รัฐบาลอุ๊งอิ๊งแจ้งเลื่อนโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (ที่รวมถึงสถานคาสิโน) ออกไปก่อน อ้างว่าต้องทำความเข้าใจกับประชาชนมากกว่านี้ ซึ่งที่จริงเพราะเสียงสนับสนุนในสภาไม่พอ หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไปจากการร่วมรัฐบาล
แต่พรรคประชาชนบอกว่า รัฐบาลควรถอนโครงการเอาไปปรับปรุงใหม่ “ต้องเสนอข้อเท็จจริงมากกว่านี้ และกำหนดการแบ่งปันผลประโยชน์ให้รัฐที่แฟร์กว่านี้” Puangthong Pawakapan เขียนคอมเม้นต์ต่อโพสต์ของ ‘ไอติม’ - Parit Wacharasindhu
พริษฐ์เล่าถึงการซักถามตัวแทนรัฐบาลในกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ มีประเด็นน่าสังเกตุหลายอย่างในความไม่สมบูรณ์ของโครงการ เรื่องสำคัญเป็นจำนวนคนไทยที่จะเข้าไปเล่นคาสิโน ซึ่งรัฐบาลตั้งเงื่อนไขว่าต้องมีรายได้อย่างน้อย ๕๐ ล้านบาท ต่อเนื่องกัน ๖ เดือน
ปรากฏว่าหลักฐานอ้างอิงจากการคำนวณจำนวนผู้เล่นคาสิโนคนไทยลักลั่นมาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลังบอกว่า จะมี ๕ หมื่นครั้งต่อปี น้อยกว่าที่รัฐบาลแถลงไว้เมื่อ ๔ มิถุนายน ๑๕ เท่า คือ ๗๔๐,๐๐๐ ครั้งต่อปี แล้วยังมีการอ้างแหล่งข้อมูลเอกชนต่างไปอีก
“รายงานของเอกชนที่รัฐบาลมักอ้างถึง: คนไทยเข้าไปเล่น ๒๓,๔๗๔,๖๐๐ ครั้งต่อปี” เหมารวมโดยไม่ระบุที่มาแน่นอน เพียงแจ้งว่ามาจากการรับฟังความคิดเห็นออนไลน์หลายครั้ง แต่ไม่มีรายละเอียดของการเก็บข้อมูล หรือแหล่งที่มาแท้จริง
“บอกว่า ๘๐% ของผู้ตอบเห็นชอบกับร่าง เนื่องจากระบบดังกล่าวเปิดให้คนหนึ่งคนสามารถเข้าไปแสดงความเห็นกี่ครั้งก็ได้ นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมการแสดงความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ ที่น่าตั้งคำถามว่าเป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่”
นอกจากนั้นรัฐบาลยังกำกวมมากเรื่อง “รายได้ของผู้ประกอบการสถานบันเทิงครบวงจร ส่วนใหญ่จะมาจากกาสิโนหรือกิจการที่ไม่ใช่กาสิโน” ส่วนหนึ่งก็บอกว่า “รายได้ส่วนใหญ่จำเป็นต้องมาจากกาสิโน เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินไปลงทุนและอุดหนุนการสร้างสถานบริการอื่นๆ
...แต่ถ้ารัฐบาลบอกว่ารายได้ส่วนใหญ่ของสถานบันเทิงครบวงจร ไม่ได้มาจากกาสิโน ก็จะเกิดคำถามตามมาว่าแล้วทำไมจึงต้องล็อกว่าสถานบันเทิงครบวงจรจะต้องมีกาสิโน” อันก็คงเลี่ยงตอบกันว่า โมเดลของต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เขามี
“ที่ผ่านมา ตอนที่ สส.รัฐบาลพยายามผลักดันกฎหมายนี้ให้ขึ้นมาพิจารณาเป็นลำดับแรกๆ ก็มีการอ้างว่าได้ทำการประชาพิจารณ์มาหลายรอบแล้ว และอ้างว่าประชาชนในพื้นที่ให้การตอบรับดี แต่มาวันนี้กลับมาบอกว่าต้องการรับฟังความเห็นประชาชนเพิ่มเติม”
ก็เลยฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าไร “ทางออกที่จริงใจกว่าคือการถอนร่างออกไปแล้วนำไปปรับปรุง และหากเสนอไม่ทันในสภาชุดนี้ก็นำกฎหมายดังกล่าวไปรณรงค์หาเสียง ผลเลือกตั้งที่ตามมาก็จะเป็นคำตอบ”
ปัญหาก็คือรัฐบาลพยายามยื้ออยู่อย่างนี้ ไม่อยากไป ไม่กล้าสู้เลือกตั้งใหม่