วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 12, 2568

ทีมทนายความเข้าเยี่ยม “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร ยังอดอาหารต่อเนื่อง พร้อมรักษาความหวังผ่านการต่อสู้



“ถ้าไม่มีความหวัง ก็นอนแห้งตายอย่างเดียว”: ‘บัสบาส’ ยังอดอาหารต่อเนื่อง พร้อมรักษาความหวังผ่านการต่อสู้

11/06/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2568 ที่เรือนจำกลางเชียงราย ทีมทนายความเข้าเยี่ยม “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร นักกิจกรรมในจังหวัดเชียงรายวัย 32 ปี ผู้ถูกคุมขังในคดีตามมาตรา 112 หลังถูกศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกในสามคดีรวมกัน 54 ปี 6 เดือน โดยทุกคดียังอยู่ในระหว่างฎีกา

บัสบาสเริ่มอดอาหารประท้วงในเรือนจำมาตั้งแต่วันเสาร์ที่ 17 พ.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 32 ปีของเขา โดยยังดื่มกาแฟ นม และน้ำ เพื่อต้องการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด จนถึงวันที่เข้าเยี่ยมก็เป็นระยะเวลา 24 วันแล้ว

บัสบาสพูดคุยกับทนายความผ่านจอวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ใบหน้าเขาอิดโรย และพูดด้วยเสียงเนือย ๆ โรยแรงลง ใช้เวลาพูดแต่ละคำ ไปพร้อมกับการคิดค่อนข้างช้า แต่เขาบอกถ้อยคำแรกว่า ยังไหวอยู่ ยังได้อยู่

“ผมสายแข็ง ยังแข็งแรง” บัสบาสกล่าวทีเล่นทีจริง

บัสบาสบอกว่าเขาฝึกการอดอาหารมาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งปีที่แล้วอดไปประมาณเกือบ 2 เดือน ทำให้ร่างกายเคยชินกับเรื่องนี้ โดยแต่ละวันในช่วงอดอาหาร เขาพยายามไม่เคลื่อนไหว ไม่คุยกับใครมากมาย ไม่ใช้พลังงานเยอะ โดยใช้เวลานอนไปค่อนข้างมาก

เขาเสริมว่าตอนนี้ก็มีเพื่อนผู้ต้องขังที่คอยดูแลกันอยู่ เป็นเพื่อนที่เคยฝึกอบรมด้านการพยาบาลมาด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ก็คงมีการดูแลกัน และทางเรือนจำก็พยายามดูแล มีแพทย์มาตรวจร่างกายทุกอาทิตย์

เขาย้ำว่า การอดอาหารของเขาเป็นการแสดงออกทางการเมือง เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ข้อเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดประสบความสำเร็จได้อย่างไร แต่ก็อยากลองทำก่อน ไม่งั้นเขารู้สึกว่าถูกคุมขังอยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ไม่ได้ต่อสู้อะไรเลย

“ผมเริ่มต้นต่อสู้ด้วยการอดอาหาร เลยใช้เครื่องมือนี้อีกครั้ง ก็อยากลองดูให้นานที่สุด” บัสบาสบอกเจตนาของเขา

บัสบาสย้อนเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่อาทิตย์ก่อนว่า ในเรือนจำตอนนี้ไม่มีนมเปรี้ยว นม หรือโยเกิร์ต ขาย เนื่องจากสินค้าขาดแคลน ทำให้ส่งผลต่อการอดอาหารของเขา ทำให้เขาเหลือเพียงรับประทานน้ำและกาแฟในแต่ละวัน โดยกินกาแฟตอนเช้า 1-2 แก้ว แล้วระหว่างวัน เขากินน้ำเปล่าค่อนข้างเยอะ วันหนึ่งประมาณ 3-5 ขวดขึ้นไป คอยจิบน้ำเป็นระยะ

บัสบาสเล่าถึงกิจวัตรช่วงกลางวัน ว่าส่วนใหญ่ก็จะนั่งนอนอยู่ในพื้นที่ใต้ถุนของโรงนอน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ให้เพื่อนผู้ต้องขังมาทำหน้าที่ในลักษณะดีเจ คอยเปิดเพลงต่าง ๆ ให้ฟัง ทำให้พอเพลิดเพลินไปได้บ้าง เขาจำได้ว่าช่วงปีที่แล้วมีคนเปิดเพลง “ประเทศกูมี” ของวง Rap Against Dictatorship ขึ้นมาในวันหนึ่งด้วย

ส่วนช่วงเย็นหลังสี่โมง ที่ผู้ต้องขังต้องขึ้นไปยังโรงนอน ก็จะเปิดหนังให้ผู้ต้องขังดู บัสบาสบอกว่าโดยมากเป็นหนังจีนหรือซีรีส์เกาหลี รวมทั้งบางครั้งก็มีหนังซูเปอร์ฮีโร่ อย่างหนังของมาร์เวลสตูดิโอให้ดู หรืออย่างล่าสุดก็ได้ดูเรื่อง Deadpool & Wolverine ด้วย

บัสบาสชวนสนทนาถึงสถานการณ์โลกภายนอก เรื่องความคืบหน้าของการนิรโทษกรรม ซึ่งคาดว่าร่างกฎหมายจะเข้าสู่สภาในการเปิดประชุมสภาสมัยหน้า ช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป นอกจากนั้น เขายังสอบถามถึงผลการแข่งขันฟุตบอลในช่วงนี้ด้วย

บัสบาสเล่าว่า เสียดายว่าในเรือนจำไม่ค่อยเปิดกีฬาประเภทต่าง ๆ ให้ดู โดยเฉพาะฟุตบอล เข้าใจว่าทางเรือนจำกลัวว่าผู้ต้องขังจะมีการเล่นพนันกัน ทั้งที่ตัวเขาชอบดูกีฬา โดยเชียร์ทีมแมนฯ ซีตี้ และก็อยากรู้ผลการแข่งขัน เท่าที่ผ่านมา เขาจำได้ว่ามีการเปิดการแข่งวอลเลย์บอลของทีมชาติไทย กับการแข่งโมโตจีพีให้ผู้ต้องขังดู รวม 2-3 ครั้งเท่านั้น

“แต่ละวัน ผมพยายามไม่คิดอะไรมาก ทำไปวันต่อวัน อาจจะมีหวนคิดถึงอดีตบ้าง คิดถึงแฟนเก่า ถึงความฝันเก่า ๆ แล้วก็มีคำถามว่าเราจะอยู่ได้ระยะยาวหรือเปล่า”

ที่ผ่านมาบัสบาสมักจะถามถึงผู้ต้องขังทางการเมืองคนอื่น ๆ อยู่บ่อยครั้ง และแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ที่ผู้ต้องขังทางการเมืองไม่ได้ประกันในช่วงหลัง

แม้ว่าเขาอยากจะเขียนจดหมายออกไปหาคนภายนอกบ้าง อยากจะเขียนตอบให้คนที่ส่งเข้ามา อยากจะเขียนถึงผู้ต้องขังในเรือนจำอื่น ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเรือนจำกำหนดให้ส่งจดหมายให้ได้เฉพาะบุคคลที่อยู่ในรายชื่อ 10 คนที่แจ้งไว้ต่อเรือนจำเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเขายังพยายามถามถึง “จดหมาย” ว่ามีใครส่งจดหมายมาหาเขาบ้าง เขาได้รับมาฉบับหนึ่งเมื่อเดือนก่อน ส่งจากใครก็ไม่เขียน เขียนแต่เบอร์โทรในช่องผู้ส่งไว้

บัสบาสกังวลว่า หากมีผู้ส่งจดหมายมา แต่อาจส่งมาไม่ถึงเขา หรือถูกตีกลับ โดยขอให้ส่งมาแบบลงทะเบียนตอบรับแทนเพื่อจะได้มีหลักฐานในการส่งด้วย

บัสบาสบอกว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาคิดกับตัวเองว่าอาจจะต้องติดคุกเกินกว่า 10 ปี แต่อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน เขายังมีความหวังไว้ตลอด

“ยังไงก็มีความหวัง ถ้าไม่มีความหวัง ก็นอนแห้งตายอย่างเดียว ผมพยายามมีความหวังหล่อเลี้ยงไว้” บัสบาสย้ำถึงมุมมองของเขา

ก่อนจะจากลา เราขอให้เขารักษาตัวให้ดี และเมื่อถามว่าเขาอยากฝากอะไรถึงเพื่อน ๆ ภายนอกบ้าง บัสบาสหล่นประโยคออกมาว่า “ไม่ว่าท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีใด ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดินเสมอ”




https://tlhr2014.com/archives/75927