้น
กล่าวได้ว่าฮาเบ็งกูวูโวโน ๑๐ ทรงเปลี่ยนกฏมณเฑียรบาลภายในสองสามวันให้เพศหญิงสามารถเป็นสัญญลักษณ์แห่งวัฒนธรรมมุสลิมได้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีทั้งนัยยะอันสำคัญและนำไปสู่ความยุ่งยากด้วยเช่นกัน
สุลต่านแห่งย็อกยากาต้ามีอำนาจมากที่สุดของอินโดนีเซีย
เป็นราชอาณาจักรที่อยู่รอดตลอดมาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่รายล้อมอยู่ทั่วทั้งอินโดนีเซีย
ในทศวรรษ ๑๙๕๐ ฮาเบ็งกูวูโวโน ที่เก้า พระราชบิดาของสุลต่านองค์ปัจจุบัน
ให้การสนับสนุนต่อขบวนการรีพับลิกันต่อต้านการปกครองของดัทช์
จึงได้รับการตอบแทนโดยให้ย้อกยากาต้ามีสถานะเป็น ‘แดราห์
อิสติเมวา’ (เขตปกครองพิเศษ) อยู่ภายในอินโดนีเซีย
สถานะพิเศษนี้ยอมให้มีสถาบันกษัตริย์ต่อไปได้โดยสุลต่านทำหน้าที่ผู้ปกครองรัฐ
ขณะนี้ฮาเบ็งกูวูโวโน ๑๐ พระชนมายุ ๖๙ ชันษา ถ้าหากว่าพระประสงค์ของพระองค์บรรลุผล
แม็งกูภูมี ราชธิดาองค์โตก็จะได้เป็นมหารานี
ผู้ปกครองหญิงคนแรกของอาณาจักรที่สมบูรณ์ทางวัฒนธรรมและทรงอิทธิพลเหนือหลายจังหวัด
นอกเหนือจากนั้นพระนางยังจะได้เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญานของชาวมุสลิมชวาหลายสิบล้านคน
ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่ามันจะเป็นไปตามแผนการณ์
ด้วยแรงกดดันจากภายในพระบรมวงศานุวงศ์
สุลต่านแห่งย็อกยากาต้ายังมิได้สถาปนาราชบุตรีขึ้นเป็นรัชทายาทอย่างทางการ
พระองค์ทรงมีลูกพี่ลูกน้องอยู่หลายองค์ที่ต่างพากันรวมหัวกับกลุ่มมุสลิมอนุรักษ์ทำการคัดค้านมิให้ทรงตั้งราชธิดาขึ้นเป็นมหารานี
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับ ‘สับดาราชา’
อันเป็นที่รู้กันว่าคือพระบัญชาของสุลต่าน ก่อให้เกิดรอยปริแยกขึ้นในเมืองมหาวิทยาลัยที่เคยสงบเงียบ
นำไปสู่ความพยายามเสาะหาข้อยุติกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับอนาคตที่ก้าวไปอย่างรวดเร็วของราชธานีย็อกยากาต้า
ชาวย็อกยากาต้าเดินผ่ารูปของสุลต่าน หลังการชุมนุมเมื่อปลายตุลาคม ๒๐๐๘ |
กรณีศึกษาที่ย้อนแย้ง
มีนักกิจกรรมหัวก้าวหน้าในย็อกยากาต้าไม่กี่คนที่สนับสนุนความต้องการของสุลต่าน
โดยมองว่านี่เป็นแผนการณ์ที่ประกาศออกมาอย่างเปิดเผยเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งอำนาจกำกับควบคุมราชสำนักให้อยู่กับครอบครัวของพระองค์
มากเสียกว่าเป็นการตั้งอิตถีเพศขึ้นมาเป็นหัวแถวทีมสุลต่าน
ย้อกยากาต้ามักจะเผชิญกับความขัดแย้งแตกต่าง
ที่นี่เป็นหัวหาดฝ่ายก้าวหน้าทางการศึกษาระดับสูง เช่นเดียวกับเป็นฐานแห่งจิตวิญญานล้ำลึกทางด้านประเพณีแห่งพระบิดรชวา
ฮาเบ็งกูวูโวโน ๑๐
สามารถรักษาสมดุลระหว่างสองวัฒนธรรมในนคราแห่งนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
สุลต่านทรงมีดำรัสต่อบัณฑิตมหาวิทยาลัยกัดจาห์ มาดา
อันเป็นสถานอุดมศึกษาชั้นนำของอินโดนีเซีย ให้น้อมรับเอาเทคโนโลยี่ยุคใหม่และวัฒนธรรมทันสมัยเข้าไว้
พร้อมกันนั้นพระองค์ทรงนำสาธุชนมุสลิมสวดภาวนาทุกวันศุกร์
และเข้าร่วมในพิธีศักดิ์สิทธิ์ อาทิ อุปาคาลา ลาบูฮัน
งานนักขัตรฤกษ์ประจำปีเฉลิมฉลองการลงหอร่วมร่วมรักของสุลต่านกับเทพธิดาแห่งทะเลใต้
ทั้งที่สุลต่านทรงกำหนดการสืบราชสันตติวงศ์ด้วยระเบียบแผนใหม่
แต่ก็ทรงประกอบพิธีกรรมด้วยอัตตลักษณ์ทางภาษาและพิธีกรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมมุสลิมโบราณ
ทรงยกฐานะราชธิดาให้สูงขึ้นด้วยบัญชาของพระอัลเลาะห์ที่ประทานต่อพระองค์ผ่านทางราชวงศ์ดั้งเดิม
ตัวอย่างเช่น
แทนที่จะมีพระราชโองการจัดตั้งราชธิดาขึ้นเป็นรัชทายาทโดยตรง
กลับทรงกำหนดการสืบราชสมบัติโดยสัญญลักษณ์ ผ่านทาง ‘ธาวูห์
ราชา’ (พระบรมราชโองการ) ที่แก้ไขนามของราชธิดาให้คล้ายกับพระนามรัชทายาทองค์ก่อน
แล้วโปรดเกล้าให้ราชธิดาประทับบนพระแท่นศักดิ์สิทธิ์ ‘วาตู
กิลัง’ ที่สงวนไว้เป็นพิเศษสำหรับองค์รัชทายาท
พระบรมราชโองการของสุลต่านถูกต่อต้านอย่างหนักแน่นจากบางส่วนของย็อกยากาต้า
‘เคามัน’ เป็นท้องที่ในใจกลางย็อกยากาต้าที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้
เป็นแหล่งเกิดของขบวนการมูฮัมมัดดิยาห์
พวกอิสลามอินโดนีเซียยุคใหม่ที่นบนอบต่อผู้คงแก่เรียนมุสลิมในสายการบังคับบัญชาของศาสนจักรมากกว่าสุลต่าน
มุสลิมยุคใหม่จะไม่ยอมรับความเชื่อลี้ลับในคำสอนชวาโบราณที่บอกว่า
พระอัลเลาะห์ทรงสื่อสารถึงมวลมนุษย์ผ่านทางตัวกลาง
ที่ยังมีกระจัดกระจายทั่วทั้งชวา
เคยมีการชุมนุมในเคามันประท้วงพระบรมราชโองการของสุลต่าน
ผู้ร่วมประท้วงจำนวนมากยกป้าย ติดประกาศกว่าสองร้อยแผ่นไปทั่วเมืองเรียกร้องให้สุลต่านนำกฏมณเฑียรบาลดั้งเดิมมาใช้
เมื่อไม่นานมานี้ อะบุรดา ฟารุค อิมามอาวุโสของสุเหล่าเกเดห์เคามัน
ออกมาแสดงการคัดค้านสุลต่านอย่างโจ่งแจ้ง
พิธีนักขัตรฤกษ์กูนังกัน บูชาศาสดาโมฮัมเม็ด เมื่อต้นมีนาคม ๒๐๐๙ |
“มันเป็นปัญหาทางค่านิยม ปัญหาของประเพณี
ปัญหาเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ และปัญหาทางศาสนา
ถ้าหากประมุของค์ต่อไปเป็นสตรีเพศ
สายใยเชื่อมโยงอันสำคัญระหว่างราชวังกับชุมชนมุสลิมจะขาดลอย
ในเมื่อพระธิดาไม่อาจที่จะนำการสวดภาวนาในวันศุกร์ได้
นั่นเป็นความรับผิดชอบที่สุลต่านจะต้องทรงยึดมั่นตลอดรัชสมัย"
ขณะเดียวกัน นักกิจกรรมก้าวหน้าส่วนน้อยจำนวนหนึ่งยอมรับโองการของสุลต่าน
พวกนี้บอกว่าท่านทำอย่างเปิดเผยในอันที่จะรักษาอำนาจควบคุมราชสำนักไว้กับครอบครัวของพระองค์
ไม่ใช่แค่ส่งเสริมเพศหญิงมาเป็นผู้นำสุลต่านโดยตรง
'มิตา' เป็นศิลปินคร่ำเคร่งอาศัยในท้องนาที่ตั้ง ‘สหกรณ์เข็มและเขี้ยว
หญิงกร้าวอะนาชา’ ห่างจากเคามันออกไป ๑๕ นาฑี
สนทนาเรื่องที่ว่าผู้หญิงจะเป็นประมุขย็อกยากาต้าได้ไหม
พร้อมไปกับจิบน้ำชาจากถ้วยที่มีข้อความเขียนว่า ‘ราชินีแม่งทุกสิ่ง’
เธอไม่เห็นว่าการตั้งลูกสาวให้เป็นรัชทายาทจะสลักสำคัญอะไร
“มันแค่ชั้นเชิงในการเสริมภาพพจน์และชื่อเสียงของสุลต่านเท่านั้นเอง”
'คุส'
สมาชิกสหกรณ์อีกคนหนึ่งแสดงความเห็นด้วย “นี่มันเป็นเพียงการเมืองภายในราชวงศ์”
เขาว่า ทรัพย์สินของราชสำนักมีอยู่มหาศาล รวมทั้ง ๑๐
เปอร์เซ็นต์ของที่ดินในย็อกยากาต้า ตามการประเมินของเอกชน
คุสบอกว่าข้อโต้แย้งเรื่องใครควรสืบสันตติวงศ์อยู่ที่พี่น้องครอบครัวไหนจะได้ครองทรัพย์สินเหล่านั้นต่างหาก
“ไอ้การพูดถึงสิทธิสตรีในเครือข่ายสุลต่านก็เหมือนพูดกันเรื่องสิทธิของสาราสัตว์ขณะกินสะเต๊ะนั่นแหละ”
ความเคารพศรัทธาต่อองค์สุลต่านยังพอมีในหมู่คนในท้องที่
แม้ว่าจะไม่เป็นที่รับรู้ของแวดวงชนชั้นนำนัก
สมาชิกสหกรณ์บอกว่าพวกเขาไม่ยี่หระเท่าไรหรอกว่าหญิงหรือชายจะมาเป็นสุลต่านองค์ต่อไป
และต้องการให้แยกบทบาทระหว่างสุลต่านกับผู้ปกครองออกจากกัน
ตำแหน่งสุลต่านจะได้เป็นเพียงสัญญลักษณ์เท่านั้น
แทนที่พวกนี้จะสนใจว่าใครจะมาเป็นสุลต่านองค์ต่อไป
พวกเขากลับแสดงความห่วงใยมากเรื่องชาวนาถูกไล่ที่ออกจากทรัพย์สินของสุลต่านเพราะมีโครงการขยายสนามบินตรงบริเวณนั้น
ความเห็นของพวกเขาเหล่านี้มิใช่จะโดดเดี่ยวก็หาไม่
“มันเป็นการแข่งขันกันของอำนาจในย็อกยากาต้า...เห็นได้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีในสังคมศักดินาเช่นนี้”
นักกิจกรรมคนหนึ่งเขียนส่งมาทางเอสเอ็มเอส
ศรัทธาแรงกล้าฝังแน่นในองค์สุลต่านยังคงหลงเหลืออยู่บ้างในหมู่คนท้องที่
แม้ว่าจะไม่เป็นที่รับรู้ของหมู่ชนชั้นนำก็ตาม
ในระบอบกษัตริย์ที่ซึ่งพระราชประสงค์ของพระองค์มักเป็นที่น้อมรับเสมอไป
การอมพะนำไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ดังที่ชาวย็อกยากาต้าจำนวนมากทำกันอยู่นั้น
เป็นแบบฉบับแท้จริงในการแสดงความจงรักภักดีและให้การสนับสนุนราชวงศ์
นี่เป็นความจริงแม้แต่ในพระราชโองการกำหนดองค์รัชทายาทด้วยวิธีนอกลู่นอกทางก็ตาม
ฮาราตุลมา รัฟ สัตยาเลกะวา นักศึกษาเศรษฐศาสตร์ในพื้นที่คนหนึ่งบอกว่า
ความเห็นของเขาในเรื่องการเปลี่ยนผ่านมีง่ายๆ “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัวของผม
แค่นั้นพอแล้ว แน่นอนผมเห็นด้วยกับการตัดสินพระทัยของพระองค์”
อทิตยา นันทิวัฒนา
นักศึกษาและเจ้าหน้าที่เอ็นจีโอที่อ้างตนเป็นนักอิสรภาพนิยมและอนาร์คิสต์
(ขัดขืนอำนาจรัฐ) เห็นแย้งอย่างแรง “ภูตผีศักดินายังคงสิงอยู่ในย็อกยากาต้า”
เขายันว่าข้อถกเถียงมันเกี่ยวกับเรื่องว่าครอบครัวไหนที่ประชันขันแข่งกันอยู่นี่
ใครจะได้สวาปามสินทรัพย์ศฤงคารกันแน่
“บทบาทดราม่าทั้งหมดเนี่ยเหมือนเกมชิงบัลลังก์เด๊ะเลย” (Game
of Thrones ซีรีย์ฮิตช่องเอชบีโอ)
การสนทนาโต้แย้งในย็อกยากาต้านี่น่ะ
แม้กระทั่งในหมู่นักศึกษาวัยเดียวกัน
ทำให้รู้สึกเหมือนดั่งว่าความคิดอ่านต่างยุคสมัยหลายศตวรรษผิดแผกไป มาเกิดขึ้นพร้อมๆ
ในเวลาเดียวกัน มันประกอบด้วยคำถามมากมาย
ไม่ว่าต่อการเป็นไปได้ไหมที่ผู้หญิงจะมาเป็นประมุขทางจิตวิญญานและทางการเมืองอันโดดเด่นของชวา
ไปจนถึงประเด็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในศตวรรษที่ ๒๑ ของอินโดนีเซียยุคใหม่
ที่ซึ่งสถาบันสุลต่านได้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการพัฒนาบุคคลิกภาพนครรัฐแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
อิสติเมวา (แปลตรงตามอักษรได้ว่า ‘พิเศษ’ หรือ ‘เอกลักษณ์’ ไม่เหมือนใคร) เคยเป็นคำที่ใช้อธิบายท้องที่ย็อกยากาต้า
กับราชาธิบดีผู้ที่มักจะกลายเป็นผู้ปกครองของนครรัฐแห่งนี้
แต่สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ อิสติเมวามีความหมายลึกล้ำกว่านั้น
สโลแกนที่ว่า ‘เททับ จ็อกจา อิสติเมวา’
(รักษาความเป็นเอกลักษณ์ของย็อกยากาต้าเอาไว้) ถูกนำไปใช้โดยหลายฝ่ายในข้อถกเถียงเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์นี้
พวกมุสลิมอนุรักษ์นิยมเอาไปใช้ทำแผ่นป้ายเรียกร้องให้คืนกลับสู่กฏมณเฑียรบาลดั้งเดิมติดไว้เกลื่อนนคร
มันยังใช้เป็นสโลแกนของพวกประเพณีนิยมย็อกยากาต้าที่มีความเห็นตรงข้ามว่า
ไม่ควรโต้แย้งพระราชวินิจฉัยของสุลต่าน
แล้วยังเป็นข้ออ้างเรียกร้องของพวกที่ไม่เชื่อว่าองค์สุลต่านทรงอิทธิพลเพียงพอดำรงอิสติเมวาไว้กับย็อกยากาต้าได้นานอีกสักกี่น้ำ
ในปี ค.ศ. ๒๐๑๑ มูลนิธิฮิปฮ็อปจ็อกจา (เจเอชเอฟ)
เขียนบทเพลงประจำชาติเร้าใจ ‘จ็อกจา อิสติเมวา’
กระตุ้นให้ย็อกยากาต้ากลับไปสู่สิ่งที่ทำให้ไม่เหมือนใครในแต่แรกเริ่มเลย
บรรเลงด้วยเครื่องเล่นเกมและเครื่องดนตรีตามประเพณี
เพลงนี้วิงวอนให้นครกลับไปหารากฐานเดิมอันเรียบง่าย ไม่มีโรงแรม มอลส์
และการจราจรวุ่นวายที่ทำให้รถติดไปทั่วเวลานี้
เพลงของเจเอชเอฟกล่าวถึงความกังวลต่อวัฒนธรรมของนครที่กลายเป็นมูลภัณฑ์ทางการค้าไปแล้ว
ย็อกยากาต้ากลายเป็นเหมือนบาหลี
เกาะสำหรับนักท่องเที่ยวห่างไปทางตะวันออกร้อยกว่าไมล์
จ็อกจา อิสติเมวา แร้ปเปอร์อินโดนีเซีย |
มาร์ซูกิ โมฮัมเม็ด ผู้ก่อตั้งวงเจเอชเอฟ และผู้เขียนบทเพลง
‘จ็อกจา อิสติเมวา’ ได้เขียนบทความบนบล็อกเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ชื่อ
‘เกเกแรน อิสติเมวา’
(ยุ่งเหยิงอย่างพิเศษ) ความว่า เพศของสุลต่านองค์ต่อไปจะเป็นอะไรไม่สำคัญ
เหตุเพราะว่าไม่มีกษัตริย์องค์ไหนชายหรือหญิงดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถปกป้องและฟูมฟักพสกนิกรของพระองค์ได้
โมฮัมเม็ดลงท้ายข้อเขียนของเขาด้วยเนื้อความการสนทนากับสุลต่านก่อนที่เรื่องรัชทายาทจะเกิดอื้ออึงขึ้นมา
ณ
จุดหนึ่ง ฮาเบ็งกูวูโวโน ๑๐
พยายามที่จะอธิบายปรัชญาของชวาเกี่ยวกับตัวเลขให้ข้าพเจ้าฟัง
ว่าเลขลำดับสูงสุดของการสืบราชสันตติวงศ์ชวานั้นอยู่ที่หมายเลข ๙ ดังนั้นหมายเลข
๑๐ จึงเหมือนกับศูนย์ เช่นนี้การเป็นสุลต่านรัชกาลที่ ๑๐ จำเป็นต้องเริ่มทุกสิ่งทุกอย่างใหม่หมด
วางรากฐานใหม่ๆ ให้กับย็อกยากาต้า แต่ใครเล่าจะรู้
ตอนนั้นมันผุดขึ้นมาในหัวของเราว่า ศูนย์ก็หมายถึง ‘ว่างเปล่า’ หรือ ‘จบแล้ว’ ด้วยเช่นกัน
ในจินตนาการของเรา เรามองเห็นพระราชวังล้มเลิกลงไป ลูก ๕ คน ลูกสาวทั้งหมด
เป็นสัญญานจากดินฟ้า
นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในร่มแห่งภูเขาเมราปิ
ภูเขาไฟที่ยังระอุที่สุดลูกหนึ่งของอินโดนีเซียซึ่งตั้งอยู่บนเขตแดนด้านเหนือของย็อกยากาต้า
วาห์ยุ สะซองโก
นักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นคนหนึ่งชี้ให้ดูเกสต์เฮ้าส์กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในชนบท
“สภาพแวดล้อมของท้องที่กำลังถูกทำลาย” เขาบ่น
เงินทุนที่ใช้ในการพัฒนาไหลเข้ามาจากภายนอกย็อกยากาต้า
“เรากลายเป็นคนดู การพัฒนาในบ้านของเราเอง”
สะซองโกเคยคิดว่าย็อกยากาต้ายังมีเอกลักษณ์ของตนเองอยู่
ที่เรียกว่า ‘ประเทศภายในประเทศ’ แต่เขาไม่อาจที่จะสลัดความรู้สึกอย่างหนึ่งไปได้
โดยไม่คำนึงว่าใครจะมาปกครองย็อกยากาต้าเป็นคนต่อไป ประเทศเล็กๆ
แห่งนี้ของเขาได้ถูกกลืนไปเสียแล้ว